กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 857.3 สองสามเรื่อง
ซานจวินปี้อู๋พลันพูดไม่ออก
มั่นใจว่าหนิงเหยาเดินทางจากไปแล้ว ปี้อู๋ก็เดินหนึ่งก้าวหดย่อขุนเขาสายน้ำ มุ่งหน้าไปยังเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ผีภูเขาสองตนที่มีรูปร่างเป็นดรุณีน้อยสวมชุดกระโปรงแบ่งออกเป็นสีเหลืองไข่ห่านกับสีเขียวอ่อน ยอบกายคารวะซานจวิน เปิดประตูให้เขา ปี้อู๋เดินก้าวข้ามธรณีประตูออกไป บนโต๊ะวางม้วนภาพม้วนหนึ่งเอาไว้ หลังจากคลี่กางออกก็เห็นเพียงว่าบุคคลที่ถูกวาดไว้บนม้วนภาพนั้น ก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
บุรุษสวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด ยืนอยู่ริมหน้าผาของหัวกำแพง ใบหน้าพร่าเลือน สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ใต้รักแร้หนีบดาบแคบ หลุบตาลงต่ำมองลงมายังพื้นดิน
นครอวี้ป่านที่เป็นของราชวงศ์อวิ๋นเหวินก่อตั้งแคว้นมาหนึ่งพันสองร้อยกว่าปีแล้ว เพียงแต่ว่าแซ่สกุลของฮ่องเต้ถูกเปลี่ยนไปอยู่หลายครั้ง แต่ชื่อรัชสมัยกลับไม่เปลี่ยน ใครนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สำหรับที่แห่งนี้กลับไม่มีความพิถีพิถันอะไรขนาดนั้น
อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ว่าราชวงศ์ล่างภูเขาแห่งใดที่ชะตาแคว้นยาวนานเกินพันปี เมื่อเทียบกับสำนักบนภูเขาที่มีอายุเท่ากันแล้ว ก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากยิ่งกว่า
สถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงของราชวงศ์ประเภทนี้ ไม่ต่างจากศาลบรรพจารย์ของบนภูเขาเลย
ทว่าเวลานี้ในหอเรือนที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของวังหลวง ในระเบียงใต้ชายคาของชั้นบนสุดกลับมีคนต่างถิ่นคนหนึ่งบุกเข้ามา
บุรุษสวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว มือหนึ่งกำเป็นหมัด มือหนึ่งไพล่หลัง ราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้านตัวเอง
เวลานี้เขาหยุดเดิน เงยหน้าขึ้น ใต้ชายคาแขวนพวงกระดิ่งไว้เต็มไปหมด ในกระดิ่งทุกชิ้นห้อยกระบี่สั้นขนาดจิ๋วสองเล่มที่อยู่ใกล้กันมาก เพียงมีลมพัดโชยผ่านมาก็จะกระทบกันเกิดเป็นเสียงดัง
อิงจากบันทึกของคฤหาสน์หลบร้อน ฮ่องเต้ในเมืองพระองค์นั้น เนื่องจากปิดด่านนานหลายปีจึงพลาดสงครามใหญ่ครั้งนั้นไป และต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ให้กับภูเขาทัวเยว่
อีกทั้งราชวงศ์อวิ๋นเหวินยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับอดีตปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองตนอย่างหวงหลวนและเจ้าอารามดอกบัว ไม่อย่างนั้นด้วยขอบเขตเซียนเหรินก็คงไม่มีทางรักษาราชวงศ์อวิ๋นเหวินไว้ได้จริงๆ
โชคดีที่ทุกวันนี้ต่อให้หวงหลวนและเจ้าอารามดอกบัวต่างก็ตายกันไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ก็เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขต กลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนใหม่พอดี
บุรุษร่างกำยำที่สวมชุดคลุมมังกรมาโผล่อยู่ในระเบียง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “แขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนถึงบ้าน เสียมารยาทที่ไม่ได้ไปรับแต่ไกล ทว่าไฉนสหายท่านนี้ถึงไม่บอกกล่าวกันก่อนสักคำ? ข้าจะได้จัดงานเลี้ยงสุรารอต้อนรับ ช่วยรับลมชำระฝุ่น (เปรียบเปรยว่าจัดงานเลี้ยงต้อนรับ) ให้กับสหาย”
