กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 849.2 สหายเจ้ามาหาใคร
เฉินผิงอันถอนสายตากลับ “ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ถึงไม่มีชีวิตอิสระเสรี เดินทางท่องเที่ยวไปไกลอย่างสุขสบายใจ เป็นดั่งเรือที่ไม่ต้องผูกเชือก ไร้สิ่งใดให้เป็นห่วงพะวงหาได้อย่างเจ้าลัทธิลู่อย่างไรเล่า”
ลู่เฉินหัวเราะคิกคัก “ลู่เฉินของวันนี้และของพรุ่งนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีอิสระได้หลายส่วน แต่ชีหยวนลี่ (หมายถึงจวงจื่อ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีนในสมัยโบราณ) ในอดีตก็ยังต้องยืมเงินมาจากขุนนางที่ดูแลลำคลอง เขาเองก็เคยยากจนสิ้นหวังเหมือนเจ้ามาก่อน ยากที่จะทำความปรารถนาให้เป็นจริงมาเนิ่นนาน ทุกเรื่องทุกเวลาล้วนไร้อิสระ โชคดีที่ข้าคนนี้เป็นคนมองได้กว้าง ปลงได้ตก เชี่ยวชาญการหาความสุขท่ามกลางความทุกข์แล้วปรับตัวเข้ากับมัน ดังนั้นข้าในทุกๆ วันพรุ่งนี้จึงคู่ควรให้ตัวเองรอคอยคาดหวัง”
เฉินผิงอันเอ่ย “ต้องเรียนรู้การฝึกฝนจิตใจกับนักพรตลู่ให้มากแล้ว”
“เรื่องของการฝึกฝนอบรมจิตใจ ใครก็อย่าได้เรียนรู้เอาอย่างข้าเลย”
ลู่เฉินโบกมือ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็เอ่ยว่า “ป๋ายเหย่เองก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว มีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ สร้างวีรกรรมอันโอ่อ่าตระการตาให้แก่ใต้หล้า แม้แต่อาจารย์ของข้าก็ยังเอ่ยว่ามีมาดอันองอาจโดดเด่นของเซียนกระบี่”
เฉินผิงอันพยักหน้า “อาจารย์เล่าให้ฟังแล้ว”
ลู่เฉินทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจ “อันที่จริงเรื่องของการตั้งชื่อนี้ พวกเราสองคนต่างก็เป็นมือดีอันดับหนึ่ง น่าเสียดายที่ข้าพกเอาชื่อกระบี่บินมาสิบกว่าชื่อ ตั้งใจไปเยือนอารามเสวียนตูใหญ่โดยเฉพาะ นักพรตซุนเองก็กระตือรือร้นรับรองแขกยิ่งนัก ถึงกับขยุ้มเข็มขัดวิ่งออกจากห้องส้วมมาพบข้าอย่างรีบร้อน”
เฉินผิงอันถาม “นักพรตซุนมีโอกาสเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่หรือไม่?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนใด อันที่จริงก็ล้วนมีโอกาสในการผสานมรรคา เพียงแต่ว่ายิ่งขอบเขตมั่งคงสมบูรณ์ ตบะยิ่งอยู่สูงบนยอดเขามากเท่าไร คอขวดก็จะยิ่งใหญ่มากเท่านั้น นี่คือตรรกะอย่างหนึ่ง”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ได้พูดอะไรต่อ ยามอยู่กับคนสองสามคน เขามักจะมีความรู้สึกหลอกตาอยู่เสมอ ครั้งแรกคือตอนได้พบอาเหลียง แรกเริ่มมักจะรู้สึกว่าตัวเองได้เจอกับนักต้มตุ๋นในยุทธภพคนหนึ่ง อีกฝ่ายชอบพูดจาปากเปราะปากไร้หูรูดทุกวัน ทำให้รู้สึกว่าหากพูดคำหนึ่งไม่เข้าหู คำพูดใดเกินกว่าเหตุไปก็อาจจะถูกจูเหอต่อยจนล้มคว่ำ
