กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 853.3 คร่าวๆ
หลายปีมานี้ออกท่องเที่ยวไปตามทวีปต่างๆ ของไพศาล นอกจากจะฝึกตนหลอมกระบี่แล้ว เรื่องของวัตถุนอกกายก็พอจะมีผลเก็บเกี่ยวอยู่บ้างเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นระหว่างที่เตี๋ยจ้างอยู่ในหลิวเสียทวีปได้จับผลัดจับผลูหลงเข้าไปในดินแดนลับขุนเขาสายน้ำที่ตราผนึกหนาชั้นแห่งหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เก็บสมบัติกันมาได้เล็กน้อย
ตกลงกับเตี๋ยจ้างไว้เรียบร้อยแล้วว่า วันหน้าหากใครได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก็จะสร้างสำนักวิถีกระบี่เป็นของพวกเขาเองขึ้นในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เตี๋ยจ้างเป็นเจ้าสำนัก ส่วนเขาจะเป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎที่บุกเบิกภูเขาเอง
นครบินทะยานของใต้หล้าห้าสี ไม่ต้องพูดมาก สิ่งที่ช่วงชิงมาต้องไม่ใช่หนึ่งช่วงเวลาหนึ่งสถานที่ แต่เป็นทุกสรรพสิ่งตลอดกาลของตลอดทั้งใต้หล้า
ใต้หล้าไพศาล ฉีถิงจี้สร้างสำนักกระบี่หลงเซี่ยงขึ้นมา ภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอันก็เป็นสำนักอักษรจงแล้ว
ใต้หล้ามืดสลัว พูดถึงแค่ต่งฮว่าฝูและเยี่ยนจั๋วที่เป็นสหาย จะต้องไม่มีทางเป็นเต้ากวานอะไรตลอดทั้งชีวิตแน่นอน ในอนาคตต่างก็ต้องก่อสำนักตั้งพรรค คาดว่าก็คงจะเหมือนตนกับเตี๋ยจ้างที่สองคนร่วมมือกัน เจ้าอ้วนเยี่ยนที่ไม่เต็มใจจะหาเงิน ต่งถ่านดำที่ใช้เงินราวกับน้ำไหล ช่างเหมาะสมกันจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่งฮว่าฝูที่นับแต่เล็กมาก็เป็นเด็กนิสัยประหลาด หากอิงตามคำกล่าวของต่งซานเกิงก็คือตระกูลต่งของข้ามีผู้มีพรสวรรค์ที่ร้ายกาจเพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว เพราะอะไร? อายุน้อยๆ ก็รู้จักจูง (ใช้กับการจูงสัตว์เลี้ยงเดินเล่น) อาเหลียงแล้ว
ต่งฮว่าฝูสนิทสนมกับอาเหลียงมาตั้งแต่เล็กจริงๆ ไม่ทำตัวห่างเหินแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่ออกจากบ้านจะชอบไปหาอาเหลียง วิ่งไปตลอดทาง แล้วก็ถือโอกาสเลือกของไปตลอดทางด้วย สุดท้ายเมื่อย้อนกลับมาที่เดิม เนื่องจากข้างกายมีอาเหลียงที่พกถุงเงินมาเพิ่มคนหนึ่ง เด็กชายก็จะพูดประโยคว่า ‘อาเหลียง ขอเงินหน่อย’ ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ
ทะเลาะหรือต่อยตีกับคนวัยเดียวกันของถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่ หากสู้ได้ก็ยังพอทำเนา แต่หากสู้ไม่ได้ก็จะทิ้งถ้อยคำอาฆาตเอาไว้ ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะไปหาอาเหลียง ให้เขาฟันเจ้าให้ตาย’
เจอกับพวกผู้ใหญ่นิสัยไม่ได้ความที่ชอบเอาเรื่องที่ท่านแม่ของเขาชอบอาเหลียงมาพูดล้อ ก็จะชอบพูดว่า ‘มาอวดเก่งกับข้าทำไม ระวังข้าจะปล่อยอาเหลียงออกมาล่ะ’
ผังหยวนจี้แห่งคฤหาสน์หลบร้อน ดูเหมือนว่าจะไปอยู่ที่ดินแดนพุทธะสุขาวดี
ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็น่าจะมีการแตกกิ่งก้านสาขาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้บ้างแล้ว
สำนักทุกแห่งในใต้หล้าที่มีภูเขาบรรพบุรุษร่วมกัน ศาลบรรพจารย์แรกเริ่มสุดก็คงจะเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้แล้ว
หนทางเบื้องหน้ายังคงมีขุนเขาสายน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่อนาคตต้องมีช่วงเวลาที่ดีรอคอยอยู่แน่นอน
คาดว่านี่ก็คงจะเป็นดั่งคำกล่าวของเฉินผิงอันที่บอกว่า ‘คนคนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนต้องมีความคาดหวังอยู่บ้าง’ กระมัง?