ข้างกายเขายังมีองค์รักษ์หญิงเรือนกายบอบบางอีกคนหนึ่งติดตามมาด้วย นางทาแก้มด้วยผงสีทอง พกดาบไว้ตรงเอว ถึงกับเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่แท้จริงคนหนึ่ง
คิ้วสองข้างของนางเชื่อมติดกันโดยธรรมชาติ ใบหูเล็กยาว เป็นใบหน้าของคนฟ้าอย่างที่กล่าวถึงในตำราโบราณ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ต้องคิดอยากรับรองแขกอะไรหรอก ไม่มีอะไรยุ่งยากเลยสักนิด แค่ต้องเอาค่ายกลกระบี่ชุดนั้นมาให้ข้ายืมก็พอแล้ว เหนื่อยเพียงยกมือเท่านั้น” (เปรียบเปรยว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องเหนื่อยยากอะไร)
ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์อวิ๋นเหวินท่านนี้มีนามแฝงว่าเย่พู่ ฉายามีสองอย่าง ก่อนหน้านี้คือโพ่เหอ หลังเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้วก็ตั้งฉายาที่ฟังดูเผด็จการยิ่งกว่าเก่าให้กับตัวเอง เรียกตัวเองว่าตู้ปู๋
ส่วนผู้ฝึกยุทธหญิงที่อยู่ข้างกายเย่พู่นั้น มีชื่อว่าป๋ายเริ่น คือสตรีผู้หลงใหลในวรยุทธที่ขึ้นชื่อคนหนึ่ง ทุกวันนี้อายุร้อยกว่าปี มีศาสตร์คงความเยาว์วัย ตอนที่นางอายุห้าสิบกว่าปีก็เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางแล้ว
นครอวี้ป่านได้เปิดค่ายกลป้องกันเมืองหลวงชั้นหนึ่งแล้ว เลียนแบบพื้นที่แก้วใส เมืองหลวงจึงคล้ายตกเข้าไปอยู่ในลำธารแห่งกาลเวลาที่หยุดชะงัก ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ประกายเจ็ดสี ผู้ฝึกตนทุกคนที่อยู่ในเมืองต่างก็เลือกอยู่ที่เดิม ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม หนึ่งเพราะหากเป็นผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบน ขนาดเซียนดินยังก้าวเดินได้ไม่ง่าย อีกอย่างก็คือนี่มีลางว่าศัตรูตัวฉกาจได้มาอยู่เบื้องหน้าแล้ว ใครเล่าจะกล้าก่อเรื่องในเวลานี้
เย่พู่ย่อมจำอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ บางทีอาจจะดียิ่งกว่า
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของหัวกำแพงเมืองคนหนึ่งถึงกลายมาเป็นผู้บรรลุมรรคาที่ขอบเขตเริ่มต้นคือบินทะยานได้ เย่พู่ไม่สงสัยใคร่รู้ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ บนเส้นทางของการฝึกตน ทุกขั้นตอนล้วนเป็นเพียงความว่างเปล่า สนใจแต่ผลลัพธ์เท่านั้น สิ่งที่แสวงหาในการฝึกตนก็หนีไม่พ้นหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด ตัวเองมีชีวิตอย่างไร มีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น หากเกิดความขัดแย้งกับคนอื่นขึ้นมา หรือไม่ก็รังเกียจว่าคนข้างทางขวางหูขวางตา คนอื่นตายอย่างไร ตายได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
เย่พู่ได้ยินคำพูดหยอกล้อที่ชวนหัวของอีกฝ่ายก็เอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างสมคำเล่าลือเสียจริง เข้าใจพูดคุยยิ่งนัก ถึงขั้นมีอารมณ์ขันยิ่งกว่าที่ข้าเคยได้ยินมาเสียอีก”
สตรีกระตุกมุมปาก ยื่นมือไปจับด้ามดาบตรงเอว
ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนี้ดวงตาฉายประกายเจิดจ้า จ้องบุรุษที่เปลี่ยนมาแต่งกายเป็นนักพรตลัทธิเต๋าเขม็ง จำได้สิ ทำไมนางจะจำไม่ได้ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างทุกวันนี้ ภาพเหมือนของเจ้าหมอนี่ ไม่แน่ว่าบนภูเขาสิบลูก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีครึ่งหนึ่งที่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ภูเขาทัวเยว่เจรจากับศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่สำเร็จ อิ่นกวานที่อายุน้อยแต่กลับชื่อเสียงเลื่องระบือผู้นี้ก็ยิ่งโด่งดังมากกว่าเดิม ตัวคนอยู่ที่ไพศาล แต่กลับมีหน้ามีตาอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปพร้อมๆ กัน เป็นเหตุให้ราวกับว่าหากผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งไม่รู้ชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ ก็เท่ากับว่าไม่ได้ฝึกตน
หนึ่งร้อยปีก่อน ชาติสุนัขบางคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชื่อเสียงโด่งดังอยู่ที่สำนักตระกูลเซียนเหนือกึ่งกลางภูเขาของเปลี่ยวร้างขึ้นไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีอิ่นกวานคนสุดท้ายโผล่ออกมาเสียได้
เฉินผิงอันมองไปยังผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้น “อยากจะลองดูหรือ?”
ในกวานที่สวมอยู่บนศีรษะของเฉินผิงอัน ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัวที่แม้แต่เย่พู่ก็ยังไม่อาจไปสืบเสาะตรวจสอบได้ ลู่เฉินฝึกหมัดเดินนิ่งพลางเหล่ตามองสตรีที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนั้น แล้วจุ๊ปากเอ่ย “กระเหี้ยนกระหือรือเต็มที กระเหี้ยนกระหือรือเต็มทีแล้วจริงๆ”
เย่พู่ออกเสียงขัดขวางสตรีข้างกาย “ป๋ายเริ่น อย่าเสียมารยาท”
ป๋ายเริ่นกลับยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าสามารถลองดูได้ เงื่อนไขก็คืออิ่นกวานยินดีใช้แค่สถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวในการออกหมัด”
“ตกลง”
ระหว่างที่เฉินผิงอันพูดก็ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว สองนิ้วประกบกัน มองดูเหมือนแตะที่หน้าผากของป๋ายเริ่นเบาๆ ทว่าร่างของผู้ฝึกยุทธหญิงกลับกระเด็นออกไป ไม่เพียงแต่กระแทกชนราวรั้วที่อยู่ด้านหลังจนพังยับ นางยังกระเด็นเป็นเส้นตรงลอยออกไปจากนครอวี้ป่าน
เย่พู่ที่ยังคิดไม่ตก ความคิดในหัวแล่นเร็วจี๋ หลังจากชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียอย่างรวดเร็วแล้วก็เลือกที่จะไม่ลงมือ
ตลอดทั้งเมืองหลวง เดิมทีอยู่ในดินแดนแก้วใสที่หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว กระตุกผมเส้นเดียวต้องสะเทือนทั้งร่าง พอป๋ายเริ่นกระแทกชนไปเช่นนั้นก็เกิดรอยร้าวเส้นหนึ่งทันที ต่อมาบริเวณโดยรอบรอยร้าวก็ปริแตกขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายนครอวี้ป่านก็คล้ายว่ามีฝนเทกระหน่ำที่ส่องประกายแสงสว่างพร่างพราวตกลงมากะทันหัน
ค่ายกลที่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินยังไม่อาจใช้หนึ่งกระบี่ผ่าได้ กลับแหลกสลายเพียงแค่แตะนิ้วเดียวง่ายๆ เช่นนี้
วิชาหมัด? ไม่เหมือน
จุดที่น่ากลัวที่สุดยังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มตรงหน้าผู้นี้ คล้ายว่าจะไม่ได้จงใจร่ายเวทกระบี่ออกมาเลย
ในที่สุดเย่พู่ก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยังใช่หมาเฝ้าประตูของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตัวนั้นอีกหรือไม่
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เย่พู่ หากให้ข้าไปเอากระบี่ในหอด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่ายืมแล้ว นั่นเรียกว่าแย่ง”
เย่พู่ยิ้มเจื่อน “ต่างกันด้วยหรือ?”
