กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 858.3 ทำลายเมือง
นักพรตไม่ทราบนามที่หล่นลงมาจากฟ้าตรงหน้าผู้นี้ อยู่ดีๆ ก็มาเยี่ยมเยือนนครเซียนจาน จากนั้นไม่พูดไม่จาก็ลงมือทุบทำลายเมืองทันที กายธรรมนี้ช่างน่าตะลึงพรึงเพริดเกินไปแล้วจริงๆ
พูดถึงแค่เส้นทางของกายธรรม บางทีเจ้าอารามดอกบัวที่ได้ครอบครองดวงจันทร์ดวงหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กับหย่างจื่อผู้ครองลำคลองเย่ลั่วเก่าที่ได้ยึดครองโชคชะตาน้ำไปมากมาย บางทีสองคนนี้อาจจะพอทำได้ถึงขั้นนี้อยู่บ้าง เพียงแต่ว่าฝ่ายแรกกายดับมรรคาสลายไปแล้ว ฝ่ายหลังได้ยินว่าตอนแรกก็ถูกหลิ่วชีที่หวนคืนสู่ใต้หล้าไพศาลไปดักกลางทางในบริเวณใกล้เคียงกับกุยซวี สุดท้ายถูกศาลบุ๋นกักตัวไว้ในภูเขาอัคคีที่มีการสยบกำราบทางมหามรรคา
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีฉายาว่าโซ่วเหมยเอ่ยอย่างกังขา “เป็นอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นจริงๆ หรือ? แต่ตอนที่เขาอยู่บนหัวกำแพง เพิ่งจะมีขอบเขตเป็นหยกดิบไม่ใช่หรือ? จากข่าวที่ได้มาจากภูเขาทัวเยว่ ตอนงานประชุมครั้งนั้น ขอบเขตผู้ฝึกตนของเฉินผิงอันก็ยังคงเดิม ก็แค่ว่าขอบเขตการเรียนวรยุทธเปลี่ยนจากขอบเขตยอดเขามาเป็นขอบเขตปลายทางแล้ว”
เผชิญหน้ากับการหาความสำราญท่ามกลางความทุกข์ของสหายรัก ด้านหนึ่งก็วาดยันต์เจียวหลงโยนลงไปในน้ำไม่หยุดเพื่อเพิ่มโชคชะตาน้ำให้กับประตูมังกร ด้านหนึ่งก็ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “หากอิ่นกวานถูกรั้งตัวไว้เป็นแขก เจ้าก็ลองไปถามด้วยตัวเองดูได้”
“กวานเต๋าชิ้นนั้น มองดูคล้ายของแทนตัวของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงกระมัง? เป็นของเลียนแบบหรือ? เล่าลือกันว่าเจ้าอารามดอกบัวต้องสิ้นเปลืองสมบัติวิเศษแห่งสวรรค์ไปนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จอยู่ดี ต้องเสียแรงเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่หรือ? ขนาดเจ้าอารามดอกบัวยังทำไม่ได้ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราใครเล่าจะสร้างวีรกรรมเช่นนี้ได้?”
ผู้ฝึกตนที่วาดยันต์ชำเลืองตามองกวานดอกบัวที่อยู่บนศีรษะของนักพรตแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “ของจริงเป็นอย่างไร ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญแล้วกระมัง หากพวกเราร่วมแรงกันแล้วยังไม่อาจรักษานครเซียนจานเอาไว้ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าได้หวังเลย ขอบเขตต่างกันมากเกินไป นักพรตผู้นั้นแค่ยกฝ่ามือตบง่ายๆ ก็สามารถตบมดตัวน้อยอย่างพวกเราให้ตายได้แล้ว”
“แต่หากนครเซียนจานสามารถแบกรับหายนะครั้งนี้เอาไว้ได้ เมื่อมรสุมยุติลงก็จะกลายเป็นเรื่องพูดคุยอันงดงามบนภูเขาที่เล่าต่อกันไปนานเป็นพันปีได้แล้ว”
“อีกอย่างก่อนหน้านี้เจ้าก็ตั้งใจไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อวาดภาพของอิ่นกวานหนุ่มมาโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ? พี่โซ่วเหมย เวลานี้อันที่จริงเจ้าสามารถรีบจุดธูปขอร้องให้คนนอกนครก็คือเฉินผิงอันได้แล้วนะ ไม่แน่ว่าอาศัยสิ่งนี้เจ้าอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิตได้เสี้ยวหนึ่ง”
“ก็ได้ๆ ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยขอร้องแทนเจ้าไปพร้อมกันด้วย”
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่นั่งอยู่สองด้านของประตูมังกร เรือนกายโยกคลอนไปตามนครเซียนจาน สหายเก่าแก่สองคนพูดคุยหยอกล้อกัน เพียงแต่ว่าเมื่อมองสบตากันจึงสังเกตเห็นว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายล้วนจืดเจื่อน
“ใช่แล้ว ทั้งก่อนและหลังเจ้าหมอนี่ออกหมัดทั้งหมดกี่ครั้งกันแน่?”
