กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 863.3 ทางหนีทีไล่
ผลคือตำหนักอวี้ฝูที่อยู่ห่างไกลไปหลายล้านลี้ เจ้าตำหนักผู้เฒ่าที่กำลังปิดด่าน รวมไปถึงถ้ำสวรรค์เล็กแห่งหนึ่งต่างก็ถูกตบจนแหลกสลายเป็นเศษชิ้นส่วน เกือบจะกายดับมรรคาสลายไปอย่างสิ้นเชิงนับแต่นั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานที่สูญเสียเนื้อหนังมังสาของร่างจริงกลายไปเป็นเซียนผีขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่ง กลับเป็นเจดีย์ทองสัมฤทธิ์ชิ้นนั้นที่ดูเหมือนมรรคาจารย์เต๋าจะออมมือไว้ไมตรี ไม่คิดจะทำลายของสิ่งนี้ สุดท้ายเจ้าอารามดอกบัวฉวยโอกาสยึดครองมา แต่ก็กล้าแค่เอามาศึกษาปณิธานแห่งยันต์ของตำหนักอวี้ฝูเท่านั้น ยังคงไม่กล้าเอามันมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตตามใจชอบ คาดว่าคงเป็นเพราะรู้สึกร้อนลวกมือ กังวลว่าวันใดจะถูกมรรคาจารย์เต๋านึกถึงขึ้นมาแล้วยกฝ่ามือตบมาไกลๆ อีกที ถึงเวลานั้นแม้แต่ดวงจันทร์ดวงหนึ่งก็อาจถูกตบแหลกไปพร้อมกันด้วย ไม่ควรเลยที่จะต้องสูญเสียสถานที่ฝึกตนแห่งหนึ่งไปเพียงเพราะอาวุธเซียนชิ้นเดียว
สุดท้ายเจ้าอารามดอกบัวที่มีเจตนาไม่ดีจึงแอบเล่นงานหลีเจิน แล้วก็เป็นดังคาด บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ปีนั้น หลีเจินจึงถูกเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังไม่ใช่อิ่นกวานและยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่สังหาร
ลู่เฉินเหลือบตามองตราประทับชิ้นนั้นแล้วถึงกับกุมขมับพูดไม่ออก
ในอดีตตอนที่อยู่ในคุก ภายใต้ความช่วยเหลือจากคนเย็บผ้าเหนี่ยนซิน ตราประทับหกเต็มบนภูเขาชิ้นนี้ได้เคลื่อนย้ายจากศาลภูเขาในช่องโพรงลมปราณมาตามเส้นลายมือจนมาถึง ‘ยอดเขา’ แห่งหนึ่ง ด้านใต้ตราประทับอาคมคืออักษรฉงเหนี่ยวสิบหกคำ ‘รวบรวมห้าอสนี บงการหมื่นคาถา กำจัดห้าช่องโหว่ กลไกฟ้าดิน’
ริมขอบของอีกสี่ด้านที่เหลือไร้ตัวอักษร แยกกันแกะสลักภาพขององค์เทพ ‘หลับตา’ ไว้เก้าองค์ ขุนพลสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ พ่อปู่วาโย เทพพิรุณ เสมียนเมฆา หลิงกวน เทียนกวนแห่งกรมอัคคี ล้วนเป็นเทพในกรมงานของสรวงสวรรค์บรรพกาลที่มีหน้าที่โคจรวิถีแห่งฟ้าทั้งสิ้น เทพทั้งหมดมีสามสิบหกองค์ เพียงแค่ว่ายังไม่เคย ‘แต้มนัยน์ตาเบิกเนตรสวรรค์’ มาก่อน ราวกับว่าอยู่ในสภาวะจำศีลที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่อย่างชัดเจน
เฉินผิงอันประกบสองนิ้ว เริ่ม ‘แต้มนัยน์ตา’ ให้กับภาพวาดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเหล่านั้น
ตอนที่เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงดื่มเหล้าอยู่ในร้านของสำนักจิ่วเฉวียนก่อนหน้านี้ ได้อาศัยคำว่า ‘คนโบราณกล่าวไว้’ เอ่ยคำพูดในใจตัวเองออกมา ‘การตรวจสอบตำราก็เหมือนการกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่น ยิ่งกวาดก็ยิ่งมี’
