กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 856.1 มองลงต่ำ
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แสงกระบี่สี่เส้นดุจสายรุ้งที่กรีดผ่าอากาศลากเป็นเส้นยาว จุดที่แสงกระบี่พุ่งไปถึง ทะเลเมฆแต่ละแถบล้วนแหลกสลายสิ้น
เฉินผิงอันสวมกวานดอกบัวอยู่บนศีรษะ บนร่างสวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว สะพายกระบี่เย่โหยว
หนิงเหยาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ สะพายกล่องกระบี่
ฉีถิงจี้กับลู่จือขี่กระบี่เดินทางไกล
ลู่เฉินเอาดวงจิตรวบเป็นเรือนกายขนาดเท่าเมล็ดงา ใช้กลีบดอกบัวกลีบหนึ่งของกวานดอกบัวเป็นลานประกอบพิธีกรรม นั่งนิ่งอยู่ด้านใน ดูเหมือนจะรู้สึกว่าการเร่งเดินทางค่อนข้างน่าเบื่อจึงกระโดดผลุงลุกขึ้นมาต่อยหมัดมวยไปหนึ่งชุด
ฉีถิงจี้ใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ดูเหมือนว่าอิ่นกวานจะคอยดูแลเรื่องความเร็วในการขี่กระบี่ของพวกเราด้วย ไม่อย่างนั้นคงเร็วกว่านี้ได้”
เฉินผิงอันในเวลานี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นลมปราณที่ล่องลอยอยู่ในฟ้าดิน คล้ายกับเรือลำหนึ่งที่ไหลตามกระแสน้ำของแม่น้ำแห่งกาลเวลาไปเรื่อยๆ หันกลับมามองผู้ฝึกกระบี่อีกสามคนที่เหลือ กลับเหมือนคนที่ต้องลุยน้ำเดินทาง
ลู่จือรู้สึกใจลอยเล็กน้อย นางเบ้ปาก เพราะกำลังยุ่งอยู่กบการประเมินกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในกล่องกระบี่ใบนั้น แต่ละเล่มล้วนมีตัวอักษรสลักเอาไว้ กล่องกระบี่ใบเล็กๆ นี้ คาดว่าคงเป็นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งของป๋ายอวี้จิง มีวิชาอภินิหารเมล็ดงารองรับเขาพระสุเมรอยู่ เป็นเหตุให้กระบี่ยาวแปดเล่มด้านในเล็กจิ๋วเหมือนกระบี่บิน ชื่อของพวกมันแบ่งออกเป็นชิวสุ่ย โหยวฝู เค่ออี้ จ๋าวเชี่ยว หนันหมิง โหยวเริ่น เถียวเจี่ย ซานมู่ กระบี่โบราณแปดเล่ม ปราณกระบี่เปี่ยมล้น ล้วนซุกซ่อนปณิธานที่แท้จริงแห่งมหามรรคาเอาไว้ส่วนหนึ่ง มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงหยิบของสิ่งนี้ออกมาตอนอยู่บนหัวกำแพงเมืองถึงได้ทำสีหน้าเสียดายอย่างสุดแสน คาดว่าคงจะเป็นสมบัติสืบทอดของสายเต๋าลู่เฉินกระมัง?
ลู่เฉินร่ายกระบวนท่าเดินนิ่งอันฉูดฉาด ร้องฮื่อๆ ฮ่าๆ ไม่ต่างจากพวกนักต่อสู้ในยุทธภพ พลางถามอย่างใคร่รู้ไปด้วย “อาจารย์ลู่ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่ได้จัดการหาทางถอยไว้ให้เจ้าเลยหรือ?”
