กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 861.1 ผู้ครองกระบี่ที่แท้จริง
นครที่อยู่เหนือสำนักจิ่วเฉวียน ผู้คนเบียดเสียดกันแออัด สัญจรไปมากันอย่างคับคั่ง เทียบกับเมืองหลวงของราชวงศ์อวิ๋นเหวินแล้วยังครึกครื้นกว่าหลายส่วน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตล่างที่ยังหลอมเรือนกายได้ไม่สมบูรณ์ นอกจากขายสุราแล้ว คนที่ดื่มสุราแทบทั้งหมดต่างก็เป็นคนต่างถิ่นที่มาทำการค้าสุราหรือไม่ก็เป็นพวกคนที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ร้านเหล้าเหลาสุราน้อยใหญ่ทั้งหลายเหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตอย่างมาก พอได้เงินมาก็อยากเหล้า ตอนสร่างเมานั่งหน้าจอก เมาพับหลับอยู่ใต้โต๊ะ
รากฐานของสำนักในใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นอย่างไร แค่มองก็รู้ได้ แค่ต้องดูว่ามี ‘คน’ กี่มากน้อย แต่สำนักจิ่วเฉวียนเองไม่มีศักยภาพที่แท้จริงอะไร ทั้งในมุมสว่างและในที่มืดล้วนอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับนครเซียนจานได้ติด ในสำนักก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอยู่สองคน คนหนึ่งคือเจ้าสำนักผู้เฒ่าเซียนเหรินที่ทุกวันคิดแต่จะยอมถอยให้กับผู้ปราดเปรื่อง อีกคนหนึ่งคือบรรพจารย์ผู้คุมกฎขอบเขตหยกดิบที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก ผู้ฝึกตนทำเนียบคนอื่นๆ ในสำนักไม่ว่าจะชายหรือหญิงล้วนเชี่ยวชาญการหมักเหล้าและเป็นผีขี้เหล้าที่ชอบดื่มเหล้าแทบทั้งหมด ตลอดชีวิตแช่อยู่ในถังเหล้าอย่างแท้จริง
ฉีถิงจี้ที่มาเป็นแขกจิบเหล้าคำเล็กดื่มช้าๆ ตามความเคยชิน ทว่าลู่จือกลับดื่มเหล้าชามใหญ่ ดื่มจนหน้าแดงก่ำ
ก่อนหน้านี้ฉีถิงจี้ได้ตั้งใจเลือกเหล้าหมักของสำนักจิ่วเฉวียนสองแบบที่ถูกอาเหลียงเรียกว่าเป็นเหล้าโข่วเหลียง (โดยทั่วไปหมายถึงเหล้าที่ราคาเหมาะสมและฤทธิ์ค่อนข้างแรง เหมาะแก่การดื่มในชีวิตประจำวัน) มาดื่มกับลู่จือคนละกา ของดีที่ราคาถูก
ทุกครั้งที่อาเหลียงแอบมาเที่ยวที่เปลี่ยวร้าง จะต้องมาเที่ยวที่สำนักจิ่วเฉวียนหลายวันถึงจะยอมกลับ ไม่เมาไม่กลับ
ลู่จือยกนิ้วโป้งขึ้นเช็ดมุมปาก “อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานหลายปีขนาดนี้ อันที่จริงก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เบิกบานใจเป็นพิเศษหรือเสียใจมากเป็นพิเศษ”
เคยมีคนบอกว่า เรื่องอย่างการดื่มเหล้านี้ หากไม่ดื่มเยอะอย่างคนที่โมโหหนักหรืออยากดื่มอย่างหนัก ก็ดื่มร่วมกันอย่างเต็มคราบด้วยความสนุกไม่ก็ทุกข์ใจ ถึงจะดื่มจนได้รสชาติที่แท้จริงของสุรา ถึงจะทำให้หัวใจที่กลัดกลุ้มปวดร้าวของชีวิตคนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน
ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ย “ดังนั้นเจ้าจึงไม่เคยดื่มเหล้าเมาอย่างแท้จริงมาก่อน นี่เป็นความน่าเสียดายที่ไม่เล็กเลย คาดหวังอย่างยิ่งว่าวันหน้าอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียน ข้าจะได้เห็นลู่จือที่เมามายสักครั้ง จะด่าฟ้าด่าดินก็ได้ หรือหากร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นคำก็ยิ่งดี”