ลู่เฉินมอบมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ให้เฉินผิงอันยืมด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ขอบเขตอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีวิชาความรู้ของทั้งร่างอีกด้วย ดังนั้นขอแค่เฉินผิงอันยินดี เมื่อความคิดบังเกิดก็จะสามารถพลิกเปิดตรวจสอบดูจิตธรรมทั้งหมดของลู่เฉินได้เว้นเฉพาะบางส่วนที่มีตราผนึกเท่านั้น ประหนึ่งเรือลำหนึ่งที่ไม่ถูกผูก คือการเดินทางอย่างอิสระเสรีที่คนฟ้าไร้กังวลไร้อุปสรรค ท่องเที่ยวชมมหาสมุทรความรู้แห่งหนึ่งที่แทบจะกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วฟ้าก็ยังมีผนังสี่ด้าน
เพียงแต่ว่าตลอดเส้นทางมานี้ เฉินผิงอันค่อนข้างจะยับยั้งชั่งใจตัวเอง กระทั่งบัดนี้ถึงได้เรียกตราประทับชิ้นนี้ออกมาเพื่อลงอักขระให้กับองค์เทพทั้งหลายคล้ายการเปิดเนตรสวรรค์
ลู่เฉินข่มกลั้นอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าด้วยสีหน้าที่แฝงความเสียดายเล็กน้อย “หากเจ้าแกะสลักสี่คำว่า ‘ซานซานจิ่วโหว’ ก็ดีน่ะสิ”
แล้วลู่เฉินก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคอย่างรวดเร็วด้วยเสียงร่าเริง “แน่นอนว่าตราประทับแบบฟ้าตอนนี้ ความหมายย่อมดียิ่งกว่า!”
ที่แท้ตอนที่เฉินผิงอันได้มา ตราประทับก็คล้ายจะถูกใครปาดคำว่าแบบฟ้าทิ้งไป ภายหลังตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงเมืองได้พลิกแพลงใช้วิธีตรงกันข้ามกับวิธีของยันต์เปิดภูเขาบทหนึ่งที่มีบันทึกไว้ในมหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด วิธีการวาดยันต์นั้นเรียกได้ว่า ‘ผิดจากหลักปกติทั่วไป’ ไม่ได้ใช้อักขระในการวาดยันต์ชนิดใดบนโลกมาเขียน แต่เป็นตัวอักษรที่เขาคุ้นเคยที่สุด ถนัดที่สุด แบ่งออกเป็นแกะสลักตัวอักษรไว้สี่ตัว ลำดับก่อนหลังคือคำว่าสั่ง คำ เฉิน ลู่ เป็นเหตุให้สุดท้ายเมื่อรวบรวมอักษรตราประทับแบบอักษรฟ้าของ ‘ตราประทับหกเต็ม’ ก็จะเป็นคำว่า ‘คำสั่งลู่เฉิน’
กายธรรมเทพร่างทองที่เป็นธาตุไฟตนนั้น มือข้างหนึ่งถือประคองตราประทับเวทห้าอสนี ชั่วพริบตานั้นก็ลอยสูงอยู่บนม่านฟ้า เทพร่างทองปักธงเซียนกระบี่ไว้ในนครของป๋ายอวี้จิงจำลอง ประหนึ่งตั้งธงใหญ่ของกองทัพเอาไว้ ธงสิบแปดตำแหน่งซ่อนเรือนกายของเซียนกระบี่ที่เล็กราวกับเม็ดฝุ่นไว้ภายใน หลังจากเดินออกมาจากที่พักกาย ร่างก็พลันมีความสูงเท่าคนปกติทั่วไป ประหนึ่งดวงดาวสิบแปดดวงที่สาดยิงไปยังทิศไกล ออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ขี่กระบี่เดินทางไกลไปสี่ด้านแปดทิศ นำพาลำแสงสิบแปดเส้นไปด้วย ในอาณาเขตของฟ้าดินเล็กที่มีรัศมีหกพันลี้ พกกระบี่ไปเข่นฆ่าพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ยังเหลืออยู่ซึ่งหลงคิดว่าหลบซ่อนตัวอย่างมิดชิด แต่แท้จริงแล้วกลับมีร่องรอยให้ตามหา
รอกระทั่งเทพสามสิบหกองค์ของแต่ละฝ่ายงานบนตราประทับอาคมถูกเฉินผิงอันแต้มนัยน์ตาจนครบถ้วน แต่ละองค์เหมือนได้กลับคืนมามีชีวิตใหม่อีกครั้งก็พากันออกมาจากตราประทับห้าอสนีชิ้นนั้น
