กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 865.3 ตัวต่อตัว
ในดวงจันทร์ดวงหนึ่ง
หนิงเหยา ฉีถิงจี้ ลู่จือ หาวซู่ อาศัยยันต์เปินเยว่ ผู้ฝึกกระบี่สี่คนจับมือกันบินทะยานมาถึงที่แห่งนี้ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักยุคบรรพกาลที่มีแต่กลิ่นอายความตายเข้มข้น
ในอดีตดวงจันทร์สามดวงของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดวงที่ถูกตั้งชื่อว่าอวี้โกว (ตะขอหยก) คือสถานที่ฝึกตนของเจ้าอารามดอกบัว ได้ถูกต่งซานเกิงกระชากดึงให้กระแทกใส่โลกมนุษย์ไปแล้ว
ส่วนสถานที่ฝึกตนของเซ่อเยว่มีชื่อว่าฉานกง (ดวงจันทร์)
ส่วนดวงจันทร์ดวงที่อยู่ตรงกลางนี้ มีชื่อว่าจินจิ้ง (กระจกทอง) หรือก็คือดวงจันทร์ดวงเดียวที่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เฮ่าไฉ่’ (แสงจันทร์สุกสกาว)
หนิงเหยาเหลือบมองม่านฟ้า เอ่ยว่า “ข้ารับผิดชอบออกกระบี่เปิดทาง ขณะเดียวกันก็รับมือกับเรื่องไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น”
สิงกวานหาวซู่ใช้วิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาทำการ ‘ปรับเปลี่ยน’ ดวงจันทร์ดวงนี้ชั่วคราว
ฉีถิงจี้และลู่จือรับผิดชอบปล่อยกระบี่ไปยังทิศทางเดียวกันในเวลาเดียวกัน เพื่อผลักดันให้ดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปตามวิถีโคจรที่หนิงเหยาบุกเบิกไว้ เคลื่อนย้ายดวงจันทร์ไปยังใต้หล้ามืดสลัว
ผู้ฝึกกระบี่สี่คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
ในมือหนิงเหยาถือกระบี่เซียนเทียนเจิน เหลือบตามองมุมหนึ่งของม่านฟ้า
จากนั้นนางก็ใช้หนึ่งกระบี่เปิดฟ้า
……
การพบเจอกันบนทางแคบที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ตกอยู่ในวงล้อมที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างน่าประหลาดใจนั้น เฝิงเซวี่ยเทาแค่ลงมือก็เป็นวิธีการใหญ่ที่สามารถพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร ในรัศมีพันลี้ ภูเขาแต่ละลูกถูกถอนขึ้นมาพร้อมกับราก แม่น้ำลำธารแต่ละสายต่างก็ถูกขว้างใส่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศพวกนั้น
ขณะเดียวกันเฝิงเซวี่ยเทาก็หยิบยันต์สีทองสองแผ่นที่เก็บรักษาอย่างทะนุถนอมมานานหลายปีออกมา ยันต์ทั้งสองลอยอยู่ในชายแขนเสื้อ หมุนวนช้าๆ ใช้ยันต์นาฬิกาแดดมาระบุเวลา ใช้ยันต์เข็มทิศมาระบุตำแหน่งฟ้าดิน
ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาของใต้หล้า บนเส้นทางการฝึกตนของแต่ละคนล้วนกลัวผู้ฝึกกระบี่ รำคาญอาจารย์ค่ายกล จับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ไม่เคยได้เปรียบ และหากในกลุ่มของศัตรูมีอาจารย์ค่ายกลอยู่ด้วยก็เท่ากับตกอยู่ในวงล้อมแล้ว
เฝิงเซวี่ยเทาเคยเผชิญกับความยากลำบากด้วยน้ำมือของผู้ฝึกลมปราณสองประเภทนี้มาก่อน อีกทั้งจำนวนครั้งยังไม่น้อย
เฝิงเซวี่ยเทาไม่ได้หงุดหงิดใจเพราะสาเหตุนี้ ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ อันตรายแบบใดไม่เคยเจอมาก่อน สถานการณ์ที่ตายเก้ารอดหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าเคยเจอแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
