กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 865.2 ตัวต่อตัว
เพียงแต่พอคิดถึงคำแฉของหยวนซง เซียนเหรินทั้งสามที่เดิมทียังหวั่นไหวก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ไป
ขุนเขาสายน้ำรอบด้าน ผู้ฝึกตนบนยอดเขาสองคนมีเวทคาถาให้ใช้ไม่ขาดสาย จึงเหมือนบุปผาที่ผลิบานไปทั่วทุกหนแห่ง
บริเวณโดยรอบภูเขาทัวเยว่ อันที่จริงไม่ได้มีสำนักอักษรจงแม้แต่แห่งเดียว ในภูเขามีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนปรากฎตัวบ้างเป็นครั้งคราว แต่ต่างก็พากันจากไปทันทีอย่างรู้กาลเทศะ ไปก่อสำนักตั้งพรรค แตกกิ่งก้านสาขาอยู่ที่อื่น
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องที่กลายเป็นธรรมเนียมที่รู้กันไปแล้ว ใต้ร่มไม้เย็นสบาย? ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับไม่มีคำกล่าวเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้ว พรรคบนภูเขาที่กระจัดกระจายทั้งยังไม่เป็นโล้เป็นพายพวกนี้ บางทีตลอดทั้งชีวิตของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำนวนมากอาจไม่เคยเข้าใกล้ในรัศมีพันลี้ของภูเขาสูงลูกนี้เลยด้วยซ้ำ
ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดมากมายของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้าง มีเพียงซินจวงเท่านั้นที่บางครั้งจะลงจากภูเขาไปผ่อนคลายอารมณ์ ส่วนใหญ่แล้วจะเดินไปไม่ไกลนัก และนางเองก็คร้านจะร่ายเวทอำพรางตา ถึงได้ทำให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่บริเวณโดยรอบของภูเขาทัวเยว่มีโอกาสได้เห็นนางผ่านๆ
พรรคบนภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากภูเขาทัวเยว่ไปห้าหกพันลี้ จวนตระกูลเซียนสร้างขึ้นด้วยเสาแกะสลักคานภาพวาด ทุกหนทุกแห่งล้วนมีเมฆหลากสีลอยล้อมวน
ผลคือมีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากทะเลเมฆ ดุจหยกขาวใสแวววาว ลายเส้นฝ่ามือเหมือนทะเลสาบเหมือนบ่อน้ำ ระหว่างกระแสน้ำไหลมีดอกบัวเบ่งบาน เกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนปลิวปรายลงมา
ทันใดนั้นหิมะใหญ่เต็มภูเขาก็เจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันคาดคิด
ท่ามกลางกอต้นกกต้นอ้อห่างไปไกลแห่งหนึ่งที่มีโชคชะตาน้ำเข้มข้น กลางอากาศมีทะเลเมฆโผล่มา อยู่ดีๆ พายุฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไร้ลางบอกเหตุ น้ำฝนมีปราณกระบี่และปณิธานหมัดซุกซ่อนอยู่เต็มเปี่ยม
เผ่าปีศาจก่อกำเนิดคนนึ่งถูกบีบให้ออกมาจากจวนน้ำ จำต้องเผยร่างจริง เพิ่งจะหนีพ้นฝนใหญ่จากฟ้าที่เป็นภัยพิบัติซึ่งมาเยือนโดยไม่คาดฝันมาได้ ก็ต้องถูกวิญญาณวีรบุรุษเซียนกระบี่ตนหนึ่งที่เรือนกายเป็นสีขาวหิมะตลอดทั้งร่างซึ่งลาดตระเวนมาถึงที่แห่งนี้ใช้กระบี่ฟันใส่ เพิ่งจะร่ายเวทหลบหนี หลบแสงกระบี่เฉียบคมเส้นนั้นมาได้อย่างฉิวเฉียด ย่อพื้นที่ขยับห่างไปร้อยกว่าลี้ ด้านหลังก็มีวิญญาณกระบี่ในธงอีกตนหนึ่งส่งกระบี่ตามมาติดๆ มันพลันเผยร่างจริงต้านรับกระบี่นั้นไว้ ก่อนจะข่มกลั้นความเจ็บปวดกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ หนีห่างไปไกลใต้ดินอีกครั้ง ผลคือไปชนเข้ากับเทพอีกองค์หนึ่งที่คล้ายจะเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่แล้ว อีกฝ่ายอยู่ในรูปลักษณ์ของเทพพิรุณบรรพกาล ลอยตัวหยุดอยู่กลางอากาศที่ราวกับใต้ดินถูกอาบย้อมไปด้วยกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ยื่นมือออกมาคว้า กักเผ่าปีศาจก่อกำเนิดไว้ที่เดิม คาถาน้ำของทั้งร่างถูกดึงออกไปจากจิตวิญญาณ ระหว่างทั้งสองฝ่ายมีเส้นใยนับพันนับหมื่นเชื่อมโยงถึงกัน