ตามหลักแล้วด้วยนิสัยที่ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใครที่สุดของเฉินชิงตู จะต้องให้การดูแลผู้ฝึกกระบี่หญิงต่างถิ่นที่ผลงานทางการสู้รบเกริกก้องอย่างลู่จือเป็นพิเศษแน่นอน
ลู่จือเห็นแก่กล่องกระบี่จึงตอบลู่เฉินไปตามสัตย์จริง “เขาเคยมาหาข้าจริง อยากให้ข้าไปหลอมกระบี่อยู่ที่นครเสินเซียว แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง”
ไม่อย่างนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็คงบอกกล่าวกับศาลบุ๋นไว้ก่อนว่า รอให้ศึกที่ทักษินาตยทวีปสิ้นสุดลง ลู่จือก็จะสามารถออกเดินทางไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวได้แล้ว
อันที่จริงเฉินชิงตูได้เอ่ยเกลี้ยกล่อมลู่จือไปสองรอบ ครั้งหนึ่งคือบอกนางว่าอย่าดื้อดึง อย่าหมกมุ่นอยู่กับการหลอม ‘เป่ยโต้ว’ กระบี่บินเล่มที่สองมากเกินไป ให้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก่อนค่อยว่ากัน
ครั้งที่สองก็คือหวังว่าลู่จือจะออกเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว อย่างเช่นว่าคว้าสถานะเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของป๋ายอวี้จิงมา ตั้งใจหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอยู่ที่นั่นไปก่อน ทั้งฝ่าทะลุขอบเขตทั้งหลอมกระบี่ล้วนไม่ถ่วงรั้งทั้งสองทาง รอให้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว หากรู้สึกว่าฝึกตนอยู่ที่ป๋ายอวี้จิงน่าเบื่อ มีกฎเกณฑ์มากเกินไปก็ไปช่วยซุนไหวจงที่อารามเสวียนตูใหญ่ หาสถานะเต้ากวานมาเป็นง่ายๆ สักสถานะหนึ่ง
ลู่เฉินกล่าว “อาจารย์ลู่ไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตเสียที เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง คำแนะนำของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสดีมาก ไปถึงป๋ายอวี้จิง ข้า และยังมีศิษย์พี่อวี๋จะต้องไม่มีทางพันธนาการอาจารย์ลู่แน่นอน ไยถึงไม่ตอบตกลงเล่า?”
ลู่จือให้คำตอบที่สมกับเป็นลู่จืออย่างมาก “ขี้เกียจเดินทางไกลขนาดนั้น”
หนึ่งเพราะไม่ยินดีให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสต้องไปคบค้าสมาคมกับศาลบุ๋นเพราะตนเอง นอกจากนี้ใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้นนางก็ไม่คุ้นเคยทั้งผู้คนทั้งสถานที่ จึงไม่มีหน้าจะไปยืมเงินจากคนอื่น
ลู่จืออยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือผียากจนที่ไม่เคยมีเงินเหลือติดมือ เงินเดือนของเซียนกระบี่ใหญ่ รวมไปถึงค่าตอบแทนทั้งหมดที่ได้จากการสังหารปีศาจบนสนามรบล้วนเอามาเติมเต็มหลุมไร้ก้นในการหลอม ‘เป่ยโต้ว’ เล่มนั้นจนหมด
ลู่เฉินได้ยินคำพูดประโยคนี้ของนางก็ไม่เพียงแต่ไม่แปลกใจ กลับกันยังรู้สึกว่าสมเหตุผลสมผล ทั้งยังมองลู่จือสูงกว่าเดิม เขาอดมองประเมินนางอีกหลายทีไม่ได้ ตัดสินใจแล้วว่าจะลองดูสิว่าในอนาคตจะมีโอกาสขุดมุมกำแพงบ้านคนอื่น (เปรียบเปรยถึงการแย่งชิงตัวบุคคลของฝ่ายตรงข้ามไป) หรือไม่