ราวกับว่าวิถีแห่งฟ้าที่เมื่อหมื่นปีก่อนได้พังทลายลงไปแล้วเส้นนั้น นาทีนี้ได้รวบรวมสายหลักครบถ้วน หวนกลับคืนสู่ความเป็นระเบียบอีกครั้ง ทำให้ฟ้าดินเล็กนกในกรงยิ่งผสานมรรคาได้อย่างแนบเนียนไร้ช่องโหว่
แต่ลู่เฉินไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยิ่งขยับเข้าใกล้หนึ่งนั้น เขากลับยิ่งรู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างไกลจากความจริงมากขึ้นทุกที
ทั้งๆ ที่สิ่งที่ลู่เฉินเห็นอยู่ในสายตาคล้ายกับเค้าโครงของสรวงสวรรค์เก่ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่จิตแห่งมรรคาของลู่เฉินกลับยิ่งรู้สึกเสียดายและผิดหวังมากเท่านั้น
เพราะครั้งสุดท้ายที่อาจารย์ปรากฏตัวที่ป๋ายอวี้จิง เคยเอ่ยกับลู่เฉินว่าทุกความคิดล้วนอยู่นอกหนึ่งในหมื่น
การเข่นฆ่าที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่ นอกจากขอบเขตบินทะยานแล้วก็ไม่ต้องหวังว่าจะช่วยเหลืออะไรได้ ไม่ว่าใครที่เข้ามาร่วมวงด้วย จะเอาตัวเองให้รอดก็ยังยาก
ผู้ฝึกลมปราณเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งเอ่ยวิงวอนหยวนซงที่สวมชุดเหลืองอย่างขมขื่น “ท่านบรรพบุรุษช่วยด้วย!”
คาถารักษาชีวิตและสมบัติอาคมล้วนถูกนำมาใช้หมดสิ้นแล้ว
มันจึงได้แต่เผยร่างจริง เป็นตะขาบสีแดงที่ร่างกายยาวดุจเทือกเขาทอดไกล โอบล้อมปลายยอดเขาส่วนหนึ่งของภูเขาทัวเยว่เอาไว้ มันชูหัวที่ใหญ่โตมโหฬารขึ้นมา ขอการปกป้องคุ้มครองจากหยวนซงที่อยู่บนยอดเขา
ปีศาจใหญ่เซียนเหรินอีกสองตนที่เหลือ หนึ่งเรือนกายหดเล็กราวกับเมล็ดงา อีกหนึ่งอาศัยชุดคลุมอาคมแห่งชะตาชีวิตที่สามารถออกเดินทางบนแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้ ก็เริ่มขอร้องหยวนซงด้วยเช่นกัน
ในภูเขาทัวเยว่ ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินสามตน ขอบเขตหยกดิบหกตน บวกกับผู้ฝึกตนเซียนดินกลุ่มนั้น
ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จับมือกันเดินทางไกลมาเยือนที่แห่งนี้ นอกจากอูถีขอบเขตบินทะยานของนครเซียนจานแล้ว ลำพังเพียงแค่ผลงานทางการสู้รบที่ร่วมกันบุกมาโจมตีภูเขาทัวเยว่ครั้งนี้ ดูเหมือนว่ามากพอจะมองเป็นการสังหารขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้แล้ว
เฉินผิงอันเหลือบมองภูเขาทัวเยว่ ภูเขาลูกนี้ในตอนนี้ก็เหมือนมีแค่เปลือกว่างเปล่าเท่านั้น
ราวกับว่าเฝ่ยหราน หรือบางทีอาจเป็นโจวมี่ของก่อนหน้านี้ที่จงใจทิ้งไว้หยวนซง ให้เขารอคอยการถามกระบี่อยู่ที่นี่ ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะเป็นคนมาถามกระบี่ ล้วนไม่สำคัญ
หยวนซงเหมือนจะสะกดกลั้นความอัดอั้นไว้เต็มท้อง กระทั่งบัดนี้ถึงคล้ายจะได้ระบายความสะใจออกมา เขาหรี่ตายิ้มเอ่ย “เฉินผิงอัน เจ้าลืมเรื่องหนึ่งไปหรือไม่ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งกระมัง?”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋น ทุ่มสุดชีวิตไม่ต้องการก็จะสามารถรักษาหัวกำแพงครึ่งหนึ่งนั้นไว้ได้แล้ว?”
