กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 860.3 เหล่าคนรุ่นเยาว์
วันนี้หมี่ลี่น้อยอารมณ์ไม่เลว ไม่เหมือนเมื่อหลายปีก่อน ทุกครั้งที่คิดถึงเจ้าขุนเขาคนดีหรือไม่ก็เผยเฉียน นางจะไม่ค่อยกล้าให้คนอื่นรู้มากนัก ได้แต่พูดบอกความในใจกับเมฆขาวที่ผ่านประตูบ้านมา แต่ตอนนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว
หมี่ลี่น้อยนั่งขัดสมาธิวางไม้เท้าเดินป่าสีเขียวกับคานหาบสีทองพาดไว้บนหัวเข่า นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มกว้าง รีบยื่นมือมาป้องข้างปาก เอ่ยว่า “พี่หญิงหน่วนซู่ วันหน้าพวกเราไปเที่ยวเล่นที่เมืองหงจู๋ด้วยกันนะ ที่นั่นข้าคุ้นเคยดีมากเลยล่ะ”
หน่วนซู่ยิ้มถาม “แค่พวกเราสองคนหรือ?”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “แน่นอนว่ายังมีเจ้าขุนเขาคนดีด้วยสิ”
ก่อนจะรีบอธิบายต่ออย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ว่าข้าขี้ขลาดหรอกนะ แต่เป็นเพราะขาสั้น เวลาเดินน่ะเหนื่อยมากเลย ยืนอยู่ในตะกร้าของเจ้าขุนเขาคนดีกลับไม่เปลืองแรงเลยสักนิด”
หน่วนซู่ยิ้มตาหยี ยื่นมือไปบิดแก้มของหมี่ลี่น้อย “แบบนี้เองหรือ”
หมี่ลี่น้อยโคลงศีรษะหัวเราะฮ่าๆ “เป็นแบบนี้ไม่ใช่แบบนั้น”
ลำธารยาวยาวไปยังทิศไกล ต้นไม้สูงสูงใหญ่กำลังเติบโต
พ่อครัวเฒ่าบอกว่าไม่มีเด็กที่เติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่คนใดจะเอาคำพูดในใจพูดออกมาจากปาก เมื่อเติบใหญ่แล้วก็จะเอาคำพูดในใจเก็บไว้ในใจเท่านั้น
……
บุรุษชุดเขียวที่หนวดเครารกรุงรังปรากฏตัวที่เมืองหูเอ๋อร์ริมชายแดนต้าเฉวียน น่าเสียดายที่โรงเตี๊ยมที่คุ้นเคยไม่มีอยู่แล้ว ทำให้เขาที่เป็นนักบัญชีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ได้ยินว่าจิ่วเหนียงไปที่สำนักกุยหยกก่อน ภายหลังก็ไปที่ภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นดินกลาง ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่ได้พบเจอกัน จิ่วเหนียงจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็น่ามอง แล้วก็ไม่รู้ว่าการพบเจอกันอีกครั้งหลังเผชิญพิบัติภัย จะสงสัยว่ากำลังฝันไปหรือไม่?
ขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปในทุกวันนี้ มีแต่หลุมบ่ออยู่ทั่วทุกหนแห่งจนแทบไม่อาจทนมองได้จริงๆ
เขาคิดแล้วก็ไม่ได้ไปที่สำนักศึกษาต้าฝู แต่คิดว่าจะไปที่ตำหนักปี้โหยวลำคลองม่ายเหอก่อนสักรอบ ดูสิว่าจะสามารถขอสุราบุปผาวารีและบะหมี่ปลาไหลกินได้หรือไม่ หลายปีมานี้เขารู้สึกน้ำลายสออยากกินมาโดยตลอด
ส่วนเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอผู้นั้น แซ่หลิ่วนามโหรว ใครจะกล้าเชื่อ?