ตอนอยู่บนเรือราตรี อู๋ซวงเจี้ยงที่เพิ่งผ่านศึกใหญ่มาหมาดๆ นั่งดื่มสุราร่วมโต๊ะ สุภาพอ่อนโยน
ตอนอยู่ท่าเรือพ่านสุ่ย ยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารอย่างเจิ้งจวีจง ทั่วร่างกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบัณฑิต
นอกจากนี้ก็เป็นลู่เฉินที่ได้รู้จักมาตั้งแต่แรกเริ่มสุดคนนี้
เฉินผิงอันไม่มีทางรู้เลยว่าลู่เฉินคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วจะทำอะไรต่อ เพราะไม่มีเส้นสายใดๆ ให้สืบเสาะ
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “สายตาของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสช่างดีจริงๆ”
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มในอดีตเคร่งขรึมเหมือนคนแก่เกินไป ระมัดระวังรอบคอบเกินไป
มีเพียงเฉินชิงตูที่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่เขาเห็นอยู่ในสายตา เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันสดใส ร่าเริงกระตือรือร้น
ลู่เฉินเป็นฝ่ายพูดถึงผู้ฝึกกระบี่กลุ่มที่เดินทางไกลไปเยือนมืดสลัว “สหายสองคนนั้นของเจ้า ต่งถ่านดำไปอยู่ที่นครเสินเซียว แต่เพราะนิสัยแข็งกร้าวจึงไม่ยินยอมถูกรับเข้าไปอยู่ในทำเนียบขุนนางเต๋าของป๋ายอวี้จิง เจ้าอ้วนเยี่ยนไปอยู่อารามเสวียนตูใหญ่ของนักพรตซุน ต่างก็ปรับตัวได้ มีชีวิตที่ดี”
ผู้ฝึกกระบี่รวมทั้งสิ้นสิบหกคนที่มีก่อกำเนิดผู้เฒ่าเฉิงเฉวียนเป็นผู้นำได้ติดตามภูเขาห้อยหัวบินทะยานไปยังใต้หล้ามืดสลัว สุดท้ายต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เก้าคนในนั้นเลือกที่จะฝึกกระบี่อยู่ที่ป๋ายอวี้จิง ส่วนเฉิงเฉวียนกลับตรงไปอยู่ตำหนักสุ้ยฉูของอู๋ซวงเจี้ยงอย่างที่เหนือการคาดคิดของทุกคน แล้วยังเข้าทำเนียบสำนัก รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงาน เพราะผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเก็บความลับเรื่องหนึ่งไว้กับตัว เขาได้นำกล่องกระบี่ที่ห่อหุ้มด้วยผ้าฝ้ายใบหนึ่งไปวางไว้บนหินพักมังกรกลางน้ำของหอกว้านเชวี่ย
“เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือเวทย้ายภูเขา คือวิชาอภินิหารเคลื่อนย้ายมหาสมุทรที่แท้จริง?”