ลู่จือส่ายหน้า ไม่รู้สึกว่าตนเองดื่มแบบนี้ต่อไปแล้วจะเสียกิริยา นางเหลือบตามองฉีถิงจี้ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยินดีลงหลักปักฐานอยู่ในใต้หล้าไพศาลจริงๆ แล้ว”
ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขาดหนุ่มหล่อสาวงาม เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องถือเป็นคนหนึ่งในนั้นได้แน่นอน
ฉีถิงจี้ให้คำตอบว่า “ตามความเห็นของข้า ใต้หล้าไพศาลแห่งหนึ่งก็เหมือนเรือนกายหนึ่งของมนุษย์ หากจิตใจเต็มเปี่ยม แม้แขนขาทั้งสี่จะเจ็บป่วยก็ยังไม่ได้เป็นภัยใหญ่หลวง อีกทั้งทุกครั้งที่หายดีก็จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง ดังนั้นเดิมทีแล้วที่แห่งนั้นจึงเหมาะกับการก่อตั้งสำนัก แตกกิ่งก้านสาขาอยู่แล้ว อีกอย่างวันหน้าพวกเรายังต้องมีสำนักเบื้องล่าง ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับใต้หล้าห้าสีที่ต่างต้องสร้างสำนักไว้ที่ละหนึ่งแห่ง ปกครองดูแลตระกูลก็ดี ขยับขยายสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับสำนักก็ช่าง ล้วนแตกต่างจากการที่คนคนหนึ่งก้มหน้าก้มตาฝึกตนราวฟ้ากับเหว”
ลู่จือได้ยินเรื่องที่เป็นการเป็นงานพวกนี้ก็ให้เสียอารมณ์ จึงยกชามเหล้าขึ้นมา แหงนหน้ากระดกดื่มหมดรวดเดียวอีกรอบ
ลู่จือพลันหันขวับไปมอง ฉีถิงจี้ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อครู่นี้ยามกลางวันกับกลางคืนสลับสับเปลี่ยน หยินและหยางเดินสลับสวนทางกันในเสี้ยววินาที สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับฟ้าดิน
ภาพปรากฎการณ์ที่ผิดปกติเช่นนี้หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ย่อมทำไม่ได้ ดูจากทิศทางคร่าวๆ แล้วเหมือนจะพุ่งเป้าเล่นงานไปที่กุยซวีฉิงจี?
ลู่จือเลิกสนใจอย่างรวดเร็ว นางคร้านจะคิดมาก คนในกลุ่มมีทั้งฉีถิงจี้ที่ประสบการณ์โชกโชนแผนการลึกล้ำ แล้วก็มีอิ่นกวานหนุ่มที่ทำอะไรรอบคอบรัดกุม นางต้องสิ้นเปลืองสมองคิดด้วยหรือ?
ตรงโต๊ะอื่นในร้านเหล้า ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายวาบ ยกก้นกระดกขึ้น สายตามองนิ่งไม่ขยับ จ้องไปยังภาพอันเย้ายวนชวนฝันเบื้องใต้เอวบางของสตรีผู้นั้นลงไป เขม้นมองอยู่หลายที “สตรีผู้นี้หน้าตาอัปลักษณ์ แต่กลับมีขาอวบอิ่มเรียวยาวนัก! หากปิดบังใบหน้า…”
สหายร่วมโต๊ะรีบรับคำต่อทันใด “จะต้องปิดหน้าให้เสียเวลาทำไม ก็ให้นางนอนคว่ำโก่งก้นมาให้สิ”
ลู่จือตบขาอ่อนตัวเอง พูดขึ้นโดยไม่ได้หันหน้าไปมอง “มาลูบตรงนี้”
เสียงผิวปากหวือ เสียงตบโต๊ะอย่างแรงดังระงมขึ้นมาในร้านเหล้า ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เป็นคนเปิดปากพูดก่อนเป็นคนนำขบวน
เถ้าแก่ร้านเหล้าเห็นจนชินตาเสียแล้ว ดื่มเหล้าเข้าปาก ใครเล่าไม่ใช่เซียนกระบี่ ดื่มไปมากพอก็เป็นราชาบนบัลลังก์คนใหม่ได้แล้ว
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหัวเราะดังลั่น “จริงหรือ? เจ้าเป็นคนขอร้องข้าเองนะ?”
