กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 862.2 เปิดภูเขา
สายของเหวินเซิ่ง ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคน
ต่างก็อำมหิตกับตัวเองอย่างมาก
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
คงเป็นเพราะพวกเขาทั้งสามต่างก็มีความหวังส่วนหนึ่งต่อโลกใบนี้กระมัง
ไม่ใช่ว่าวิถีทางโลกงดงามมากพอ ถึงได้ทำให้ใจคนเกิดความหวัง แต่เป็นเพราะวิถีทางโลกไม่งดงามมากพอ บนโลกมนุษย์ไม่มีเรื่องเล็กน้อย ถึงได้มีความหวังต่อวิถีทางโลกมากขึ้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “โจวมี่สั่งให้หยวนซงยืนนิ่งอยู่บนภูเขาทัวเยว่ไม่ขยับอย่างโง่งม ให้เฉินผิงอันเงื้อกระบี่ฟันไปหมื่นครั้ง ก็เพราะต้องการความเป็นเทพที่แผ่กระจายออกมาจากความเสียหายหลังปล่อยกระบี่?”
มรรคจารย์เต๋าพยักหน้า “รับมือกับคนฉลาด หลายๆ ครั้งก็มีเพียงวิธีที่โง่เขลาเท่านั้นถึงจะได้ผลดีเยี่ยม”
ขอแค่เฉินผิงอันยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะอ้อมผ่านภูเขาทัวเยว่ไปไม่พ้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าวักน้ำขึ้นมาหนึ่งกำมือ แกว่งอยู่ในฝ่ามือเบาๆ อาศัยสิ่งนี้มาประเมินน้ำหนักของกฎระเบียบและมารยาทพิธีการของหลี่เซิ่งและใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ “ไม่ว่าเฉินผิงอันจะสามารถย้ายภูเขาได้หรือไม่ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของหลายใต้หล้าต่างก็เห็นขั้นตอนนี้อยู่ในสายตา เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็จะกลายเป็นเป้าหมายที่ถูกผู้คนเล่นงานแซงหน้าอวี๋โต้วไปก่อนเสียอีก”
อู๋ซวงเจี้ยงเคยมอบคำทำนายประโยคหนึ่งให้กับเต๋าเหล่าเอ้ออวี๋โต้ว หากท่านไม่ฝึกขัดเกลาคุณธรรม ก็คือหนทางสู่ความตาย
เพราะคนที่อยู่บนเรือจะกลายเป็นศัตรูไปหมดสิ้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหยันเสียงเย็น “อริยะผู้มีคุณูปการมีคุณธรรมในสมัยโบราณ สร้างคุณความชอบใหญ่ ช่วงชิงใต้หล้า อาศัยใจคน โจวมี่ในยุคปัจจุบันหมายจะใช้เหนือฟ้ามาช่วงชิงใต้หล้าไปครอง อาศัยชีวิตคน”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มถาม “เจ้าว่าเจี่ยเซิงแห่งไพศาลผู้นี้ ปีนั้นนาทีที่เขาข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่ไป ในใจกำลังคิดอะไรอยู่?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าตอบส่งๆ “คงจะคิดว่า ‘โชคชะตาทรยศ โลกใบนี้มิอาจยอมรับ’ กระมัง บัณฑิตผู้นี้ยังมีจิตใจที่สูงยิ่งกว่าผืนฟ้า ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เส้นทางขึ้นฟ้าให้เดินเส้นเดียวแล้ว ข้าเดาเอาว่าผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปได้ไม่นานเท่าไร โจวมี่จะต้องเคยเงยหน้ามองฟ้า มั่นใจว่าฟ้าสูงแห่งนั้นต่างหากถึงจะเป็นบ้านเกิดแห่งใจของตัวเอง”
