กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 861.2 ผู้ครองกระบี่ที่แท้จริง
ร่างแยกของลู่เฉินที่จำแลงมาจากดวงจิตดวงหนึ่ง เวลานี้กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ แกว่งขาสองขา ชมการประลองเวทคาถาระหว่างอิ่นกวานหนุ่มกับเฟยเฟยอยู่ไกลๆ นับแต่โบราณมาคนยุ่งเทพไม่ยุ่งอยู่แล้วนี่นะ เจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงพึมพำกับตัวเอง “ญาณอยู่ในดวงตาสิบทิศ ปัญญาอยู่ที่ด่านใจสามภพ สามภพสิบทิศหาที่สิ้นสุดมิได้ มือและตาจำแลงเป็นพันหมื่น ประหนึ่งการรอคอยสายน้ำดวงจันทร์ ชัดเจนจนมองเห็นได้แต่มิอาจจับคว้า หากคนได้พบเจอพระโพธิสัตว์ ก็เป็นทั้งคนและเป็นทั้งพุทธะ”
ลู่เฉินยื่นมือไปตบกิ่งไม้เบาๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม พยักหน้าเอ่ยกับตัวเอง “ไปจากที่นี่อย่าได้แสวงหาเรื่องแปลกประหลาด คือการเอาวิถีนอกมาทำลายวิถีเที่ยงตรง”
หาวซู่ไม่แปลกใจในถ้อยคำภาษาพุทธของลู่เฉิน
ลู่เฉินยิ้มถาม “ยันต์เปินเยว่ใช้ดีหรือไม่?”
ไม่ได้อยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ยันต์เปินเยว่ของเขาที่อยู่ที่นี่อาจถูกหักลบประสิทธิภาพไปมาก
หาวซู่พยักหน้า “ใช้ได้ดีมาก ไม่เสียแรงที่เป็นยันต์ใหญ่”
ยันต์เปินเยว่ของลู่เฉิน และยังมียันต์ขวานหยกของอู๋ซวงเจี้ยงเจ้าตำหนักสุ้ยฉู รวมไปถึงยันต์ไท่ชิงตัวเบาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นยันต์สละศพ มีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์ทิวายกสมบัติ คือยันต์ใหญ่ที่สมชื่ออย่างแท้จริง คำว่าผู้เชี่ยวชาญด้านยันต์ อันที่จริงมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือเป็นยันต์ที่เป็นผลงานริเริ่มชิ้นแรกหรือไม่ สามารถเลื่อนลำดับเป็น ‘ยันต์ใหญ่’ ที่ผู้คนให้การยอมรับได้หรือไม่
เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ศิษย์น้องเล็กที่ถูกอวี๋โต้วพกกระบี่มาสังหารของเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนั้น ฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งใต้หล้าไพศาล เทียนซือใหญ่แต่ละรุ่นของภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีปีศาจใหญ่หวงหลวน เจ้าอารามดอกบัวราชาบนบัลลังก์เก่าของเปลี่ยวร้างแห่งนี้ รวมไปถึงเจ้าตำหนักตำหนักอวี้ฝูที่หายตัวไปนานหลายปีแล้วคนนั้น ต่างก็เป็นปรมาจารย์ด้านยันต์ระดับสูงสุดที่ผู้คนให้การยอมรับ
ดูเหมือนว่านอกจากด้านเวทกระบี่ที่ไม่ถนัดสักนิดแล้ว เวทคาถาอย่างอื่นลู่เฉินล้วนเชี่ยวชาญอย่างมากทั้งหมด ไม่เคยมีวิชานอกรีตวิชาใดที่ลู่เฉินไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แต่เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้ อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวกลับไม่มีเรื่องราวการเข่นฆ่ากับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนใดมาก่อน
ลูกศิษย์สามคนของมรรคาจารย์เต๋ารับผิดชอบผลัดกันดูแลป๋ายอวี้จิงร้อยปี ทุกครั้งที่มีการวนมาถึงคราวของลู่เฉินที่เฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง เขาแทบไม่เคยสนใจเรื่องใด บางครั้งที่มีผู้ฝึกตนใหญ่ทำผิดละเมิดข้อห้าม ลู่เฉินก็แค่ไปเยือนถึงบ้านแล้วจดลงบัญชีเอาไว้ หากต้องกินน้ำแกงประตูปิดก็ไม่มีทางบุกเข้าไปเด็ดขาด เพียงแค่เอ่ยเตือนอีกฝ่ายอยู่ข้างนอกด้วยถ้อยคำชุดหนึ่งที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร ‘จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายๆ ปี รอให้ศิษย์พี่รองของข้ากลับจากฟ้านอกฟ้ามารำลึกความหลังด้วยกันนะ’