ทุกวันนี้เฉินซานชิวก็มีความคาดหวังอยู่บ้างเช่นกัน นอกจากจะก่อตั้งสำนักในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ในอนาคตยังจะไปพบบรรพบุรุษบ้านตนที่ใต้หล้าห้าสีด้วย
แน่นอนว่ายังมีแม่นางที่เขาปรารถนาแต่ไม่เคยได้มาครอบครองอย่างต่งปู้เต๋อ
เฮ้อชิวเซิงเปิดปากคุยกับเฉินซานชิว “คารวะเซียนกระบี่เฉิน”
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สำนักกระบี่หลงเซี่ยง เฮ้อชิวเซิงก็เคยเจอกับเฉินซานชิวมาก่อน แต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
เฉินซานชิวขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าจำคนผิดแล้วกระมัง ข้าไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อย”
เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
มองเซียนกระบี่ชุดขาวที่สีหน้าไม่สบอารมณ์ ในใจของเด็กหนุ่มก็กระวนกระวายเล็กน้อย
ในฐานะลูกหลานสกุลเฉินแห่งถนนไท่เซี่ยง บรรพบุรุษของบ้านเขาก็คือเฉินซีเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงเมืองเช่นเดียวกับท่านอาจารย์
อีกทั้งอาจารย์ยังเคยเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่า เฉินซานชิวที่อยู่ต่อในใต้หล้าไพศาล อนาคตบนมหามรรคาของเขาจะต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน หากกลายมาเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อก็ไม่แน่ว่าอาจได้ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตตัวหนึ่ง
แต่การที่เฮ้อชิวเซิงอยากจะพูดคุยกับเฉินซานชิวสักสองสามคำ แท้จริงแล้วเด็กหนุ่มมีเหตุผลที่แปลกประหลาดอยู่ เพราะในชื่อของคนทั้งสองต่างก็มีคำว่าชิวนี่นะ
เฉินซานชิวพลันยิ้มเอ่ยว่า “จำไว้ว่า วันหน้าหากอยู่บนหัวกำแพงเมืองอย่าได้เรียกผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งว่าเซียนกระบี่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะถูกคนเอากระสอบป่านมาครอบหัวแล้วรุมซ้อม”
เฮ้อชิวเซิงอึ้งงันพูดไม่ออก
ดวงตาของอู๋ม่านเหยียนเป็นประกายระยิบระยับ เด็กสาวที่ปากเร็วจิตใจซื่อตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเตี๋ยจ้าง พูดเสียงดังว่า “ดีใจมากที่ได้พบกับผู้อาวุโสเตี๋ยจ้างอีกครั้ง!”
เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงในอดีตตอนที่ได้พบกับแม่นางน้อยเป็นครั้งแรกในทักษินาตยทวีป หลังจากเจอกันเตี๋ยจ้างคิดเป็นร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ คำพูดและการกระทำของแม่นางน้อยไม่เพียงแต่นอบน้อมมีมารยาท ในดวงตาที่เฉลียวฉลาดน่าเอ็นดูคู่นั้นก็คล้ายว่าจะเต็มไปด้วยความเลื่อมใสในตัวนางด้วย
เตี๋ยจ้างไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอู๋ม่านเหยียนผู้นี้มานับถือตนทำไม คงไม่ใช่ว่าเป็นเพราะแขนของนางน้อยกว่าคนปกติทั่วไปข้างหนึ่งหรอกกระมัง
อู๋ม่านเหยียนรู้สึกเคารพนับถือเตี๋ยจ้างจากใจจริงๆ เหตุผลก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือเถ้าแก่ร้านเหล้าที่กิจการเจริญรุ่งเรือง
เถ้าแก่ใหญ่
ขนาดอิ่นกวานยังเป็นแค่เถ้าแก่รองเท่านั้น!
อาจารย์ลู่เคยบอกว่าเรื่องอย่างการทำการค้านี้ ปีนั้นอาจารย์เฉินที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ร้ายกาจยิ่งกว่าเป็นอิ่นกวานอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนเสียอีก
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาจารย์เฉินเป็นขุนนางในตำแหน่งที่ไม่อาจสูงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นอกจากยังอยู่ในการควบคุมดูแลของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสในนามแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มีเพียงพี่หญิงเตี๋ยจ้างตรงหน้าผู้นี้เท่านั้นที่สามารถทำให้อาจารย์เฉินมาเป็นผู้ช่วยนางได้
ห่างไปไม่ไกล ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนจากสำนักใบถงจับมือกันพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมือง หิมะใหญ่ก่อนหน้านี้ไปมาอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นก็เป็นแสงกระบี่ห้าเส้นที่ทิ้งเส้นยาวไว้กลางอากาศ ล้วนทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในวันนี้จะต้องเกิดเรื่องราวมหัศจรรย์ที่ผิดแผกไปจากสามัญอย่างแน่นอน
อวี๋ซินมีสถานะพิเศษ หลี่หวานย่งสะพายกระบี่โบราณ ‘ชือจ้วน’ คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอดีตเจ้าสำนักคนก่อน
ตู้เยี่ยน เนื่องจากเป็นลูกหลานสกุลตู้ ดังนั้นในบรรดาคนทั้งห้านี้เขาจึงเป็นคนที่ตกทุกข์ได้ยากที่สุด ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบกว่าปีก็ต้องเจอกับหายนะใหญ่หลวงอันหนักหนาสาหัส ทั้งเรื่องในตระกูล เรื่องในสำนักและเรื่องของทวีป ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้รู้สึกว่าได้กล้ำกลืนความอยุติธรรมของทั้งชีวิตมาจนเต็มอิ่มแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแห่งเป็นความระทมทุกข์ที่มีอยู่เต็มท้อง ส่วนฉินสุ้ยหู่ นับแต่เด็กมาก็มีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรม ใช้ถ้อยคำได้อย่างไพเราะสละสลวย ชื่อเสียงเลื่องลืออยู่บนภูเขา ล่างภูเขาก็มีชื่อเสียงมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญในการแต่งกาพย์กลอนยาว บรรยายเหตุการณ์ก่อนแล้วตามด้วยการแสดงความคิดเห็น เป็นลำดับขั้นตอน ห่างชิดเหมาะสม ไม่รีบไม่ช้า ปีนั้นจั่วโย่วเคยไป ‘เป็นแขก’ อยู่ที่สำนักใบถงช่วงหนึ่ง ขนาดเขาก็ยังพูดเองกับปากว่า ไม่คิดว่าจะมีเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่เข้าท่าเข้าทีอยู่ด้วย
หวังซือจื่อสีหน้านอบน้อมระมัดระวัง เขากุมหมัดเปิดปากถามเว่ยจิ้นก่อนว่า “ขอถามเซียนกระบี่เว่ย ภาพปรากฎการณ์ผิดปกตินี้มาจากไหนหรือ?”