ได้เจอกับเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอแล้วก็ไปที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักปี้โหยว อิงตามกฎเดิม นั่งหันหน้าเข้าหากัน ด้านหน้าวางบะหมี่อ่างใหญ่ไว้คนละใบ
เหนียงเนียงเทพวารียกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งยาว “พี่น้องจง รสชาติเป็นอย่างไร เทียบกับบะหมี่ปลาไหลของปีนั้น กินแล้วอร่อยกว่าเดิมหรือไม่?”
สถานที่แห่งอื่นเมื่อถึงฤดูหนาวหากไม่ตากแดดก็ตากหิมะ แต่ตำหนักปี้โหยวแห่งนี้กลับตากพริก เม็ดไม่ใหญ่ รูปโฉมก็ธรรมดา หงิกๆ งอๆ แต่กลับเผ็ดมาก พริกชี้ฟ้าของในจวนเมื่อก่อน นอกจากรูปร่างภายนอกแล้วก็ไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้
จงขุยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ม้วนบะหมี่ขึ้นมาคำใหญ่ หลังกลืนลงไปแล้ว ยกถ้วยเหล้าสูดดังซู้ดหนึ่งทีก็สั่นเยือกไปทั้งตัว “เผด็จการยิ่งนัก”
ผู้ฝึกตน หากคิดจะลิ้มลองรสชาติของโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้าหรืออาหาร ถึงกับจำเป็นต้องเก็บปราณวิญญาณลงไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่เหมือนกัน
เหนียงเนียงเทพวารีชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “ก่อนหน้านี้ข้าได้เจออาจารย์น้อยเฉินผิงอันแล้ว ยังมีท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่ความรู้ดีที่สุดในโลก แล้วยังมีอาจารย์จั่วที่เวทกระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าด้วย!”
จงขุยหัวเราะร่า “ข้าออกเดินทางไกลไปครั้งหนึ่ง ได้เจอกับหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง และยังมีพระโพธิสัตว์สองพระองค์ของดินแดนพุทธะสุขาวดี ยังมีมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธที่สมณศักดิ์สูงอีกหลายคน”
หลิ่วโหรวเอ่ยอย่างอัดอั้น “เจ้าเป็นบุรุษตัวโตๆ ที่มีดุ้นติดตัว แต่กลับมางัดข้อเอาชนะกับสตรีที่ไม่มีดุ้นอย่างข้าหรือ?”
จงขุยเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร เพียงจ้วงบะหมี่กินอีกคำใหญ่
หลิ่วโหรวเรอดังเอิ้ก วางตะเกียบลง ตบท้อง ถามว่า “กลับมาครั้งนี้จะทำอะไรล่ะ? จะกลับสำนักศึกษา ไปศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องหนังสือหรือ?”
นางหันหน้าไปตะโกน “ตาเฒ่าหลิว รีบยกมาให้ข้ากับพี่น้องจงอีกคนละชาม จำไว้ว่าต้องเป็นชามใหญ่หน่อยนะ ส่วนสองชามเล็กบนโต๊ะนี่ก็ไม่ต้องมาเก็บ พี่น้องจงยังเหลืออีกสองสามคำถึงจะกินหมด”
ผู้เฒ่าหน้าประตูตอบรับ “ได้เลย รอ...รอสักครู่ขอรับ เหนียง…เนียง”
หลิ่วโหรวหัวเราะอย่างฉุนๆ “มาเจอกับพ่อครัวที่พูดจาไม่คล่องแคล่วเช่นนี้ได้ ทำร้ายให้คุณหนูใหญ่อย่างข้าต้องเป็นแม่ (เหนียง) มานานหลายปี
จงขุยส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ทันคิดให้ดี ลองไปดูก่อนก็แล้วกัน”
ถึงอย่างไรทุกวันนี้จงขุยก็อยู่ในรูปลักษณ์ของภูตผี อันที่จริงการที่เฉิงหลงโจวได้รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษา ในเมื่อศาลบุ๋นมีตัวอย่างในเรื่องนี้มาก่อน จงขุยคิดจะกลับมายังสำนักศึกษาก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีความชอบติดตัว แรงต้านย่อมไม่มาก อย่าว่าแต่กลับคืนสู่สถานะวิญญูชนเลย เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งก็ยังเป็นไปได้ แต่จงขุยกลับรู้สึกว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระคล้ายเซียนผีก็ไม่เลวเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้ขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปล้วนปริแตกพังทลาย ทุกหนทุกแห่งล้วนต้องจัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังให้ดี
หลิ่วโหรวถอนหายใจ แต่แล้วก็พลันคลี่ยิ้มกว้าง “ช่างเถิด ทุกวันนี้จะทำอะไรล้วนดีทั้งนั้น ไม่ต้องคิดมาก”
นางพลันลดเสียงให้เบาลง “พี่น้องจง เจ้ารู้เรื่องฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของพวกเราทุกวันนี้กับอาจารย์น้อยหรือไม่ หืม?”