“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ครั้งที่เจ้าถูกคนด่ามากที่สุดก็คือคฤหาสน์หลบร้อนออกคำสั่งขัดขวางไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองออกไปช่วยเหลือคน ทำไม พอถึงคราวของตัวเองกลับอดทนไม่ไหวเสียแล้ว? หรือจะบอกว่าอิ่นกวานคนสุดท้ายเช่นเจ้าอยากจะแกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงถึงเพียงนี้ จะได้อาศัยสิ่งนี้มาพิสูจน์ว่าตัวเองคือผู้ฝึกกระบี่อย่างสมศักดิ์ศรี?”
อารมณ์ของลู่เฉินหนักอึ้งในบัดดล “เจ้าหมอนี่ไม่ได้แค่พูดขู่ให้กลัวเท่านั้น”
เฉินผิงอันปล่อยกระบี่หนึ่งออกไป ใช้เสียงในใจพูดกับลู่เฉิน “เป็นเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร”
ฆ่าขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดตนนี้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
ความอัดอั้นที่ใหญ่หลวงที่สุดของหยวนซง อันที่จริงคือเรื่องเล็ก นั่นก็คืออิ่นกวานหนุ่มชาติสุนัขผู้นี้มาถามกระบี่ที่ภูเขาทัวเยว่ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่ได้เอ่ยอะไรกับตนสักประโยค สักคำ
ไม่ว่าจะเป็นเรือลำใดบนโลก ล้วนต้องมีหินถ่วงท้องเรือ
เฉินผิงอันผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะเจอกับศิษย์พี่ชุยฉานและได้หวนกลับไปบ้านเกิดอย่างน่าประหลาดใจ อันที่จริงเพื่อให้ตัวเองอดทนได้นานยิ่งกว่าเดิม เขาก็ได้นำความทุกข์ ความเสียใจ ความเหนื่อยล้า ความเคียดแค้น ความเดือดดาล...แทบจะเป็นอารมณ์ทางด้านลบทั้งหมด ตัดออกไป สุดท้ายถึงกับถอนอารมณ์ความรู้สึกที่มากกว่านั้นออกไปทีละนิด เพียงแค่เพื่อสามารถได้ดูแลกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนั้นได้นานยิ่งขึ้น ต่อให้จะมีเวลาแค่หนึ่งปี หนึ่งเดือน หรือได้อยู่อีกแค่วันเดียวก็ยังดี
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมตอนอยู่ในเมืองหลวงต้าหลี เฉินผิงอันที่เดินออกมาจากคันฉ่อง เผยกายบนโลกด้วยความเป็นเทพบริสุทธิ์เต็มตัวคนนั้น ถึงได้แข็งแกร่งปานนั้น
เพราะตอนนั้นเดิมทีความเป็นคนของเฉินผิงอันก็มีไม่ครบถ้วนอยู่แล้ว
และราคาที่เฉินผิงอันต้องจ่ายไปนี้ บางทีคงมีเพียงหลี่เซิ่งที่หลังเกิดเรื่องอาศัยการเดินทางไกลไปสืบเสาะถึงต้นกำเนิดเท่านั้นที่ถึงจะรู้คำตอบ
หนิงเหยาไม่รู้ อาจารย์ไม่รู้ พวกลูกศิษย์ก็ไม่มีใครรู้
และหินถ่วงท้องเรือที่ใหญ่ที่สุดที่เฉินผิงอันทิ้งไว้ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนั้น ก็คือความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันทะนุถนอมเห็นค่าที่สุดในชีวิตนี้
มีชื่อว่าความหวัง
ในอาณาเขตทางเหนือสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ด้านใต้แผ่นดินทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สองแถบ ในจุดที่ลึกอย่างถึงที่สุดมีปราณเก่าแก่บรรพกาลขุมหนึ่งปรากฎขึ้นมา