บนกายธรรมนักพรตที่เดิมทีคนฟ้าไร้มลทินพลันมีชื่อจริงของปีศาจใหญ่ร้อยเรียงกันเป็นสีขาวซีด คล้ายปากบ่อน้ำโบราณมากมายหลายบ่อปรากฎขึ้นมา คลื่นน้ำกระเพื่อมเล็กน้อยแล้วแผ่ขยายลามไปอย่างต่อเนื่อง
หอกยาวสีทองของหยวนซงคล้ายจะมีวิชาอภินิหารที่ใกล้เคียงกับตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของลัทธิขงจื๊อ เป็นเหตุให้ในกายธรรมนักพรตเกิดภาพปรากฎการณ์ประหลาดเช่นนี้ขึ้น อีกทั้งเมื่อริ้วคลื่นน้ำเหล่านั้นแผ่ขยายออกไป กายธรรมหมื่นจั้งก็ปรากฎลางร้ายว่ามหามรรคาจะพังทลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ลู่เฉินหรี่ตาลง เล่าลือกันว่าลัทธิพุทธมีพระธรรมแปดหมื่นสี่พันบท ในบรรดานั้นก็ได้พัฒนาออกมาเป็นวิชาอภินิหารนอกรีตอีกมากมาย แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในหลักธรรมที่ถูกต้อง แต่พลานุภาพก็ไม่อาจดูแคลนได้ วิชาหนึ่งในนั้นก็คือการผลักให้จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกลมปราณเข้าไปสู่ดินแดนที่หมื่นความคิดล้วนมอดดับ
เฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย
เขาสร้างตราประทับแจกันสมบัติของลัทธิพุทธขึ้นมาก่อน แล้วค่อยสร้างตราประทับอีกห้าชิ้นอย่างตราประทับธรรมเทศนา ไม่หวาดหวั่น ปรารถนา ปราบมารและสมาธิ สุดท้ายก็สร้างตราประทับขึ้นมาได้สามร้อยแปดสิบหกชิ้น ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ รัศมีทรงกลดโอ่อ่าน่าเกรงขาม
หยุดการแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านของกายธรรมหมื่นจั้งได้โดยพลัน
ส่วนนักพรตชุดเขียวที่อยู่ด้านหลังภูเขาทัวเยว่ก็ขานรับกับอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ ไม่จำเป็นต้องเหยียบพายุย่ำดาราก็ทำมุทราคาถาลัทธิเต๋า ตราประทับรวมทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบหกชิ้น ทุกชิ้นล้วนมียันต์สายฟ้า โองการสวรรค์เคลื่อนโคจรไปตามใจปรารถนา สุดท้ายสร้างฉากสายฟ้าที่พลานุภาพน่าครั่นคร้ามออกมา
ลู่เฉินอึ้งตะลึง เรื่องพวกนี้เขาไม่เคยสอนเฉินผิงอัน ถือเป็นความรู้ลัทธิเต๋าที่อยู่นอกเหนือจากความรู้ของลู่เฉิน ต่อให้เฉินผิงอันตรวจสอบจิตธรรมหมื่นปีของเขาก็ไม่มีความหมายใดๆ
เพราะ ‘ฉากสายฟ้า’ นี้ ถือเป็นการสืบทอดดั้งเดิมของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ โดยทั่วไปแล้วขอแค่ไม่ใช่ตัวสำรองคนที่จะมาเสริมตำแหน่งเทียนซือ ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจรู้เวทอสนีชั้นสูงนี้ได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถจำแลง ‘ฉากสายฟ้า’ นี้ออกมา ได้ก็มีเพียงเทียนซือใหญ่ของแต่ละยุคสมัยเท่านั้น