เจ้าอารามผู้เฒ่าแบมือออก ปล่อยน้ำที่สะสมอยู่ในฝ่ามือกลับลงไปในทะเล “หากถูกเฉินผิงอันย้ายภูเขาไปได้จริงๆ ใช้กระบี่สังหารหยวนซง จะได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงหรือไม่? แกะสลักอักษรอะไร? ผิง อัน? บวกกับอักษร ‘เฉิน’ ที่เฉินซีแกะสลักไว้ก่อนหน้านั้น หากยังสามารถสังหารขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งได้อีก จุ๊ๆ ถูกเจ้าเด็กนี้รวมชื่อจนครบคน ลำพังแค่เรื่องนี้ อีกหมื่นปีให้หลัง ถ้าอย่างนั้นชื่อของเขาเฉินผิงอันเกรงว่าคงต้องยิ่งใหญ่กว่าอวี๋โต้วแล้วล่ะ ไม่ถือว่าเป็นความเห็นแก่ตัวทั้งหมด เพราะยังจะช่วยให้ซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกผู้ฝึกลมปราณในยุคหลังพูดถึงมากขึ้น นานขึ้น”
บนภูเขามีคำกล่าวอย่างหนึ่งเผยแพร่ออกไป ถูกคนบนโลกหลงลืมอดีตที่เคยเกิดขึ้นไปอย่างสิ้นเชิง ก็คือการตายอีกอย่างหนึ่งหลังจากที่คนตายไปแล้ว
มรรคาจารย์เต๋าส่ายหน้า “หากจะแกะสลักตัวอักษรจริง ก็มีแต่จะแกะสลักอักษรคำว่า ‘ผิง’ จากชื่อฝูผิงเท่านั้น” (ผิง ฝูผิงที่แปลว่าจอกแหนล่องลอยเขียนคนละแบบกับผิงในชื่อของเฉินผิงอัน)
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้า
มรรคาจารย์เต๋าพลันเอ่ยว่า “พูดคำว่าโจวมี่น้อยลง ยืนพูดไม่ปวดเอว”
เจ้าอารามผู้เฒ่าคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม
สะพานโค้งสีทอง
หร่วนซิ่วมองแสงกระบี่ที่ออกเดินทางไกลเส้นนั้น จักรวาลเวิ้งว้างนอกฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด ดวงดาวแต่ละดวงเล็กเหมือนเมล็ดงาที่สาดโปรยอยู่บนพื้น มากมายจนนับไม่ถ้วน มีบางส่วนที่เบียดเสียดกันถี่แน่น จับกลุ่มกลายเป็นทางช้างเผือกอันยิ่งใหญ่ไพศาลที่สว่างเจิดจ้าพร่างพราว แสงกระบี่ที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามสอดลอดทะลุธารดาราประหนึ่งไฟกลางหิน ม้าขาวควบผ่านช่องแคบ พุ่งไปอย่างรวดเร็วเหนือกว่าการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาเสียอีก
ส่วนโจวมี่ก็หรี่ตาลงหลุบมองโลกมนุษย์
หลีเจินฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง กะพริบตาปริบๆ “เอ๊ะ ทำไมกระแสน้ำไหลถึงเปลี่ยนช่องทางเสียล่ะ? นี่ถือว่าเป็น…ประวัติการณ์เลยหรือไม่?”