“ข้าจะนับถึงสิบ หลังจากนี้เกินครึ่งนครอวี้ป่านก็น่าจะไม่เหลือซากอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา แสดงท่าทีชัดเจนว่าให้เย่พู่รีบทำเวลา “เจ้าควรจะรู้สึกโชคดีที่นครอวี้ป่านไม่ใช่นครเซียนจาน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เหลืออยู่แล้ว”
นครเซียนจาน ถูกเรียกขานว่าเป็นนครสูงอันดับหนึ่งของเปลี่ยวร้าง
นครนี้ตั้งอยู่ใกล้กับภาพมายาภูเขาแห่งสุดท้ายของยันต์สามภูเขาพอดี
เย่พู่ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ ฮ่องเต้ของราชวงศ์อวิ๋นเหวินคนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นคนมีนิสัยเห่อเหิมทะเยอทะยานเป็นอันดับหนึ่ง ถึงกับเป็นฝ่ายเปิดตราผนึก โคจรเวทลับ ถอนตราผนึกขุนเขาสายน้ำสิบแปดชั้นออกด้วยตัวเอง จากนั้นกวักมือ บังคับที่วางพู่กันปะการังแดงชิ้นหนึ่งที่เดิมทีลอยตัวอยู่กลางอากาศ กระบี่บินแต่ละเล่มที่รวมตัวกันเป็นค่ายกลกระบี่เหมือนพู่กันที่ถูกวางไว้ด้านบนนั้น
เย่พู่ผลักออกไปเบาๆ ผลักที่วางพู่กันปะการังแดงให้กับนักพรตประหลาดที่แปลงโฉมเป็นอิ่นกวาน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวังว่า ‘สหายเฉิน’ จะสามารถออกไปจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อย่างปลอดภัย”
เฉินผิงอันเก็บที่วางกระบี่กับกระบี่บินใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้สมพรปากเจ้า เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืน ข้าก็จะมอบประโยคหนึ่งให้กับเจ้า หวังว่านครอวี้ป่านแห่งนี้จะแน่นหนามากพอ ขอบเขตบินทะยานของเจ้าจะมั่นคงมากพอ”
หลังจากแน่ใจว่าแขกไม่ได้รับเชิญออกไปจากนครอวี้ป่านแล้ว เย่พู่ก็ไม่ได้รีบร้อนไปตามหาป๋ายเริ่นที่สถานะสูงศักดิ์เป็นถึงฮองเฮา แต่ปล่อยดวงจิตออกไป เริ่มนับเลขอยู่ในใจเงียบๆ
จะระเบิดเจ้าให้ตายเลย
ที่วางพู่กันอันนั้นคืออาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง บวกกับที่กระบี่บินครึ่งหนึ่งระเบิดในเวลาเดียวกัน ต่อให้เขาเป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่งก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่ต้องสงสัย และหลังจากที่อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว เย่พู่ก็แค่ต้องไล่ตามความเคลื่อนไหวส่วนนั้นไป อย่างน้อยที่สุดก็เอากระบี่ครึ่งหนึ่งกลับมาได้ ขณะเดียวกันก็ได้สังหารศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งด้วย
ผลคือเย่พู่นับเวลาเสร็จแล้วกลับต้องปากอ้าตาค้าง เหตุใดถึงได้สูญเสียการเชื่อมโยงกับค่ายกลกระบี่แห่งนั้นไป?!
หายไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?