จงขุยเบ้ปาก “ก็แค่ว่าเหยาจิ้นจือคิดไม่ซื่อกับเฉินผิงอันไม่ใช่หรือ? เรื่องที่แค่มองก็มองออก”
คนพร้อมหน้าพระจันทร์เต็มดวง ยามจากลายังคงจำได้ ดวงตาฉ่ำน้ำของสาวงาม
แต่ต้องไม่ได้พูดถึงเฉินผิงอันกับเหยาจิ้นจือแน่นอน ในด้านนี้เฉินผิงอันก็คือตอไม้ทึ่มทื่อที่ไร้หัวคิด แต่ปัญหาก็คือดูเหมือนว่านี่ก็ไม่ได้พูดถึงตนกับจิ่วเหนียงเหมือนกัน พอคิดมาถึงตรงนี้ จงขุยก็กรอกเหล้าเข้าปากแรงๆ อีกหนึ่งอึก
หลิ่วโหรวเบิกตากว้าง เอ่ยอย่างตกตะลึง “เรื่องนี้ก็มองออกด้วยหรือ? เจ้ามีตาทิพย์หรือไร?”
จงขุยจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วตัวสั่นเยือก กินเผ็ดพร้อมเหล้า ช่างไร้ศัตรูเทียมทานเสียจริง “ก็ไม่ใช่ว่าเหยาจิ้นจือชอบเฉินผิงอันมากมายอะไรหรอก จะว่าอย่างไรดีล่ะ…”
“ก็แค่เรื่องที่ปรารถนาแล้วไม่ได้มาครอบครอง ยิ่งคิดก็ยิ่งวางไม่ลง เหมือนกับการฝังเหล้ากาหนึ่งไว้นั่นแหละ ก็แค่ว่าหนึ่งฝังไว้ใต้ดิน อีกหนึ่งฝังไว้ในหัวใจ”
หลิ่วโหรวกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “เจ้าเป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่เป็นชายโสดมานานหลายปี ยังเข้าใจเรื่องความรักชายหญิงที่วกวนอ้อมค้อมพวกนี้ด้วยหรือ?”
จงขุยถอนหายใจ เหนียงเนียงเทพวารีก็ถอนหายใจตามไปด้วย
จงขุยยิ้มกล่าว “เจ้าถอนหายใจอะไร?”