โจวมี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำท่าสมน้ำหน้าสะใจต่อหน้าคนอื่น ไม่ใช่นิสัยที่ดีอะไรเลยจริงๆ”
หลีเจินหันหน้าไปมองโจวมี่ ต่อให้รู้ไส้รู้พุงกันดี แต่พอมองมากหน่อยก็ยังอดไม่ไหวที่จะรู้สึกเลื่อมใสในตัวมหาสมุทรความรู้แห่งใต้หล้า ‘จิ้งจอกเฒ่าเหนือเมฆ’ ที่กินฝ่าเหยียนอาจารย์ของเชี่ยอวิ้นจนสิ้นซากผู้นี้ไม่ได้
หลี่เจินถอนสายตากลับมา มองไปนอกสะพานโค้งสีทอง
ในสายตาของทวยเทพชั้นสูงแล้ว แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็เหมือนโชคชะตาแห่งขุนเขาสายน้ำในดวงตาของผู้ฝึกลมปราณที่ใช้ศาสตร์การมองลมปราณ นอกจากร่างทองขององค์เทพเองแล้ว ทุกหนทุกแห่งก็ล้วนมีแต่พวกมัน
ส่วนในสายตาของเทพสูงสุดกลับเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง ก็เหมือนกับบ้านไร้ผนังหลังหนึ่งที่ประกอบกันขึ้นมาจากสิ่งที่เล็กละเอียดอย่างถึงที่สุดจำนวนนับไม่ถ้วน เพียงแค่ขยับ สิ่งเล็กๆ เหล่านั้นก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปได้นับแสนนับล้าน มองดูเหมือนมีระเบียบ แต่แท้จริงแล้วกลับไร้ซึ่งระเบียบ
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน จะได้เลื่อนเป็นเทพชั้นสูงของยุคบรรพกาลหรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าจะสามารถมองเห็นวัตถุที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกไปได้อีกกับตาตัวเองหรือไม่
และวิถีการโคจรทุกเส้นจะมีระเบียบในช่วงระยะสั้นๆ คล้ายคลึงกับท้องน้ำบางช่วงตอนของแม่น้ำแห่งกาลเวลา ก็คือวิชาอภินิหารวิชาหนึ่ง หรือก็คือมรรคกถาจากการผสานมรรคากับฟ้าดินที่ผู้ฝึกลมปราณเผ่ามนุษย์เรียกขานกันในโลกยุคหลัง
ใต้หล้าทั้งหลาย ผู้ฝึกตนที่เดินขึ้นเขาในภายหลัง เวทคาถาเซียนมรรคกถาทุกบทที่บันทึกไว้ในตำราหรือจดจำไว้ในใจเงียบๆ ล้วนต้องอิงไปตามบรรทัดฐานของวิถีแห่งฟ้านี้ ตัวอักษรบนตำราทุกตัว เสียงในใจทุกเสียงก็คือสมอเรือที่แม่นยำ พยายามที่จะสร้างการดำรงอยู่ที่มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา
เพียงแต่ว่าในสายตาของเทพชั้นสูงสุด การกระทำนี้ของผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ยังคงเป็นแค่การขูดเรือหากระบี่ เป็นเรือที่ล่องไปตามน้ำ จึงต้องดึงสมอเรือที่โยนลงน้ำให้เคลื่อนที่ไปช้าๆ ซึ่งจำใจต้องทำเท่านั้น เป็นเหตุให้ยากที่จะพิสูจน์ความเป็นอมตะ มิอาจมีชีวิตยืนยาวอยู่ร่วมกับฟ้าดินได้
ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาไม่มีเรือลำใดที่หยุดจอดลอยนิ่งได้อย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่มีวัตถุใดที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
“ในอดีตฉีจิ้งชุนศึกษาความรู้และสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนในถ้ำสวรรค์หลีจูหกสิบปี สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงก็คือของสิ่งนี้เรื่องราวนี้”