หากลู่เฉินยินดีลำบากอีกสักหน่อย ยอมเสียเวลาร้อยกว่าปีโดยไม่เสียดาย ก็พอจะเลียนแบบสร้างสถานการณ์สายฟ้าที่มีความเหมือนทางจิตวิญญาณถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ทางลัดบนภูเขาประเภทนี้ ไร้คุณธรรมเกินไป แทบไม่ต่างจากการกระโดดถ่มน้ำลายรดหน้าเทียนซือใหญ่คนปัจจุบัน ด้วยนิสัยที่ไม่พูดมากของจ้าวเทียนไล่ คาดว่าคงจะถือกระบี่เซียนไว้ในมือ พกตราประทับเทียนซือออกเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว มุ่งหน้าไปยังป๋ายอวี้จิงโดยตรงเลย
ไปหาตนเพื่อประลองมรรคกถาด้วย
ยอดเขาของภูเขาทัวเยว่ หยวนซงพลันเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ปล่อยมดตัวน้อยที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเหล่านั้นไป ข้าจะต่อสู้กับเจ้าเอง มาถามกระบี่กันอย่างจริงจังสักครั้ง”
หยวนซงสะบัดข้อมือ หอกยาวสีทองในมือก็พลันกลายเป็นกระบี่ยาวที่เต็มไปด้วยลายเมฆสีทอง ถามว่า “เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้าอย่างที่ใครก็ไม่คาดคิด “ตกลง”
แล้วเขาก็หดย่ออาณาเขตของนกในกรงให้อยู่ในรัศมีพันลี้จริงๆ สนามรบจึงเหลือแค่สองฝ่ายที่คุมเชิงกันอยู่ในภูเขาและนอกภูเขา
รวมไปถึงเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินอีกสามตนที่ยังกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด
หยวนซงยิ้มเอ่ย “สามคนนี้เชิญฆ่าตามสบาย หลีกเลี่ยงไม่ให้เกะกะการถามกระบี่อย่างสะใจ”
จากนั้นสายฟ้าก็หล่นลงสู่พื้นดิน กระแทกลงบนร่างของตะขาบที่บาดเจ็บสาหัสมานานแล้ว
ต่อมาเฉินผิงอันก็ออกกระบี่สามครั้งติดๆ กัน กระบี่หนึ่งฟันสะบั้นวงปีของหยวนซงกับแม่น้ำแห่งกาลเวลา อีกสองกระบี่ที่เหลือเล่นงานเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินสองตนนั้น
ขณะเดียวกันนั้นราวกับว่าฟ้าดินพลิกกลับ ในฟ้าดินเล็กของนกในกรง เฉินผิงอันได้เจอกับแขกไม่ได้รับเชิญหลายคน
ดูเหมือนจะเป็นถามใจของจิตมารที่มาถึงอย่างเชื่องช้า ปีนั้นที่เฉินผิงอันฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นหยกดิบ ดูเหมือนว่าจะเพียงแค่อ้อมผ่านจิตมารไป แท้จริงแล้วจิตมารไม่เคยสลายหายไปไหน
ลู่เฉินรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย ดูท่าแล้วสองฝ่ายที่ถามกระบี่กันต่างก็ตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ลู่เฉินรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วจึงรีบหดมือมาไว้ในชายแขนเสื้อ ทำมุทราคำนวณเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
เจ้าตัวดี ลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ผู้นี้ถึงกับเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างสมชื่อคนหนึ่ง มิน่าเล่าถึงกล้าบอกว่าจะถามกระบี่กับใต้เท้าอิ่นกวาน ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหยวนซงนั้น ชื่อของมันไม่ว่าใครก็คาดเดาไม่ได้ แต่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของมันกลับเป็นดั่งน้ำลดหินผุดอย่างรวดเร็ว คล้ายคลึงกับ ‘นักจินตนาการ’ หนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูง ไม่ถูกสิ ยังได้ครอบครองวิชาอภินิหารส่วนหนึ่งของ ‘ผู้ส่งเสียงสะท้อน’ ด้วย!