หลิ่วโหรวเอ่ยอย่างจนใจ “อายุไม่น้อยแล้ว กลุ้มเรื่องออกเรือนน่ะสิ”
โชคดีที่บนโต๊ะมีอ่างอีกสองใบมาวาง อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องกลุ้มเรื่องกิน
หลังจากกินดื่มอิ่มหนำแล้วจงขุยก็ลุกขึ้นขอตัวลา หลิ่วโหรวเองก็ไม่ได้ไปส่งไกลๆ จะเกรงใจพี่น้องบ้านตัวเองไปไย เอ่ยแค่ว่าวันหน้าก็มาบ่อยๆ
ม่านราตรีหนาหนัก จงขุยออกเดินทางไกลอยู่บนผิวน้ำของลำคลองม่ายเหอ เพียงแต่ว่าข้างกายมีผีที่ขอบเขตถดถอยเป็นเซียนเหรินตนหนึ่งโผล่มาเพิ่ม ก็คือตนที่ตอนนั้นถูกหนิงเหยาควานหาร่องรอยได้พบ หลังจากมันถูกศาลบุ๋นกักตัวไว้ ชีวิตก็พลิกผันตลอดทาง สุดท้ายถูกหลี่เซิ่ง ‘เนรเทศ’ ให้มาอยู่ข้างกายจงขุย
บอกตามตรง มันยินดีอยู่ในคุก แต่ไม่ยินดีติดตามอยู่ข้างกายจงขุยเลยจริงๆ หากตัดสินใจเด็ดขาดสังหารจงขุยแล้วค่อยหลบหนี? ยังไม่ต้องพูดว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ในความเป็นจริงแล้วใครฆ่าใครก็ยังไม่รู้เลย ไม่พูดถึงว่าขอบเขตของจงขุยสูงแค่ไหน อีกทั้งทุกวันนี้จงขุยก็ไม่ได้มีขอบเขตของผู้ฝึกตนอะไรแล้ว กลับคล้ายคนที่ไร้ขอบเขตเสียมากกว่า ประเด็นสำคัญคือจงขุยสามารถกำราบภูตผีได้พอดี อีกทั้งยังเป็นการสยบกำราบตามความหมายที่แท้จริงด้วย
ผีตัวนี้ใช้ชื่อชั่วคราวว่ากูซู เรือนกายในเวลานี้คือคนอ้วนที่คิดว่าตัวเองมีมาดสง่างาม
มันเอ่ยเยาะเย้ยว่า “พูดคุยกับแม่นางน้อยคนหนึ่งได้นานขนาดนั้น แถมนางยังไม่สะสวย ที่สำคัญที่สุดคือนางยังไม่ชอบเจ้าด้วย จงขุยเอ๋ยจงขุย ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าจริงๆ นะ เจ้านี่มันเศษสวะไร้ค่าจริงๆ!”
“ปีนั้นในวังหลังของกว่าเหริน (คำที่จักรพรรดิในสมัยโบราณใช้เรียกตัวเอง) มีสาวงามสามพันคน ดึงใครออกมาสักคนก็ล้วนรูปร่างหน้าตางดงามกว่านาง จุ๊ๆๆ สะโพกผายอวบอิ่มเช่นนั้น เอวเล็กบาง หน้าอกใหญ่เช่นนั้น มีคนใดบ้างที่ไม่ทำให้คนรุ่มร้อน…รู้หรือไม่ว่าภาพแบบใดที่ทำให้คนร้อนรุ่มได้ยิ่งกว่านี้? นั่นก็คือพวกนางมายืนเรียงแถวกัน เปลื้องเสื้อผ้าแล้วหันหลังให้เจ้า…”
จงขุยไม่สนใจคำพูดเหลวไหลของเจ้าผีตนนี้ “พอทีๆ เช็ดน้ำลายให้สะอาดก่อนแล้วค่อยพูด”
เพียงแต่กูซูยังเอาแต่พูดจาทะลึ่งตึงตังของตัวเองต่อไป จงขุยอ่อนใจยิ่ง “เลิกพูดมากเสียทีเถอะ ถือว่าข้าขอร้องเจ้าได้ไหม?”
กูซูเดินอยู่บนผิวน้ำของลำคลองม่ายเหอ ถ่มน้ำลาย “ขอร้องคนอื่นมีประโยชน์กะผายลมอะไร หากขุนนางชั่วโจรร้ายคิดจะก่อกบฏ ขอร้องไม่ให้กว่าเหรินฆ่าก็ได้ผลแล้วหรือ?”