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ เอ่ยสัพยอก “เป็นอิ่นกวานที่มอบให้สิงกวาน อิจฉาเจ้าจริงๆ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีกับพี่หญิงลู่ยังต้องก้มเอวถึงจะเก็บตกของดีมาได้ แต่เจ้ากลับสบายที่สุด”
สะบัดเอาร่างจริงของเสวียนผู่ออกมาจากในชายแขนเสื้อกว้างของชุดคลุมเต๋า โอสถปีศาจขอบเขตบินทะยานยังคงอยู่ มีคุณความชอบทางการสู้รบส่วนนี้ก็มากพอจะให้หาวซู่ไปอธิบายกับศาลบุ๋นได้แล้ว
หาวซู่เก็บงูดำตัวนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น “อยู่ในถิ่นของคนอื่น เฉินผิงอันยังสามารถสังหารขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งได้ โดยที่ยังรักษาโอสถปีศาจที่สมบูรณ์แบบเม็ดหนึ่งไว้ได้ด้วย?”
เดิมทีคิดว่าเดินทางไกลมาเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างครั้งนี้ อย่างมากสุดก็สังหารเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินได้สองตนเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันใหญ่ขนาดนี้
ลู่เฉินส่ายหน้ายิ้มเอ่ย อธิบายให้สิงกวานฟังคร่าวๆ ว่าเจ้านครเซียนจานผู้นี้ถูกอูถีอาจารย์ของตัวเองเป็นคนจัดการ
หาวซู่ยิ่งสงสัย “ความสามารถในการเข่นฆ่าของเสียนผู่ย่ำแย่ขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ถูกอูถีสังหารอย่างสิ้นซากแล้ว? เสวียนผู่ไม่ทันได้หนีออกจากศาลบรรพจารย์ด้วยซ้ำ?”
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนี้เหมือนกับหนันกวงจ้าวแห่งใต้หล้าไพศาลเลยนะ
ในความทรงจำของหาวซู่ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่อสู้ได้เก่งมาก ต่อให้พลังพิฆาตจะไม่โดดเด่นพอ อย่างน้อยที่สุด็เชี่ยวชาญการเผ่นหนีอย่างยิ่ง
ลู่เฉินใช้สองมือตบหัวเข่า ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก็เพราะสภาพการณ์การเก็บเกี่ยวประจำปีของนครเซียนจานไม่ดีอย่างไรล่ะ ผลเก็บเกี่ยวในไร่นาสู้ปีก่อนๆ ไม่ได้ทุกปี เจ้าไม่ได้เห็นอิ๋นลู่ที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินคนนั้น ยิ่งกว่ากระดาษเปียกเสียอีก ช่วยไม่ได้ หากจะบอกว่างานฝีมือของใต้หล้าไพศาลคือสอนให้ลูกศิษย์ทำให้อาจารย์หิวตาย ถ้าอย่างนั้นบนภูเขาของที่แห่งนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นการสอนให้ลูกศิษย์สังหารอาจารย์ คนแก่ ใครบ้างที่ไม่เก็บซ่อนความสามารถที่เป็นวิชาก้นกรุเอาไว้สองสามอย่าง คนเด็ก ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากลองที่จะแอบทำลายคำสาบานที่ตั้งไว้ตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ในอดีต ก็จริงนะ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คน ทำไมต้องเชื่อในใจคนด้วยเล่า?”
หาวซู่มองทั้งสองฝ่ายที่กำลัง ‘ดึงแม่น้ำ’ (แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่าชักคะเย่อ) กันอยู่ ถามชวนคุยว่า “พวกเราจะออกระบี่กันเมื่อไหร่? คงไม่ใช่แค่ชมงิ้วแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรอกกระมัง?”
