กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 863.2 ทางหนีทีไล่
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว คีบเส้นยาวสีทองที่แทงทะลุไหล่จนเป็นรูเส้นนั้นเอาไว้ แต่กลับไม่อาจขยี้ให้มันขาดได้
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินถามไปแต่ไร้คำตอบ จึงใจลอยอยู่ตลอดเวลา เวลานี้จึงทำตัวให้กระฉับกระเฉง ใช้เสียงในใจอธิบายให้เฉินผิงอันฟัง “เป็นเพราะบนร่างของเจ้าแบกรับชื่อจริงของปีศาจใหญ่เอาไว้ จึงกลายมาเป็นภาระ ไม่ได้เลื่อนสู่ขอบเขตเรือกลวงของผินเต้าได้อย่างแท้จริง หากจะให้บอกวิธีแก้ปัญหา…”
คิดไม่ถึงว่าไม่ต้องรอให้ลู่เฉินชี้แนะ เฉินผิงอันก็ก้าวยาวๆ ขยับไปด้านข้าง จงใจไม่ออกกระบี่เปิดภูเขาต่อ ปล่อยให้ปีศาจใหญ่หยวนซงอยู่ว่างๆ ไปก่อน
กายธรรมหมื่นจั้งขยับไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาทัวเยว่ คล้ายจะรำคาญที่มันอืดอาดชักช้าเกินไป จึงช่วยให้มันเฉือนไหล่ของกายธรรมตนให้เสร็จไปในรวดเดียวเสียเลย
ลู่เฉินที่เป็นคนนอกเหตุการณ์ นอนอยู่ในสถานที่ประกอบพิธีกรรมดอกบัวอดรู้สึกเจ็บแทนเฉินผิงอันไม่ได้
กายธรรมหมื่นจั้งยื่นมือออกไปคว้าพร้อมกัน บังคับกระบี่ยาวเย่โหยวให้ออกจากฝัก หลังกุมไว้ด้วยมือขวา เย่โหยวก็พลันขยายใหญ่สอดคล้องกับความสูงของกายธรรม จากนั้นเฉินผิงอันจึงหันกายแทงกระบี่ยาวเย่โหยวลงในพื้นดิน บิดข้อมือหนึ่งที พันเส้นยาวสีทองไว้บนแขน แล้วเริ่มกระชากเอาปีศาจใต้ดินที่ร่างจริงไม่เล็กให้ขยับเข้ามาหาตนอย่างต่อเนื่อง
แผ่นดินและขุนเขาสายน้ำที่เดิมทีแข็งแกร่งผิดปกติเพราะถูกปราณวิญญาณฟ้าดินและโชคชะตาขุนเขาสายน้ำอาบย้อมมานานหมื่นปี พลันอ่อนนุ่มเหมือนดินโคลนที่ถูกพลิกตลบ ร่างจริงของเผ่าปีศาจที่อยู่ใต้ดินคล้ายจะสัมผัสได้ถึงเส้นแบ่งความเป็นความตาย จึงร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต คอยเชื่อมโยงรากภูเขาของภูเขาทัวเยว่ไว้อย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ดิ้นสะบัดพลิกหมุนร่างอย่างบ้าคลั่ง พยายามจะหนีออกไปด้านหลัง บนพื้นดินจึงเกิดเป็นร่องลึกที่เพียงแค่ขยับก็ลากยาวแผ่ออกไปหลายสิบลี้หรือถึงร้อยกว่าลี้
สุดท้ายเรือนกายใหญ่โตโอฬารลักษณะกึ่งเจียวกึ่งมังกรก็ถูกเฉินผิงอันกระชากออกมาจากใต้ดินอย่างแรง แล้วค่อยๆ ถูกดึงขยับเข้ามาใกล้คมกระบี่ที่ตั้งตรงของกระบี่ยาวเย่โหวทีละนิด
ระหว่างนั้นร่างจริงของเผ่าปีศาจตนนี้คอยกระโดดหลบอย่างต่อเนื่อง พยามยามที่จะหันหลังเข้าหาคมกระบี่ ภูเขาหลายลูกถูกเรือนกายที่ใหญ่โตของมันกลิ้งทับปาดจนราบ บ้างก็ถูกกระแทกชนจนกลายเป็นหุบเขาขนาดมหึมา
ลู่เฉินลุกขึ้นนั่ง หลุบตาลงต่ำมองภาพเหตุการณ์นี้ นี่ไม่ใช่การตกปลาอะไรแล้ว แต่เหมือนคนที่อยู่บนฝั่งกระชากปลาตัวใหญ่ขึ้นมาโดยไม่มีเคล็ดลับใดๆ ประชันกันเรื่องพละกำลังอย่างเดียวเท่านั้น
ผลคือเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่ร่างจริงยาวหลายพันจั้งถูกกระบี่ยาวเย่โหยวที่ปักนิ่งไว้ที่เดิมผ่าตั้งแต่หัวลงมา ฉีกขาดจากหนึ่งออกเป็นสอง
