กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 856.2 มองลงต่ำ
พวกหนิงเหยาสามคนเดินทางได้ช้ากว่าเฉินผิงอันไปหนึ่งช่วง เฉินผิงอันจึงต้องยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอคอยครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันถาม “ได้ยินมาว่าเจ้านครกวอของนครอวี้ซูแห่งป๋ายอวี้จิงสร้างยันต์ใหญ่ชิ้นแรก มีชื่อว่าชำระกระบี่หรือ? ในเมื่อเจ้าลัทธิลู่มีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนั้นกับเจ้านครกวอ ต่างก็ก่อตั้งหอพิศพันกระบี่อยู่ที่นั่นแล้ว คิดดูแล้วคง?”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ยันต์ใหญ่ขนาดนี้ มีน้อยจนนับนิ้วได้ ไม่ใช่ว่ากระดาษยันต์อย่างยันต์เขียวจะสามารถทัดเทียมได้หรอกนะ…”
กวอเจี่ยเจ้านครอวี้ซู เส้าเซี่ยงรองเจ้านคร ต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่อาวุโสของลัทธิเต๋าได้อย่างสมศักดิ์ศรี
หากใช้คำพูดของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ก็คือในป๋ายอวี้จิง คนที่เข้าใจเวทกระบี่มีรวมทั้งสิ้นสองคน
นครอวี้ซูได้ครอบครองวัตถุสำหรับชำระล้างกระบี่หนึ่งชิ้น คือดวงดาวบรรพกาลที่มีประวัติความเป็นมาดวงหนึ่ง ยันต์ชำระกระบี่ก็คือยันต์ใหญ่ที่จะจำแลงออกมาท่ามกลางขั้นตอนของการหล่อหลอมกระบี่บิน
ลู่เฉินถามหยั่งเชิงว่า “ยังยืมอยู่เหมือนเดิม ใช่ไหม?”
พูดมากเกินก็ทำให้เสียเรื่องจริงเสียด้วย หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกคงไม่พูดถึงหอพิศพันกระบี่อะไรแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่าตื่นเต้น พวกเราซื้อ บนร่างของเจ้าลัทธิลู่มีกี่แผ่น พวกเราก็ซื้อเท่านั้น”
ลู่เฉินถอนหายใจโล่งอก “แค่สามแผ่น!”
สุดท้ายฉีถิงจี้จ่ายเงินซื้อยันต์ชำระกระบี่ของนครอวี้ซูมาสามแผ่น อีกทั้งยังมอบให้ลู่จือทั้งหมด บอกให้นางรีบหล่อหลอม ขัดเกลาความเฉียบคมให้กับกระบี่บินเป่ยโต้ว
ลู่จืออยากจะเอ่ยประโยคเกรงใจกับคนอื่นอย่างที่หาได้ยาก จึงฝืนนิสัยพูดกับเฉินผิงอันว่า “ขอบคุณนะ”
ได้กล่องกระบี่มาเปล่าๆ หนึ่งใบ จิตวิญญาณได้รับการบำรุงจากยันต์สามภูเขา แล้วยังได้ยันต์ชำระกระบี่ที่มีราคาแต่หาซื้อไม่ได้มาอีก
และยังต้องรวมปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ใช้นามแฝงว่าเปียนจิ้งซึ่งตามไล่ฆ่าข้ามมหาสมุทรไปก่อนหน้านี้
หากตอนนั้นไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับเฉินฉุนอัน หากลู่จือทุ่มสุดชีวิตเรียกกระบี่บินเป่ยโต้วออกมา ไม่แน่ว่าอาจจะได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองแล้ว
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า
ในใจลู่เฉินรู้สึกสะทกสะท้อนใจ เจ้าหนูเจ้าใช้เงินของคนอื่นมาสร้างภาพให้ตัวเองเช่นนี้ จำได้ว่าเด็กหนุ่มของตรอกหนีผิงในอดีตไม่ได้เป็นเช่นนี้เลยนะ เป็นคนซื่อคนหนึ่งแท้ๆ