ลู่เฉินมองกายธรรมของเฟยเฟยที่อยู่ห่างไปไกล “ยังไม่ต้องรีบร้อน แค่รอให้อิ่นกวานหาโอกาสเหมาะๆ ออกคำสั่ง พี่หญิงเฟยเฟยในเวลานี้ยังค่อนข้างระวังตัว ยังมีทางถอยหลายเส้นให้เดินได้ คาดว่าอิ่นกวานคงไม่ทำให้เจ้าต้องมาเสี่ยวเที่ยวก่อน จากนั้นค่อยเริ่มวางแผนให้กับลู่จือ ไม่ใช่ว่านางอยากแกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงเมืองหรอกหรือ? หากสามารถสังหารเฟยเฟยราชาบนบัลลังก์เก่าในหนึ่งกระบี่ได้จริงๆ กลับไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แกะสลักอักษรคำว่า ‘ลู่’ …ฮ่าๆ แกะสลักตัวอักษรนี้ก็ดีน่ะสิ ยอดเยี่ยมไปเลย! อีกเดี๋ยวข้าจะไปปรึกษากับพี่หญิงลู่สักหน่อย ขอแค่นางยินดีแกะสลักตัวอักษรลู่ ไม่ใช่อักษร ‘จือ’ ก็ไม่ต้องคืนกล่องกระบี่ให้ข้าแล้ว”
ลู่เฉินถอนหายใจ นวดคลึงปลายคาง “น่าเสียดายโอกาสแกะสลักตัวอักษรนั้นมี แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสำเร็จ พวกเจ้าคิดอยากจะร่วมกันสังหารเฟยเฟยที่รับตำแหน่งผู้ครองชะตาน้ำของใต้หล้าแห่งหนึ่งชั่วคราว แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะเป็นเพราะเวทกระบี่ไม่สูงพอ แต่อาจจะเป็นเพราะขาดโชคบางอย่างไป”
หาวซู่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามอีกว่า “ในเมื่ออิ๋นลู่ถูกลากตัวออกมาได้แล้ว เหตุใดเฉินผิงอันถึงไม่หาโอกาสสังหารอูถีเซียนผีไปพร้อมกันเลย?”
ไม่ใช่เพราะหาวซู่ละโมบในผลงานทางการสู้รบส่วนนี้ เพียงแต่ว่าด้วยปมแค้นที่นครเซียนจานผูกไว้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตามหลักแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไม่มีทางปล่อยอูถีไปถึงจะถูก
ลู่เฉินอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เสวียนผู่นั้นถือว่าเป็นคนที่สมควรตาย จำเป็นต้องตาย หากปล่อยให้มันอยู่ในนครเซียนจานต่อก็คือภัยร้าย แต่อูถีกลับถือว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้ เซียนผีตนหนึ่งที่ได้แต่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ บนเส้นทางสู่ปรโลกยังไม่ถึงขั้นจะทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนในการเดินทางมาเยือนครั้งนี้ของพวกเราได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ค่อยคาดหวังให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างขาดคนที่นั่งยองอยู่ในหลุมส้วมแต่ไม่ยอมถ่ายคนหนึ่งไป ไม่อย่างนั้นหากอูถียกตำแหน่งบนมหามรรคานั้นไปให้ผู้อื่น หากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีขอบเขตบินทะยานที่เข้ามาชดเชยตำแหน่งเพิ่มมาอีกแค่คนเดียวก็ช่างเถิด แต่หากเพราะการทยอยกันตายไปอย่างเฉียบพลันของเสวียนผู่กับอูถีทำให้มีโชคชะตาส่วนนี้เพิ่มเข้ามา ทำให้ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดบางคนฝ่าทะลุคอขวดบนมหามรรคาไปได้ จนมีขอบเขตสิบสี่ใหม่เอี่ยมเพิ่มมาอีกคนหนึ่งล่ะ?”
หาวซู่พยักหน้า “นอกจากเลือกข้าเป็นสิงกวานแล้ว อันที่จริงสายตาในการเลือกคนของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ดีมากจริงๆ”
ลู่เฉินถามอย่างประหลาดใจ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทำอย่างไรถึงโน้มน้าวให้เจ้าอยู่ต่อได้?”