“ประมาณยี่สิบห้าหมัดได้แล้วล่ะ”
“ตอนนี้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวก็คือหวังให้เฝ่ยหรานผู้นั้นกำลังอยู่ระหว่างเร่งเดินทางมาที่นครเซียนจานพอดี”
และเวลานี้เอง ตรงกรอบป้ายประตูมังกรของซุ้มหินก็มีน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มดังขึ้นมา พูดด้วยภาษากลางของเปลี่ยวร้างซึ่งสำเนียงถูกต้อง “พี่เฝ่ยหรานของข้าคนนั้นก็จะมาเป็นแขกที่นครเซียนจานด้วยหรือ?”
คนชุดเขียวสะพายกระบี่ยาวคนหนึ่งเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่ตรงนั้น ก้มหน้ายิ้มมองผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีฉายาว่าโซ่วเหมย
ในเมื่อบนร่างแบกขอบเขตสิบสี่เอาไว้ก็สามารถทำเรื่องประเภทปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรงได้แล้ว
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงยังคงต้องมานะอุตสาหะ
ก่อนจะปล่อยหมัด อันที่จริงเฉินผิงอันก็แฝงตัวเข้ามาในนครเซียนจานอย่างลับๆ แล้ว เขาเดินเล่นมาตลอดทางเหมือนเข้ามาในดินแดนไร้ผู้คน คอยตามหาจุดศูนย์กลางของค่ายกลใหญ่อยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่รีบร้อนลงมือ
ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัวบนศีรษะของกายธรรมนอกเมือง ลู่เฉินนั่งยองอยู่บนพื้น ยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ทอดถอนใจ เริ่มไม่คาดหวังให้เฉินผิงอันไปเที่ยวเยือนใต้หล้ามืดสลัวแล้ว
ผู้ฝึกตนทั้งสองเงยหน้าพรวดขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
เรือนกายบริสุทธิ์ไร้มลทิน เป็นภาพบรรยากาศที่คนและฟ้าผสานรวมกันเป็นหนึ่ง
ผู้ฝึกตนเฒ่าฉายาโซ่วเหมยเหม่อมองคนชุดเขียวที่ไม่ได้สวมกวาน ไม่ได้สวมชุดนักพรต ใบหน้านั้นเขาย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรกายธรรมที่สูงปานนั้น ตอนนี้ก็ยังยืนอยู่ข้างนอก
เห็นเพียงว่าคนชุดเขียวดีดนิ้วหนึ่งที
ผู้ฝึกตนเฒ่าเค่อชิงแห่งนครเซียนจานที่ก่อนหน้านี้คอยวาดยันต์โยนลงน้ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรือนกายจิตวิญญาณและโอสถทองก่อกำเนิดเหมือนเมล็ดถั่วเหลืองเมล็ดหนึ่งที่ระเบิดแตกคาที่
คนชุดเขียวยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าถามเจ้าอยู่นะ”
ผู้ฝึกตนเฒ่าหุบปากไม่พูดไม่จา ได้แต่อยู่เฉยรอความตาย
ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะเปลี่ยนใจ ยิ้มเอ่ยว่า “เดี๋ยวเจ้าช่วยนำความของข้าไปบอกพี่เฝ่ยหรานแทนข้าที บอกไปว่าครั้งนี้เฉินผิงอันมาเป็นแขกที่นครเซียนจาน บังเอิญยิ่งนัก ครานี้เปลี่ยนมาเป็นข้าที่เดินนำไปก่อน ถือเสียว่าเป็นของขวัญตอบแทนจากเรื่องที่อารามหวงฮวาในปีนั้น ต่อจากนี้ยังมีของขวัญอวยพรอีกชิ้นหนึ่งให้ที่ลำคลองอู๋ติ้ง ถือว่าเป็นการแสดงความยินดีที่พี่เฝ่ยหรานเลื่อนขั้นเป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างจากข้า”
ผู้ฝึกตนเฒ่าอึ้งงันไร้คำพูด ได้แต่พึมพำว่า “เจ้าคืออิ่นกวานเฉินผิงอันจริงๆ หรือ?!”