“หวังว่าเจ้าลัทธิลู่จะไม่ขี้เหนียว ยอมถ่ายทอดความรู้ให้”
“ในสายตาของข้า อันที่จริงเจ้าเชี่ยวชาญวิชานี้มานานแล้ว ก็เหมือนห้องสองห้องในบ้านหลังหนึ่งมีคนคนหนึ่งคอยย้ายข้าวของอย่างต่อเนื่อง ทำบ่อยก็ยิ่งเกิดความเคยชิน ยิ่งนานก็ยิ่งคล่องมือ”
“เจ้าลัทธิลู่พูดจาลึกลับไปหน่อย ฟังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร”
“อีกเดี๋ยวก็จะเข้าใจแล้ว ไม่ว่าเรื่องราวอันงดงามใดๆ ล้วนไม่ได้มีอยู่แค่เฉพาะบนบุปผาดอกเดียวเท่านั้น”
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเอง
เฉินผิงอันกำลังคิดว่าหากวันหน้าไปที่ใต้หล้ามืดสลัวจริงๆ ควรจะอำพรางตัวตนอย่างไร
ลู่เฉินกำลังรอคอยว่าหากวันใดเฉินผิงอันมาถึงใต้หล้ามืดสลัว จะเป็นความครึกครื้นแบบใด
เหล่ากระบี่ผู้สืบทอดทั้งหลายของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ก่อนหน้านี้ต่างคนต่างก็ติดตามฉีถิงจี้และลู่จือออกมาจากท่าเรือทั้งสองแห่ง เพียงแต่ว่าขี่กระบี่ตามหลังมาค่อนข้างห่างไกล ภายใต้การคุ้มกันของเส้าอวิ๋นเหยียนกับถัวเหยียนฮูหยิน เวลานี้ถึงเพิ่งจะขี่กระบี่มาถึงหัวกำแพงเมือง ต่างก็พลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมืองอีกแถบหนึ่ง เฉินผิงอันมองไปไกลๆ พยักหน้าทักทายเส้าอวิ๋นเหยียน ส่วนกระบี่ที่เหลือ คนส่วนใหญ่เขาล้วนรู้จัก เพราะตอนที่อยู่ท่าเรือเกาะนกแก้วเคยได้เจอหน้าสองสามคน เด็กสาวที่มัดผมหางม้าชื่อว่าอู๋ม่านเหยียน นางคือคนที่มีคุณสมบัติด้านการฝึกกระบี่ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาสิบแปดกระบี่ ข้างกายเด็กสาวยังมีเฮ้อชิวเซิงคนวัยเดียวกันที่เคยป่าวประกาศว่าในอนาคตจะมาถามกระบี่กับเขา
ถัวเหยียนฮูหยินมายืนอยู่ข้างกายลู่จือ ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย จึงขยับเท้าไปหลบอยู่ด้านหลังลู่จือเสียเลย พยายามอยู่ให้ห่างจากนักพรตคนนั้นหน่อย นางใช้เสียงในใจถามอย่างขลาดกลัวว่า “นักพรตคือคนผู้นั้นหรือ?”
ลู่จือพยักหน้า “ไม่แน่ว่าอาจได้ตีกัน ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แค่ต้องเผ่นหนีไปให้ไกลหน่อย”
ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ย “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
เห็นได้ชัดว่าลู่จือผิดหวังเล็กน้อย
เฉาจวิ้นที่นัดหมายล่วงหน้าว่าจะไปรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับสุดท้ายของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่ว ก่อนหน้านี้เห็นนักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะ เพื่อหลบแสงกระบี่เส้นหนึ่งก็ถึงกับวิ่งพล่านหลบหนีอุตลุด จึงอดไม่ไหวถามเว่ยจิ้นว่า “นักพรตนี่มาได้อย่างไร โผล่ออกมาจากไหนกัน? ดูแล้วขอบเขตสูงมากเลยนะ คงจะไม่ใช่ท่านลุงได้มาเปล่าคนใดของเฉินผิงอันอีกกระมัง?”