ลู่เฉินที่อยู่ในลานประกอบพิธีกรรมม้วนชายแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็เดินนิ่งต่อไป หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “อยู่ใต้เปลือกตาของข้ากลับโอ้อวดพรสวรรค์ด้านค่ายกลอย่างนั้นรึ น่าสนใจ น่าสนใจ ไร้เดียงสาซะจนน่าเอ็นดู”
หลังจากที่เฉินผิงอันจุดธูปคารวะที่ภาพมายาภูเขาลูกที่สองก็รีบมุ่งหน้าไปที่นครเซียนจานแห่งนั้นทันที
เล่าลือกันว่านครสูงแห่งนี้จำแลงมาจากปิ่น (จาน) เต๋าของผู้ฝึกตนคนแรกของฟ้าดิน
แต่การที่สามารถถูกเรียกขานว่าเป็นนครอันดับหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้นั้นก็เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิประเทศที่สูงชันของมันด้วย
หลังจากที่หนิงเหยาไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนนอกนครอวี้ป่านแล้วก็เดินเล่นเลียบริมน้ำไป จากนั้นก็ไปยังสถานที่แห่งถัดไปต่ออีกครั้ง
เพียงแต่ว่ารอกระทั่งฉีถิงจี้และลู่จือต่างก็ตามมาทันแล้ว ในทะเลสาบหัวใจของผู้ฝึกกระบี่สองคนนี้ก็มีเสียงในใจประโยคหนึ่งที่ราวกับรอคอยพวกเขาอยู่ปรากฎขึ้นมา “ฟันนครอวี้ป่านได้ตามสบาย หากครึ่งก้านธูปไม่พอ หนึ่งก้านธูปก็ได้”
เฉินผิงอันอยู่ในรัศมีร้อยลี้นอกนครเซียนจาน อยู่บนยอดเขาของภูเขาลูกหนึ่งที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ การที่ถูกบันทึกลงเอกสารคดีของคฤหาสน์หลบร้อนได้นั้น แน่นอนว่าเป็นเพราะอาศัยนครสูงแห่งนั้น
หลังจากจุดธูปคารวะแล้ว เฉินผิงอันก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทรุดตัวลงนั่งยอง มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากชายแขนเสื้อ ขยุ้มดินขึ้นมากำเล็ก กำไว้ในฝ่ามือแล้วขยี้เบาๆ
ลู่เฉินถามอย่างใคร่รู้ “ตอนอยู่นครอวี้ป่าน กว่าจะลงมือได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมถึงยังทำอย่างคลุมเครือแบบนั้นอีกเล่า?”
อาศัยมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ที่ให้เฉินผิงอันยืมไป ลู่เฉินไม่มีการเก็บงำอำพรางอะไรไว้ อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่โจรแห่งนี้ แค่โบกชายแขนเสื้อหนึ่งทีก็เป็นวิชาอภินิหารที่เป็นราวกับทัณฑ์สวรรค์แล้ว คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่นครป่ายฮวา หรือนครอวี้ป่าน เฉินผิงอันก็ล้วนยับยั้งตัวเองไว้เป็นอย่างดี ที่ผิดหลักการทั่วไปก็คือ ขอแค่เฉินผิงอันลงมือ ในทุกๆ ครั้งก็ล้วนเป็นการฝึกประสบการณ์บนมหามรรคาที่พันปียากจะพานพบอย่างหนึ่ง การขัดเกลามรรคกถาแต่ละอย่างในวันนี้ก็เหมือนท่าเรือแต่ละแห่งที่จะพบเจอบนเส้นทางยามเดินขึ้นเขาสูงในอนาคต สามารถรับประกันว่าเฉินผิงอันจะขึ้นไปสู่ยอดเขาได้เร็วยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งทั้งสองฝ่ายยังมีความรู้ใจกันดีเยี่ยม เฉินผิงอันรู้อยู่แก่ใจดีว่า ลู่เฉินไม่มีทางเล่นตุกติกหรือซุ่มซ่อนโจมตีกับเรื่องแบบนี้
“ชินกับการต้องลดขอบเขตสามขั้นยามออกมาข้างนอกแล้ว ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็ขอบเขตสูงขึ้นมาสามขั้น เลยปรับตัวไม่ค่อยทันเท่าไร”
เฉินผิงอันปล่อยมือ ดินที่อยู่ในฝ่ามือจึงร่วงลงพื้น เอ่ยเสียงเบาว่า “ดังนั้นตลอดทางมานี้จึงคอยเตือนตัวเองด้วยเหตุผลข้อหนึ่งตลอดเวลา เปลี่ยนจากประหยัดไปเป็นฟุ่มเฟือยนั้นง่าย เปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดกลับยากยิ่ง”
ลู่เฉินพยักหน้า จากนั้นก็ถามอย่างใคร่รู้ “เส้นทางของยันต์สามภูเขาส่วนสุดท้าย คิดดีแล้วหรือยัง?”