ในขณะที่หยั่งเชิงความจริงเท็จ เฝิงเซวี่ยเทาก็ได้ร่ายวิชาหลบหนีแห่งชะตาชีวิตวิชาหนึ่ง เรือนกายสลายหายไป ร่างหดเล็กกลายเป็นแสงทองเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีควันดำซัดตลบอบอวล ก่อนจะมีไอน้ำลอยล่องกับรุ้งขาวเส้นหนึ่งที่พุ่งไปกลางอากาศ หลบหนีห่างไปไกลในสี่ทิศทาง
ไม่มีผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนใดขัดขวางเฝิงเซวี่ยเทา แล้วก็มองเมินวิชาการโจมตีพวกนั้นไปอย่างสิ้นเชิง
ผู้ฝึกตนที่มีรูปโฉมเป็นเด็กชายคลี่ยิ้มเย้ยหยัน “ตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วง เชิญกระโดดโลดเต้นตามใจ”
ผู้ฝึกตนภาคแผนภูมิสวรรค์สิบคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ขัดขวางเส้นทางการกลับเหนือของเฝิงเซวี่ยเทา
คนเดียวที่มาช้าก็คือหลิวป๋ายผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่เพิ่งออกมาจากกลุ่มของเฝ่ยหราน
นางอาศัยชุดคลุมอาคม ‘ถ้ำสวรรค์หางปลา’ ที่โจวมี่ผู้เป็นอาจารย์มอบให้เดินไปบนทางลัดขึ้นฟ้าเส้นหนึ่ง ได้สยบจิตมารที่จำแลงมาจากคอขวดขอบเขตก่อกำเนิด เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของนางไม่เคยเปิดเผย ในอดีตถึงขั้นที่ว่าขนาดในกระโจมเจี่ยเซินก็ยังไม่มีบันทึกเอาไว้ คาดว่านี่คงเป็นการปฏิบัติพิเศษที่มีเพียงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของโจเท่านั้นจึงจะได้รับ
พอหลิวป๋ายมาถึง ค่ายกลใหญ่ก็ถูกเสริมจนสมบูรณ์ จึงเริ่มรวบแหที่จับปลาใหญ่ขอบเขตบินทะยานตัวนั้นมา
การลงมือสี่ครั้งก่อนหน้า สองคนคือคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกันเอง แต่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ยอมคล้อยตาม เรื่องที่เฝ่ยหรานได้เป็นผู้ครองใต้หล้าและยามที่มีคำสั่งโยกย้ายกองกำลังจากภูเขาทัวเยว่ แม้ภายนอกจะปฏิบัติตาม แต่ลับหลังกลับต่อต้าน
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอีกคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซ่อนตัวอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานานนับพันปี ส่วนการลงมือครั้งสุดท้ายก็คือล้อมฆ่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตเซียนเหรินที่ชอบเก็บตกของดีของไพศาลคนนั้น จากนั้นก็เล่นตุกติกบางอย่างบนร่างของคนผู้นั้น ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงไม่ใช่แค่ขอบเขตถดถอยกลายเป็นก่อกำเนิดอย่างเรียบง่ายเท่านั้น
แม้จะบอกว่าการกระทำนี้เป็นการลงมืออย่างลับๆ แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะต้องสำเร็จเสมอไป เพราะถึงอย่างไรที่ฉิงจีก็มีเจ้านครจักรพรรดิขาว ผู้ที่ครองยศพญามารอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าเฝ้าพิทักษ์อยู่ หากอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างย่อมไม่นับเป็นอะไรได้ เพราะแม้แต่เย่พู่จากราชวงศ์อวิ๋นเหวิน คนผู้หนึ่งที่เพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้แค่ไม่กี่วันก็กล้าตั้งฉายาให้ตัวเองว่า ‘ตู๋ปู้’ (ก้าวเดินบนเส้นทางเพียงลำพัง) แล้ว ทว่าเจิ้งจวีจงที่เป็นผู้ฝึกตนฝ่ายอธรรมคนหนึ่ง กลับสามารถหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างมั่นคง ย่อมต้องมีน้ำหนักอย่างมาก นอกจากนี้ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาทัวเยว่ ทุกคนก็ยังจดจำได้จนวันนี้ เป็นเหตุให้หลังจากการประชุมที่สองใต้หล้าเจรจากันไม่สำเร็จครั้งนั้นผ่านไป ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เริ่มมีคำกล่าวหนึ่งแพร่ออกไป
ยินดีเอาปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสามคนไปแลกกับเจิ้งจวีจงคนเดียว
นอกจากเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวแล้ว ยังมีฮว่อหลงเจินเหรินที่เคยลงมือในพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างครั้งหนึ่ง หลิ่วชีที่พอหวนกลับบ้านเกิดอย่างไพศาลก็รุดมาขัดขวางหย่างจื่อไว้ทันใด รวมไปถึงเฉินผิงอันอิ่นกวานผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ และผู้ฝึกยุทธเฉาสือเป็นหนึ่งในนั้น คนทั้งสิ้นสิบคนต่างก็ถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างคาดหวังให้อีกฝ่ายเปลี่ยนข้างมากที่สุด
เด็กหนุ่มชุดขาวยิ้มหน้าทะเล้น “โอ้ วันนี้พี่หญิงหลิวป๋ายว่างขนาดนี้เชียวหรือ ถึงกับมีเวลามาที่นี่ได้? หากมาช้ากว่านี้อีกสักนิด ไม่แน่ว่าพวกเราสี่คนคงจับปลาใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างชิงมี่ตัวนี้ไว้ไม่ได้แล้วนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นยังถือว่าดี อย่างมากก็แค่ถูกเฝ่ยหรานทวงหนี้ แต่หากนิสัยดุร้ายของชิงมี่กำเริบ ฆ่าคนส่งเดชขึ้นมา พวกเราที่แขนขาเล็กขอบเขตไม่สูง จะไม่ตายแหงแก๋หรอกหรือ หากเป็นเช่นนี้จริง พี่หญิงหลิวป๋ายก็น่าจะถือว่าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตพวกเราเก้าคนได้แล้วสินะ?”
หลิวป๋ายเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “จะสอนเจ้าอีกสักเรื่องก็แล้วกัน เวลาที่พูดจาเหน็บแนมคนอื่น สีหน้าควรจะจริงจังกว่านี้สักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะดูเป็นพวกปากไร้หูรูด”
เด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวโพลนสวมหน้ากากสีขาวหิมะไว้บนใบหน้า ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างห้อยตกลงเป็นเส้นตรง นามแฝงคือชิวอวิ๋น คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง ตรงเอวพกดาบแคบไว้เล่มหนึ่ง
ดาบแคบมีชื่อว่า ‘ตี้จี’ (สนมของจักรพรรดิหรือบุตรสาวของชนชั้นสูง) เป็นสมบัติหนักยุคบรรพกาลที่มีฐานะพอๆ กับดาบแคบ ‘พิฆาต’ ที่เฉินผิงอันได้มาจากในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่
สรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล ใต้อาณัติของผู้ลงทัณฑ์หนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูงก็มีสี่ขุนนางด้านการลงทัณฑ์ เซี่ยกวนจิ้นอวิ๋นที่เป็นหนึ่งในนั้นรับหน้าที่ดูแลแท่นสังหารมังกรที่เอามาใช้จัดการกับพวกเผ่าพันธ์เจียวหลงโดยเฉพาะ ชิวกวนป๋ายอวิ๋น รับหน้าที่ลงทัณฑ์ในบ่อสายฟ้า