“หมูเบียดอยู่ในซอกกำแพงยังร้องสามที เจ้ากลับดีนัก อย่างกะน้ำเต้าตันลูกหนึ่ง สมควรแล้วที่ต้องขึ้นคาน หากเป็นข้า เจอกับจิ่วเหนียงอะไรนั่น จะต้องกลัวอะไร พุ่งไปกอดแล้วขบกัดให้ทั่ว ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปแล้วค่อยว่ากัน นี่เรียกว่าหมาหิวไม่กลัวโดนตี สตรีที่ดีกลัวบุรุษตามตอแยเป็นที่สุด…”
จงขุยฟังต่อไปไม่ไหวจริงๆ จิตขยับไหวเล็กน้อย เจ้าอ้วนก็ล้มผลึ่งลงไปในน้ำแล้วลุกไม่ขึ้นอีก ครู่หนึ่งต่อมามันถึงได้ดีดตัวขึ้นในท่าปลาหลีกระโดดหงายท้อง แยกเขี้ยวเจ็บปวดโดยไม่ได้เสแสร้ง ปัดแสงไฟที่ไหลรินไปบนร่างออกอย่างแรง
กูซูยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบผิวน้ำ ไม่กล้าร่ายวิชาอภินิหารอะไร เพียงแต่ทำให้เกิดคลื่นน้ำกระเด็นเล็กน้อยเท่านั้น เอ่ยอย่างคับแค้นใจ “มารดามันเถอะ แย่งอะไรก็แย่งได้แต่ไม่ควรแย่งนอนในโลงศพจริงๆ ได้มาพบเจอกับเจ้าก็ช่างเป็นความซวยแปดชาติของกว่าเหริน”
จงขุยถาม “ข้าล่ะแปลกใจนัก เจ้าที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลบรรดาศักดิ์ จากนั้นจึงชิงบัลลังก์ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ไปเอาถ้อยคำหยาบโลนและถ้อยคำของแม่ค้าปากตลาดมากมายพวกนี้มาจากไหน”
มันเคยเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาซึ่งทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ในประวัติศาสตร์ของไพศาล บุกเบิกที่ดินในฝูเหยาทวีปไปมากมาย มันเกือบจะสร้างวีรกรรมหนึ่งทวีปคือหนึ่งแคว้นตัดหน้าสกุลซ่งต้าหลีได้สำเร็จแล้ว ก่อนที่มันจะ ‘ตายอย่างเฉียบพลัน’ อันที่จริงก็ได้ครอบครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของฝูเหยาทวีปแล้ว
กูซูยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้เจ้าคงไม่เข้าใจกระมัง สนมรักหลายคนของกว่าเหรินล้วนเป็นหญิงชาวบ้าน เจ้าอย่าเหล่ตามองมาสิ ล้วนเป็นเพราะกว่าเหรินปลอมกายเป็นสามัญชนออกไปเยี่ยมเยียนราษฎร แล้วอาศัยรูปโฉมกับความรู้ความสามารถที่มีอยู่เต็มท้อง แน่นอนว่ายังต้องยกคุณความชอบให้กับถุงเงินที่ตุงแน่นด้วย กลิ่นอายความเป็นบุรุษนี่นะ จะไม่ใช่กลิ่นอายของเงินได้อย่างไร”
จงขุยสบถด่า “ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะที!”
เจ้าอ้วนหัวเราะร่วน “เดิมทีกว่าเหรินก็เป็นผีตัวหนึ่งอยู่แล้ว ให้ฟื้นคืนชีพจากความตายก็ว่าไปอย่าง หึหึ จะว่าไปแล้ว เหตุการณ์ที่ล่อลวงวิญญาณคนเช่นนี้ มีมากมายจนนับไม่หมด อันที่จริงสนามรบที่ไร้ศัตรูเทียมทานที่สุดของกว่าเหริน ช่างน่าเสียดายที่มิอาจบอกให้คนนอกล่วงรู้ได้ เดี๋ยววันหน้าจะสอนสุดยอดเคล็ดวิชาให้เจ้าสักสองสามบทก็แล้วกัน รับรองว่ามิมีใครกล้าต่อกร นั่นถึงจะถือว่าไม่ผิดต่อการที่ได้ใช้เรือนกายของบุรุษมาเยือนโลกใบนี้!”
จงขุยใช้เสียงในใจสอบถาม “ปีนั้นเจ้ารู้จักคนผู้นั้นได้อย่างไร?”