โจวมี่เหมือนกำลังพูดพึมพำกับตัวเอง “เป็นการไหลมารวมกันของสามลัทธิ พยายามที่จะก่อตั้งลัทธิเรียกตัวเองเป็นบรรพบุรุษ? ถ้าอย่างนั้นก็ดูแคลนปณิธานของฉีจิ้งชุนเกินไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่เขาเดินคนละเส้นทางกับข้า ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน”
สิ่งที่ฉีจิ้งชุนต้องการอย่างแท้จริงก็คือหวังว่าบนผืนแผ่นดินของโลกมนุษย์จะมีผู้ฝึกตนกลุ่มเล็กปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วค่อยนำพาคนกลุ่มใหญ่ตามมา เหมือนเป็นการเดินขึ้นฟ้าใหม่อีกครั้ง เป็นเหตุให้ทั้งล่างภูเขาและโลกมนุษย์ต่างก็ไร้ความทุกข์ความกังวล คนที่ขึ้นเขากลายมาเป็นออกเดินทางไกลไปนอกฟ้า คือการไล่ตามมหามรรคาที่แท้จริง และนี่ก็สอดคล้องกับการผสานมหามรรคาที่ ‘แสวงหากระดานหมากที่ใหญ่กว่าเดิม’ ของชุยฉานผู้เป็นศิษย์พี่
เพียงแต่หนึ่งนั้นที่เริ่มโคจรเร็วสุด ได้ถูกกุมอยู่ในมือของผู้ครองสรวงสวรรค์เก่าอยู่ตลอดเวลา
สิ่งของที่มรรคาจารย์เต๋าต้องการตามหาก็คือหนึ่งนี้ สุดท้ายตั้งชื่อให้มันว่าเต๋า (หรือเต้า มรรคา)
เคยหามาก่อน และถึงกับเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน ทว่าด้วยมรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋า กลับยังไม่อาจจับกุมมันไว้ในมือได้ เพราะมันปรากฏเพียงพริบตาเดียวก็พุ่งวาบหายไป
มรรคาจารย์เต๋าเคยเห็นมาแล้วสามครั้ง ถึงขั้นที่ว่าได้เห็นการโคจรของมหามรรคาครั้งแรกสุดที่หนึ่งนั้นเป็นผู้พามาด้วย เป็นเหตุให้ลัทธิเต๋ามีคำกล่าวที่ว่าสามก่อเกิดสรรพสิ่ง
นั่นคือทัศนียภาพที่เหนือเกินกว่าจินตนาการของผู้ฝึกตนจะไปถึง ทั้งงดงามทั้งน่าหวาดกลัว ทั้งเรียบง่ายทั้งลี้ลับมหัศจรรย์ มิอาจวาดรูปลักษณ์ของมันออกมา ไม่อาจบรรยายถึงความงดงามของมัน
หลุดพ้นจากมีไม่มี ใหญ่เล็ก จริงลวงทั้งหลายทั้งปวง คำพูดทั้งหมดบนโลกล้วนกลายมาเป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจความลี้ลับมหัศจรรย์ของมัน
ไม่ว่าจะเป็นมรรคาจารย์เต๋าหรือพระพุทธเจ้า เพื่อถ่ายทอดวิชาให้กับคนรุ่นหลัง บอกกล่าวถึงต้นกำเนิดของมัน ทั้งมิอาจไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และมิอาจใช้ตัวอักษรมาบรรยายความหมายของมัน เพราะยิ่งตัวอักษรมากเท่าไรก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากมันมากเท่านั้น
โจวมี่หันหน้าไปมองสตรีที่ยืนอยู่บนราวรั้ว
จากนั้นจึงมองตามสายตาของนางไปยังนครป๋ายฮวาที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปอย่างสิ้นเชิงแล้วในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
หลีเจินจุ๊ปากด้วยความทึ่ง “ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ข้านับถือที่สุด ผ่านที่ใด แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่เหลือ”
เจ้าสำนักที่จิตหยินถูกบีบให้ต้องสละร่าง ไม่เพียงแต่ขอบเขตลดลงมาจากเซียนเหริน แม้แต่ขอบเขตหยกดิบก็ง่อนแง่นเต็มที ความเสียหายที่ทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องที่สบายๆ อย่างแค่ถูกลดทอนตบะไม่กี่สิบปีหรือหลายร้อยปีเท่านั้น