ชิวอวิ๋นถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง “เฮ้อ ยังคงเป็นพี่หญิงหลิวป๋ายที่มีความรู้ ไม่เสียแรงที่เป็นคนรักซึ่งไม่ได้รับการบันทึกชื่อของใต้เท้าอิ่นกวานพวกเรา”
แต่แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มชุดขาวก็ตบบ้องหูตัวเอง “ดูปากข้านี่สิ พูดเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องจี้ใจดำคนอื่นเสียได้”
หลิวป๋ายเงียบไม่ต่อคำ
เด็กหนุ่มจึงไม่พูดจาท้าทายหลิวป๋ายอีก สายตาของเขาฉายประกายระยิบระยับ พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่รู้ว่าเฉาสือผู้นั้นจะใช่พวกคนที่มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมหรือไม่”
จู๋เชี่ยยังคงแต่งกายดังเดิม สะพายชั้นวางกระบี่ไว้ด้านหลัง กระบี่ยาวเสียบรวมกันไว้หนาแน่น มองดูแล้วประหนึ่งนกยูงรำแพนหาง
เขาเริ่มคิดถึงวันเวลาตอนที่อยู่กระโจมเจี่ยเซินขึ้นมาบ้างแล้ว จะดีจะชั่วก็ยังมีมู่จีหรือก็คือโจวชิงเกาในทุกวันนี้ที่สามารถสยบใจคนได้
ผู้ฝึกตนแผนภูมิฟ้ากลุ่มนี้ สมองของแต่ละคนผิดปกติไม่แพ้กัน หลายปีมานี้ถูกจับเอามารวมกัน ก็มีเพียงตอนอยู่กับเฝ่ยหรานเท่านั้นที่ถึงจะว่าง่ายหน่อย
ผู้ฝึกตนที่มีลักษณะเป็นเด็กชาย มีชื่อว่าอวี้ผู (หยกดิบ)
ตรงเอวห้อยถุงผ้าฝ้าย แกะสลักตัวอักษรไว้สี่คำว่า ‘ยันต์ภูเขาสารมหาสมุทร’ ด้านในบรรจุยันต์จำนวนน่าดูชมเอาไว้ ว่ากันว่าเป็นของตกทอดของตำหนักอวี้ฝู และยิ่งเป็นของแทนตัวของเจ้าตำหนัก
สายยันต์มีธรณีประตูสูง เมื่อต้องฝึกฝนขึ้นมา ขอแค่มีคุณสมบัติดีพอ หากเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปแล้วก็สามารถผลาญภูเขาเงินภูเขาทองได้มากกว่าเสียอีก
ดังนั้นผู้ฝึกตนสายยันต์เผ่าปีศาจที่มีนามว่าอวี้ผูผู้นี้จึงเลื่อมใสหลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีปมากที่สุด ชื่นชมความสามารถในการหาเงินของนายท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภท่านนี้ เพราะถึงอย่างไรสายของยันต์ หากคิดจะเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุด เงินเทพเซียนก็ไม่เรียกว่าเงินเลยด้วยซ้ำ
สตรีผู้หนึ่งห้อยไข่มุกสีทองเม็ดหนึ่งไว้ที่หู ประกายแสงไข่มุกอ่อนโยน มีริ้วลายน้ำกระเพื่อม สาดสะท้อนใบหน้าซีกหนึ่งของสตรี ก่อให้เกิดเส้นแบ่งที่ชัดเจน นางมีนามว่าจินตัน (โอสถทอง)
บุรุษเรือนกายสูงใหญ่ สีหน้าเฉยชาคนนั้น ตรงเอวห้อยขวานขนาดจิ๋วคู่หนึ่ง ในมือถือโคมดวงหนึ่งที่สามารถชักนำดวงวิญญาณไปยังปรโลก เขามีนามว่าหยวนอิง (ก่อกำเนิด)
นอกจากนี้ยังมีบุรุษอีกคนหนึ่งที่หาบลำไม้ไผ่ห้อยน้ำเต้าไว้บนบ่า มีชื่อว่าอวี๋ซู่
เชี่ยวชาญการคิดคำนวณมรรคกถา จินตนาการถึงเทพเซียน สามารถปั้นดินเป็นม้า วักน้ำจำแลงเป็นเรือกลวง
นอกจากนี้อวี๋ซู่ยังเชี่ยวชาญวิถียันต์เช่นเดียวกับอวี้ผู โยนยันต์บังคับผีภูเขาเผ่าพันธุ์น้ำให้มาฟังคำสั่ง
สตรีเรือนกายสูงเพรียวที่ยืนเคียงข้างเขาคือน้องสาวของอวี๋ซู่
นางเอวบางร่างน้อย แต่กลับสะพายธนูคันใหญ่ มือเรียวงามดุจหยกข้างหนึ่งคอยหมุนกริชเล่นอยู่ตลอดเวลา มีนามว่าเหย่าเถี่ยว นางเองก็เหมือนกับชิวอวิ๋น นอกจากจะเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอีกด้วย