ให้มาอย่างไรก็คืนกลับไปอย่างนั้น ดุจกรรมตามสนอง
ส่วนเหตุใดผู้ถวายงานของภูเขาทัวเยว่ตนนี้ถึงไม่เก็บร่างจริง สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะกลืนเส้นสีทองลงไป ดูเหมือนปีศาจใหญ่หยวนซงจะตั้งใจให้อีกฝ่ายคงสภาพร่างจริงเอาไว้ นอกจากนี้ก็เพราะเฉินผิงอันเรียกนกในกรงและจันทร์ในบ่อออกมาพร้อมกัน ไม่มากไม่น้อย ฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนโลก สามารถใช้กระบี่บินที่รวมกันแน่นหนามากหลายแสนเล่มมาปกคลุมเรือนกายของอีกฝ่ายได้พอดี
ลู่เฉินถอนหายใจด้วยความทึ่ง อิ่นกวานต่อสู้กับคนอื่นก็ช่างรวดเร็วฉับไวจริงๆ
มิน่าเล่าถึงเอาเปรียบเฉาสือได้ไม่น้อย
รอกระทั่งผู้ถวายงานของภูเขาทัวเยว่ตนนี้ถูกแยกร่าง เฉินผิงอันถึงได้ใช้มือซ้ายถือกระบี่ ปล่อยกระบี่เข้าใส่ภูเขาทัวเยว่ต่ออีกครั้ง
หลังจากใช้หนึ่งกระบี่เปิดภูเขา เส้นสีทองที่รัดพันอยู่บนแขนของเฉินผิงอันก็สลายหายไป ในมือของหยวนซงก็มีหอกยาวสีทองเล่มหนึ่งเพิ่มมา
ลู่เฉินเอ่ยเตือน “การลงมือครั้งนี้เป็นแค่การหยั่งเชิงของหยวนซงเท่านั้น เพื่อจะได้ยืนยันให้แน่ใจถึงลักษณะการกระจายตัวของชื่อจริงเผ่าปีศาจที่อยู่บนร่างเจ้า ต้องระวังตัวแล้ว”
กายธรรมของเฉินผิงอันสลายหายไปจากจุดเดิม มาโผล่ห่างไปพันลี้ คิดไม่ถึงว่าเส้นยาวสีทองจะตามติดดั่งเงา ครั้งนี้พุ่งแทงเข้ามาที่หัวใจของกายธรรม เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าเส้นสีทอง ระดับความแข็งแกร่งด้อยกว่าครั้งแรกที่ถูกขว้างออกมามากนัก เพิ่งจะกระชากมันขาดออก ในใจเฉินผิงอันก็รู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว เห็นเพียงว่าบนยอดสูงสุดของภูเขาทัวเยว่เหมือนมีดอกบัวสีทองดอกหนึ่งเปล่งประกายแสงออกมา หอกยาวในมือของปีศาจใหญ่หยวนซงถึงกับขว้างเส้นแสงออกมาพร้อมกันนับร้อยนับพันเส้น ระดับความเร็วนั้นแม้แต่เฉินผิงอันก็ยังมิอาจหลบได้พ้น เส้นสีทองทั้งหลายพุ่งตรงไปยังจุดที่รองรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจในร่างกายธรรม ก่อให้เกิดริ้วกระเพื่อมสีทองเป็นวงๆ
สามารถกลายเป็นลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างได้ คุณสมบัติการฝึกตนของหยวนซงต้องไม่แย่แน่นอน หลังจากผสานมรรคากับภูเขาทัวเยว่แล้ว แม้จะบอกว่าได้แค่เพิ่มตบะขอบเขตบินทะยานไปทุกปี เท่ากับว่าสูญเสียโอกาสในการเป็นขอบเขตสิบสี่ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทว่าฝึกตนมาหมื่นปี หยุดชะงักอยู่ที่ยอดเขาสูงสุดของขอบเขตบินทะยานก็เป็นยอดสูงสุดอย่างสมชื่อแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันฟันกระบี่ใส่ภูเขาทัวเยว่ ให้หยวนซงตายไปอีกครั้ง เส้นยาวสีทองที่ร้อยพันอยู่บนร่างกายธรรมก็หายไปพร้อมกันด้วย
ทิวาราตรีสลับเปลี่ยน ม่านสีดำหนาหนักทาบทับลงมา
หยวนซงเงยหน้าขึ้น คือค่ายกลกระบี่ที่จำนวนกระบี่บินถี่แน่นมากถึงหลายแสนเล่ม
ค่ายกลกระบี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศค่อยๆ กดทับลงมาบนโลกมนุษย์