หากจะบอกว่าความรู้สึกเดียวดายระหว่างที่เดินขึ้นเขาของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง คือคนคนหนึ่งพึมพำ กลุ่มขุนเขาขานตอบ
ถ้าอย่างนั้นคำว่าโดดเดี่ยว ก็คือการที่อยู่บนยอดเขากวาดตามองไปรอบด้านมองเห็นได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา พึมพำเพียงลำพัง ไม่ว่าเจ้าจะพูดสักกี่พันคำกี่หมื่นวจี ฟ้าดินล้วนไร้เสียงตอบรับ เงียบสงัดเปล่าเปลี่ยวนับหมื่นปี
สิ่งที่เห็นในสายตา ประหนึ่งพบเจอกับจิตมาร
จริงเท็จปนกัน จริงลวงไม่แน่นอน
บุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง ก็คือเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือแจกันสมบัติทวีปถอนหายใจเบาๆ ไม่มีสีหน้าเดือดดาล มีเพียงสายตาที่ฉายความผิดหวัง “เฉินผิงอัน ไยต้องทำลายจิตบุ๋นด้วยตัวเอง? ไยต้องทำเพื่อกู้ช่านที่ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อด้วย?”
ระหว่างฟ้าดินมีม้วนภาพคลี่กางทอดยาวเหมือนขุนเขาสายน้ำ ทำให้เฉินผิงอันเหมือนได้ขี่ม้าชมบุปผาเพียงลำพัง หวนกลับไปเดินบนเส้นทางขุนเขาสายน้ำในโลกมนุษย์ช่วงนั้นอีกครั้ง
จากนั้นก็มีภิกษุหนุ่มสวมชุดขาวคนหนึ่งที่ในมือถือลูกประคำ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากคนบนโลกเอาอย่างเจ้า ก็คงเหมือนตกอยู่ในหลุมแห่งมาร เพราะขอแค่เจ้าทำพลาดครั้งหนึ่ง ต่อให้พลาดแค่ครั้งเดียว ก็ย่อมเกิดหายนะอลหม่าน”
บุรุษวัยกลางคนที่ใบหน้ามารวมกันเป็นรูปร่างแล้วสลายหายไปอีกครั้ง ไม่ปกปิดรอยยิ้มปลาบปลื้มเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับรู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กสามารถเดินมาถึงที่นี่ได้ ไม่ง่ายเลย แต่ก็คล้ายจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าศิษย์น้องเล็กที่เดินมาถึงจุดนี้ไม่ควรจะเป็นเฉินผิงอันคนนี้
สุดท้ายคือสตรีสวมชุดเขียวคนหนึ่ง สายตาของนางอ่อนโยน มัดผมหางม้าที่สะบัดปลิวไปตามลม
นางคล้ายจะมองสบตากับเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ ต่างคนต่างไม่เอ่ยคำใด
ผู้ฝึกตนอยู่ห่างไกลจากโลกโลกีย์ ฝึกบำเพ็ญตนอย่างสันโดษ เมื่อความรักความแค้นบังเกิดขึ้น จิตแห่งมรรคายอมถอยห่าง
ในที่สุดก็มาแล้ว
จิตแห่งมรรคาที่ลอยอยู่กลางอากาศของเฉินผิงอัน กลับกลายเป็นว่าหล่นลงบนพื้นในนาทีนี้
“ลมวสันต์ติดตามข้าร้องคำรามดุจราชสีห์”
เฉินผิงอันหลับตาลง มือข้างที่ถือกระบี่ ชายแขนเสื้อโบกสะบัด ลมวสันต์พัดล้อมวน
ปล่อยกระบี่ที่ถือว่าเป็นวิถีกระบี่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ออกไปอย่างเต็มกำลัง
……
เจียงซ่างเจินพาคนทั้งเก้าถือยันต์ออกเดินทางไกลไปด้วยกัน ส่วนเรื่องของการวาดยันต์ก็มอบให้เทียนซือน้อยจ้าวเหยากวงและฉุนชิงเป็นคนจัดการแทนแล้ว ด้านกระดาษยันต์ที่ใช้วาด ก่อนหน้านี้หลิวโยวโจวมอบไว้ให้เยอะมาก