หาวซู่ไม่เหมือนคนที่จะยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมของใคร เฉินชิงตูก็ยิ่งไม่มีทางฝืนรั้งตัวหาวซู่เอาไว้ถึงจะถูก
หาวซู่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะควักเหล้ากาหนึ่งออกมา เปิดผนึกดินออก กระดกดื่มสุราอึกใหญ่ “ปีนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพูดกับข้าสองประโยค”
ลู่เฉินยิ่งสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม “สองประโยคไหน?”
หาวซู่ให้คำตอบ
“ข้าไม่สนใจว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเพิ่มมาคนหนึ่งหรือไม่”
“เรื่องของการแก้แค้น หากเจ้าสามารถใช้สถานะของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจไปสังหารคน กับการที่เจ้ารักษาสถานะของผู้ฝึกกระบี่แห่งไพศาลเอาไว้ ไปเด็ดหัวโจรร้าย อันที่จริงเป็นคนละเรื่องกันเลย”
ลู่เฉินพยักหน้ารับอย่างแรง “เป็นคำพูดที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะพูดจริงๆ”
“คำพูดที่ใช้โน้มน้าวข้ามีแค่สองประโยค แต่อันที่จริงยังพูดความในใจกับข้าอีกประโยคหนึ่ง”
หาวซู่ยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเตือนข้าว่า หากข้าดึงดันจะไปฝึกกระบี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจริง ก็ไปเถิด จะไม่ขัดขวาง เพียงแต่ว่าวันใดที่ข้าโชคดีได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่แล้วกล้ามาปรากฎตัวที่สนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาก็จะสังหารข้าก่อนใคร”
ลู่เฉินทอดถอนใจเอ่ยชื่นชม “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสช่างเป็นผู้อาวุโสที่โน้มน้าวให้ทำคนทำความดี ใจบุญมีเมตตาปราณีจริงๆ!”
หาวซู่คลี่ยิ้ม ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เขาไม่ยินดีจะพูดออกมา
ปีนั้นสุดท้ายแล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตบไหล่ของผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม “คนหนุ่มมีพลังชีวิตเต็มไปด้วยความคึกคักเป็นเรื่องดี เพียงแต่อย่าได้รีบร้อนฉายประกายเฉียบคมของตัวเองออกมา จะต่างอะไรกับเด็กตัวใหญ่เท่าก้นสวมกางเกงเปิดเป้าเดินส่ายอยู่บนถนนใหญ่ ทั้งอวดก้นอวดไอ้จ้อนกัน”
หลังจากนั้นเฉินชิงตูก็เอาสองมือไพล่หลัง เดินเล่นไปบนหัวกำแพงเมืองเพียงลำพัง
หาวซู่นั่งยองอยู่บนกิ่งไม้ โยนกาเหล้าที่ว่างเปล่าทิ้งไป “ทำไมถึงได้มองข้าแตกต่างจากคนอื่น?”
ลู่เฉินมาที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เดิมทีคิดไว้ว่าแค่จะพาสิงกวานออกเดินทางไกลไปเยือนมืดสลัวด้วยกันเท่านั้น เพียงแต่ไม่ทันระวังดันลงเรือโจรลำเดียวกับอิ่นกวานหนุ่มมาเสียแล้ว
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เจ้าขอบเขตสูงนี่นา ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน เจ้าคิดว่าใต้หล้ามืดสลัวมีเยอะมากนักหรือ? ไม่เยอะหรอก อีกอย่างก็คือ…ก็ถือว่าเป็นคนที่เป็นโรคเดียวกันควรต้องสงสารกันกระมัง เพราะในใจของพวกเราต่างก็มีความเสียดายที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก”
ความเสียดายของลู่เฉินก็คือทรยศต่อธิดามังกรผู้นั้น
ส่วนหาวซู่ก่อนที่จะพกกระบี่บินทะยานในพื้นที่มงคลบ้านเกิด ก็เคยสัญญากับสตรีที่รัก ว่าจะกลับไปหานาง
หาวซู่พลันถามว่า “ลู่เฉินที่แท้จริงเป็นคนอย่างไร?”
เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ บางทีอาจจะยังพอถือว่ามีมหามรรคาเชื่อมโยงกับคนที่ล่องเรือออกทะเลไปเยี่ยมเยียนเซียนในใต้หล้าไพศาลของปีนั้นได้อยู่บ้าง แต่การกระทำคำพูดคำจากลับต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน
ดังนั้นหาวซู่จึงสงสัยมาโดยตลอดว่าลู่เฉินที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องไม่ใช่ร่างจริงอะไรของลู่เฉินแน่
สองมือของลู่เฉินสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ทยอยเอ่ยมาสามประโยค
“น้ำใสล่องเรือ ภูเขาเขียวผ่านทางมา พันปีเบื่อหน่ายโลกจึงจากไปเป็นเซียน ขี่เมฆขาวไปถึงแดนสวรรค์”
ลู่เฉินกำลังบอกว่าระหว่างเส้นทางการฝึกตนของตัวเอง ไม่คิดอยากอยู่ต่อให้ในใต้หล้าไพศาลอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนสถานที่ บ้านเกิดของผู้ฝึกตนก็คือสถานที่ที่จิตแห่งมรรคาสงบสุข
“คนธรรมดาไม่มีเรื่องหาเรื่องใส่ตัว ต้นไม้ในภูเขาเพราะมีประโยชน์จึงถูกฟัน แม้ว่าฟ้าดินจะกว้างใหญ่ สรรพสิ่งจะมากมาย ใจของข้ากลับสนใจแต่ปีกจักจั่น มุ่งมั่นจดจ่อ”
ประโยคนี้คงจะมุมมองที่ลู่เฉินมีต่อโลกใบนี้
“ซ่อนใต้หล้าไว้ในใต้หล้า เป็นสหายกับธรรมชาติ ก็คือเจินเหรินที่แท้จริง”
บางทีนี่อาจจะเป็นที่ตั้งแห่งรากฐานมหามรรคาของลู่เฉิน เพียงแต่ดูเหมือนว่าคนนอกไม่ว่าใครคิดจะเรียนรู้ก็เรียนรู้ทำตามไม่ได้
การชักดึงแม่น้ำครั้งหนึ่ง กายธรรมนักพรตสูงหมื่นจั้งตนนั้นดึงเอาโชคชะตาน้ำของน่านน้ำลำคลองเย่ลั่วไปได้ถึงสี่ส่วน
ลู่เฉินจุ๊ปากชื่นชม “ผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บวกกับคนที่มาจากต่างถิ่นอย่างพวกเรา ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่จะค่อนข้างมีเยอะมากแล้ว”
นอกจากตัวลู่เฉินเองแล้ว ยังมีบรรพบุรุษใหญ่ชูเซิงที่หวนกลับมาจากนอกฟ้า และเซียวสวิ้นอิ่นกวานคนก่อนที่ทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฒ่าตาบอดที่ยังคงไม่ช่วยเหลือใครสักทาง เฉินชิงหลิวผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นคนพิฆาตมังกร รวมไปถึงอู๋ซวงเจี้ยงผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่แห่งนี้
แน่นอนว่ายังมีเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวที่เก็บซ่อนอำพรางตนอย่างลึกล้ำ
หากการอนุมานตลอดทางมานี้ของลู่เฉินไม่มีช่องโหว่เกิดขึ้น ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งโผล่มาบนโลก นั่นก็คือ ‘จงหยวน’ คนใหม่ที่ภูเขาทัวเยว่เอาไว้ใช้เล่นงานอาเหลียงกับจั่วโย่วโดยเฉพาะ เป็นท่าไม้ตายของภูเขาทัวเยว่ คิดดูแล้วคงจะเป็นวิธีรับมือที่เป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งมหาสมุทรความรู้โจวมี่ทิ้งไว้บนโลกใบนี้
ผู้ฝึกลมปราณชนิดใดในใต้หล้าที่สามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานได้มากที่สุด? ง่ายมาก ก็คือผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวขอบเขตสิบสี่อย่างไรเล่า
แล้วนับประสาอะไรกับที่นอกจากนี้ แท้จริงแล้วยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ขั้นสูงสุดที่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในภูเขาสายน้ำของเปลี่ยวร้างอยู่อีกคนหนึ่ง
ป๋ายเจ๋อ!