เรือนกายของเฉินผิงอันหายวับไป ไปเยือนภาพลวงตาของภูเขาลูกถัดไป หลังจากจุดธูปคารวะดังเดิมแล้ว คราวนี้ก็ไม่ได้รอพวกหนิงเหยาสามคนอีก แต่ตรงไปที่ภาพมายาของภูเขาลูกที่สามทันที
ลู่เฉินถาม “ยันต์สามภูเขาส่วนสุดท้าย เหตุใดถึงไม่จินตนาการเป็นภูเขาทัวเยว่โดยตรงไปเลยล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ต่อให้จะเป็นเรือที่ไม่ถูกผูกลำหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังต้องระมัดระวังเพื่อให้ขับเรือได้นานหมื่นปี”
ลู่เฉินเห็นด้วยอย่างยิ่ง “มีเหตุผล และยิ่งเป็นนิมิตหมายที่ดี”
เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้ยิ้มพูดสีหน้าทะเล้น “เฉินผิงอัน อย่าลืมล่ะว่า เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำที่ไม่เจตนาใดๆ ของเจ้าล้วนมีน้ำหนักอย่างมาก”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่มองทิวทัศน์เบื้องหน้า ภาพมายาตรงหน้านี้คือภูเขาลูกหนึ่งที่มีปราณชั่วร้ายสกปรกท่วมทะยานฟ้า โครงกระดูกขาวกองทับถมกัน เมฆดำกลิ้งหลุนๆ บนยอดเขามีโครงกระดูกขาวโพลนกลาดเกลื่อนทั่วทุกหนแห่ง ราวกับว่าฟ้าดินมีแค่สีขาวดำสองสีเท่านั้น
สำนักของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ ตรงหน้าประตูภูเขาเอาอย่างจวนเซียนของไพศาลด้วยการก่อตั้งซุ้มหินขึ้นมา มีกรอบป้ายเขียนเป็นคำว่า ‘นครป่ายฮวา (ร้อยผกา)’
คนเฝ้าประตูคือโครงกระดูกสองโครง ตอนที่มีชีวิตอยู่เคยเป็นผู้ฝึกกระบี่ สภาพการตายอเนจอนาถยิ่ง คนหนึ่งในนั้นถูกกระบี่ยาวแทงทะลุหัวใจ แล้วตรึงร่างปักไว้บนเสาหินของกรอบป้ายอย่างแน่นหนา
คนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เรือนกายโน้มมาด้านหน้า กระบี่ยาวปักไว้บนดิน ด้ามกระบี่เสยแทงปลายคางทะลุออกไปบนหัว
คือผู้ล่วงลับของกำแพงเมืองปราณกระบี่สองท่าน
เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างโครงกระดูก ทรุดตัวลงนั่งยอง ดึงกระบี่ยาวเกรอะสนิมเล่มนั้นออกมาเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยกฝ่ามือขึ้นกดลงบนหัวกะโหลกของโครงกระดูกนั้นเบาๆ
โครงกระดูกพลันกลายเป็นผุยผงปลิวกระจาย เฉินผิงอันเก็บกาเหล้าว่างเปล่าใบหนึ่งมาบรรจุอีกฝ่ายไว้ภายใน
จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปหาโครงกระดูกที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ประคองผู้ล่วงลับให้ลุกขึ้นยืน ปล่อยแรงกระเทือนเบาๆ โครงกระดูกก็กลายเป็นเถ้าธุลีเช่นเดียวกัน เก็บใส่ไว้ในกาเหล้าว่างเปล่าอีกใบหนึ่ง จากนั้นจึงเก็บกระบี่ใส่ชายแขนเสื้อ
ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่ไม่ชอบดื่มเหล้ามีอยู่น้อยนัก
ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งทะยานลมมาถึง พลิ้วกายลงบนขั้นบันไดของประตูภูเขา สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง “ผู้ที่มาเป็นใคร จงบอกชื่อจริงมา!”