ภาพเหตุการณ์นี้ประหนึ่งท้องฟ้ากำลังร่วงหล่นลงมายังพื้นดิน
หยวนซงประกบสองนิ้ว ท่องคาถาในใจ มืออีกข้างแบออกทำท่าประคองขึ้นด้านบน เส้นลายมือมีปณิธานไหลเวียนวน ก่อนจะปรากฏเป็นคันฉ่องวิเศษห้าสีสดใส เขายกมือขึ้นเบาๆ กระจกก็ลอยสูงตาม พุ่งปะทะรับหน้าค่ายกลกระบี่ที่หล่นลงมาจากนภากาศ
ลู่เฉินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดา ภาพบรรยากาศนี้ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
วิธีการนี้ของหยวนซงไม่ต่างจากการร่ายเวทคาถาสะบั้นฟ้าตัดดินในพื้นที่ ‘มุมหนึ่ง’ แล้ว
แน่นอนว่าเฉินผิงอันก็มีเป้าหมายที่ลึกล้ำเช่นเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้ว ในสายตาของลู่เฉิน เกรงว่าใต้หล้านี้คงไม่มีเรื่องดีเรื่องใดที่เป็นการเอาหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงหยกของตัวเองได้ดียิ่งกว่าการกระทำนี้แล้ว
ค่ายกลใหญ่กระบี่บินของจันทร์ในบ่อ กระบี่ทุกเล่มราวกับถูกขว้างออกมาจากจักรวาลอันเวิ้งว้าง คล้ายกับเกิดเป็นเสียงแห่งธรรมชาติที่ซุกซ่อนน้ำหนักหมื่นชั่งเอาไว้
เฉินผิงอันทั้งกำลังฝึกกระบี่ และหลอมกระบี่ไปในเวลาเดียวกัน
‘คัมภีร์เวทกระบี่’ เล่มหนึ่งที่เฉินผิงอันท่องจำได้ขึ้นใจมานานแล้ว ขณะเดียวกันตลอดทางที่ออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์เขาก็ได้แบ่งสมาธิมาเปิดอ่านหอพิศพันกระบี่ที่ลู่เฉินสร้างไว้ที่นครอวี้ซูไปด้วย จากนั้นจึงค้นหาความทรงจำในสมองออกมา หวนนึกถึงการออกกระบี่ทั้งหมดของผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เคยได้เห็นมา ตำรากระบี่ เวทกระบี่ ปณิธานกระบี่ วิถีกระบี่ ล้วนถูกเฉินผิงอันนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง ระหว่างที่ออกกระบี่ไปสามพันครั้งก่อนหน้านี้ก็ฝึกวิชากระบี่ไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีแนวโน้มว่าจะชำนาญ
เวทกระบี่แตกต่าง ปณิธานกระบี่แตกต่าง ก็แค่ถูกเฉินผิงอันปล่อยออกไปเป็นวิถีของการเปิดขุนเขาที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเท่านั้น
ส่วนการเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มออกมาในเวลานี้ก็ยิ่งเป็นการนำภูเขาทัวเยว่มาทำเป็นหินสังหารมังกรที่ใหญ่ที่สุดในฟ้าดิน นำมาใช้ขัดเกลามหามรรคาและความคมของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม
วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินนกในกรงคือฟ้าดินเล็กที่สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเองซึ่งหาได้ยากยิ่ง และขนาดเล็กใหญ่ของอาณาเขตฟ้าดิน นอกจากจะเกี่ยวข้องกับขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ว่าสูงหรือต่ำแล้ว อันที่จริงก็เกี่ยวกับจิตธรรมของเฉินผิงอันว่าใหญ่หรือเล็กด้วย ทุกสิ่งที่มองเห็นแล้วเกิดการขานรับในใจทั้งหมด สิ่งที่คิดสิ่งที่จินตนาการในใจซึ่งมีแหล่งที่มาทั้งหมด ก็คือการขยับขยายฟ้าดินที่คนนอกมิอาจล่วงรู้ ในระหว่างนี้เฉินผิงอันเองก็คอยตามหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างที่สองอยู่ตลอดด้วย นี่ก็คล้ายห้ามหาบรรพตในใต้หล้าที่ได้ครอบครองภูเขาทายาทนั่นเอง
ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สอง จำนวนของกระบี่บินมากหรือน้อย ก็ต้องดูที่ดวงจันทร์ซึ่งขยับลอยขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ก้นบ่อ ลอยมาถึงกลางบ่อ สุดท้ายจึงลอยออกจากปากบ่อมานอกบ่อ
หยวนซงที่เท้าเหยียบอยู่บนภูเขาทัวเยว่ ในมือมีหอกยาวสีทองเพิ่มมาอีกเล่ม
นอกจากนี้แล้วจิตหยินของหยวนซงก็ออกจากร่าง ตามมาด้วยเผยจิตหยางกายนอกกาย บวกกับกายธรรมอีกหนึ่งตนที่ยืนอยู่ด้านหลังร่างจริง
เห็นเพียงว่าข้างกายจิตหยินของปีศาจใหญ่หยวนซงมีสตรีผู้หนึ่งเผยกายมาจากความว่างเปล่า ใบหน้าของนางพร่าเลือน เรือนร่างล่องลอย ชายแขนเสื้อพลิ้วไหวไม่หยุดนิ่ง ราวกับดรุณีน้อยผู้งดงามบนลำคลอง ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สุด
จิตหยางกายนอกกาย ในมือถือค้อนใหญ่ที่มีเปลวเพลิงลุกท่วม สาดสะท้อนให้ใบหน้าของปีศาจใหญ่เหมือนเทพอัคคียุคบรรพกาลตนหนึ่ง
ดูท่าแล้วบนเส้นทางการฝึกตนของหยวนซงก็ได้หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุออกมาได้เช่นเดียวกัน
วัตถุห้าธาตุที่ว่านั้นก็แบ่งออกเป็นภูเขาทัวเยว่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า หอกยาวสีทองที่ถืออยู่ในมือ ดรุณีน้อยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างกายจิตหยิน รวมไปถึงค้อนใหญ่โชคชะตาไฟที่อยู่ในมือของกายนอกกาย
ส่วนวัตถุที่เป็นธาตุไม้ ยังไม่ปรากฏ เกินครึ่งคงต้องใช้เป็นต้นกำเนิดของปราณวิญญาณที่มีไม่ขาดสาย ช่วยให้หยวนซงประคับประคองการร่ายเวทคาถาเอาไว้ได้
และภูเขาทัวเยว่ก็คือรากฐานมหามรรคาอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเหตุให้วัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นที่ผ่านการหลอมใหญ่ เมื่อถูกกระบี่ฟันเปิดภูเขาครั้งหนึ่งก็ยังคงใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย
หากไม่เป็นเพราะเรื่องของการผสานมรรคามีราคาที่ต้องจ่ายด้วยการฝึกตนที่หยุดชะงัก ถ้าอย่างนั้นขอแค่หยวนซงพัฒนาไปได้อีกขั้น เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้สำเร็จ สมมติว่าสามารถพกพาภูเขาทัวเยว่ติดกายไปได้ เคลื่อนย้ายเดินทางอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ตามใจชอบ ขอบเขตสิบสี่ที่เป็นเช่นนี้ คาดว่าไม่ว่าใครมาพบเจอเข้าก็ต้องปวดหัวอย่างแน่นอน
ดังนั้นปีศาจใหญ่หยวนซงจึงสามารถมองเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่จำลองที่ผสานมรรคากับดินอวยพรคนหนึ่งได้
เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล พอจะมองเห็นขอบเขตที่แท้จริงของภูเขาทัวเยว่ได้คร่าวๆ ว่าอยู่ในรัศมีหกพันลี้
นี่ก็หมายความว่าในรัศมีหกพันลี้นี้ ปีศาจใหญ่หยวนซงไปมาได้อย่างไร้อุปสรรค ดังนั้นเมื่อยืนอยู่บนยอดเขา ยืนนิ่งไม่ขยับรับกระบี่ที่ฟันเข้าใส่สามพันครั้ง แน่นอนว่าแค่รู้สึกว่าปราณวิญญาณหายไปเล็กน้อยเท่านั้น