มันเสี่ยงอันตรายใหญ่เทียมฟ้าที่อาจถูกเฝ้าตอรอกระต่ายแอบหวนกลับไปที่ภูเขาที่ตั้งของสำนักอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าฉีถิงจี้และลู่จือออกเดินทางไกลไปแล้ว มันจึงเก็บกรมเก่าแห่งนั้นมา เพียงแต่ว่าเหลือแต่แม่ทัพกุ้งหอยปูปลาที่ไม่พอจะเอามาใช้ทำงานใหญ่ได้แล้ว มันเตร็ดเตร่ไปตามคลังสมบัติแต่ละแห่ง สุดท้ายไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดที่หน้าประตูภูเขา หัวใจเหมือนถูกมีดคว้าน ตำแหน่งฐานะของสำนักบ้านตน เกินครึ่งคงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว
เซียนกระบี่ทั้งหลายที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกนี้ แต่ละคนอำมหิตไม่แพ้กัน
ผ่าแตงหั่นผักอำมหิตมากพอ คิดไม่ถึงว่ายามที่กวาดค้นปล้นสะดมจะอำมหิตยิ่งกว่า
แค่เคยได้ยินมาว่าอิ่นกวานหนุ่ม ในอดีตตอนอยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังสามารถ ‘หยุดแต่พอสมควร’ ภายใต้การจับจ้องมองมาจากสายตาของราชาบนบัลลังก์เก่าทั้งหลายได้
แต่ไม่เคยได้ยินเลยว่าฉีถิงจี้กับลู่จือก็ละโมบโลภมากในทรัพย์สินด้วย
ภาพมายาภูเขาอีกลูกหนึ่งคือซากปรักสนามรบบรรพกาล เมื่อเจอกับการปล่อยกระบี่ของหนิงเหยา ธงเรียกวิญญาณและมหาสมุทรต้นไผ่สายฟ้าของฉีถิงจี้ไล่เลี่ยกัน ผีหญิงขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งที่โชคดีหนีรอดจากหายนะใหญ่มาได้ ทั้งไม่ถูกปราณกระบี่สังหาร แล้วก็ไม่ถูกฉีถิงจี้เก็บเข้าไปในธง นางพลันตกตะลึงระคนยินดีเป็นล้นพ้น เมื่อครู่นี้ลองสำรวจห้องโอสถดู ไม่นึกเลยว่าอยู่ดีๆ จะฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาได้?
เห็นเพียงว่าในห้องโอสถมีตัวอ่อนกระบี่ของกระบี่บินขนาดเล็กจิ๋วอยู่เล่มหนึ่ง ลักษณะเหมือนไผ่เขียวหนึ่งต้น ดุจไผ่งามที่ตั้งตระหง่าน ตรงปล้องต้นไผ่พอจะมองเห็นลายเมฆสายฟ้าแลบได้เลือนราง
ราวกับว่าทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีบัญชาสวรรค์กำหนดเอาไว้แล้ว
นางพลันคุกเข่าลงบนพื้น ไล่หันหน้าไปยังจุดที่หนิงเหยาลอยตัวปล่อยกระบี่ รวมไปถึงบนยอดเขาที่ฉีถิงจี้ยืนอยู่ แล้วโขกศีรษะคำนับเก้าครั้งเน้นหนักเสียงดัง
ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ นี่ถือว่าเป็นพิธีการใหญ่ในการกราบไหว้อาจารย์แล้ว
ผีสาวที่ใช้นามแฝงว่าแหยนไช่ ตอนที่โขกหัวกราบคำนับ ในใจก็พึมพำขอพรสองข้อต่อฟ้าดินอย่างจริงใจ
แรกเริ่มสุดตอนที่หนิงเหยาออกกระบี่ อันที่จริงแหยนไช่ได้เตรียมยื่นคอรอรับกระบี่ไว้เรียบร้อยแล้ว นางจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ปราณกระบี่เหล่านั้นคล้ายจะได้รับคำสั่งทางจิตจากเจ้าของจึงอ้อมผ่านข้างกายนางไป
ส่วนเรื่องการแก้แค้น?
ในซากปรักสนามรบที่ไร้ขื่อไร้แปแห่งนี้มีการเข่นฆ่าดุเดือดน่าอนาถเกิดขึ้นแทบตลอดเวลา ต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ต่อให้เป็นผีวิญญาณวีรบุรุษหลายร้อยตนใต้บังคับบัญชาของนาง ใครบ้างที่ไม่มีความแค้นต่อนาง?