เว่ยจิ้นกล่าว “คือเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิง ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเจ้าลัทธิลู่ไปตั้งแผงดูดวงในถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่นานหลายปี ถือเป็นคนรู้จักเก่ากับพวกคนรุ่นเยาว์หลายคนซึ่งมีเฉินผิงอันเป็นหนึ่งในนั้น ปีนั้นเจ้ากลับบ้านเกิดช้าไป จึงพลาดไป”
เฉาจวิ้นรีบถอนสายตากลับมาทันที ไม่กล้ามองนานอีกแล้ว เขาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “หากข้าเกิดและเติบโตอยู่ในเมืองเล็ก ด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของข้าจะต้องได้ดิบได้ดีอย่างมากแน่นอน”
เฉาจวิ้นส่ายหน้า “คุณสมบัติ? อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูอย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ด้วยนิสัยของเจ้า ได้เจอกับยอดฝีมือที่อำพรางตนอย่างลึกลับพวกนี้แต่เนิ่นๆ คาดว่าคิดจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็คงกลายเป็นความเพ้อฝันแล้ว ดีหน่อย หากไม่เป็นช่างเผาเครื่องปั้นอยู่ในถ้ำสวรรค์ลหลีจู ก็คงต้องทำไร่ทำนา ขึ้นเขาไปตัดต้นไม้เผาฟืน ชั่วชีวิตกลายเป็นคนไร้ชื่อเสียง หรือหากดวงซวยกว่านั้นสักหน่อย ต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว ตกลงไปในหลุมพรางของคนอื่นก็คงจะยังไม่รู้ตัว”
เฉาจวิ้นเอ่ย “ไม่ถูกกระมัง ข้าจำได้ว่าในเมืองเล็กมีเจ้าพวกลูกกระต่าย พวกคนซื่อบื้อหลายคนที่พูดจาระคายหูยิ่งกว่าข้า เวลาทำเรื่องอะไรขึ้นมาก็สนแต่หัวไม่สนบั้นท้าย (เปรียบเปรยว่ายามทำอะไรไม่พิจารณาให้รอบคอบ) ทุกวันนี้แต่ละคนก็มีชีวิตที่ดีกันมากไม่ใช่หรือ?”
เว่ยจิ้นเอ่ย “คำพูดและการกระทำของคนเหล่านั้นล้วนมาจากจิตใจดั้งเดิม ยอดฝีมือย่อมไม่ถือสา ไม่แน่ว่าอาจจะยังผลักเรือไปตามกระแสน้ำ แต่เจ้ากลับไม่เหมือนกัน ใช้อุบายอวดฉลาด หากเจ้าตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าลัทธิลู่ เกินครึ่งเขาคงไม่ถือสาที่จะสอนให้เจ้ารู้ว่าควรเป็นคนอย่างไร”
เฉาจวิ้นกำลังจะโต้กลับ ในทะเลสาบหัวใจพลันมีเสียงของลู่เฉินดังขึ้น “เซียนกระบี่เฉามีฝีมือสูงส่งทั้งยังใจกล้า ถามกระบี่กับคนอื่นในตรอกหนีผิงไปรอบหนึ่ง ผินเต้าแค่ได้ยินคนเล่าให้ฟังหลังจบเรื่องก็ยังอกสั่นขวัญผวาอยู่หลายส่วน คนหนุ่มมากความสามารถที่ใจกล้าเทียมฟ้าอย่างเจ้า หากจะไปเป็นเจ้านคร เจ้าหอของห้านครสิบสองหอเรือนในป๋ายอวี้จิงก็มากพอเหลือแหล่ ถือเป็นการนำคนมีความสามารถไปใช้ในงานเล็กน้อยด้วยซ้ำ! เป็นอย่างไร วันหน้าผินเต้าจะพาเจ้าไปท่องใต้หล้ามืดสลัวด้วยกันสักรอบดีไหม?”