ในเรื่องของการขัดเกลา ‘เป่ยโต้ว’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สอง ลู่จือต้องสิ้นเปลืองทั้งแรงกายและแรงใจมากมายอย่างแท้จริง แม้ว่านางจะเป็นคนของไพศาล แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่มีความผูกพันใดๆ กับใต้หล้าบ้านเกิด ไม่เคยพูดถึง เป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คิดมาโดยตลอดว่าลู่จือก็คือผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่เคยเผยกายบนโลกในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของลู่จือเล่มนั้น หนันโต้วควบคุมเป็น เป่ยโต้วกำหนดตาย ทั้งยังได้ครอบครองวาสนาตามธรรมชาติของใต้หล้ามืดสลัวอีกส่วนหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็มีคำกล่าวที่ว่าเหล่าเจินเหรินแห่งอวี้จิงรวบรวมเป่ยโต้ว (เป่ยโต้วคือชื่อดาวกระบวยเหนือหรือกลุ่มดาวจระเข้)
ผู้ฝึกกระบี่สิบหกคนที่ปีนั้นติดตามภูเขาห้อยหัวเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว มีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าเฉิงเฉวียนเป็นผู้นำ หากลู่จือยินดีพยักหน้าตอบตกลงก็สามารถช่วยให้การดูแลตัวอ่อนเซียนกระบี่อีกสิบห้าคนที่เหลือไปพร้อมกันด้วยได้
เพียงแต่ว่าลู่จือไม่ตกลง เฉินชิงตูจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด
สตรีผู้หนึ่งที่ไม่เสียดายชีวิตเพียงเพื่อแลกมาด้วยการได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง หากจะให้คอยบอกกับนางว่าทำแบบไหนทำอย่างไรอนาคตบนมหามรรคาถึงจะยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์สักเท่าไร
ขนาดลู่เฉินก็ยังได้ยินข่าวลือเล็กๆ บอกว่าศิษย์พี่อวี๋โต้วเคยให้ลูกศิษย์ใหญ่ของภูเขาห้อยหัวคนนั้นนำความไปบอกแก่ลู่จือ เชื้อเชิญให้นางมาที่ป๋ายอวี้จิงเพื่อรับหน้าที่เป็นเจ้าของหอเรือนแห่งหนึ่ง น่าเสียดายที่ต้องกินน้ำแกงประตูปิดจากลู่จือ นักพรตหญิงคนเฝ้าประตูของเรือนซือเตาคนนั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พบหน้าลู่จือสักครั้ง
เฉินผิงอันพลันเปิดปากเอ่ยว่า “ลู่จือ อันที่จริงเจ้าสามารถแขวนชื่ออยู่ในนครหนันหัวของเจ้าลัทธิลู่ เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อได้นะ วันหน้าก็เท่ากับว่าเป็นคนกันเองครึ่งตัวแล้ว ก็เหมือนกับญาติห่างๆ ที่ไม่ได้แวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ”
ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง เจ้าลัทธิทั้งสามท่านต่างก็มีนครกันคนละหนึ่งแห่ง นอกจากนี้อีกสองนครสิบสองหอเรือน บ้างก็อยู่ในสังกัดของเจ้าลัทธิสามสาย บ้างก็เป็นสายเต๋าที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยตัวเอง เช่นนครชิงชุ่ยที่เป็นสถานที่ฝึกตนของเจ้าลัทธิใหญ่ และนครหนันหัวก็ยิ่งเป็นเขตอิทธิพลของลู่เฉิน
ฉีถิงจี้เอ่ยคล้อยตาม “ข้าไม่คัดค้าน”
ในเมื่อถือเป็นคนกันเองครึ่งตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นลู่จือก็ไม่มีความจำเป็นต้องคืนกล่องกระบี่ใบนั้นกลับไปกระมัง
หนิงเหยาพยักหน้า “เป็นเรื่องดี”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเด็ดขาดหนักแน่น “อาจารย์ลู่ยินดีลดเกียรติไปเป็นเค่อชิงของนครหนันหัว ผินเต้ายินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าพี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน มียืมมีคืน ยืมอีกไม่ยาก”
ลู่จือกล่าว “ไม่มีความสนใจอยากจะเป็นเค่อชิงอะไร”
จับมือกันเดินทางไกลครั้งนี้ได้ผ่านราชวงศ์ สำนักและกองกำลังตระกูลเซียนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาร้อยกว่าแห่งแล้ว แต่การแสดงออกของเฉินผิงอันมีแค่สองคำเท่านั้น ยั้งใจ ส่วนใหญ่เพียงแค่ก้มหน้าลงมองไม่กี่ทีก็พาพวกหนิงเหยาทะยานผ่าน ไม่มีการหยุดชะงักใดๆ จิตแห่งมรรคาดวงหนึ่งดุจบ่อน้ำโบราณที่สงบไร้คลื่นลม