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น สำนักแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจร้อยกว่าตนพร้อมใจกันปรากฎตัวแล้วกรูกันมาที่หน้าประตูภูเขาแห่งนี้
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “อิ่นกวานเฉินผิงอันแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่”
ขอบเขตเซียนเหรินผู้นั้นอึ้งตะลึงไปก่อน แต่จากนั้นก็หัวเราะก๊ากดังลั่น เสียงหัวเราะดังราวกับฟ้าผ่าจนกระดูกขาวที่อยู่บนสันเขาสะเทือนร่วงกรูลงมา ประหนึ่งมีเมฆหมอกลอยอวล
คนบ้าที่ไหนกัน ถึงได้มาล้อเล่นเช่นนี้?!
มีผู้ฝึกตนถวายงานคนหนึ่งใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “เจ้าสำนัก รูปร่างของเจ้าเด็กนี่คล้ายกับอิ่นกวานผู้นั้นจริงๆ นะขอรับ”
เพียงแต่ไม่นานก็มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งใช้เสียงในใจเอ่ยเย้ยหยันว่า “หรือว่าใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่ในใต้หล้าไพศาลไม่รอดแล้ว ก็เลยวิ่งไปเป็นนักพรตซะแล้ว?”
ผลคือด้านหลังของบุรุษที่สะพายกระบี่สวมกวานเต๋าคนนั้นกลับมีคนสามคนเผยกายขึ้นแทบจะเวลาเดียวกัน
คนหนึ่งคือบุรุษหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาที่พูดกลั้วหัวเราะว่า “คุยเรื่องอะไรกัน ตลกขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก เอ่ยหยอกเย้าว่า “ข้าบอกว่าตัวเองรู้จักเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ให้ตายอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็ไม่ยอมเชื่อ”
ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนคุ้นชินกับภาษาทางการภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างดี และแทบทุกคนก็ล้วนพูดเป็นอยู่หลายภาษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่ที่มักจะออกเดินทางไกลตลอดทั้งปีอย่างเช่นโฉวเหมียวในอดีต
ฉีถิงจี้พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตีให้ตายก่อนแล้วค่อยดูว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”
ฉีถิงจี้มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเพียงเล่มเดียว ชื่อว่าปิงเจี่ย (สมัยโบราณหมายถึงบัณฑิตที่ตายด้วยคมอาวุธ หรืออีกความหมายคืออาศัยคมอาวุธหลุดพ้นเพื่อบรรลุมรรคา ถือเป็นการสละร่างอย่างหนึ่ง)
ตอนที่เขายังหนุ่ม เคยมีฉายาหนึ่ง ฉีซ่งสิง (ซ่งสิงแปลว่าส่งคนออกเดินทาง ส่งคนจากไป)
ชอบช่วยใช้คมอาวุธส่งคนเดินทาง
ฉีถิงจี้ ลู่จือ หนิงเหยา…
เจ้าสำนักขอบเขตเซียนเหรินผู้นั้นไม่พูดอะไรมากความ เผ่นหนีก่อนใคร จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็วงแตกเหมือนนกแตกรังสัตว์แตกฝูง
ลู่จือหรี่ตากล่าว “ข้าฟันคนอยู่ที่นี่ให้สาแก่ใจก่อนแล้วค่อยไป รับรองว่าไม่ถึงครึ่งก้านธูป”
ฉีถิงจี้เอ่ย “ข้าจะจัดการกับพวกปลาที่หลุดรอดหว่างแหเอง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ขอแค่อยู่ในเวลาครึ่งก้านธูปก็ไม่ถ่วงธุระสำคัญแล้ว”
หลังจากใช้ยันต์สามภูเขา การเดินทางไปเยือนภูเขาทัวเยว่ครั้งนี้จึงร่นระยะทางไปได้มาก และประหยัดเวลาไปได้มากเช่นกัน
เฉินผิงอันเดินทางล่วงหน้าไปก่อน หนิงเหยาติดตามไปด้านหลัง
ภูเขามายาลูกถัดไปอยู่ใกล้กับซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง สถานที่นี้มืดสลัวมองไม่เห็นแสงตะวันตลอดทั้งปี วิญญาณหยินแข็งแกร่งอาละวาด ภูตผีมารวมตัวกัน กองทัพหยินมีมากหลายแสนตน