เฉาจวิ้นได้ยินก็ตกใจจนจิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง ตอบเสียงสั่นว่า “มิกล้ารบกวนเจ้าลัทธิลู่”
ทางฝั่งของลู่จือก็มีเสียงพูดกลั้วหัวเราะของลู่เฉินดังขึ้นในใจเหมือนกัน “อาจารย์ลู่สามารถทำให้อาเหลียงคิดถึงพะวงหาได้ เป็นเรื่องที่มีเหตุผลจริงๆ เสียด้วย ชื่อเสียงสมคำเล่าลือ”
ลู่จือตอบกลับมาหนึ่งประโยค “อย่าได้คิดว่าแซ่ลู่เหมือนกันแล้วจะตีสนิทข้าได้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแม้แต่น้อย อยากโดนฟันก็บอกมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม”
ลู่เฉินลุกขึ้นยืน แหงนหน้าพึมพำ “มหามรรคาดุจฟ้าคราม มีเพียงข้าที่ออกไปไม่ได้ บทกวีของป๋ายเหย่ แค่ประโยคเดียวก็อธิบายความยากลำบากในการเดินทางในชีวิตนี้ของข้าได้หมดสิ้นแล้ว”
เฉินผิงอันเงยหน้าเอ่ยอย่างเฉยเมย “ฟ้าไร้ผนังสี่ด้าน คนเดินนกบิน ฟ้าครามเส้นทางกว้างใหญ่ รองเท้าสานเสียดสีจนพื้นสึก”
ทางฝั่งของท่าเรือสำนักอวี่หลง หลังจากที่เฉินซานชิวและเตี๋ยจ้างออกมาจากท่าเรือแล้วก็อยู่ระหว่างเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก่อนหน้านี้พวกเขาออกจากบ้านเกิดไปด้วยกัน จากนั้นก็ทยอยไปเที่ยวเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ทักษินาตยทวีปและหลิวเสียทวีป
เจี่ยเสวียนเค่อชิงแห่งหอโหยวเซียน ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากไท่เกิงได้เอ่ยเตือนคนหนุ่มที่ในใจยังคงขุ่นแค้นผู้นั้นเป็นการส่วนตัว ทั้งเป็นคำสอนจากผู้อาวุโส แล้วก็เป็นคำเตือนอย่างหนึ่ง อย่าให้เขาเห็นเซียนดินโอสถทองสำคัญเกินไป แต่ก็อย่าได้มองข้ามเซียนดินโอสถทองเกินไป
อวิ๋นเชียนที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าสำนักอวี่หลงชั่วคราวยังคงรอให้น่าหลันไฉ่ฮ่วนปรากฎตัวมาคิดบัญชี ขณะเดียวกันนางก็หวังด้วยว่าสักวันหนึ่งจะสามารถไปหาอิ่นกวานหนุ่ม เพื่อเอ่ยขอบคุณเขาต่อหน้า
กลางอากาศเหนือเมืองเล็ก เฉินหลิงจวินเห็นคนต่างถิ่นสามคนก็ชั่งน้ำหนักอยู่เล็กน้อย พี่ใหญ่เจี่ยแห่งตรอกฉีหลงก็เป็นคนของลัทธิเต๋าเหมือนกัน เขาก็เลยไปหานักพรตน้อยที่ขี่วัวคนนั้นก่อน มองดูแล้วยังเยาว์มากนี่นะ
เฉินหลิงจวินกลัวว่าการขี่เมฆทะยานหมอกของตนจะทำให้นักพรตน้อยคนนั้นตกใจ ก็เลยทำมุทรากดไอน้ำและก้อนเมฆลงไป พลิ้วกายลงนอกเมืองเล็ก เดินอาดๆ ไล่ตามหนึ่งคนหนึ่งวัวไป ยิ้มเอ่ยว่า “สหายโปรดช้าก่อน”
เด็กหนุ่มที่มีรูปลักษณ์เป็นนักพรตน้อยหันหน้ามายิ้มถาม “มีธุระอะไรหรือ?”
ครุ่นคิดเล็กน้อยก็สามารถเรียนรู้ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีป หรือก็คือภาษาทางการของต้าหลีเป็นแล้ว
เฉินหลิงจวินเชิดหน้าขึ้น ถามว่า “มองดูแล้วไม่คุ้นหน้าสหาย มาขึ้นเขาเยี่ยมเยือนเซียนในอำเภอไหวหวงของพวกเราหรือว่ามาเป็นแขกล่ะ?”