หวังซือจื่อคือผู้ฝึกกระบี่เพียงหนึ่งเดียวในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ทั้งห้าของสำนักใบถงที่เคยมาฝึกประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หวังซือจื่อไม่กล้าพูดถึงบ้านเกิดของตัวเองเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ประสบพบเจอมาหรือนิสัยใจคอของเขา ก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับอวี๋เยว่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ทุกวันนี้ได้เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วแล้ว
แจกันสมบัติทวีป เนื่องจากมีอิ่นกวานหนุ่มและเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ไม่เพียงแต่ไม่ถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่ดูแคลน กลับกลายเป็นว่ายังมองพวกเขาสูงกว่าปกติ
ธวัลทวีปจะดีจะชั่วก็มีเซียนกระบี่สองคนที่กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ หลังจากนั้นก็มีเซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงที่สร้างคุณูปการทางการสู้รบ มีเพียงใบถงทวีปที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วเรียกได้ว่าไม่เคยสร้างคุณความชอบสักเสี้ยวอย่างแท้จริง
เว่ยจิ้นอธิบาย “เฉินผิงอัน หนิงเหยา ฉีถิงจี้ ลู่จือ ลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ห้าคนพร้อมใจกันเดินทางไปเยือนเปลี่ยวร้างเพื่อช่วยเหลืออาเหลียงและจั่วโย่วที่อยู่บนสนามรบของพื้นที่ใจกลางเรียบร้อยแล้ว”
หวังซือจื่อปากอ้าตาค้าง
หนิงเหยา ฉีถิงจี้คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน
ลู่จือคือหนึ่งในสิบเซียนกระบี่ใหญ่บนยอดเขาของหัวกำแพงเมือง แม้ว่าจะยังเป็นแค่ขอบเขตเซียนเหริน แต่พลังในการสู้รบนั้นสามารถเทียบเคียงกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานได้เลย
ประเด็นสำคัญคือมีลู่เฉินโผล่มาได้อย่างไร?
นอกจากนี้อาเหลียงกับจั่วโย่วจับมือกันไปออกกระบี่ยังพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อย่างไร?
และขบวนที่มีอิ่นกวานเป็นผู้นำ ตลอดทางที่ลงใต้ไปนี้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างใครจะกล้าโผล่หน้ามา ใครจะกล้าขัดขวาง? ผู้ฝึกกระบี่ห้าคน มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่อีกคนหนึ่ง ฆ่าใครก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
หัวสมองของหวังซือจื่อเหมือนมีแต่แป้งเปียก แต่ก็ไม่กล้าถามเว่ยจิ้นไปมากกว่านี้แล้ว
อวี๋ซินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงในใจสอบถาม “เซียนกระบี่เว่ย อาจารย์จั่วยังสบายดีกระมัง?”
