กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 866.3 รื้อฟื้น
หันเชี่ยวเซ่อถาม “ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่มาทำอะไรที่นี่?”
ศิษย์พี่ไม่ใช่คนที่จะชอบร่วมวงเรื่องสนุกอย่างแน่นอน ยิ่งไม่มีทางทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเช่นนี้
เจิ้งจวีจงมองไปยังทิศทางของภูเขาทัวเยว่ “เพราะก่อนหน้านี้เคยสัญญากับคนคนหนึ่งเอาไว้ แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วคงไม่ต้องช่วยแล้วล่ะ”
หันเชี่ยวเซ่อร้องอ้อหนึ่งที ถึงอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าศิษย์พี่พูดเรื่องอะไร หากศิษย์หลานสองคนอย่างกู้ช่านและฟู่จิ้นอยู่ด้วย คาดว่าคงจะเดาคำตอบได้ เช่นว่าสัญญากับใคร แล้วจะช่วยใคร
ในเมื่อเจอศิษย์พี่ระหว่างทาง ทางฝั่งของกู้ช่านก็คงไม่มีเรื่องอะไรของนางแล้ว
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดสำนักกับลูกศิษย์ปิดสำนักต่างก็มุ่งหน้าไปยังสนามรบประหลาด ศิษย์พี่กลับยังคงหยุดเท้าอยู่แค่ตรงนี้ แสดงว่าต้องไม่มีอันตรายใหญ่หลวงอะไรแน่นอน
หันเชี่ยวเซ่อดึงต้นสนโบราณต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมหน้าผาออกมาพร้อมราก โยนไปยังทะเลเมฆ เอ่ยสัพยอกว่า “ได้ยินมาว่าที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยินดีเอาขอบเขตบินทะยานสามคนมาแลกกับศิษย์พี่คนเดียวเชียวนะ”
เจิ้งจวีจงยิ้มเอ่ย “เยอะขนาดนี้เชียว?”
หันเชี่ยวเซ่อถาม “เกิดอะไรขึ้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่?”
นางสัมผัสได้ถึงปรากฎการณ์ประหลาดเสี้ยวนั้น น่าเสียดายที่อยู่ห่างเกินไป
เจิ้งจวีจงให้คำตอบ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกกระบี่แล้ว ใช้หนึ่งกระบี่สังหารผู้ลงทัณฑ์หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงยุคบรรพกาล”
แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายหลังจะเป็นฝ่ายหวนกลับคืนบ้านเกิดเพราะหวังหลุดพ้นจากกรงขังเสียมากกว่า
หันเชี่ยวเซ่อยกชายเสื้อขึ้นอย่างต่อเนื่อง คอยดึงเอาเศษหินยักษ์ก้อนแล้วก้อนเล่าออกมาจากหน้าผา ขว้างใส่ทะเลเมฆเล่น พลางถามชวนคุยด้วยว่า “ในเมื่อเฉินชิงตูไร้ศัตรูทัดทานขนาดนี้ ต่อให้ปีนั้นฟันบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ไม่ตาย แต่ก็น่าจะฟันราชาบนบัลลังก์เก่าเพิ่มอีกสักสองสามคนสิ”
เจิ้งจวีจงพูดอย่างเฉยเมย “คำพูดที่อยู่ในหัว อย่าพูดออกมามากนัก เพราะง่ายที่จะไม่เหลือหัวอยู่จริงๆ”
คุณสมบัติด้านการฝึกตนของหันเชี่ยวเซ่อ แน่นอนว่าพอมีอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นในอดีตนางก็คงไม่ตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ว่าจะฝึกเวทคาถาสิบชนิดบนมหามรรคาของนครจักรพรรดิขาวให้สำเร็จ
เพียงแต่ว่าในสายตาของเจิ้งจวีจงศิษย์พี่ที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์ หันเชี่ยวเซ่อก็แค่วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า (อุปมาถึงการลอกเลียนแบบ) ที่อยู่ระดับปลายแถวเท่านั้น ไม่อาจนำมรรคกถามากมายมาปรับใช้กับตัวเอง สาเหตุนั้นนอกจากจะเกี่ยวพันกับวิชาที่มีหลากหลายซึ่งต้องย้อนสืบเสาะไปถึงต้นกำเนิดแล้ว นางยังไม่เข้าใจคำกล่าวที่ว่าแม้ความรู้จะมีความต่าง แต่ย่อมต้องมีส่วนที่เหมือนกัน ยิ่งไม่เข้าใจเรื่องการบุกเบิกทางเส้นใหม่บนรอยเก่าของคนที่เดินอยู่เบื้องหน้า ดังนั้นมรรคกถาแค่สิบชนิดนางถึงได้เรียนรู้อย่างเชื่องช้าปานนั้น