แล้วลู่เฉินก็หยิบคัมภีร์หวงถิงซึ่งศิษย์พี่เป็นคนคัดลอกออกมาจากชายแขนเสื้อ คัมภีร์เล่มนี้มีการแบ่งเป็นในนอกกลางสามส่วน ลู่เฉิน เว่ยฮูหยิน และยังมีสถานที่ฝึกตนแห่งหนึ่งในป๋ายอวี้จิงที่ในชื่อของนักพรตจะต้องมีอักษร ‘จือ’ ต่างก็ได้รับกันไปคนละส่วน
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “สำนักจิ่วเฉวียน ลำคลองอู๋ติ้ง”
ผู้ฝึกลมปราณของสำนักจิ่วเฉวียน ไม่มีความสามารถอื่นใด ทำเป็นแค่เรื่องเดียว หมักสุราเลิศรส ปีศาจใหญ่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างหลายคนที่เป็นราชาบนบัลลังก์เก่าซึ่งมีเชี่ยอวิ้น หย่างจื่อเป็นหนึ่งในนั้น ต่างก็ให้การดูแลสำนักแห่งนี้มากเป็นพิเศษ
ส่วนลำคลองอู๋ติ้งแห่งนั้น ถือเป็นน่านน้ำใต้การปกครองของลำคลองเย่ลั่ว เดินทางผ่านสองสถานที่นี้ ตำแหน่งสุดท้ายที่จะออกกระบี่ แน่นอนว่าต้องเป็นภูเขาทัวเยว่แล้ว
เฉินผิงอันถาม “มีความมั่นใจหรือไม่?”
ลู่เฉินเงยหน้ามองดวงจันทร์ “ประมาณหกส่วน”
ดวงจันทร์สามดวงของเปลี่ยวร้าง สองดวงในนั้นล้วนเคยมีเจ้าของ เจ้าอารามดอกบัวที่กายดับมรรคาสลายไปแล้ว นอกจากนี้ก็คือเซอเยว่ที่ทุกวันนี้…เลี้ยงเป็ดฝูงหนึ่งอยู่ริมลำคลองหลงซวี มีเพียงดวงตรงกลางที่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเจ้าของ ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสามารถอาศัยฝีมือของตัวเองไปเที่ยวเยือนได้ตามใจชอบ แต่ภูเขาทัวเยว่ไม่อนุญาตให้สร้างสถานที่ฝึกตนขึ้นมา
ลู่เฉินยื่นนิ้วชี้ไปยังถาดหยกขาว (เปรียบเปรยถึงดวงจันทร์) ใบนั้น ถามว่า “ทำไมไม่ลองดวงจันทร์ดวงนี้ดูล่ะ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจเลย”
ลู่เฉินทำการอนุมานอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่สามส่วน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ก็ยังเท่ากับว่าไม่มีความมั่นใจอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
หลังจากที่เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนเส้นทาง สิงกวานหาวซู่ก็อาศัยยันต์เปินเยว่แผ่นหนึ่งทำการ ‘บินทะยาน’ ไปเพียงลำพังอย่างเงียบเชียบแล้ว
สุดท้ายหาวซู่จะรออยู่ที่นั่น คอยรอรับฉีถิงจี้กับลู่จือ
ถ้อยคำของนักกวี หากปรารถนาจะมองเห็นไกลกว่าเดิม ก็ต้องขึ้นหอเรือนไปอีกชั้น
เรื่องราวของตระกูลเซียน หากปรารถนาจะชมหอเรือนในใต้หล้า ตัวต้องอยู่ในแสงจันทร์
เฉินผิงอันตั้งใจจะทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเหลือดวงจันทร์แค่ดวงเดียว
เฉินผิงอันปัดมือ ลุกขึ้นยืนช้าๆ หยิบเหล้าออกมาหนึ่งกา เป็นเหล้าภูเขาชิงเสินบ้านตน เขาจิบเหล้าไปหนึ่งอึก
เฉินผิงอันยกหลังมือขึ้นเช็ดมุมปาก ถามว่า “สามจิตเจ็ดวิญญาณ ดูเหมือนว่าความรู้ของเจ็ดวิญญาณจะมีไม่มาก แต่ตอนที่ข้าอยู่ในศาลบุ๋นเคยเห็นว่า แรกเริ่มสุดนั้นสามจิตมีคำเรียกขานว่าฟ้าดินคน?”