เพราะเป็นห่วงใจจึงวุ่นวาย
เว่ยจิ้นกล่าว “หากสถานการณ์ใหญ่ของสนามรบถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอันก็คงไม่ไปเยือนหรอก”
อวี๋ซินถอนหายใจโล่งอก
หลี่หวานย่งมองเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าผู้นี้ด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เซียนกระบี่ใหญ่ที่ฝีมือการสู้รบเลิศล้ำคนหนึ่ง ไฉนถึงไม่เดินทางไปพร้อมกับพวกเขาด้วยเล่า
หากจะบอกว่าเว่ยจิ้นรักตัวกลัวตาย ก็เป็นเรื่องตลกเสียแล้ว เขาเคยถามกระบี่ต่อเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปสองครั้งตอนที่เป็นขอบเขตหยกดิบและขอบเขตเซียนเหริน ดังนั้นนี่ถึงได้เป็นเรื่องแปลก
เว่ยจิ้นมีสีหน้าเป็นมิตรกับหวังซือจื่อก็เพราะหวังซือจื่อเป็นผู้ฝึกตนอิสระ แต่กลับยินดีมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากนี้หวังซือจื่อเองก็เคยฝึกกระบี่อยู่ข้างกายอาจารย์จั่วเช่นเดียวกัน ส่วนเจ้าคนผู้นี้เขาไม่รู้จัก แล้วอีกฝ่ายยังคอยใช้สายตามองประเมินเขม้นมองตนอยู่ตลอดเวลา เว่ยจิ้นจึงเอ่ยเตือนว่า “ผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่น ควบคุมดวงตาของตัวเองให้ดี”
ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าแบ่งออกเป็นแค่สองประเภทเท่านั้น คนที่เคยออกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน กับคนที่ไม่เคยมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉาจวิ้นหัวเราะร่า “ก่อนหน้านี้ก็มีผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลสองกลุ่มที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ถูกเจ้าขุนเขาของพวกเรา อ้อ หรือก็คือใต้เท้าอิ่นกวานจัดการเสียจนหมอบราบคาบแก้ว มีบทเรียนมาก่อนแล้ว คนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าก็ต้องเอามาเป็นข้อเตือนใจตนให้ดี อีกอย่างเจ้าขุนเขาของพวกเราก็ค่อนข้างจดจำความแค้นได้ดี ภูเขาตะวันเที่ยงมีจุดจบอย่างไร พวกเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนกระบี่หลี่ ได้ยินมาว่าเคยมีความขัดแย้งเล็กน้อยกับศิษย์พี่จั่วของอิ่นกวานด้วยใช่ไหม?”
หลี่หวานย่งมองเฉาจวิ้นแวบหนึ่ง ส่วนเฉาจวิ้นก็มองหลี่หวานย่ง
อันที่จริงคนทั้งคู่สามารถถือว่าเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ที่ควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันได้ แต่พวกเขาสองคนกลับกลายเป็นว่ายิ่งขวางหูขวางตาอีกฝ่าย
ทางฝั่งของรื่อจุ้ย คนที่เฝ้าพิทักษ์มีซูจื่อ หลิ่วชี และยังมีซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี เหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยก
หลายปีมานี้สำนักใบถงคลื่นลูกหนึ่งหายไปคลื่นอีกลูกก็ผุดขึ้นมา หลังจากที่สงครามปิดฉากลง การที่พวกเขาซึ่งโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่สามารถหยัดยืนได้โดยไม่ล้มลง ต้องยกคุณความชอบให้กับกองกำลังสองฝ่าย หนึ่งคือราชวงศ์ต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางเหนือ อีกหนึ่งก็คือสำนักกุยหยกที่เป็นสำนักท้องถิ่นของในทวีป เหวยอิ๋งเจ้าสำนักคนใหม่ไม่ได้ซ้ำเติมพวกเขา ฉวยโอกาสแทรกซึม รื้อถอน ฮุบกลืนสำนักใบถง กลับกลายเป็นว่าตอนที่มีการประชุมในศาลบุ๋นยังช่วยเอ่ยประโยคดีๆ ที่มีน้ำหนักให้สำนักใบถงอยู่หลายคำ
ต้องรับน้ำใจในส่วนนี้
ดังนั้นจุดหมายสุดท้ายในการเดินทางมาเยือนครั้งนี้ของผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของสำนักใบถง จึงไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ แต่เป็นการไปเยือนกุยซวีรื่อจุ้ยเพื่อเยี่ยมเยียนซ่งจ่างจิ้งและเหวยอิ๋ง