ฉีถิงจี้ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่อาเหลียงก็ยังไม่กล้าทำ
ฉีถิงจี้รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม เหล้าในกาลดระดับถึงลงไปจนมองเห็นก้นกาแล้ว ดื่มเหล้าชามนี้หมดก็ควรจะไปที่ลำคลองอู๋ติ้งได้แล้ว ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันที่อยู่ที่นั่นต้องการทำอะไร
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนนั้นเพิ่งจะลุกขึ้นยืน สตรีขายาวก็เพียงแค่ดื่มเหล้า ทว่าในร้านกลับมีแสงกระบี่พุ่งฉวัดเฉวียนออกไปในเสี้ยววินาที ทั่วทั้งร้านเจิดจ้าไปด้วยประกายแสงสีขาวหิมะ
ตั้งแต่หัวจรดเท้าของผู้ฝึกตนที่ลุกขึ้นยืนเหมือนถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ ถูกแยกร่างคาที่ หนึ่งร่างแบ่งออกเป็นสามส่วน
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่นั่งดื่มเหล้า บ้างก็มีแสงเส้นหนึ่งปาดลำคอ ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดผ่าเอว
นอกจากเถ้าแก่ร้านที่ยังคงสบายดีซึ่งตอนนี้ขาสองข้างอ่อนยวบ ได้แต่ใช้ข้อศอกยันโต๊ะคิดเงินไม่ให้ตัวเองล้มไปกองกับพื้น หลีกเลี่ยงไม่ให้มีลมพัดต้นไม้ไหวแล้วเซียนกระบี่หญิงคนนั้นจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการท้าทายแล้ว ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจอีกสิบกว่าคนที่เหลือซึ่งมาดื่มเหล้าที่นี่ล้วนตายสิ้นในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา
พลาดทำร้ายให้บาดเจ็บ? ฆ่าผิดตัว?
ที่นี่ไม่ใช่โต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียหน่อย
ลู่จือเหลือบมองกาเหล้าว่างเปล่าสองใบที่อยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “คิดเงิน”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าของร้านเหล้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งเท่านั้น ปากคอของเขาแห้งผาก ยืนอึ้งพูดไม่ออก
ลู่จือควักเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ
ดื่มเหล้าแล้วไม่จ่ายเงินทำให้เสียภาพลักษณ์เกินไป ลู่จือทำเรื่องแบบนี้ไม่ลง
ตอนที่ฉีถิงจี้ลุกขึ้นยืนได้หยิบเงินฝนธัญพืชออกมาเหรียญหนึ่ง พูดกับเถ้าแก่ร้านว่า “ไปบอกกับสำนักจิ่วเฉวียนสักคำ หนี้ค่าเหล้าที่อาเหลียงติดไว้ที่นี่ ข้าช่วยใช้คืนให้แล้ว”
ลู่จือยิ้มกล่าว “หากเงินน้อยนิดแค่นี้ไม่พอใช้หนี้ จะไม่กระอักกระอ่วนแย่หรอกหรือ?”
ฉีถิงจี้กล่าว “มากไม่คืน น้อยไม่เพิ่ม”
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองคนก็จับมือกันไปเยือนภาพมายาภูเขาแห่งถัดไป ภูเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมตลิ่งของลำคลองอู๋ติ้งซึ่งอยู่ในน่านน้ำของลำคลองเย่ลั่ว ตรงตีนเขาได้สร้างศาลซึ่งแทบจะไม่มีควันธูปไว้แห่งหนึ่ง ศาลเทพภูเขาถึงกับไม่กล้าสร้างไว้บนยอดเขาที่การมองเห็นเปิดกว้างด้วยซ้ำ นี่แสดงให้เห็นว่าในอาณาเขตการปกครองของลำคลองเย่ลั่ว ตำแหน่งของเทพภูเขาสายน้ำทั้งหลายมีความแตกต่างกัน
เมื่อคนทั้งสองปรากฏกายก็ได้เห็นภาพประหลาดภาพหนึ่ง ผืนน้ำลอยค้างอยู่กลางอากาศสูง สาดสะท้อนขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ให้กลายเป็นสีเขียวมรกตไปทั้งแถบ กลางอากาศมีตาข่ายน้ำตัดสลับถักทอกันคล้ายต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งที่ล้มครืนลงมาแล้วกิ่งก้านหลายร้อยกิ่งพากันหมอบกราบราบอยู่กับพื้น และเส้นทางน้ำทุกสายที่ลอยพ้นจากท้องน้ำมาก็ล้วนถูกกระชากมาแขวนไว้บน ‘กิ่งก้าน’ หลากสีที่แผ่ขยายไปกลางอากาศ ล้วนเป็นสายน้ำทั้งหลายที่ไหลแยกออกไปจากลำคลองเย่ลั่วทั้งหมด