ครั้งนี้ป๋ายเจ๋อจะต้องเลือกยืนอยู่ฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ อย่างแน่นอน
ลู่เฉินพลันลุกขึ้นยืน ถอนหายใจ “ไปเถอะ ในเมื่อฆ่าเฟยเฟยไม่ได้ ก็เก็บแรงไปทำเรื่องใหญ่กว่านี้จะดีกว่า”
หาวซู่ขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใด?”
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันรั้งตัวเฟยเฟยไว้ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่กลับจะไปจากลำคลองเย่ลั่วโดยไม่แม้แต่จะออกกระบี่สักครั้งหรือ?
ทว่าลู่เฉินกลับไม่ได้ให้คำตอบ เพียงแค่ยิ้มแล้วหันตัวกลับไปคารวะตามขนบลัทธิเต๋าตรงทิศที่ห่างไปไม่ไกล จากนั้นดวงจิตของลู่เฉินก็จำแลงกายกลับเข้าไปในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมดอกบัว
หาวซู่ลังเลไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังไม่ได้ออกกระบี่
หลังจากที่ลู่เฉินและหาวซู่จากไป บนกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างคนทั้งสองมีบุรุษเรือนกายสูงเพรียวปรากฏตัวมาจากความว่างเปล่า ก็คือป๋ายเจ๋อที่มีสีหน้าเฉยเมย
ค่ายกลใหญ่ของภูเขาทัวเยว่พลันเปิดออกทันที ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้รอบด้านมีแต่ไอน้ำไอหมอกที่ลอยกรุ่นขึ้นมา แม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาสายหนึ่งที่โอบล้อมภูเขาลูกนี้อยู่มานานหมื่นปี ประหนึ่งแม่น้ำพิทักษ์เมืองสายหนึ่ง
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจในภูเขาทัวเยว่เหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ ทุกตนต่างก็พากันหันไปมองตรงตีนเขาตาไม่กะพริบ เมฆหมอกซัดตลบ บดบังฟ้าดิน
มีคนผู้หนึ่งเดินนำออกมาจากในแม่น้ำแห่งกาลเวลาก่อน จากนั้นก็เป็นหนิงเหยา ลู่จือ สุดท้ายจึงเป็นฉีถิงจี้ หาวซู่สิงกวาน
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยมีผู้ฝึกกระบี่นักโทษอาญาสามคน เฉินชิงตูเป็นผู้นำของกลุ่มคน นำพาหลงจวิน กวานจ้าวมาร่วมกันโค่นล้มภูเขาทัวเยว่
หมื่นปีให้หลังก็มีผู้ฝึกกระบี่อีกห้าคนที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ จับมือกันมาเป็นแขกที่ภูเขาแห่งนี้
เพื่อมอบเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืนจากการที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างบุกไปโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ยาวนานตลอดหมื่นปี
นอกฟ้า สตรีชุดขาวคนหนึ่งใช้สองนิ้วคีบหมุนดวงดาวดวงหนึ่งตามใจชอบ เรือนกายค่อยๆ สลายหายไป สุดท้ายกลายเป็นลำแสงเจิดจ้าเส้นหนึ่งท่ามกลางความว่างเปล่าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ตรงดิ่งไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่แท้จริงแล้วเล็กจ้อยนัก
ตรงตีนเขาของภูเขาทัวเยว่ คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคือเฉินผิงอันที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่ยาวเย่โหยว ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สองนิ้วของมือขวาประกบกันปาดผ่านไปยังทางขวาช้าๆ ตรงเบื้องหน้าเขาก็มีแสงสีทองเส้นหนึ่งปรากฏ
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่พลังพิฆาตสูงพ้นไปนอกฟ้าได้ผละจากนอกฟ้ามาเยือนโลกมนุษย์ ณ บัดนี้
มือซ้ายของเฉินผิงอันถือกระบี่
เฉินผิงอันในเวลานี้จึงคล้ายกับผู้ถือกระบี่ที่แท้จริงเมื่อหมื่นปีก่อน คือผู้ครองกระบี่คนแรกเริ่มสุดของผู้ครองกระบี่หนึ่งในห้าเทพสูงสุดของสรวงสวรรค์บรรพกาล