น่าเสียดายที่เรือนกายของอีกฝ่ายหายวับไปแล้ว
เสวียนผู่เจ้านคร ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง แต่กลับไม่มีความคิดที่จะลงมือด้วยตัวเองเลยสักนิด ไม่ใช่ไม่อยากโจมตีให้ศัตรูล่าถอยด้วยตัวเอง แต่เป็นเพราะไม่กล้าออกจากเมืองพาตัวไปตาย
เรื่องของการจับคู่เข่นฆ่า เสวียนผู่ไม่เชี่ยวชาญเลยจริงๆ
หลังจากที่ไอ้บ้าที่อยู่นอกนครปล่อยหมัดออกมายี่สิบครั้ง สีหน้าของเสวียนผู่ก็เหมือนขี้เถ้ามอด ดูจากท่าทางในเวลานี้แล้ว ไม่ต้องถึงสิบหมัดเมืองก็คงแตกแล้วจริงๆ เสวียนผู่กัดฟัน ตรงดิ่งไปที่ศาลบรรพจารย์นครเซียนจาน ในนั้นแขวนภาพเหมือนไว้สามภาพ ตรงกลางคือภาพเหมือนของสตรีคนหนึ่ง รูปโฉมอ่อนเยาว์ ใบหน้างามพิลาส บนศีรษะปักปิ่นนักพรตหยกขาว คนที่เหลืออีกสองคนแบ่งออกเป็นเจ้านครรุ่นที่สอง รุ่นที่สาม ด้านใต้ภาพเหมือนทุกภาพล้วนวางโต๊ะบูชาที่ไม่เหมือนกันเอาไว้หนึ่งตัว ทว่าบนโต๊ะทุกตัวล้วนวางกระถางธูปไว้ใบหนึ่ง นอกจากบรรพจารย์หญิงผู้บุกเบิกภูเขาคนนั้นแล้ว บนโต๊ะบูชายังวางตะเกียงน้ำมันไว้อีกสองดวง
หลังจากเสวียนผู่จุดธูปคารวะทุกคนแล้วก็หยิบขวดกระเบื้องสองใบออกมาจากชายแขนเสื้อ ครั้นจึงเริ่มเติมน้ำมัน ขวดน้ำมันสองขวดเป็นสีเหลืองทองที่แตกต่างไปจากปกติ
หลังจากเสวียนผู่จุดธูปคารวะ เติมน้ำมันเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เสวียนผู่เจ้านครรุ่นที่สี่ขออัญเชิญอาจารย์และบรรพจารย์ลงมาจุติเพื่อปกป้องคุ้มภัยด้วย”
ภาพเหมือนแผ่นหนึ่งวาดเป็นภาพของผู้เฒ่า เส้นผมหนวดเคราของเขาทั้งยาวทั้งแข็งเหมือนหอกง้าว พื้นผิวของภาพเหมือนเกิดริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก ก่อนจะมีเสียงหัวเราะหยันเย็นชาดังลอดออกมา เปิดปากถามเสวียนผู่ “เมื่อเทียบกับเจ้าจูเยี่ยนผู้นั้นแล้วเป็นอย่างไร?”
สีหน้าของเสวียนผู่ซีดขาว ก้มหน้าค้อมเอวต่ำ ตอบอย่างนอบน้อม “ตอบท่านอาจารย์ มีแต่จะเก่งกาจกว่าไม่มีด้อยกว่าขอรับ”
ภาพเหมือนอีกภาพลำดับอาวุโสสูงยิ่งกว่า คือผู้ฝึกตนหญิงที่มีลักษณะเป็นหญิงชรา ในมือของนางบนภาพวาดถือแส้ปัดฝุ่น นางเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “คงไม่ใช่ราชาบัลลังก์เก่าคนใดที่ได้โอกาสเหมาะออกจากด่านมาพอดีกระมัง?”