บนเส้นทางชีวิตคน ถามหมัดถามกระบี่กับผู้อื่น เฉินผิงอันคุ้นเคยดียิ่งนัก ทว่าจำนวนครั้งในการประลองเฉพาะเวทคาถาบนภูเขาอย่างเดียว เมื่อเทียบกันแล้วก็มีน้อยกว่าจริงๆ
ดังนั้นนกในกรงจึงขยับขยายอาณาเขตให้ครอบคลุมขุนเขาสายน้ำหกพันลี้
ด้านหลังของภูเขาทัวเยว่มีนักพรตสวมชุดเขียวคนหนึ่งเผยกาย ยืนอยู่บนยอดเขาของขุนเขาห้าสีลูกหนึ่ง ในมือถือตราประทับอักษรน้ำ
ก่อนหน้านี้ได้โชคชะตาน้ำของลำคลองเย่ลั่วมาไม่น้อย เป็นเหตุให้ตราประทับอักษรน้ำชิ้นนี้กลายมาเป็นสมบัติหนักระดับขั้นอาวุธเซียนก่อนใครในบรรดาวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นที่ผ่านการหลอมใหญ่ของเฉินผิงอัน
นอกจากนี้ตรงเอวยังห้อยตำราเต๋าไร้กระดาษที่มีประกายแสงเรื่อเรืองระยิบระยับ คือคาถาขอฝนบทนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าหากขอฝนก็ย่อมได้ฝน
กลางอากาศสูงเหนือภูเขาทัวเยว่ ฝนเม็ดใหญ่พลันเทกระหน่ำซัดสาดลงมา น้ำฝนทุกเม็ดล้วนซุกซ่อนวิชาหมัดและปณิธานกระบี่เอาไว้ในเวลาเดียวกัน
ด้านหลังกายธรรมนักพรตของเฉินผิงอันมีกายธรรมปรากฏขึ้นอีก คือเทพร่างทององค์หนึ่งที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สองแขนมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งเลื้อยพัน มือข้างหนึ่งถือธงเซียนกระบี่ ฝ่ามืออีกข้างเรียกตราประทับศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งออกมา เทพร่างทองค่อยๆ ยกฝ่ามือที่มีตราประทับเวทห้าอสนีขึ้นช้าๆ เวทอสนีรวมตัวกันจำแลงภาพเหตุการณ์หลากหลายอยู่กลางฝ่ามือ
เฉินผิงอันสะบัดแขนเสื้อ เจดีย์วิเศษทองสัมฤทธิ์ที่สร้างเลียนแบบป๋ายอวี้จิงหล่นลงพื้นหยั่งรากอยู่ข้างเท้าของกายธรรมเทพร่างทอง แล้วพลันกลายเป็นห้านครสิบสองหอเรือนที่มีขนาดใหญ่โตโอฬาร ความสูงทัดเทียมแผ่นฟ้าจนราวกับว่าจะทำลายท้องนภาได้
วัตถุชิ้นนี้แรกเริ่มสุดคือของตกทอดจากยุคบรรพกาล เจ้าอารามดอกบัวได้นำมาทำเป็นของขวัญพบหน้า มอบให้กับหลีเจินผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ อันที่จริงมันเคยเป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาของตำหนักอวี้ฝู เจ้าตำหนักผู้เฒ่าเคยเป็นหนึ่งในปรมาจารย์สายยันต์ขั้นสูงสุดจำนวนไม่กี่คนของโลกมนุษย์ ในอดีตเคยมีชื่อเสียงทัดเทียมกับฝูลู่อวี๋เซียนแห่งใต้หล้าไพศาล เขาได้หลอมเจดีย์วิเศษนี้ขึ้นมาอย่างลับๆ เพื่อปกปิดหูตาผู้คนจึงจงใจสร้างให้เป็นเจดีย์ทองสัมฤทธิ์หวังใช้เป็นเวทอำพรางตา คาดไม่ถึงว่าภายหลังจะมีนักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งขี่วัวผ่านด่านมาท่องเที่ยวใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นอกจากยื่นนิ้วชี้ไปหนึ่งทีตอนอยู่ตำหนักอิงหลิง ซัดให้ปีศาจใหญ่ราชาบนบัลลังก์เก่าตนหนึ่งหล่นร่วงลงไปใต้บ่อแล้ว นักพรตเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ที่เดิมยังยกชายแขนเสื้อสะบัดตบความว่างเปล่าไปเบาๆ หนึ่งทีด้วย