คล้ายคลึงกับหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูกที่อุตรกุรุทวีป เพียงแต่ว่าที่นี่ไม่มีการสยบกำราบของสำนักพีหมา ซากปรักสนามรบของใต้หล้าไพศาลมีการสยบกำราบจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ พิธีขอขมากรรมที่แคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ จัดขึ้น รวมไปถึงการลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์และสะสมบุญกุศลของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล เป็นเหตุให้น้อยนักที่วิญญาณหยินจะรวมตัวเป็นโล้เป็นพายได้ ทว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับต่างออกไป
หนิงเหยาบอกว่าจะออกกระบี่อยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง
แต่เฉินผิงอันกลับเดินทางไปยังภูเขาลูกถัดไป
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนใดก็ตามที่ไม่มีความกังวลรออยู่เบื้องหลัง หากปลดปล่อยฝีมือร่ายเวทกระบี่อย่างเต็มกำลัง พลังพิฆาตนั้นมีแค่สี่คำมาบรรยายเท่านั้น ไร้เหตุผลอธิบาย
และไม่ถึงครึ่งก้านธูป สำนักแห่งหนึ่งของเปลี่ยวร้างก็ควันธูปขาดสะบั้นอย่างสิ้นเชิงจริงดังว่า
ลู่จือถือกระบี่มาหยุดยืนอยู่ที่ยอดเขา เอ่ยเรียกชื่อออกมาตรงๆ “ฉีถิงจี้ ข้าหวังว่าวันหน้าสำนักกระบี่หลงเซี่ยงและภูเขาลั่วพั่วจะสามารถลงเรือลำเดียวกันได้ ไม่อย่างนั้นวันใดทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ไม่แน่ว่าข้าอาจจะช่วยคนนอก”
ฉีถิงจี้เอ่ยสัพยอก “ลู่อันดับหนึ่ง ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าหันศอกหาคนนอกแล้วนะ”
ลู่จือไม่ใช่คนที่จะเก็บกลั้นคำพูดเอาไว้ได้ “ต่งซานเกิง เฉินซีและเจ้า หากสามารถเลือกได้ ข้าย่อมไม่มีทางเลือกอยู่กับเจ้า มาเป็นบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของสำนักในใต้หล้าไพศาลอะไรแน่”
“เพราะผู้ฝึกกระบี่สามคนที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองก็เป็นเจ้าที่มีใจทะเยอทะยานที่สุด จิตแห่งกระบี่ไม่บริสุทธิ์ที่สุด นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ยินดีจะสนิทสนมกับเจ้า แม้ว่าภายนอกจะมีสีหน้าเป็นมิตรกับทุกคน แต่แท้จริงแล้วไม่ว่ากับใครก็ล้วนห่างเหิน เชื่อว่าเจ้าคงมองข้อนี้ออกมานานแล้ว”
ฉีถิงจี้พยักหน้า “ในที่สุดก็ได้ยินถ้อยคำจากใจจริงพวกนี้แล้ว”
หากลู่จือไม่เคยเปิดปากพูด ไม่เป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน กลับกลายเป็นว่าฉีถิงจี้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดีอะไร
สองใจของคนสองคนไม่ตรงกัน เพียงมีระยะห่างเล็กน้อยก็เหมือนมีขุนเขาสายน้ำกั้นขวาง มิอาจข้ามผ่านไปได้ อาเหลียงเคยบอกว่าถ้อยคำทั้งหลายในโลกมนุษย์ล้วนเป็นสะพานแห่งหนึ่ง คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำลวงเลย
ในเมื่อพูดออกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่สนใจแล้วว่าจะทำร้ายจิตใจกันหรือไม่ ลู่จือพูดอย่างตรงไปตรงมาทันที “ผู้ใดไม่เห็นแก่ตัว ผู้นั้นสวรรค์จักลงทัณฑ์ ก็คือพูดถึงคนอย่างเจ้านี่เอง”
ฉีถิงจี้ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ได้แต่กลั้นขำ
ลู่จือขมวดคิ้ว “พูดผิดไปหรือ?”