“สาวงามผอมบางเหมือนเหมย เหมยผอมงดงามดุจกวี”
ดวงจิตดวงหนึ่งของเจียงซ่างเจินที่สิงอยู่บนร่างของผู้อาวุโสชิงมี่ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เหลือบตามองหน้าอกของสตรีผู้นั้น ในใจก็อดไม่ไหวพึมพำว่า “ส้มจี๊ดก็เป็นส้มเหมือนกันนี่นะ”
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นไม่ควรเรียกพี่สาว ควรเรียกท่านน้า แต่กลับมีเสน่ห์ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง รูปร่างกลมกลึงดุจไข่มุกกลมหยกแวววาว ดูแลตัวเองได้ดีเยี่ยมนัก
น่าเสียดายที่สตรีซึ่งสะพายห่อพิณเอียงๆ ผู้นี้ บนใบหน้าสวมหน้ากากเอาไว้จึงมองเห็นโฉมหน้าของนางได้ไม่ชัด
ก็แค่ว่าภาพกายธรรมที่แสดงอยู่ด้านหลังของนักดีดพิณผู้นี้น่าขนลุกไปสักหน่อย มีผีที่แขวนคอตายอยู่นับไม่ถ้วน ศพแต่ละศพลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ ไม่สัมผัสฟ้าไม่สัมผัสดิน
ในมือถือพัดกลมที่วาดเป็นรูปสาวงามนับพันนับหมื่น ล้วนมีใบหน้าของสาวงามแต่เรือนกายเป็นกระดูกขาว เมื่อเทียบกับผีดุร้ายที่หน้าตาน่าหวาดผวาพวกนั้นแล้วยิ่งทำให้คนทนมองมิได้มากยิ่งกว่า
สตรีผู้นี้เชี่ยวชาญการสร้างดินแดนแห่งความฝัน นิมิตภาพแม่น้ำลำคลองที่ไม่แน่นอนเส้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อกระชากคนออกจากฝันวสันต์อันงดงาม หลังจากที่สวมหน้ากากแล้ว จิตธรรมของนางที่แสดงอยู่ด้านหลังก็คือภาพของศพที่ตายด้วยการแขวนคอจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งลอยล่อง และนี่ก็เป็นหนึ่งในวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินนาง สามารถทำให้กาลเวลาหยุดนิ่ง ความตายคือการหลับใหญ่ครั้งหนึ่ง การนอนหลับก็คือการตายเล็กครั้งหนึ่ง ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของนางนั้น อันที่จริงก็คือพิณโบราณคันนั้น กระบี่บินมีชื่อว่า ‘จิงกวน’ (การทำสงครามในสมัยโบราณ เพื่อโอ้อวดฝีมือทางการสู้รบ ฝ่ายผู้ชนะจะรวบรวมเอาหัวกะโหลกของฝ่ายศัตรูมากองรวมกันให้กลายเป็นสุสานสูงที่มีแต่โครงกระดูก เรียกว่าจิงกวน)
ตอนนี้เจียงซ่างเจินยังไม่รู้ว่านางมีชื่อว่าอู่เมิ่ง (ฝันกลางวัน) ฉายาว่าชุนเซียว (ค่ำคืนวสันต์ ค่ำคืนที่งดงาม อีกความหมายคือค่ำคืนของการร่วมหอ)
เจียงซ่างเจินรู้สึกอยุติธรรมแทนผู้อาวุโสชิงมี่อยู่บ้าง “เจ้าลูกกระต่ายน้อยที่อย่างมากสุดก็เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบพวกนี้ ถึงกับกล้ามาล้อมฆ่าลูกพี่ใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ แล้วยังชำนาญการฆ่าคนมากที่สุด เสียสติกันไปแล้วหรือไร”
เฝิงเซวี่ยเทาได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน ไม่รู้สึกตลกเลยสักนิดเดียว
เฝิงเซวี่ยเทามีวิชาอภินิหารของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานเสียเปล่า เสียงในใจที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดถึงเพียงนั้น ต่อให้จะชัดเจนจนชัดเจนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทว่าความห่างเพียงเสี้ยวกลับมีความต่างราวฟ้ากับดิน