ฉีถิงจี้ขี่กระบี่ลอยขึ้นกลางอากาศ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล สายตาไล่มองไปตามลำคลองเย่ลั่วที่เป็นสายน้ำหลัก เห็นเพียงว่าเฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าไม่ได้เผยร่างจริงของเผ่าปีสาจ นางเพียงแค่อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ใช้บัญชาการณ์ฟ้าดินเล็กและเวทน้ำมาร่ายกายธรรมหมื่นจั้งที่มองดูเหมือนว่าจะไม่ด้อยไปกว่าความสูงของนักพรตที่สวมกวานดอกบัว ตำแหน่งที่สองขากายธรรมนั้นของเฟยเฟยยืนอยู่คือสิ่งปลูกสร้างจวนน้ำบนลำคลองเย่ลั่วสองแห่งที่ระยะห่างกันค่อนข้างไกล ถูกนางเหยียบทะลุหลังคาทั้งสองหลัง ตรงริมเท้าคือซากปรักที่มีกระเบื้องแก้วใสสองสีอย่างเหลืองสว่างและเขียวมรกตแตกย่อยยับเกลื่อนพื้น
เวลานี้สองเข่าของเฟยเฟยงอลงเล็กน้อย ยื่นมือมากระชากลำคลองเย่ลั่วที่ลอยอยู่กลางอากาศ ร่างเอนหงายไปด้านหลัง
นางที่มีรูปโฉมเป็นหญิงสาว ดวงตาทั้งคู่เป็นสีแดงสด บนร่างสวมชุดคลุมอาคมที่มีชื่อว่า ‘สุ่ยม่าย’ เส้นด้ายแนวตั้งแนวนอนหลายพันเส้นบนชุดคลุมล้วนเป็นแม่น้ำลำคลองที่ถูกนางจับมาหล่อหลอม มีทั้งที่เป็นของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วก็มีทั้งที่นางได้มาเพิ่มจากใบถงทวีป ข้อมือข้างหนึ่งที่ขาวนวลราวกับไขมันแข็งมีสร้อยข้อมือสีทองเส้นหนึ่งสวมเอาไว้ หล่อหลอมมาจากไข่มุกแห่งชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์เจียวหลงหลายสิบเม็ด ริ้วคลื่นสีเขียวมรกรตกระเพื่อมแผ่เป็นวงๆ ประหนึ่งรัศมีแสงเรืองรองรอบร่างทวยเทพ เท้าทั้งคู่ของนางสวมรองเท้าปักลาย ปลายรองเท้าตกแต่งด้วยไข่มุกขนาดใหญ่สองเม็ด เวลานี้ไข่มุกกำลังแย่งชิงโชคชะตาน้ำมาจากกายธรรมของนักพรตอย่างบ้าคลั่ง หมายสร้างความมั่นคงให้กับชะตาน้ำของลำคลองเย่ลั่ว
การช่วงชิงกันบนมหามรรคาบางอย่างในใต้หล้าเปลี่ยวร้างโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างมาก ก็คือปลาเล็กกินกุ้งฝอย ปลาใหญ่ค่อยกินปลาเล็กอีกที กินจนสะอาดเอี่ยม ผู้ฝึกตนที่ได้ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของมหามรรคา ทางที่ดีที่สุดคือมหามรรคาในการเดินขึ้นเขาที่อยู่ด้านหลังต้องไม่มีผู้ร่วมทางอีกแม้แต่ครึ่งตัวคน อย่างมากสุดก็เป็นแค่บุคคลที่ต่อให้อยู่กึ่งกลางภูเขาก็ยังไม่สร้างภัยคุกคามใดๆ ให้ได้ จากนั้นก็ได้แต่เบียดเสียดกันแออัดอยู่ตรงตีนเขา หากหิวก็ลงจากภูเขาไปรอบหนึ่ง กินอิ่มแล้วค่อยเอามาหล่อหลอมเป็นโชคชะตาบนมหามรรคาของตัวเอง
เมื่อก่อนหย่างจื่อและเฟยเฟยแบ่งโชคชะตาน้ำแปดส่วนของเปลี่ยวร้างไปเท่าๆ กัน ผลคือไม่ว่าใครก็ไม่อาจผสานมรรคาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ชะงักค้างอยู่บนยอดเขาของขอบเขตบินทะยานนานหลายพันปี
แม่น้ำลำคลองแต่ละเส้นที่ลอยอยู่กลางอากาศถูกทั้งสองฝ่ายกระชากดึงจนแหลกสลายคาที่ กลายเป็นฝนห่าใหญ่ที่เทกระหน่ำลงมา ทุกหนทุกแห่งบนพื้นดินเจอน้ำท่วมจนกลายเป็นอุทกภัย
ทว่าน้ำของแม่น้ำลำคลองทุกสายที่หล่นร่วงบนพื้น โชคชะตาน้ำได้ถูกทั้งสองฝ่ายแบ่งกันไปจนหมดสิ้นแล้ว แยกกันกรูไปอยู่ในชายแขนเสื้อของนักพรตและปลายรองเท้าของเฟยเฟย
ลู่จือมาที่ข้างกายของฉีถิงจี้ เอ่ยว่า “เมื่อเปรียบเทียบกันแบบนี้ การต่อยตีของผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ ไม่น่าดูมากพอเลยจริงๆ”
ฉีถิงจี้เอ่ยสัพยอก “ทำไมมองดูแล้วเหมือนการแย่งน้ำในคันนาของพวกชาวบ้านในชนบทเลยเล่า?”