ส่วนฉินสุ้ยหู่และตู้เยี่ยน ต่างก็เป็นผู้คลั่งไคล้ติดตามซูจื่อและหลิ่วชี เป็นประเภทที่ว่าแค่ได้พบหน้าหรือได้พูดคุยด้วยประโยคสองประโยคก็ดีใจไปได้นานอีกหลายปีแล้ว
ทุกวันนี้ตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักใบถง และยังมีตำแหน่งบรรพจารย์ผู้คุมกฎต่างก็ยังว่างอยู่ชั่วคราว
หลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มนี้ปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนที่หนึ่ง คนที่สองในการเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ใครจะมารับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักและผู้คุมกฎเพื่อช่วยประคับประคองหน้าตาของสำนัก
รอกระทั่งสำนักใบถงค่อยๆ ฟื้นฟูพลังชีวิตกลับมาได้ก็ค่อยเปลี่ยนคนใหม่ และในความเป็นจริงแล้วศาลบรรพจารย์ของสำนักใบถงในทุกวันนี้ก็มีแต่คนหนุ่มสาวไม่กี่คนอย่างพวกเขาแล้ว
ต่อจากนั้นอวี๋ซินก็ไปคุยเล่นกับถัวเหยียนฮูหยิน ดูเหมือนว่านางจะถูกชะตากับอู๋ม่านเหยียนด้วย
หวังซือจื่ออยู่ข้างกายเว่ยจิ้น ขอความรู้ด้านเวทกระบี่จากเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะผู้นี้อย่างถ่อมตน
ฉินสุ้ยหู่ขี่กระบี่ไปขอความรู้จากอาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อโซ่ว
ตู้เยี่ยนไปหาเส้าอวิ๋นเหยียน เพราะในอดีตตระกูลเคยมีความสัมพันธ์ควันธูปกับเรือนชุนฟานอยู่บ้างเล็กน้อย ล้วนเป็นการคบค้ากันในด้านการทำกิจการที่อ้อมค้อมหลายตลบ ได้ยินมาว่าทุกวันนี้เซียนกระบี่เส้าไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงเท่านั้น ยังเปลี่ยนจากสถานะเค่อชิงของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงในช่วงแรกสุดได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้ดูแลเงินทองด้วย ภายในเวลาร้อยปี เส้าอวิ๋นเหยียนจะเป็นผู้ดูแลกิจธุระทั้งหมดในคลังการเงินของสำนัก แล้วยังช่วยสำนักรับรองดูแลผู้คน ทำสัญญากับฉีถิงจี้ไว้ร้อยปี เส้าอวิ๋นเหยียนแค่ทำหน้าที่เป็นคนดูแลเงินให้ชั่วคราวเท่านั้น รอให้สำนักกระบี่หลงเซี่ยงหาคนที่เหมาะสมได้เจอ เส้าอวิ๋นเหยียนก็จะปลดระวางจากตำแหน่งนี้
อันที่จริงใบถงทวีปก็มีเพื่อนบ้านอยู่แค่สองแห่ง แจกันสมบัติทวีปและทักษินาตยทวีป
เว่ยจิ้นเหลือบมองสตรีที่เป็นผู้ฝึกกระบี่นามว่าอวี๋ซิน เกิดมาพร้อมกับหัวใจอันละเอียดอ่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักใบถงก็มีหวังที่จะกลับมาลุกผงาดอีกครั้งแล้ว เพียงแต่ว่าต้องอดทน
เว่ยจิ้นวางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไกลไปยังทิศใต้
ไม่รู้ว่าอาเหลียงกับจั่วโย่ว และกลุ่มของเฉินผิงอัน จะสามารถกลับคืนมาอย่างปลอดภัยได้หรือไม่
……
หน้าประตูภูเขาลั่วพั่ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าเตรียมจะจากไป ชุยตงซานก็พลันใช้เสียงในใจถามว่า “คำนวณออกมาได้คร่าวๆ แล้วหรือไม่?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “คำนวณขั้นตอนคร่าวๆ นั้นไม่ยาก เพียงแต่ผลลัพธ์ยากจะคาดเดา”
สีหน้าของชุยตงซานเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “คร่าวๆ อย่างไร?”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่นสองคนเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่พร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่นใครบางคนใช้กระบี่เปิดภูเขาทัวเยว่”