ในค่ายกลใหญ่ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอบเขตไม่สูงเหล่านั้นไม่ใช่ภาพมายา และทุกครั้งที่อีกฝ่ายลงมือก็ล้วนช่วงชิงฟ้าอำนวยดินอวยพรไปได้หมด
อีกทั้งในฟ้าดินแห่งนี้ยังมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติปรากฏขึ้น ดวงตะวันลอยขึ้นสูง ดวงจันทร์ลดตัวลงต่ำ ดวงดาวเคลื่อนคล้อย ทิวาราตรีสลับเปลี่ยน เสียงฟ้าร้องฤดูใบไม้ผลิดังครืนครั่น ฝนรสหวานชุ่มฉ่ำตกลงมาจากฟ้า ระหว่างหุบเขามีเมฆก่อเกิด จากนั้นก็เป็นวงจรของทิวาราตรี สี่ฤดูกาลผลัดเปลี่ยน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ดวงตะวันลาลับแสงเรื่อเรืองดับหาย ดวงดาวลอยขึ้นสู่นภาราตรีส่องประกายพร่างพราวดุจธารน้ำ นอกจากนี้ยังมีฝนจากวังมังกร เมฆคล้อยฝนโปรย ทางช้างเผือกเผยตัว ชำระล้างไอร้อน ตะวันจันทราดาราประจักษ์ชัด อากาศเย็นสดชื่น หิมะใหญ่ปลิวปราย พืชพรรณก่อกำเนิด…การเปลี่ยนแปลงของภาพบรรยากาศมากมายรวดเร็วจนคนมองมิอาจกะพริบตาได้
กุญแจสำคัญคือเมื่อสี่ฤดูกาลหมุนเวียนหนึ่งครั้งก็จะเป็นการลดทอนตบะหนึ่งปีของเฝิงเซวี่ยเทาไป เป็นเหตุให้ตบะที่เฝิงเซวี่ยเทาสะสมมาอย่างยากลำบากตอนเป็นขอบเขตบินทะยานคล้ายกับกาน้ำที่มีรูรั่วใบหนึ่ง ไม่ว่าจะปิดกั้นอย่างไรก็มิอาจสกัดกั้นการไหลหายไปของน้ำในกาได้
พริบตานั้นขุนเขาสายน้ำพลันเปลี่ยนสี ราวกับว่ากลายเป็นภาพวาดน้ำหมึกที่มีแค่สีขาวกับสีดำเท่านั้น เป็นเหตุให้เฝิงเซวี่ยเทายิ่งรู้สึกเหมือนตกลงไปในม่านหมอก
โชคดีที่เจ้าคนที่เรียกตัวเองว่า ‘เปิงเลอะเจินจวิน’ ผู้นั้นส่งเสียงในใจขึ้นมาอีกครั้ง ชี้แนะให้เฝิงเซวี่ยเทาใช้เส้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องผ่านแผนภูมิเฉิน ซวีและซื่อ ขยับร่างไปยังพื้นดินที่มีกลิ่นอายของดินสมบูรณ์ ต้องหลบเลี่ยงแสงไฟไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะตกอยู่ในสภาวะอันตรายประดุจอัญมณีหล่นลงในเตาหลอม…แล้วก็จริงดังคาด นอกจากจุดที่เฝิงเซวี่ยเทารีบทะยานลมมุ่งหน้าไปหยุดยืนอยู่แล้ว ฟ้าดินบริเวณอื่นล้วนเกิดไฟลุกไหม้โหมลาม นั่นคือจุดจบที่ไม่ใช่แค่ว่าถูกค่ายกลใหญ่ลดทอนตบะไปหนึ่งปีแล้ว
ต่อมาใต้ฝ่าเท้าก็มีแม่น้ำใหญ่ที่ผิวน้ำกว้างขวางมากเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา
เจียงซ่างเจินเอ่ยเตือนอีกครั้ง “ผู้อาวุโสชิงมี่อย่ามัวอึ้งตะลึง รับกระบวนท่าถัดไปเข้าสิ นี่คือภาพมายาสาขาแยกของสายน้ำใหญ่ ทะยานลมผ่านไป ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แค่ต้องจำเวลาที่ตัวเองคำนวณไว้อย่างแม่นยำ คำนวณระยะทางให้ดี เส้นทางหนีคือหมื่นลี้ ไม่มากไม่น้อย”
“หลังจากหยุดเท้าก็สามารถรับการโจมตีจากเวทคาถาบทต่อไปได้แล้ว หากไม่ผิดไปจากที่คาด ท่านจะได้เห็นภาพมายาลักษณะคล้ายพระราชวังแห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปอยู่ในเขาวงกตแล้วก็ไม่ต้องตื่นตระหนก ข้าจะช่วยนำทางให้ผู้อาวุโสต่ออีกครั้ง”
เฝิงเซวี่ยเทาทะยานลมไม่หยุด ใช้เสียงในใจถามว่า “ขอถามสหาย นี่เป็นเพราะเหตุใด?”