ลู่จือพยักหน้าเห็นด้วย “มิน่าเล่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราถึงได้เชี่ยวชาญเพียงนี้ ดูท่าน่าจะเป็นการกลับมาทำอาชีพเก่าแล้ว”
เฟยเฟยเอ่ยอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน ข้ามีความแค้นกับเจ้ารึ? เจ้าถึงต้องมาหาเรื่องที่ลำคลองเย่ลั่วของข้า?!”
หากเปลี่ยนมาเป็นการถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรอย่างพวกต่งซานเกิง แม้จะออกกระบี่อย่างเฉียบคม แต่ถึงอย่างไรโชคชะตาน้ำของลำคลองเย่ลั่วก็เสียหายไปไม่มากนัก ต่อให้แม่น้ำลำคลองร้อยกว่าเส้นจะถูกปราณกระบี่ปั่นคว้านสับเละ แต่ถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่เอาโชคชะตาน้ำกลับไปด้วย อย่างมากก็แค่ทำให้เฟยเฟยต้องเสียตบะไปหลายร้อยปี ถ่วงรั้งการฝ่าทะลุขอบเขตผสานมรรคาของนางให้ช้าลงเท่านั้น อย่างมากสุดเฟยเฟยก็แค่ต้องไปดึงเอาโชคชะตาน้ำของที่อื่นมา รื้อกำแพงตะวันออกมาเสริมกำแพงตะวันตก ขอแค่ภูเขาทัวเยว่ไม่ขัดขวาง นางย่อมสามารถชดเชยความเสียหายได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกับอิ่นกวานหนุ่มที่ดูเหมือนเกิดมามหามรรคาก็ใกล้ชิดกับสายน้ำผู้นี้ เขาถึงกับประชันขันแข่งกับนางไม่แพ้ให้กับการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างสตรีของนางกับหย่างจื่อเลย
กายธรรมของเฟยฟยกำลำคลองเย่ลั่วที่กระเพื่อมซัดรุนแรงไม่หยุดนิ่งเอาไว้แน่นแล้วกระชากมาด้านหลังเต็มแรง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “แน่จริงเจ้าก็ไปก่อกวนที่ภูเขาทัวเยว่สิ!”