เสวียนผู่ตอบเสียงสั่น “เรียนบรรพจารย์ ตอนนี้ศิษย์หลานยังไม่รู้รากฐานของอีกฝ่าย ได้แต่คาเดาว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนผู้ฝึกตนของเปลี่ยวร้าง”
เรื่องของการเติมน้ำมันให้กับบรรพจารย์ทั้งสองท่านนี้ อย่างมากสุดนครเซียนจานก็มีโอกาสแค่สามครั้งเท่านั้น ก่อนหน้านี้จูเยี่ยนมาเยือนถึงถิ่นก็ได้ใช้หมดไปแล้วคนละหนึ่งครั้ง บวกกับวันนี้ นี่ก็หมายความว่าหากมีการอัญเชิญตัวมาอีกครั้ง บรรพจารย์สองท่านที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อวางแผนหาทางถอย หลบไปอยู่ในพื้นที่ลับของโลกมืดเพื่อฝึกตนอย่างยากลำบาก เกรงว่าคงไม่มีโอกาสแม้สักเสี้ยวที่จะกลับมายังโลกคนเป็นอีกแล้ว ดังนั้นไม่ใช่ว่าเสวียนผู่เสียดายน้ำมันสีทองที่มีมูลค่าควรเมืองสองขวดนั้น แต่เป็นบรรพจารย์ของนครเซียนจานสองท่านที่เสียดายชีวิตบนมหามรรคาของตัวเอง หากมีครั้งที่สามจริงๆ แล้วเสวียนผู่ยังเป็นเจ้านครที่ทำหน้าที่จุดธูปเติมน้ำมันนี้ ต่อให้บรรพจารย์ทั้งสองท่านปกป้องนครเซียนจานที่เจอกับหายนะเอาไว้ได้ แต่เสวียนผู่กลับต้องไม่มีทางรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้แน่นอน
ผู้เฒ่าคนนั้นเดินก้าวหนึ่งออกมาจากภาพเหมือน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปเจอเจ้าคนที่มารนหาที่ตายผู้นั้นสักหน่อย”
ภายในสามก้านธูป เขาสามารถอยู่ในโลกสว่างได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกขุนนางเมืองผีที่รับมือยากอย่างถึงที่สุดพวกนั้นไล่ตามเบาะแสมาเจอ
เพียงแต่ว่าเรือนกายของอาจารย์เสวียนผู่เพิ่งจะสัมผัสพื้นของศาลบรรพจารย์ ตรงธรณีประตูก็มีคนนอกคนหนึ่งที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวสะพายกระบี่ปรากฎตัวขึ้นมา เอนหลังพิงประตูใหญ่ สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ คลี่ยิ้มเจิดจ้าเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าจะยังมีปลาใหญ่สองตัวที่หลุดรอดตาข่ายไปได้ วิถีแห่งการรับรองแขกของนครเซียนจานช่างทำให้คนตกตะลึงที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝันจริงๆ วันหน้าเมื่อมีโอกาสจะต้องมาที่นี่บ่อยๆ แน่”
หญิงชรารีบใช้เสียงในใจบอกกล่าวคนทั้งสองทันที “รีบรบรีบจบ พวกเราร่วมมือกันฆ่าจิตหยินตนนี้ซะ!”