ฉีถิงจี้อธิบาย “อักษรคำว่า ‘เว่ย’ ที่ใช้ในประโยคนี้ อันที่จริงควรอ่านเป็นเสียงสองว่าเหวย ไม่ใช่เว่ย เดิมทีก็เป็นประโยคที่เป็นเคล็ดลับในการฝึกตนที่จริงแท้แน่นอน ตักเตือนคนรุ่นหลังว่าต้องฝึกขัดเกลาคุณธรรมและนิสัยใจคอ รู้จักตัวเองแสวงหาความจริง”
ในบรรดาเซียนกระบี่ที่ได้แกะสลักตัวอักษร อันที่จริงนอกจากต่งซานเกิง ฉีถิงจี้และเฉินซีแล้ว หากพูดถึงแค่ความรู้ของพวกเขา ถ้าเอาไปวางไว้ที่ใต้หล้าไพศาล เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้รอบรู้คนหนึ่งก็มากพอเหลือแหล่ ส่วนผู้ฝึกกระบี่อย่างซุนจี้เฉวียนนั้น คิดจะเป็นปัญญาชนน้ำใสที่มีความสง่างามโดดเด่นไม่เหมือนใครก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
ลู่จือหันหน้ามาเอ่ย “แต่พอมาถึงใต้หล้าไพศาล เจ้าเองก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ก็เป็นเจ้าสำนักที่เปิดภูเขาก่อตั้งพรรคนี่นะ”
ขุนเขาลูกหนึ่งที่สูงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ
นับแต่โบราณมาเมฆาวารีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ภูเขาเซียนและตำหนักสีแดงของลัทธิเต๋านั้นอยู่ที่ใด?
สถานที่แห่งนี้ราวกับดินแดนเซียนในตำราอย่างไรอย่างนั้น ปราณวิญญาณเข้มข้นเปี่ยมล้น กลิ่นอายแห่งมรรคาไหลเวียนวนดุจน้ำคล้อยเมฆไหล
คือขุนเขาใหญ่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีนครใหญ่ของราชวงศ์ มีห้าขุนเขาเช่นเดียวกัน ถึงขั้นที่ว่ายังมีราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งที่การขยับขยายเผ่าพันธ์ของผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเบียดเสียดกันแออัด เผ่ามนุษย์ ภูตภูเขา เผ่าพันธุ์น้ำล้วนอยู่อาศัยร่วมกัน
เฉินผิงอันไม่ได้ไปที่ศาลของขุนเขาใหญ่ที่อยู่บนยอดเขา เขายืนอยู่ที่เดิม ถามว่า “เจ้าสามารถอนุมานได้หรือไม่ว่าปีศาจใหญ่ที่ปักหลักอยู่บนภูเขาทัวเยว่มีใครบ้าง?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ยาก บอกได้แค่ว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของบรรพบุรุษใหญ่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นั้นต้องอยู่แน่นอน ส่วนคนที่มีฉายาว่าซินจวงผู้นั้น มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าจะวิ่งไปรำลึกความหลังกับอาเหลียงแล้ว”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ลู่เฉินถาม “ยังกังวลว่าโจวมี่จะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า พวกเราทั้งกลุ่มจะต้องถูกกักอยู่ในภาพมายาของภูเขาลูกใดลูกหนึ่ง? หรือไม่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับทางตันอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ลู่เฉินถามอย่างสงสัย “แล้วมาทำอะไรที่นี่?”