เจียงซ่างเจินเพียงแค่เตือนคนทั้งเก้าว่าห้ามแพร่งพรายยันต์นี้ และยังพูดถึงข้อห้ามบางอย่างของยันต์สามภูเขานี้ บอกว่าทุกครั้งที่ไปถึงภาพมายาภูเขาแห่งหนึ่งจำเป็นต้องคารวะอาจารย์ซานซานจิ่วโหวด้วยความเคารพนอบน้อม
ขุนเขาสายน้ำยาวไกล เส้นทางทอดยาว พอๆ กับการเดินทางข้ามขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปในใต้หล้าไพศาล
ก่อนหน้านี้ตอนที่วาดยันต์ จ้าวเหยากวงยิ้มถาม “เสี่ยวเต้าต้องสาบานหรือไม่?”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ในเมื่อทุกท่านต่างก็ประพฤติตนเป็นวิญญูชน วางตัวอยู่ในสังคมด้วยความองอาจ ก็ไม่จำเป็นสิ้นเปลืองความคิดจิตใจแล้ว”
หลังจากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ถือยันต์ออกเดินทางไกล ภาพมายาภูเขาสามแห่งติดกันคือแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาที่ผู้ฝึกลมปราณอยากสัมผัสมากที่สุด ก็แต่ยากจะสัมผัสได้ถึงมากที่สุด
พอดีกับที่สามารถอาศัยสิ่งนี้มาตรวจสอบตบะตื้นลึก และระดับความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายของลูกรักแห่งสวรรค์กลุ่มนี้ได้พอดี
ในสายตาของเจียงซ่างเจิน นอกจากเฉาสือและฟู่จิ้น เด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่ม ยังห่างชั้นจากเจ้าขุนเขาเฉินของบ้านตนไกลนักจริงๆ
โดยเฉพาะสวี่ป๋าย หลังจากที่ปรากฏตัวในภาพมายาภูเขาเป็นครั้งแรกก็เริ่มเวียนหัวตาลาย ร่างส่ายโงนเงน จึงเป็นคนที่จุดธูปภูเขาคารวะเป็นคนสุดท้าย
แต่คนหนุ่มที่ได้รับการขนานนามว่า ‘สวี่เซียน’ ผู้นี้กลับคืนสภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าสวี่ป๋ายแค่ขยับดวงจิตเล็กน้อย ข้างกายก็มีตัวอักษรสีทองที่พร่าเลือนตัวหนึ่งจำแลงออกมา
เจียงซ่างเจินจึงเหลือบมองสวี่ป๋ายซ้ำอีกครั้ง นึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนภูมิลำเนาของเจ้าเด็กนี่จะอยู่ที่เส้าหลิง บรรพบุรุษต่างก็เป็นคนเฝ้าสะพานของสะพานขอพรแห่งหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์สวี่ที่ถูกขนานนามว่าจื้อเซิ่งก็เป็นได้
หากพูดกันถึงด้านโชควาสนา ก็ถือเป็นคนหนึ่งที่ดวงไม่แย่เลยทีเดียว
ในบรรดาคนทั้งเก้า ระหว่างที่ข้ามผ่านภาพมายาภูเขา ได้เกิดภูเขาลูกเล็กๆ ที่มองไม่เห็นอยู่หลายลูก
เฉาสือกับอวี้เจวี้ยนฟู ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนมีความหมายคล้ายคลึงกับเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งสหาย
ฟู่จิ้นกับกู้ช่าน พี่น้องร่วมสำนัก คนหนึ่งคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขา คนหนึ่งคือลูกศิษย์ปิดสำนัก อีกทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้องล้วนต่างก็เห็นดีในตัวของอีกฝ่าย
หยวนพาง จ้าวเหยากวง ภิกษุเด็กหนุ่มที่มีฉายาทางธรรมว่า ‘ซวีหมี’ (สุเมรุ) คนทั้งสามต่างก็เคยตรวจสอบเรื่องของการวัดคำนวณเวลาในแต่ละทวีปอย่างลับๆ ร่วมกันมาก่อน ดังนั้นจึงมีความรู้ใจกันมานานแล้ว