มหาบรรพตชิงซาน เมื่อผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านไป กลับยังคงปลอดภัยดี
ซานจวินปี้อู๋ที่อยู่ในห้องหนังสือหยิบแผนที่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างซึ่งถือเป็นของต้องห้ามออกมา เป็นแผนที่ที่ปี้อู๋วาดขึ้นมาเอง แต่ละสำนัก โชคชะตาภูเขาสายน้ำมีมากหรือน้อยจะมีแสงที่สว่างระดับไม่เท่ากันปรากฎอยู่บนแผนที่ ปี้อู๋ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่านครป๋ายฮวา นครอวิ๋นเหวิน นครเซียนจาน เมื่ออยู่บนแผนที่ต่างก็มืดสลัวในระดับที่ต่างกัน นครป๋ายฮวาแทบจะเป็นสีดำสนิท นครเซียนจานกลับถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
สหายรักที่มีฉายาว่าโซ่วเหมย ทุกวันนี้เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในนครเซียนจาน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรหรือไม่
ในศาลเทพภูเขาของปี้อู๋ตั้งวางตะเกียงแห่งชะตาชีวิตเกือบยี่สิบดวงไว้อย่างลับๆ เมื่ออยู่บนภูเขา นี่จึงถือว่าเป็นมิตรภาพแน่นแฟ้นที่ฝากชีวิตให้กันแล้ว
นี่แสดงให้เห็นว่าซานจวินปี้อู๋อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวแห่งนี้มีชื่อเสียงที่ไม่เลวจริงๆ
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อใจในศาลบรรพจารย์ของสำนักบ้านตัวเอง แต่กลับเชื่อใจปี้อู๋แห่งชิงซาน
นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่เผชิญหน้ากับหนิงเหยา ปี้อู๋ถึงต้องตื่นเต้นขนาดนั้น เขาล่ะกลัวจริงๆ ว่าพูดจาไม่เข้าหูหนิงเหยาคำเดียวแล้วนางจะเงื้อกระบี่ฟันตราผนึกขุนเขาสายน้ำของศาลให้แตกออก จากนั้นฟันให้ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ในศาลพวกนั้นแหลกเละตามไปด้วย
หากศาลถูกหนิงเหยาทุบทำลาย ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตที่มีความเชื่อมโยงกับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของขุนเขาใหญ่อย่างแนบแน่นจะต้องเป็นดั่งก้อนหินที่ผุดหลังน้ำลดแน่นอน
คุณความชอบในการสู้รบเป็นชุดเช่นนี้ เซียนเหรินหนึ่งคน ขอบเขตหยกดิบเก้าคน คนอื่นๆ ที่เหลืออย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนดิน หากตะเกียงแห่งชะตาชีวิตทั้งหมดถูกทำลาย อย่างน้อยที่สุดก็ต้องขอบเขตถดถอยกันไปคนละหนึ่งขั้น หากเอามารวมกันก็พอจะทัดเทียมคุณความชอบในการสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้แล้ว
ตามหลักแล้ว คฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่น่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง และต้องมีบันทึกลงเอกสารไว้นานแล้ว
บางทีเซียนกระบี่หนิงอาจไม่รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่เฉินผิงอันผู้นั้นเป็นอิ่นกวานมานานหลายปี ย่อมรู้เรื่องวงในนี้เป็นอย่างดี
ดังนั้นปี้อู๋คิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าอิ่นกวานหนุ่มที่เชี่ยวชาญการคิดคำนวณที่สุดผู้นี้ เหตุใดทั้งๆ ที่เดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้แล้ว กลับยังยินดีที่จะปล่อยภูเขาชิงซานไป?