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หน้าที่สามนับมาจากท้ายเล่มของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ได้บันทึกถึงยันต์สามภูเขาเอาไว้ แต่ดูจากบันทึกในตำรา ยันต์ประเภทนี้นอกจากจะใช้ได้ไม่กี่ครั้งแล้วก็ดูเหมือนว่ายังมีขีดจำกัดที่เป็นกุญแจสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เจ้าลัทธิลู่มีวิธีแก้ไขหรือไม่?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “คิดจะแก้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ต้องใช้เงินเล็กน้อย แน่นอนว่ายังต้องใช้เวทลับบทหนึ่งของป๋ายอวี้จิงเป็นตัวนำส่ง ปีนั้นศิษย์พี่ถ่ายทอดมรรคาให้แก่เต้ากวานของแต่ละสายในใต้หล้าที่นครอวี้หวง อาจารย์ซานซานจิ่วโหวได้แอบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน ฟังไปสามวันสองคืน แต่ศิษย์พี่กลับสังเกตเห็นเขา จึงขอความรู้ด้านวิชายันต์ส่วนหนึ่งมาจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ตอนนั้นผินเต้าก็ชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง ภายหลังศิษย์พี่สร้างยันต์สามภูเขาขึ้นมาเป็นครั้งแรก ขั้นตอนการวาดยันต์แผ่นแรกนั้น ผินเต้าโชคดีเคยได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อน”
ยันต์ประเภทนี้ใช้ศาสตร์การจินตนาการมาสร้างท่าเรือสามแห่งที่คล้ายกับภาพมายาในภูเขาขึ้นมา ราวกับว่าบุกเบิกประตูสามบานไว้ในฟ้าดิน ตำแหน่งตั้งอยู่ริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลายเป็นสภาพการณ์ที่สายน้ำขุนเขาแอบอิงกัน
แต่จากคำอธิบายที่ระบุไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริง’ ภูเขาสามลูกที่นึกขึ้นมา ตัวของผู้ฝึกตนเองต้องเคยเดินทางผ่านด้วยตัวเองมาก่อนแล้ว
ไม่อย่างนั้นยันต์สามภูเขานี้ก็จะไร้เหตุผลเกินไป จะเป็นยันต์คุ้มกันชีวิตที่ไม่ว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนใดก็ล้วนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แน่นอนว่าสามารถนำมาใช้ฆ่าคนชิงทรัพย์ได้ด้วย
เฉินผิงอันอธิบายประโยชน์ของยันต์สามภูเขาให้ลู่จือและฉีถิงจี้ฟังคร่าวๆ ยันต์นี้นอกจากจะเหมาะสมกับการเร่งเดินทางไกลแล้ว ความมหัศจรรย์ที่มากกว่านั้นยังอยู่ที่สามารถบำรุงจิตวิญญาณให้อบอุ่นได้อีกด้วย
ถือยันต์นี้ออกเดินทางไกล ข้อเรียกร้องเพียงหนึ่งเดียวก็คือเรือนกายของผู้ฝึกลมปราณหรือไม่ก็ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจำเป็นต้องแบกรับแรงซัดกระแทกจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้ไหว
สามครั้งดีที่สุด หากใช้ยันต์นี้มากเกินจำเป็นก็จะชักนำการสยบกำราบที่มองไม่เห็นจากโชคชะตาภูเขาของใต้หล้ามา ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อออกนอกบ้าน ทางที่ดีที่สุดก็ต้องเดินอ้อมภูเขาไป ไม่อย่างนั้นหากขยับเข้าใกล้ขุนเขา อยู่ดีไม่ว่าดีก็จะเกิดหายนะน้อยใหญ่แบบที่ไม่คาดคิด สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว นี่ย่อมเป็นการกระทำที่ได้ไม่คุ้มเสีย โลกมนุษย์หากไม่ใช่ภูเขาก็เป็นสายน้ำ แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาบ้านตนก็ไม่ใช่ภูเขาหรอกหรือ?
ลู่จือกล่าวอย่างตกตะลึง “ใต้หล้ายังมีเรื่องดีแบบนี้ด้วยหรือ?”