แผ่นดินใหญ่พลิกตลบปริแตก
เทพชั้นสูงตนหนึ่งที่นอนหลับจำศีลอยู่ที่นี่มาหลายพันปีเริ่มลืมตาตื่น
อันดับแรกก็แหวกผิวดินขึ้นมาจนฝุ่นผงคลุ้งกระจายตลบอบอวล ก่อนจะตามมาด้วยเปลือกนอกที่คล้ายเสื้อเกราะที่ว่างเปล่า มีเพียงดวงตาสีทองคู่นั้นที่จ้องนิ่งไปยังนครสูงซึ่งอยู่ห่างไปหลายหมื่นลี้
จากนั้นก็มีความเป็นเทพบริสุทธิ์จากแต่ละสถานที่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง เสื้อเกราะสีขาวหิมะ เรือนกายใหญ่โตมโหฬาร เป็นรอยกระดำกระด่างแสดงถึงความโบราณเก่าแก่ มีลำแสงเปลวเพลิงลุกไหม้โชติช่วง มันยื่นมือไปกดหน้ากากบนใบหน้า เหลือไว้แค่ดวงตาสีทอง ลุกขึ้นยืนช้าๆ ในมือถือดาบยักษ์เล่มหนึ่ง
มันเปิดปากพูดด้วยภาษาเทพบรรพกาล “ผู้ที่โชคดีได้เจอกับคมดาบก็คือคนโชคร้าย”
ทางฝั่งของภูเขาทัวเยว่ เฉินผิงอันแค่ปล่อยกระบี่ใส่ภูเขาทัวเยว่ต่อไปไม่หยุด ขณะเดียวกันก็ประลองเวทกับหยวนซงไปด้วย
ลู่เฉินอึ้งงันไร้คำพูด พลันถลันลุกขึ้นยืนแล้วหันขวับไปมอง กระโดดตัวลอยมองไปทางทิศเหนือสุด พึมพำว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนี้ ทำไมถึงพูดจาไม่น่าเชื่อถือเสียเลย!”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรก”
กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งที่เดิมทีไม่ควรมีใครปรากฏตัว
กลับมีผู้เฒ่าที่ตามหลักแล้วไม่ควรปรากฏตัวที่นี่มากที่สุดเผยตัวออกมา เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งนวดคลึงปลายคาง เขาเงยหน้ามองไปยังองค์เทพตนนั้นที่เดินเพียงก้าวเดียวก็ขยับเข้ามาใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่ จุ๊ปากเอ่ย “แต่ละคนล้วนคิดว่าตัวเองไร้ศัตรูเทียมทานกันไปหมดแล้ว”
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาง่ายๆ ปณิธานกระบี่ทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่มาตลอดหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เหมือนได้รับคำสั่ง ต่อให้เป็นบางส่วนที่คล้าย ‘ไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม’ ต่อให้จะไม่เต็มใจแค่ไหนก็ยังได้แต่พุ่งมาหาอย่างว่าง่าย สุดท้ายมารวมตัวเป็นกระบี่เล่มหนึ่งในมือของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนี้ ผู้เฒ่าชั่งน้ำหนักในมือครู่หนึ่ง น้ำหนักใช้ได้ทีเดียว จึงปาดกระบี่ในแนวขวางใส่เทพบรรพกาลชั้นสูงตนนั้นง่ายๆ
หนึ่งกระบี่ผ่านไป ฟ้าดินสว่างสดใส
ผู้เฒ่าพยักหน้ากับตัวเองด้วยความพึงพอใจ คล้ายว่ากำลังเอ่ยหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดข้อหนึ่งกับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในเวลาหมื่นปีที่ผ่านมาว่า ‘เห็นหรือไม่ นี่ต่างหากจึงจะเป็นเวทกระบี่’