อันที่จริงอยากจะบอกว่าเห็นสหายหน้าตาอ่อนเยาว์ ไม่ทราบว่าอายุเท่าไร? เพียงแต่ว่านี่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของยุทธภพ
นักพรตเด็กหนุ่มเอ่ย “เป็นแค่แขกที่ผ่านทางมา”
เฉินหลิงจวินใช้เสียงในใจถามเข้าประเด็น “สหายท่านนี้คงจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เล่าลือกันในตำนานหรอกกระมัง?”
พูดอะไรก็ได้ให้ฟังเกินกว่าเหตุเข้าไว้ หากเป็นพวกลูกพี่ใหญ่บนยอดเขาที่เก็บหัวเก็บหางคนหนึ่ง คำถามของตนก็จะเท่ากับเป็นคำพูดคำจาของเด็กไม่รู้ความมิอาจถือสา คิดดูแล้วก็คงไม่ถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยกับตนหรอก
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังวัวเบี่ยงตัวมา หันหน้าหาเฉินหลิงจวิน ส่ายหน้าตอบ “ย่อมไม่ใช่”
เฉินหลิงจวินถามอย่างระมัดระวัง “ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนกับเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิงท่านนั้นสินะ?”
เคยได้รับบทเรียนมาก่อน นายท่านใหญ่เฉินเช่นข้าอาศัยอะไรถึงได้มีชีวิตเสวยสุขอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือแห่งนี้ได้ แน่นอนว่าอาศัยหัวสมอง เป็นคนประเภทเจ็บแล้วจำ
เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงส่ายหน้า
เฉินหลิงจวินโล่งอก ดีล่ะ หากไม่เป็นเพราะเจ้าหมอนี่ขี่อยู่บนหลังวัว คิดจะกอดคอพูดคุยก็ยังไม่เป็นปัญหา
เฉินหลิงจวินหัวเราะอารมณ์ดีกับตัวเอง “ชีหยวนฝันเห็นผีเสื้อ ก็แค่คนมีความสามารถระดับกลาง ฮ่าๆ คำประเมินนี้ดีจริง”
นักพรตเด็กหนุ่มเพียงยิ้มรับ ก่อนถามว่า “อริยะที่ดูแลถ้ำสวรรค์หลีจูในทุกวันนี้คือท่านใด?”
โอ้โห พูดจาวางโตนัก ก่อนจะเข้าเมืองเล็กคงดื่มเหล้าไปไม่น้อยกระมัง? ถ้าอย่างนั้นก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัวแล้ว ข้าชอบ
เฉินหลิงจวินสะบัดชายแขนเสื้อ หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “หร่วนฉงอริยะแห่งสำนักการทหาร อาจารย์หลอมกระบี่มือหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปพวกเรา ทุกวันนี้คือบรรพจารย์เปิดขุนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว ข้าสนิทกับเขามาก เห็นหน้าก็แค่ต้องเรียกว่าช่างหร่วน ขาดก็แค่ไม่ได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันเท่านั้น”
เด็กหนุ่มถาม “อริยะสำนักการทหาร? มาจากศาลลมหิมะหรือภูเขาเจินอู่?”