เรื่องของการบำรุงจิตวิญญาณให้อบอุ่นของผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งขอบเขตสูงก็ยิ่งยากที่จะได้ผลทันตาเห็น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “น่าเสียดายที่วันนี้พวกเจ้าต้องใช้โอกาสหมดสามครั้งในรวดเดียวแล้ว”
ลู่เฉินถาม “จินตนาการภาพของภูเขาเก้าลูก มีเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตอนอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อนและอยู่ที่การประชุมของศาลบุ๋นในภายหลัง ได้เห็นภูเขาของเปลี่ยวร้างมาไม่น้อย”
ขณะที่กำลังเดินทางผ่านกองกำลังอักษรจงอีกแห่งหนึ่งบนพื้นดิน คนในสำนักแห่งนั้นรีบร้อนเปิดค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำหลายชั้น ตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ต่อให้แสงกระบี่ทั้งสี่เส้นแค่เปล่งวูบเดียวแล้วขยับห่างไปไกลเป็นพันลี้เพียงชั่วพริบตา เป็นนานค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของสำนักแห่งนั้นก็ยังไม่กล้าสลายตัวออก
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าลัทธิลู่แค่ต้องมอบยันต์สามภูเขาให้สองส่วนเท่านั้น”
สามภูเขาสุดท้ายยังคงต้องเลือกอย่างระมัดระวัง ระวังแล้วระวังอีก
อันที่จริงนับตั้งแต่นาทีที่เดินออกมาจากร้านยาตระกูลหยาง เฉินผิงอันก็เริ่มวางแผนเรื่องนี้ไว้แล้ว น่าเสียดายที่มรรคาจารย์เต๋าเดินไปถึงแค่ปากตรอกหนีผิงก็หยุดเดินแล้ว
นาทีนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะคิดถึงภูเขาแปดลูกเว้นจากภูเขาทัวเยว่ได้ หากจะบอกว่าคิดปิดบังความลับสวรรค์ ยังจะมีอะไรดีไปกว่ายามที่อยู่ข้างกายมรรคาจารย์เต๋าอีกเล่า?
การกระทำนี้ของมรรคาจารย์เต๋าย่อมมีความหมายลึกล้ำยิ่งใหญ่ มีความเป็นได้อย่างยิ่งว่ายันต์สามภูเขาส่วนสุดท้ายที่เฉินผิงอันคิดไว้ในใจมีช่องโหว่ในเรื่องเส้นทาง
ลู่เฉินโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก หากให้ยันต์สามภูเขาแก่ทุกคนคนละสามส่วน ก็เป็นภูเขาเก้าลูก
ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่สี่คน รวมแล้วก็ต้องใช้กระดาษยันต์ที่ล้ำค่าถึงสามสิบหกแผ่น
เจ้านครที่ยากจนที่สุดของป๋ายอวี้จิงอย่างเขานี้ ทุบหม้อขายเหล็กแล้วก็ยังรวบรวมเอายันต์เขียวอัญเชิญเทพมากมายหลายแผ่นขนาดนั้นออกมาไม่ได้
หนิงเหยาเอ่ย “ยันต์ส่วนของข้า กระดาษยันต์ใช้เป็นกระดาษอะไรที่แค่พอถูไถก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นยันต์เขียวอัญเชิญเทพ”
ลู่เฉินกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “แบบนี้จะได้อย่างไร เรื่องอย่างการเลือกที่รักมักที่ชังนี้ทำร้ายภาพลักษณ์ของคนได้ดีที่สุด ผินเต้าจะต้องตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนสักครั้ง ต่อให้ยันต์เขียวจะไม่พอก็ต้องฉีกตำราออกมา!”