ฉุนชิง สวี่ป๋าย เนื่องจากความสัมพันธ์ของอาจารย์ทั้งสองฝ่าย จึงเคยเดินทางไปเที่ยวแจกันสมบัติทวีปด้วยกัน มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว
หลังจากที่หยุดเท้าอยู่ในภูเขามายาลูกหนึ่ง ฉุนชิงก็ถามว่า “เหตุใดอาจารย์เจียงถึงกลายมาเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วได้เล่า?”
คำถามข้อนี้ อันที่จริงทุกคนที่อยู่ที่นั้นต่างก็สงสัยใคร่รู้กันอย่างมาก
ทางฝั่งของแจกันสมบัติทวีป บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่ภูเขาลั่วพั่วร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง เจียงซ่างเจินใช้สถานะของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งเผยกาย อีกทั้งยังไม่ได้ร่ายเวทอำพรางตาใดๆ
ข่าวสารบนบนยอดเขาแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้มีใต้หล้าแห่งหนึ่งกั้นขวาง ฉุนชิงก็ยังรู้เรื่องนี้
บุรุษที่เรื่องเล่าขานเต็มไปด้วยสีสันตรงหน้าผู้นี้ จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว สวมรองเท้าผ้า ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียว ใช้มันเคาะไหล่เบาๆ
ในความทรงจำของฉุนชิง อิ่นกวานหนุ่มที่นางไม่เคยพูดคุยด้วยคือคนที่ลุ่มหลงในรักอย่างมากคนหนึ่ง ส่วนเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกกลับเป็นคนเจ้าชูเสเพลที่ขึ้นชื่อ
ตามหลักแล้ว ผู้ฝึกตนสองคนที่นิสัยแตกต่างกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะสนิทสนมกันได้
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ “ไร้ความบังเอิญไม่เกิดตำรา เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าขุนเขาเฉินในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งของบ้านเกิด เคยออกท่องยุทธภพด้วยกัน เพียงพบเจอก็ถูกชะตา ถือเป็นสหายร่วมทุกข์ที่ฝากชีวิตไว้ให้กันได้”
ตลอดทางมานี้คนทั้งเก้าต่างก็บอกความลับในการฝึกตนบางอย่างที่เดิมทีควรเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นถึงเวลาที่ต้องต่อสู้กับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มนั้น คงร่วมมือกันได้ไม่ราบรื่น ได้แต่ต่างคนต่างรบเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นฟู่จิ้นที่นอกจากจะมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรพบุรุษที่มีชื่อว่า ‘ซาน’ แล้ว ถึงกับยังได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกสามเล่ม
กระบี่บินเจี้ยอี (ชุดแต่งงาน) มีอีกชื่อว่าเก่าซู่ (สีขาว/ชุดไว้ทุกข์) ก็คือชุดคลุมยาวสีขาวหิมะที่อยู่บนร่างตัวนั้น กระบี่บินโซ่วอี (ชุดที่คนตายสวม) ก็เหมือนยันต์กักกระบี่แผ่นหนึ่งที่พุ่งเป้าเล่นงานผู้ฝึกกระบี่ได้โดยธรรมชาติ
เซียนกระบี่ที่ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิขาวน้อยผู้นี้ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สามมีชื่อว่าซวีโจว (เรือกลวง) หรืออีกชื่อว่าชิวฉาน (จักจั่นฤดูใบไม้ร่วง)