หนึ่งเพราะมหามรรคาของเฟยเฟยคือธาตุน้ำ นอกจากนี้นางยังเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าตนหนึ่ง แววตาย่อมสูงกว่าขอบเขตบินทะยานครึ่งๆ กลางๆ อย่างเสวียนผู่ระดับหนึ่ง นางแน่ใจว่าร่างจริงของกายธรรมหมื่นจั้งตรงหน้าตนนี้ต้องเป็นเฉินผิงอันอิ่นกวานคนสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าเฉินผิงอันกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งได้อย่างไร เฟยเฟยไม่สนใจจะซักถาม นางเพียงแค่ด่าภูเขาทัวเยว่อยู่ในใจว่าถึงกับปล่อยให้เจ้าหมอนี่บุกลึกเข้ามายังพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างได้
ข้างกายของฉีถิงจี้และลู่จือต่างก็มีดอกบัวสีม่วงทองดอกหนึ่งลอยตัวอยู่ ปราณวิญญาณสลายหายไปช้าๆ ดูเหมือนจะดำรงอยู่ได้นานหนึ่งก้านธูปพอดี ซึ่งระหว่างนี้จะช่วยสกัดกั้นปิดบังความลับสวรรค์ให้กับผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองคน
ต้องเป็นฝีมือของลู่เฉินแน่นอน
หนิงเหยายืนอยู่ริมตลิ่งลำคลองอู๋ติ้งที่ท้องน้ำไม่มีน้ำเหลืออยู่แล้ว ข้างกายของนางก็มีดอกบัวดอกหนึ่งล้อมวนไปรอบกายนางช้าๆ เช่นกัน
หลังจากได้เข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง อันที่จริงเฉินผิงอันเคยบอกไว้ว่า ในเมื่อเขากลับมาบ้านเกิดแล้วก็ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น เพราะต่อให้อยากจะสนก็สนไม่ไหว ได้แต่ตั้งใจฝึกตนของตัวเองไปให้ดีๆ เท่านั้น
ผลคือดีนัก กลายเป็นว่ายังต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจอยู่อย่างนี้ ช่างมีชะตาของคนเหนื่อยยากจริงๆ
กายธรรมหมื่นจั้งของนักพรตร่วมกับเฟยเฟยรวบเอาแม่น้ำคลองหลายร้อยสายในเขตน่านน้ำของลำคลองเย่ลั่วให้เข้ามาอยู่ในช่องทางน้ำเส้นหลัก แล้วกระชากลากดึงจนกลายเป็นลำคลองยาวหลายแสนจั้งลอยอยู่กลางอากาศเส้นหนึ่ง
นักพรตเริ่มเดินก้าวไปข้างหน้ายาวๆ สองมือคอยกระชากเส้นทางน้ำหลักอย่างลำคลองเย่ลั่วมาพันไว้บนแขนราวกับเป็นเชือกเส้นหนึ่ง บดขยี้สังหารภูตเผ่าน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านในไปเรื่อยๆ
นักพรตชุดเขียวคนหนึ่งที่เรือนกายล่องลอย โฉมหน้าพร่าเลือนมายืนอยู่บนไหล่ข้างหนึ่งของกายธรรมนักพรตที่สวมกวานดอกบัว ในมือถือหางกวางที่ตรงด้ามสลักชื่อว่า ‘ฝูเฉิน’ เขาโบกแส้ปัดฝุ่นชี้ไปยังจวนวารีของลำคลองเย่ลั่วที่อยู่ห่างไปไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลัวเทียนจงกลับสู่ตำแหน่งดวงดาว หมู่ดารารับคำสั่งกลับสู่ถิ่นฐาน ตะวันจันทราฟังโองการคืนกลับสู่แสงสว่างอีกครั้ง”
ในท้องน้ำที่แห้งขอดหลายร้อยเส้นซึ่งอยู่ในเขตน่านน้ำของลำคลองเย่ลั่วมีไผ่เขียวหลายต้นตั้งตระหง่านขึ้นมา จำนวนมากถึงสามพันหกร้อยต้น ตรงกับจำนวนของพิธีบวงสรวงหลัวเทียนในระดับสูงสุดตามกฎของลัทธิเต๋าพอดี
เณรน้อยหัวโล้นรูปหนึ่งขี่มังกรเพลิง ตรงเอวแยกกันห้อยกระบี่ยาวและคัมภีร์สีทองหนึ่งหน้า ยืนอยู่บนหัวของมังกรเพลิง สองมือพนมสิบนิ้ว พึมพำว่า “พระธรรมเผยแผ่แด่โลกมนุษย์ ประดุจราชสีห์ที่สยบเหล่าสรรพสัตว์”
คำพูดดังออกไปคาถาตามติด สิงโตทองใหญ่เท่าขุนเขาตัวหนึ่งหล่นลงบนพื้นแล้วสะบัดขนแหงนหน้าคำรามกร้าว เสียงสะเทือนเลือนลั่นสังหารภูตผีเผ่าน้ำในลำคลองเย่ลั่วไปนับไม่ถ้วน สิงโตที่ซุกซ่อนพระธรรมทั่วร่างเปล่งรัศมีเรืองรองตัวนี้พลันกระโจนเข้าหากายธรรมของเฟยเฟย
ท่ามกลางภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ เรือนกายหนึ่งที่ไม่สะดุดตาพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า ระหว่างทางได้ถูกลมปราณชักนำจึงเปลี่ยนวิถีการโคจรเล็กน้อย มายังผืนป่าเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่งริมอาณาเขตของน่านน้ำลำคลองเย่ลั่ว ก็คือหาวซู่สิงกวานที่กลับจากดวงจันทร์มายังโลกมนุษย์