ถูกค่ายกลใหญ่ของนครเซียนจานสกัดกั้นฟ้าดิน ต่อให้เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ใช้จิตหยินออกเดินทางไกลมายืนอยู่ที่นี่ก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานสามคนในเวลาเดียวกัน
ต่อให้อีกฝ่ายคือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ไม่ทราบนามคนหนึ่ง…นครเซียนจานก็ยังมีโอกาสชนะได้! เงื่อนไขก็คือจิตหยินตนนี้เป็นหนึ่งเดียวกับร่างจริงและกายธรรมของนักพรตที่อยู่ข้างนอก
เพียงชั่วประกายไฟแลบ เฉินผิงอันก็ลงมืออย่างเงียบเชียบ ตบตะเกียงน้ำมันพร้อมกับกระถางธูปบนโต๊ะสองตัวให้พลิกคว่ำ โดยเฉพาะน้ำมันสีทองในตะเกียงน้ำมันที่แยกกันตรงดิ่งกลับไปในภาพวาด เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไสหัวกลับไปแต่โดยดี”
หญิงชราหวีดร้องเสียงแหลม รีบถอยกลับเข้าไปในม้วนภาพ สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ลมเย็นเยือกซัดตลบ ถึงกับยังมิอาจโจมตีให้เส้นยาวสีทองเส้นนั้นถอยร่นกลับไปได้ หากน้ำมันหอมสีทองที่มาจากโลกมนุษย์ไปปรากฎในพื้นที่ฝึกตนแม้เพียงหยดเดียว ก็จะเป็นสภาพการณ์ที่ดวงตะวันลอยขึ้นกลางนภา ยังจะหลบเลี่ยงอะไรได้อีก นางจึงได้แต่ตัดสินใจอำมหิต โยนแส้ปัดฝุ่นทิ้ง ถึงขัดขวางไม่ให้น้ำมันสีทองหยดนั้นเข้าไปในม้วนภาพได้ ขณะเดียวกันนางถึงกับยื่นมือออกมาคว้า ภาพเหมือนของนางก็พลันประกบปิดในเสี้ยววินาที จากนั้นก็มีฝ่ามือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งซึ่งยื่นออกมาจากน้ำวนกำแกนภาพไว้อย่างว่องไว สุดท้ายถูกนางพากลับไปยังโลกมืดพร้อมกัน แม้แต่โอกาสครั้งสุดท้ายที่นครเซียนจานจะอัญเชิญเทพมาก็ล้วนสลายหายไปด้วย
ส่วนผู้เฒ่ากลับเคลื่อนไหวช้าไปเสี้ยวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีประสบการณ์โชกโชนเหมือนอาจารย์ แม้ว่าจะสกัดขวางเส้นสีทองเอาไว้ได้ แต่ม้วนภาพกลับยังถูกคนชุดเขียวยื่นมือมาคว้าเอาไว้
เสวียนผู่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ ทำอะไรไม่ถูก
เฉินผิงอันมองเจ้านครเซียนจานคนก่อน “หากไม่ต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับข้าภายในเวลาสามก้านธูป รอให้เรือนกายของเจ้าสลายหายไป ข้าก็จะเชิญให้เสวียนผู่จุดธูปเติมน้ำมัน จากนั้นค่อยพูดคุยรำลึกความหลังกันต่ออีกครั้ง หรือไม่เจ้าก็ลงมือสังหารลูกศิษย์ที่เกือบจะหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นี้ให้ตายด้วยตัวเอง เมื่อเสวียนผู่ตายไป คาดว่านครเซียนจานก็คงไม่มีใครรู้วิธีอัญเชิญเทพอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นม้วนภาพในมือข้าภาพนี้ แน่นอนว่าก็จะกลายเป็นเพียงเศษกระดาษที่ไม่มีค่าอีกต่อไป”
เฉินผิงอันยกม้วนภาพในมือขึ้นมาส่ายเบาๆ “ว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าโบกมือ
เสวียนผู่ตกใจขวัญกระเจิง “อาจารย์อย่าได้หลงกลแผนยุแยงให้แตกแยกเช่นนี้เด็ดขาดเชียว อาจารย์และศิษย์ร่วมมือกันยังมีโอกาสชนะ…”
ทว่าบรรพจารย์ของนครเซียนจานถึงกับคร้านจะพูดจาไร้สาระกับลูกศิษย์เศษสวะที่ไม่มีปัญญาทำเรื่องให้สำเร็จ แต่ความสามารถในการก่อหายนะกลับเหลือเฟืออย่างเสวียนผู่แม้แต่ครึ่งคำ กระแทกเวทคาถาแห่งชะตาชีวิตบทหนึ่งใส่เสวียนผู่อย่างอำมหิตโดยตรง ขณะเดียวกันก็ถามคนชุดเขียวที่เดินออกไปจากประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ช้าๆ ด้วยว่า “สรุปแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?”