เฉินผิงอันเงยหน้า “แค่อยากมาดูที่นี่สักหน่อย”
ถอนสายตากลับมา เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มนั้น ข้าคิดว่าจะมอบให้กับหวงถิงของภูเขาไท่ผิง”
เอ่ยเพียงเล็กน้อย ลู่เฉินก็เข้าใจได้ทันที “วัสดุของตำราเล่มนั้นเดิมทีก็ดีอยู่แล้ว บวกกับตัวอักษรอีกหนึ่งพันสองร้อยกว่าตัวล้วนถูกหลอมหมดแล้ว มากพอจะประคับประคองให้จัดงานพิธีขจัดเภทภัยครั้งหนึ่งได้จริงๆ สามารถเอามาทำเป็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาได้ เพียงแต่ว่าศิษย์พี่ก็มอบให้เจ้าแล้ว เจ้ามาพูดเรื่องนี้กับข้าทำไม? อีกอย่างภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าไม่ขาดของสิ่งนี้ แต่สำนักเบื้องล่างล่ะ?”
“ภูเขาไท่ผิงจะต้องสร้างสำนักขึ้นใหม่ที่ใบถงทวีปแน่นอน ถึงอย่างไรหนังสือเล่มนี้ก็เป็นพี่ใหญ่หลี่ที่มอบให้ข้า ดังนั้นวันหน้าเจ้าช่วยบอกกล่าวเขาแทนข้าสักคำ หากทำได้จริง ข้าก็จะทำตามนี้”
ควันธูปสายเต๋าของภูเขาไท่ผิงใบถงทวีปถือเป็นสายการสืบทอดของเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง
“เฮ้อ ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดจริงๆ ยังคงเป็นกุมารแจกทรัพย์อยู่เหมือนเดิม ก็ได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง อันที่จริงด้วยนิสัยของศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าไม่จำเป็นต้องถามเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”
คิ้วตาของเฉินผิงอันอ่อนโยน “ต่อให้เป็นคนใกล้ชิด มารยาทที่พึงมีก็ยังต้องมี”
ลู่เฉินหัวเราะ ศิษย์พี่ใหญ่ร้ายกาจเสียจริง ไม่ว่าเดินไปถึงที่ไหนก็ล้วนได้รับการยอมรับเช่นนี้เสมอ
ลู่เฉินอดไม่ไหวทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ชีวิตคนก็คือโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ไม่มีที่ใดที่เป็นบ้านเกิดของข้า สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีที่ทางเป็นของตัวเอง จะเอาเจ้าของอะไรมาจากไหน พวกเราล้วนเป็นแค่ลูกจ้างในร้านเท่านั้น”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไปล่ะ”
ภูเขามายาแห่งถัดไปก็คือท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันแต่งกายเช่นนี้ก็ไม่ได้ดูสะดุดตาเกินไปนัก
เฉินผิงอันกล่าว “มายืมกระบี่ที่นี่”
ภาพค่ายกลของค่ายกลกระบี่ภูเขาไท่ผิงมีมาตั้งนานแล้ว ขาดก็แค่กระบี่ยาวที่เหมาะสมเล่มเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจากการคาดการณ์ของชุยตงซาน ไปเยือนภูเขาชังกระบี่ของอุตรกุรุทวีปรอบหนึ่ง ซื้อกระบี่จำลองของเซียนกระบี่ที่ระดับขั้นพอใช้ได้มาสักเล่ม คาดว่าคงต้องใช้เงินประมาณแปดร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช
อีกทั้งเงื่อนไขก็คือภูเขาชังกระบี่ยินดีควักทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตนออกมา ยอมเอากระบี่จำลองมากมายขนาดนั้นมาให้
อีกอย่างคือค่ายกลใหญ่แห่งเมืองหลวงของราชวงศ์แห่งนี้ก็ต้องละทิ้งการป้องกันทั้งหมด ใช้แต่ค่ายกลกระบี่ที่มีเพื่อการจู่โจมอย่างเดียวเท่านั้น
ลู่เฉินโล่งใจราวได้ยกภูเขาออกจากอก กล่องกระบี่ใบที่มอบให้ลู่จือยืมนั้น
ให้สำนักกระบี่หลงเซี่ยงยืม ถึงอย่างไรก็ยังมีโอกาสเอากลับมาได้อยู่หลายส่วน
แต่ให้ภูเขาลั่วพั่วยืม ไม่เรียกว่าเอาซาลาเปาไส้เนื้อขว้างหัวหมาแล้วจะเรียกว่าอะไร
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ยืม?”