ลู่เฉินไม่ฝึกหมัดอีก เขานั่งลงขัดสมาธิ วางสองมือทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง “เอ่ยว่า “จุดที่สามจิตมุ่งไปก็คือความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว จิตฟ้ามุ่งไป ก็คือกรงขังฟ้า ก็ยังมีคำกล่าวอีกอย่างหนึ่งบอกว่าจิตบินไปนอกฟ้าไม่ใช่หรือ เทวบุตรมารนอกโลกมาได้อย่างไร ตอนนี้คงรู้แล้วกระมัง? ส่วนสถานที่ที่จิตดินมุ่งไป พิถีพิถันในเรื่องของบุญกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นจึงไปยังสถานที่จำพวกนครเฟิงตูเมืองผี ส่วนพวกวิญญาณผีเร่ร่อนที่หลังจากตายไปแล้วยังวนเวียนอยู่ในโลกคนเป็นไม่ไปไหน อันที่จริงก็คือจิตคนแล้ว เจ็ดวิญญาณจะติดตามเฉพาะจิตนี้เท่านั้น คำว่าขวัญหนีดีฝ่อ (แปลตรงตัวจะได้ว่าจิตบินวิญญาณกระจาย) ที่พวกชาวบ้านเอ่ยกันนั้น ก็มีความเป็นมาเช่นนี้ มีความเกี่ยวพันบนมหามรรคาอย่างที่มองไม่เห็นกับแซ่สกุลของพวกเราและชื่อจริงของเผ่าปีศาจ ขวัญหายไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลมหายใจรวยริน เคราะห์กรรมหมดสิ้นของพวกชาวบ้านล่างภูเขาอะไรนั่น คำกล่าวเหล่านี้ล้วนสืบทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัย อันที่จริงได้เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์มานานแล้ว เพียงแค่ว่าพูดอย่างคลุมเครือเท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ลู่เฉินยิ้มถาม “เจ้าให้หาวซู่ไปอยู่ในดวงจันทร์ ดูเหมือนว่าทุกคน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ถามว่าทำไม”
เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถาม “ยกตัวอย่างเช่นมีหลักการเหตุผลอยู่ข้อหนึ่ง ใช้กันมานานหมื่นปี หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
หลักการเหตุผลข้อนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง ข้าก็คือผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนหนึ่ง
ลู่เฉินทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง ปรบมือยิ้ม “คำกล่าวนี้ยอดเยี่ยมนัก”
เฉินผิงอันกระดกเหล้าเข้าปากแรงๆ หนึ่งอึก เก็บกาเหล้า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หรี่ตาเขม้นมองนครเซียนจานแห่งนั้น
ลู่เฉินถาม “ต่อจากนี้พวกเราสองคนก็แวะไปเยี่ยมเยือนถึงเรือน ทักทายกับเจ้าบ้านสักคำสองคำก่อน?”
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็ดีดปลายเท้าหนึ่งที ภูเขาลูกหนึ่งใต้ฝ่าเท้าพลันปริแตกถล่มทลาย มหามรรคาจำแลงเป็นกายธรรมใหญ่โตโอฬารของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ตนหนึ่ง เท้าหนึ่งเหยียบพื้น ควงแขนข้างหนึ่งขึ้น กำหมัดทุบลงบนนครสูงแห่งนั้นโดยตรง