มือกระบี่ชุดเขียวหยุดเดิน เมื่อเขาหันหน้าไปมอง ใบหน้าก็แต้มไปด้วยรอยยิ้ม
ยังมีดวงตาสีทองที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดคู่นั้น
บรรพจารย์ที่อยู่ในศาลบรรพจารย์เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าปากมากถามอะไรอีก ได้แต่รีบสังหารเจ้าเสวียนผู่สมควรตาย จัดการภัยแฝงที่อาจตามมาภายหลังโดยไว
อาจารย์และศิษย์ในห้องสองคน สืบทอดสายเดียวกัน ต่างก็รู้รากฐานกันและกันดี เมื่อเทียบกันแล้วยังคงเป็นเสวียนผู่ที่เสียเปรียบมากกว่า เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ก็ฝึกวิถีแห่งผีอยู่ที่นั่นมานานนับพันปีแล้ว
ยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เพียงไม่นานศาลบรรพจารย์แห่งหนึ่งก็ถูกอาจารย์และศิษย์สองคนร่วมมือกันรื้อทิ้ง
เสวียนผู่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน เจ้านครเซียนจานคนปัจจุบัน กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของอาจารย์ตัวเองเช่นนี้
เฉินผิงอันอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเสวียนผู่กายดับมรรคาสลายไปแล้ว ก็โยนภาพเหมือนในมือออกไปยังสถานที่หลอมโอสถบนยอดเขา
สายตาสุดท้ายที่มองไปก่อนหน้านี้ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้มองอาจารย์และลูกศิษย์ที่กลายมาเป็นศัตรูกัน แต่มองบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของนครเซียนจานที่ปักปิ่นนักพรตบนภาพวาด สตรีในภาพคล้ายจะเบิกเนตรสวรรค์มองแผ่นหลังของคนชุดเขียวแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ราวกับได้เจอคนรู้จัก แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจในสถานะของอีกฝ่าย จากนั้นภาพเหมือนก็เผาไหม้ตัวเองไปทั้งอย่างนี้
ลู่เฉินนั่งยองอยู่ในลานประกอบพิธีกรรม นวดคลึงปลายคาง หากจะบอกว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วใช้กระบี่ยกเสยภูเขาตะวันเที่ยงก็เพื่อฝึกปรือฝีมือยามที่ต้องใช้กระบี่ฟันภูเขาทัวเยว่ในอนาคต
ถ้าอย่างนั้นวันนี้ใช้หมัดเขย่าคลอนนครเซียนจานอย่างไม่รีบไม่ร้อน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนต้องการอุ่นเครื่องเพื่อลงมือกับป๋ายอวี้จิงในอนาคต? นครหนันหัวจะไม่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยหรอกหรือ?
ดังนั้นลู่เฉินจึงไม่คาดหวังให้เฉินผิงอันเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ในเร็ววันอีกแล้ว
ส่วนนอกเมือง
เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่เรียนรู้มาจากผู้ฝึกยุทธชุยฉานทุบทำลายนครอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
กระบวนท่าหมัดแบบเดียวกัน ปล่อยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่าปณิธานหมัดได้ทับซ้อนกันจนไม่มีขอบเขตสิ้นสุด
ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ที่มีนครเซียนจานเป็นจุดศูนย์กลางต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เหมือนมีสายฟ้าคำรณอื้ออึงดังอยู่ใต้พื้นดิน ขณะเดียวกันก็ระเบิดอยู่กลางอากาศสูงของโลกมนุษย์ไปด้วย
หมัดหนึ่งต่อยทะลุตราผนึกขุนเขาสายน้ำของนครเซียนจาน หมัดของกายธรรมนักพรตผู้นั้น ในที่สุดก็สัมผัสโดนร่างจริงของนครสูง
ปล่อยอีกหนึ่งหมัด แขนเกือบครึ่งของกายธรรมนักพรตก็เหมือนเจาะทะลวงภูเขา ผลุบลึกเข้าไปในนครเซียนจาน
หมัดที่สามต่อยทะลุตลอดทั้งนครเซียนจานไปโดยตรง แขนทั้งแขนวางพาดขวางอยู่ในนคร จากนั้นกวาดออกไปในแนวขวาง นครสูงอันดับหนึ่งของใต้หล้าก็ถูกทำลายจนแตกออกเป็นสองท่อนเช่นนี้
นครสูงครึ่งท่อนบนที่เอนล้มลงมาถูกกายธรรมของนักพรตใช้ฝ่ามือกดด้านข้างเอาไว้แล้วผลักออกอย่างแรง จึงหล่นกระแทกลงบนพื้นดินห่างไปหลายร้อยลี้ ฝุ่นผงคละคลุ้งตลบอบอวลจนมืดฟ้ามัวดิน
ส่วนนครสูงครึ่งท่อนล่างที่เหลืออยู่ กายธรรมนักพรตประสานสิบนิ้วเข้าด้วยกัน ประกบเป็นหมัด ชูขึ้นสูง เหวี่ยงหมัดทุบลงอย่างแรงจนนครครึ่งล่างผลุบหายเข้าจมลึกไปในพื้นดินอย่างต่อเนื่อง