ปี้อู๋ครุ่นคิดพลางเดินออกมาจากห้อง เดินไปยังที่แห่งหนึ่ง สุดท้ายมาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นเหมยโบราณต้นหนึ่ง ยังดี ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงที่อยู่ในศาลยังปลอดภัยดี ต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่เหี่ยวแห้ง
นี่ก็หมายความว่าสหายเก่าแก่โซ่วเหมยไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด ดูเหมือนว่าตบะบนร่างยังไม่ได้รับความเสียหายด้วย
ไม่มีลมเย็นพัดโชยผ่านมา ทว่าต้นไม้โบราณกลับส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวา จากนั้นก็มีเรือนกายของผู้ฝึกตนคนหนึ่งปรากฎขึ้น ปี้อู๋กุมหมัดยิ้มเอ่ย “สหายโซ่วเหมย”
ก็คือผู้ฝึกตนเฒ่าฉายาโซ่วเหมยที่อยู่ตรงประตูมังกรของนครเซียนจาน เขาหอบหายใจหนักหน่วง ไม่ปกปิดอาการอกสั่นขวัญหายของตัวเองแม้แต่น้อย เอ่ยอย่างคนที่ยังหวาดผวาไม่คลายว่า “ก่อนหน้านี้ยืนอยู่บนยอดของซุ้มป้ายประตูมังกร อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นยื่นนิ้วออกมา แค่ชี้ทีเดียว ผู้ถวายงานอันดับรองของนครเซียนจานที่อยู่ข้างกายข้าก็ร่างระเบิดคาที่ ทั้งโอสถทองและก่อกำเนิดล้วนไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย นั่นคือผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเชียวนะ ถึงกับไร้เรี่ยวแรงให้ตอบโต้เอาคืน ไม่ว่าจะเป็นเวทคาถาหลบหนีบทใดก็ล้วนหลบเลี่ยงไม่ทัน”
ปี้อู๋รู้สึกกังขาเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนเฒ่าโบกมือ “ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น”
ซานจวินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ปี้อู๋ซานจวิน ข้ายังต้องรีบออกเดินทางไกลในทันที เหตุการณ์คับขัน เกรงว่าคงต้องขอยืมรถอัคคีคันนั้นของเจ้าไปใช้ชั่วคราวแล้ว”
ปี้อู๋ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเป็นเรื่องอะไรก็เอารถให้สหายรักยืมโดยไม่ลังเล โบกมือหนึ่งครั้ง รถที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนก็พุ่งทะยานออกจากเรือนด้านหลังของศาลบนยอดเขา ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ เปลวเพลิงลุกท่วม สายฟ้าตัดสลับถักทอ ปี้อู๋ผลักเบาๆ หนึ่งที ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดคาถาบังคับรถอัคคีให้กับสหายรักด้วย
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ปี้อู๋ซานจวิน หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ต่อให้ข้าชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่พอเลยนะ”
ปี้อู๋ยิ้มกล่าว “การเดินทางไปเยือนภูเขาทัวเยว่ครั้งนี้ หากเจอเรื่องไม่คาดฝันจริงๆ สหายโซ่วเหมยก็สละของนอกกายรักษาชีวิตไว้ก่อน ไม่ต้องพูดเรื่องชดใช้อะไรทั้งนั้น คิดเสียว่าภูเขาชิงซานหมดวาสนากับสมบัติชิ้นนี้ก็แล้วกัน”
ผู้ฝึกตนเฒ่ากระทืบเท้าหนึ่งที แล้วก็ไม่เอ่ยถ้อยคำเกรงใจให้มากความอีก บังคับรถอัคคีเร่งเดินทางไปยังภูเขาทัวเยว่ เอาความไปบอกแก่เฝ่ยหรานตามที่ตกลงไว้กับอิ่นกวานหนุ่ม
ปี้อู๋ซานจวินเดินนับลูกประคำไปตลอดทาง กระทั่งเดินไปถึงเรือนเหวินซูก็จุดธูปสามดอกกราบไหว้อย่างเคารพเลื่อมใส