เห็นแก่ที่ลู่เฉินต้องสิ้นเปลืองเงินทองไม่น้อยจริงๆ เฉินผิงอันจึงไม่ได้แฉความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าลัทธิสามท่านนี้ออกมา หนิงเหยาใช้ยันต์นี้ก็เท่ากับว่าได้ผูกบุญสัมพันธ์ไม่เล็กไม่ใหญ่กับนครหนันหัวครั้งหนึ่ง ความสัมพันธ์ควันธูปที่มีกับบุคคลอันดับหนึ่งของฟ้าดินประเภทนี้ ต่อให้ยันต์เขียวจะล้ำค่ามากแค่ไหนก็ยังเป็นการค้าที่คุ้มค่า ตอนอยู่บนเรือข้ามฟาก อู๋ซวงเจี้ยงก็ได้มอบยันต์เขียวให้หลายแผ่น อยู่ในสองใต้หล้าอย่างไพศาลและมืดสลัว หากมีนักพรตสามสายของป๋ายอวี้จิงเลื่อนเป็นเทียนจวินได้สำเร็จก็จะต้องเผายันต์นี้เพื่อเชื้อเชิญบรรพจารย์เจ้าลัทธิของป๋ายอวี้จิงที่ตัวเองเคารพบูชามา
ลู่จือกลับเอ่ยว่า “ส่วนของข้าอย่าเอาแค่ถูไถ แบบไหนมีค่าก็เอามาแบบนั้น”
นางไม่มีความสนใจจะเป็นเค่อชิง แต่เรื่องของการใช้จ่ายเงินทองกลับเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ฉีถิงจี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ากับลู่อันดับหนึ่งใช้ยันต์เหมือนกันก็ได้แล้ว”
สุดท้ายลู่เฉินก็ต้องควักเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีบนร่างออกมาจริงๆ ถึงจะคลำเจอยันต์เขียวยี่สิบกว่าแผ่น นอกจากนี้ยังควักคัมภีร์หวงถิงเล่มหนึ่งที่มีไอสองสีม่วงเหลืองล้อมวนออกมาด้วย สุดท้ายลู่เฉินที่อยู่ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัวก็ลุกขึ้นยืนทำมุทรา ท่องคาถาไปรอบหนึ่งถึงได้ฉีกกระดาษยันต์จากคัมภีร์เล่มนั้นออกมาอีกหลายหน้า แต่คนที่ต้องลงมือวาดยันต์จริงๆ กลับต้องเป็นเฉินผิงอันที่ยืมมรรคกถาทั้งร่างของเขาไป ลู่เฉินในตอนนี้หลงเหลือแค่ความคิดอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว
ลู่เฉินถามหยั่งเชิง “เพราะพวกเราต่างก็ไม่เคยไปเยือนภูเขาทั้งหกลูกมาก่อน ดังนั้นข้าจึงต้องแบ่งดวงจิตเสี้ยวหนึ่งออกมาแล้วเข้าไปในทะเลสาบหัวใจของทุกท่านชั่วขณะหนึ่ง เพื่อร่ายมรรคกถาลับที่สืบทอดมาของป๋ายอวี้จิง ช่วยเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง ใช้ของปลอมมาสวมรอยของจริง…”
ลู่เฉินหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็ยิ้มถามว่า “ทุกท่านเชื่อใจผินเต้าไหม? แน่นอนว่าพวกเจ้าสามารถใช้จิตแห่งกระบี่แบ่งพื้นที่หนึ่งออกมาเป็นสถานที่รับรองแขกก่อนได้ อีกอย่างคนที่เป็นแขกอย่างแท้จริงยังคงเป็นเฉินผิงอัน ผินเต้าเป็นแค่ผู้ติดสอยห้อยตามเท่านั้น”
ผลคือหนิงเหยาสามคนต่างก็หันไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เรื่องนี้จึงถือว่าตกลงทำตามนี้
แสดงท่าทีว่าคนทั้งสามไม่เชื่อใจลู่เฉิน แค่เชื่อในการตัดสินใจของเฉินผิงอันเท่านั้น
จิตใจที่สื่อเชื่อมโยงถึงกัน
เฉินผิงอันพลันได้ครอบครองคาถาเซียนป๋ายอวี้จิงบทนั้น ขณะเดียวกันก็แบ่งดวงจิตไปเยือนทะเลสาบหัวใจของพวกหนิงเหยาสามคน ช่วยสร้างเค้าโครงภาพมายากลางภูเขาในจินตนาการขึ้นมาหกแห่ง
ในทะเลสาบหัวใจของคนทั้งสามต่างก็มีปราณกระบี่ฉวัดเฉวียน เหลือพื้นที่ไว้ให้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สกัดกั้นทัศนียภาพอย่างอื่นไว้อย่างแน่นหนา ลู่เฉินรักษากฎเกณฑ์ดียิ่ง ทว่าเพียงแค่มองปราดเดียวก็ยังต้องเดาะลิ้นจุ๊ปาก โดยเฉพาะหนิงเหยาผู้นั้นที่หากอนุมานอีกเล็กน้อยก็จะรู้ได้ว่าฟ้าดินจิตธรรมของนางก็คือใต้หล้าห้าสีทั้งแห่ง
ถอยออกมาจากทะเลสาบหัวใจของคนทั้งสามแล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยเตือนว่า “ในภาพมายาภูเขาแต่ละแห่งหยุดอยู่นานสุดได้แค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น เรื่องนี้ต้องระมัดระวังให้ดี ห้ามประมาทเด็ดขาด”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องของการจุดธูปคารวะ มีข้อห้ามอะไรหรือไม่?”