“ไม่อย่างนั้น?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างคลางแคลง “ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็บอกไม่ใช่แล้วหรือว่า มียืมมีคืน ยืมอีกไม่ยาก ในอนาคตขอแค่พวกเขามาทวงคืนที่ภูเขาลั่วพั่ว ข้าต้องเอาคืนกลับไปให้แน่นอน”
ลู่เฉินยิ้มถาม “จะลงมือตอนนี้เลยหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มีครู่หนึ่งที่เขาใจลอยไป
คนเฝ้าประตู เจิ้งต้าเฟิง
ตอนแรกก็เฝ้าประตูให้กับเมืองเล็ก ภายหลังมาเฝ้าประตูให้กับภูเขาลั่วพั่ว
นี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าบัญชาสวรรค์นำพาอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ข้าเคยเจอคนผู้หนึ่งบนยอดเขาประหลาดแห่งหนึ่ง”
ลู่เฉินถอนหายใจ “ไม่ต้องสงสัยแล้ว ก็คือบุรพาจารย์ของสำนักการทหารที่ความผิดและความชอบมิอาจลบล้างกันได้ การร่วมมือกันสังหารครั้งนั้น อย่าพูดถึงเลยจะดีกว่า”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรมากความอีก
สกุลหลี่แห่งถนนฝูลวี่ นครชิงชุ่ยมีอีกชื่อหนึ่งว่านครอวี้หวง ลูกหลีอวี้หวงกรุบกรอบจริงแท้ (ประโยคภาษาจีนคือ อวี้หวงหลีจื่อ เจินชิงชุ่ย)
หลี่ซีเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อ โจวหลี่แห่งลัทธิเต๋า ถ้าอย่างนั้นคนที่สามจะเป็นใคร?
ลู่เฉินถาม “เฉินผิงอัน เจ้าไล่ตามคำว่า ‘ไร้ข้อผิดพลาด’ มาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ใครเล่าจะไม่เคยทำผิดพลาดบ้างเลย? เป็นผู้ฝึกตนที่เดินขึ้นฟ้าทีละก้าวจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คือเทพเจ้า”
……
เฒ่าตาบอดกับเฉินชิงหลิวอยู่ด้วยกันที่ริมหน้าผา คนหนึ่งนั่งยอง คนหนึ่งนั่งกับพื้น ต่างคนต่างดื่มเหล้า
ภูเขาใหญ่แสนลี้ถือว่าเป็นเขตอิทธิพลอันกว้างใหญ่ที่เฒ่าตาบอดแบ่งแยกดินแดนมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เฉินชิงหลิวถาม “บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่คนนั้นขาดอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น กลับไม่อาจเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าได้ นอกจากศึกที่ภูเขาทัวเยว่ปีนั้นที่ถูกเฉินชิงตูสามคนทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับการสูญเสียภูเขาใหญ่แสนลี้แห่งนี้ไปด้วยหรือไม่?”
เฒ่าตาบอดยกนิ้วที่แห้งเหี่ยวขึ้นมาเกาใบหน้า “เกี่ยวกับผายลมอะไรกัน หากเปลี่ยนเป็นเจ้าจะไม่สู้สุดชีวิตกับข้าหรอกหรือ?”
เฉินชิงหลิวยิ้มกล่าว “สู้สุดชีวิต? ต่อให้เอาชนะเจ้าได้ ตบะก็ต้องถูกผลาญไปมากมาย มิอาจเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ”
เฒ่าตาบอดหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ก็จริงนะ”
เฉินชิงหลิวถาม “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการถอยให้โจวมี่สินะ?”
เฒ่าตาบอดครุ่นคิด “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คาดว่าคงจะเหมือนกับข้า คุณสมบัติในการฝึกตนไม่ได้เรื่อง ขอบเขตสิบห้านั้น ต่อให้วอนขออย่างยากลำบากก็มิอาจได้มาครอง”
เฉินชิงหลิวเงยหน้ามองท้องฟ้า