เจ้าอ้วนเงียบไปพักใหญ่ เงยหน้าเหลือบมองม่านฟ้า หรี่ตาถูมือ “กว่าเหรินถือว่าใช้ชีวิตมาสองชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนมีชีวิตอยู่ที่เป็นฮ่องเต้ หรือตอนที่ฝึกตนหลังตายไปแล้ว ก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแพ้ให้กับผู้ใด มีน้อยนักที่จะเลื่อมใสผู้อื่น แต่คนผู้นั้น ต้องถือว่าเป็นคนหนึ่ง”
พูดถึงเจี่ยเซิงแห่งไพศาล โจวมี่แห่งเปลี่ยวร้างในภายหลังผู้นั้น
แล้วจู่ๆ เจ้าอ้วนก็หัวเราะเสียงเย็นติดๆ กัน “หากไม่เป็นเพราะหนิงเหยา…”
จงขุยยกมือขึ้น “หยุดเลยๆ รีบหุบปากไปซะ แนะนำเจ้าว่าวันหน้าอย่าได้พูดถึงว่าหนิงเหยาเป็นอย่างไรดีกว่า หากถูกพี่น้องคนดีคนนั้นของข้าได้ยินเข้า ต่อให้เจ้าจะมีชีวิตเพิ่มมาอีกชีวิตก็ยังไม่พอ”
เจ้าอ้วนร้องถุย “อาศัยกระบี่บินขอบเขตหยกดิบของเฉินผิงอัน หรืออย่างมากสุดก็แค่เพิ่มหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางน่ะหรือ? หากไม่ใช่เพราะกว่าเหรินขอบเขตถดถอย ไม่อย่างนั้นก็จะยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับ ให้เจ้าเด็กน้อยนั่นส่งกระบี่ปล่อยหมัดได้ตามใจชอบ จะตีกันทั้งวันก็ไม่เป็นปัญหา”
จงขุยหัวเราะหึหึ “ดีเลย เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะหาโอกาสทำให้เจ้าได้สมปรารถนา”
จงขุยดีดปลายเท้าทะยานลมลอยตัวขึ้นสูง ขอแค่เป็นยามราตรี จงขุยจะเดินทางไกลได้เร็วมาก เป็นเหตุให้ผีขอบเขตเซียนเหรินอย่างกูซูก็ยังต้องใส่แรงเต็มที่ถึงจะตามทัน
ทวีปแห่งหนึ่งที่ขุนเขาสายน้ำพังทลาย แทบทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นซากปรักสนามรบ ขาดก็แค่คำว่าโบราณเท่านั้น
สุดท้ายจงขุยมาหยุดอยู่ที่ซากปรักจวนเซียนแห่งหนึ่ง
เจ้าอ้วนนั่งขัดสมาธิ “ปีนั้นตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกก็เคยพูดไว้นานแล้วว่า ตาเฒ่าของเกราะทองทวีปผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร แต่กลับไม่มีใครเชื่อ หากก่อนหน้านี้ข้าผู้อาวุโสยังเป็นฮ่องเต้อยู่ที่ฝูเหยาทวีป สงครามครั้งนั้นก็คงไม่ถึงขั้นต่อสู้กันจนมีสารรูปเช่นนั้นได้”
มันเริ่มสบถด่าน้ำลายแตกฟองตามความเคยชินอีกครั้ง “เทพเซียนผายลมสุนัข ไม่ได้มีตาเนื้อของมนุษย์ธรรมดาอะไรแล้ว แล้วยังมีโคมตะวันจันทรา แต่ก็ยังหูหนวกตาบอด แต่ละคนลืมตาก็เหมือนไม่ได้ลืม สมควรแล้วที่ตายกันไปหมด…”
เจ้าอ้วนพลันหยุดพูด เพราะฝ่ามือข้างหนึ่งของจงขุยวางลงมาบนหัวของมันแล้ว เข้าใจแล้ว หากยังพูดต่ออีกก็คือต้องตายแน่แล้ว