คำกล่าวโบราณเอ่ยไว้ว่าเชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับไปยาก ยันต์สามภูเขานั้นจำเป็นต้อง ‘ส่งอริยะกลับอย่างมีมารยาท’ เสียด้วย ในภูเขาแต่ละลูกจึงต้องจุดธูปคารวะอาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาคล้ายอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกมาโดยตลอดท่านนั้น
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “เลื่อมใสอาจารย์ซานซานจิ่วโหวมานานแล้ว ไม่มีข้อห้ามใดๆ”
ลู่จือเอ่ย “นี่จะเป็นไรไป ก็แค่จุดธูปไม่กี่ดอกเท่านั้น”
ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องใช้เงินของนาง
ลู่เฉินพึมพำ “ต่อให้อาจารย์ซานซานจิ่วโหวจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกแค่ไหน ก็คงเบิกบานใจดุจบุปผาผลิบานเลยกระมัง”
เฉินผิงอัน หนิงเหยา ฉีถิงจี้ ลู่จือ จุดธูปคารวะคนคนเดียวกันในเวลาเดียวกัน
ลู่เฉินถาม “มีธูปภูเขาหรือไม่?”
เวลานี้เขากลัวใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้จริงๆ คิดจะต้มตุ๋นคนขึ้นมาก็เอาจริงเอาจังถึงตายกันเลยทีเดียว โชคดีที่เฉินผิงอันยิ้มพลางหยิบกระบอกธูปไม้ไผ่ใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เป็นของที่คนเฝ้าศาลคนหนึ่งมอบให้ในปีที่พาพวกเผยเฉียนไปเที่ยวเยือนศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งหนึ่งด้วยกัน แบ่งธูปภูเขากำหนึ่งให้กับพวกหนิงเหยาสามคน เพียงแต่ว่าตอนที่ส่งให้ลู่จือกลับยิ้มเอ่ยว่า “ตามกฎแล้ว เงินเชิญธูป พวกเจ้าต้องออกกันเอง”
ฉีถิงจี้โยนเงินฝนธัญพืชให้กับเฉินผิงอันและลู่จือคนละเหรียญ ลู่จือบิดนิ้วหนึ่งที เงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นก็ผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันพร้อมกัน
เฉินผิงอันถือยันต์ออกเดินทางนำไปก่อน พออยู่ที่ภาพมายาของภูเขาลูกแรกก็หยิบธูปขึ้นมาสามดอก จุดธูปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากตนเป็นคนถนัดซ้าย จึงถือธูปด้วยมือขวา มือซ้ายกำมือหลวมๆ ชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ
ลู่เฉินจุ๊ปากเอ่ย “สามารถทำให้เจ้ายอมถอนเวทอำพรางตาเล็กน้อยนี่ออกด้วยตัวเองได้ นับว่ามีความจริงใจเต็มเปี่ยมแล้ว”
เชิญธูปเสร็จสิ้น เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้มบาง “ใจศรัทธาย่อมศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้ควรต้องเชื่อสักหน่อย”