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คงไม่ต้องใช้การอนุมานหาคำตอบจากมหามรรคาแล้ว
เฉินหลิงจวินอดมองวัวดำตัวนั้นไม่ไหว น่าสงสารนัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางไกลข้ามทวีปมาแน่นอน ดันต้องมาเจอเจ้านายที่พึ่งพาไม่ได้เช่นนี้ แล้วยังต้องถูกขี่มาตลอดทาง เฉินหลิงจวินจึงอยากจะตบเขาวัวดูสักที
นักพรตเด็กหนุ่มโบกมือ ยิ้มร่าเอ่ยว่า “อย่าตบๆ นิสัยของสหายอย่างข้าคนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร”
เฉินหลิงจวินจึงหดมือกลับมา อดไม่ไหวเอ่ยเตือนว่า “สหาย ไม่ใช่ว่าข้าขู่ให้เจ้าตกใจกลัวจริงๆ นะ เมืองเล็กแห่งนี้ของพวกเรามีแต่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ มียอดฝีมือผู้เร้นกายไม่ทราบนามอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ บุคลิกเทพเซียน มาดแห่งยอดฝีมือก็แสดงออกมาให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”
แต่จากนั้นเฉินหลิงจวินก็ตบอกตัวเอง “ไม่เป็นไรๆ ถึงอย่างไรก็มีข้าคอยนำทางให้ ไม่ว่าใครก็ล้วนต้องไว้หน้าข้าสองสามส่วน ขอแค่ไม่พูดจาหรือทำอะไรเกินกว่าเหตุ ล้วนไม่เป็นไร หากเกิดความขัดแย้งกับคนอื่นจริงๆ เจ้าก็บอกชื่อของข้าไป ราชามังกรน้อยแห่งภูเขาลั่วพั่ว ข้าแซ่เฉินนามหลิงจวิน ฉายาคือจิ่งชิง ใช่แล้ว ข้ามีสหายคนหนึ่งทุกวันนี้ทำการค้าต้นทุนต่ำ เขาเขียนหนังสือเต๋าขึ้นมา เป็นภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง สหายหากในมือเจ้าขาดของเล่นประเภทนี้ ข้าก็สามารถพาเจ้าไปที่ร้านบ้านข้าได้ จะขายให้เจ้าในราคาต้นทุน หากสหายคนนั้นของข้าได้กำไรจากเจ้าไปแม้แต่ครึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ก็ถือว่าข้าทำลายป้ายอักษรทองของตัวเองทิ้งแล้ว”
เด็กหนุ่มยิ้มถาม “สหายจิ่งชิงชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นขนาดนี้เลยหรือ?”
เฉินหลิงจวินถอนหายใจ “ช่วยไม่ได้ เกิดมาก็เป็นคนกระตือรือร้นเช่นนี้ แล้วก็เพราะข้อนี้ของข้านี่แหละ ปีนั้นนายท่านของข้าถึงได้ยอมพาข้าขึ้นเขาไปฝึกตน”
นักพรตน้อยถาม “นายท่านของเจ้าคือใคร?”
เฉินหลิงจวินหัวเราะร่า “อย่าพูดถึงดีกว่า พวกเราแค่พบเจอกันโดยบังเอิญ ควรต้องเก็บใจเอาไว้บ้าง อย่าได้ควักใจออกมาให้กันดูจนหมด ทำแบบนั้นจะดูไม่มีประสบการณ์”
หลังจากนั้นเฉินหลิงจวินก็พานักพรตน้อยที่ขี่วัวไปดูบ่อตรวนมังกร ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มก็ตบหลังวัวให้หยุดอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง
ปีนั้นแผงดูดวงของลู่เฉินผู้เป็นลูกศิษย์ตั้งอยู่ห่างจากต้นไหวเก่าแก่ไปไม่ไกล เงยหน้ามองก็เห็นได้ กิ่งไม้บางห่าง ทว่าพุ่มใบกลับเขียวขจี
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองไป ต้นไหวโบราณก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาอีกครั้งทันที เพียงแต่ว่าแม้ต้นไม้โบราณจะไหวเพยิบพะยาบ แต่น่าเสียดายที่ได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว จากไปไม่หวนกลับมา ทว่าเรื่องราวส่วนใหญ่บนโลกมนุษย์ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ตะวันจันทราดุจควบม้าห้อตะบึง กาลเวลาประหนึ่งกระสวยพุ่งผ่าน เดินท่องมหาสมุทรฝุ่นตลบคลุ้ง
เฉินหลิงจวินถามชวนคุย “สหายเดินทางมาไกลขนาดนี้เพราะอยากจะมาพบใครหรือ?”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มเอ่ย “หนึ่งนั้น”