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เป็นผู้อาวุโสขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง อายุก็ตั้งปูนนี้แล้ว ไม่เคยอ่านหนังสือมาบ้างเลยหรือ? เวลาหลายพันปีที่ผ่านมามัวทำอะไรอยู่นะ?”
เฝิงเซวี่ยเทาบื้อใบ้ตอบไม่ถูก
เจียงซ่างเจินจึงได้แต่อธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์อยู่ในบทฟ้าดินนั่นนานแล้วหรอกหรือ ทะยานเมฆขาว มุ่งไปแดนจักรพรรดิ นอกจากนี้ยังมีกวีเฟิ่นซ่างจิงชิว (ตกตะลึงกับอากาศหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงเหนือลำน้ำ) บอกว่าลมเหนือพัดเมฆขาว ข้ามลำน้ำแยกหมื่นลี้”
เฝิงเซวี่ยเทาถาม “ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่เล่นตุกติกระหว่างทาง?”
เจียงซ่างเจินเหลือกตามองบน “เดินทางอยู่บนมหามรรคา กฎเกณฑ์แห่งฟ้าทอดยาว ลูกกระต่ายอายุน้อยที่เพียงแค่อาศัยชะตาฟ้าโคจรมรรคกถาพวกนี้ ทุกวันนี้ขอบเขตยังไม่สูง ไหนเลยจะกล้าวาดงูเติมขาอย่างส่งเดช หากไม่ระวังก็จะเป็นการเปิดเผยช่องโหว่ ปล่อยให้ผู้อาวุโสชิงมี่คว้าโอกาสหนีรอดไปได้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังหิ้วหัวสองสามหัวไปเป็นผลงานทางการสู้รบอีกด้วย”
“ก็เหมือนกับฟ้าดินแห่งนี้ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ตายตัวบนมหามรรคาของเวทอำพรางตา สิ่งที่ถูกอำพรางไว้อย่างแท้จริงไม่ใช่ภาพที่ตามองเห็น แต่เป็นความรู้สึกของผู้อาวุโสชิงมี่เอง ไม่อย่างนั้นเจ้าคนพวกนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงสี่ฤดูกาลของฟ้าดินได้จริงๆ หรือ? ดังนั้นยันต์นาฬิกาแดดและยันต์เข็มทิศของผู้อาวุโสจึงไม่ใช่ว่าไร้ความหมาย ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ มันมีความหมายที่สุดเลยล่ะ ถึงขั้นที่ว่ายังเป็นกุญแจสำคัญยิ่งกว่ามรรคกถาของผู้อาวุโสด้วย ใช่แล้ว ในกระเป๋าของผู้อาวุโสยังมีอีกกี่แผ่น? สามารถเอาออกมาทั้งหมดได้”
พูดคุยกับผู้อาวุโสชิงมี่ช่างเปลืองแรงเสียจริง
ยิ่งทำให้คิดถึงวันเวลาที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าขุนเขาคนดีและน้องชุยมากขึ้นไปอีก
ไหนเลยจะต้องเปลืองน้ำลายขนาดนี้ อย่างมากก็เป็นแค่เรื่องของสายตาเดียวเท่านั้น