มีเพียงเฉาสือกับอวี้เจวี้ยนฟูที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวซึ่งนอกจากขอบเขตวิถีวรยุทธ คนหนึ่งคือคืนความจริงขั้นสูงสุดของขอบเขตปลายทาง คนหนึ่งคือคอขวดของขอบเขตยอดเขา ถือว่าอยู่ในสภาวะที่คอขวดจะคลายมิคลาย
นอกจากนี้แล้วคนทั้งสองกลับไม่มีอะไรให้พูดมากนัก
ท่ามกลางธารดวงดาวบนม่านฟ้า มีผู้เฒ่าร่างผอมแห้งคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนวัยหนุ่มคนหนึ่งกำลังหลุบตาลงมองมายังพื้นดินของเปลี่ยวร้าง
ก็คือฝูลู่อวี๋เสวียนที่ผสานมรรคากับทางช้างเผือก กับอาจารย์ซานซานจิ่วโหว
เบื้องหน้าของผู้ฝึกตนหนุ่มมีควันเขียวลอยกรุ่นอบอวลอีกครั้ง ประหนึ่งควันธูปหอมที่ถูกจุดอยู่ตรงหน้า
อวี๋เสวียนจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ผู้อาวุโส ควันธูปโชติช่วง บรรยากาศยิ่งใหญ่ชวนให้คนตกตะลึงอยู่บ้าง”
ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ทยอยกันจุดธูปคารวะอาจารย์ซานซานจิ่วโหว
ทั้งจากสายเหวินเซิ่งและใต้หล้าห้าสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงเหยาผู้นั้นที่เป็นถึงบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งหนึ่ง
ต่อมาก็เป็นคนหนุ่มสาวเก้าคนที่มีเฉาสือผู้ฝึกยุทธแห่งต้าตวน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของนครจักรพรรดิขาว สายของภูเขาชิงเสิน
สายของหย่าเซิ่งแห่งศาลบุ๋น จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ วัดโพ่ซานแห่งแผ่นดินกลาง สายศาลบรรพชนสำนักการทหารแผ่นดินกลาง
ขงจื๊อ พุทธ เต๋าและสำนักการทหาร มีครบทั้งสามลัทธิหนึ่งสำนัก
บนใบหน้าของผู้ฝึกตนหนุ่มมีรอยยิ้มบางๆ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมีควันธูปเพิ่มมากขึ้น แต่เป็นเพราะในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็ได้รับการคารวะอย่างนอบน้อมจากคนรุ่นเยาว์สองกลุ่มในเวลาเดียวกัน แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
หากบวกกับยันต์ที่คนของสองกลุ่มถือไว้ ข้ามภูเขาลงน้ำในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สำหรับสถานการณ์ของหลายใต้หล้าแล้ว คาดว่าคงจะสร้างอิทธิพลลึกล้ำที่เกินกว่าจะประมาณการณ์ได้
อวี๋เสวียนเอ่ย “ดูเหมือนว่าจะต้องยกคุณความชอบให้กับสหายน้อยเฉินนะ”
ผู้ฝึกตนหนุ่มลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ
อวี๋เสวียนลูบหนวดยิ้มชอบใจ ผู้อาวุโสข้างกายผู้นี้ยอมพยักหน้าได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เมื่อครู่นี้ได้พูดถึงเรื่องหนึ่งคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา ฝูลู่อวี๋เสวียนถามผู้อาวุโสท่านนี้ว่าเป็นเพราะดอกจือหลัน (ดอกไอริสและดอกกล้วยไม้) ขวางทาง ก็เลยจำต้องถอนทิ้งใช่หรือไม่?
ตอนนั้นผู้ฝึกตนหนุ่มไม่ได้ให้คำตอบ