หันเชี่ยวเซ่อถามอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่ ขอถามเรื่องที่ฟังแล้วไม่ค่อยให้ความเคารพอย่างหนึ่งกับท่านได้หรือไม่?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ลู่เฉิน”
เส้นทางการฝึกตนของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงขยับเข้าใกล้มหามรรคาอย่างยิ่ง แต่กลับมิมีร่องรอยให้สืบเสาะ
อีกทั้งผู้ฝึกตนใหญ่อย่างพวกหลี่เซิ่ง เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง อวี๋โต้ว อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู ยามลงมือทำอะไรขึ้นมา ถึงอย่างไรก็มีระเบียบขั้นตอน มีหลักให้ปฏิบัติตาม
แต่ลู่เฉินกลับไม่เหมือนกัน
ระหว่างฟ้าดิน วัตถุสิ่งของแต่ละอย่างล้วนมีเจ้าของ ขอบเขตสิบสี่ที่ผสานมรรคากับฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ก็คือได้ครอบครองหนึ่งซึ่งขาดบางอย่างไป แต่มหามรรคาส่วนนั้นกลับยังพอจะถือว่ามีลำดับขั้นตอนเป็นของตัวเอง
เพียงแต่ว่าภาพมายาที่ทั้งวัตถุและตัวข้าล้วนไร้ที่สิ้นสุดนี้ ภาพบรรยากาศยังคงเล็กน้อยเกินไป ไม่มากพอที่จะกลายมาเป็นความจริงได้
ผู้ฝึกตนแสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย พยายามที่จะมีชีวิตยืนยาวอยู่คู่ฟ้าดิน เดิมทีก็เป็นการกระทำที่ผิดหลักทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว ผู้ฝึกลมปราณก็เหมือนโจรที่ปีนกำแพงข้ามดินแดนเข้าไป จากนั้นหนีเข้าป่าไปคอยปล้นผู้คน ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งมา ทำการปล้นชิงมาจากฟ้าดิน สุดท้ายกลายเป็นคนตะกละไม่รู้จักอิ่มซึ่งเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับมีแต่เข้าไม่มีออก
ยากนักที่จะทำลายรูปแบบตายตัวนี้ทิ้งไป
หันกลับมามองลู่เฉิน เขากลับแสวงหามหามรรคาที่แท้จริงมาตั้งแต่แรกเริ่ม
หันเชี่ยวเซ่อพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าขอแค่ข้าได้เจอกับเขาก็จะหลบไปอยู่ให้ไกล จะไม่ไปมีเรื่องกับเขาเด็ดขาด”
หลังจากได้รับคำตอบ นางก็รู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในใจของศิษย์พี่ ลู่เฉินจะได้รับการประเมินที่สูงถึงเพียงนี้
เจิ้งจวีจงเอ่ย “เจ้าน่ะหรือจะหาเรื่องลู่เฉินได้?”
หันเชี่ยวเซ่อเงียบไม่ตอบ
ความหมายของเจิ้งจวีจงก็คือ ไม่เพียงแต่ขอบเขตของสองฝ่ายที่แตกต่างกัน ความหมายดั้งเดิมที่แท้จริงก็คือ ต่อให้เจ้าหันเชี่ยวเซ่อพยายามหาเรื่องลู่เฉินอย่างเอาเป็นเอาตายก็ไม่มีความหมาย ลู่เฉินคร้านจะสนใจเจ้าด้วยซ้ำ
หันเชี่ยวเซ่อเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ศิษย์พี่ ยังมีมรรคกถาอีกสองบท ทำให้คนยากจะเดินก้าวเข้าห้องได้อย่างแท้จริง”
เรื่องของการตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็กที่พูดง่ายๆ แค่สองสามประโยคก็จบเรื่อง หากหันเชี่ยวเซ่อไม่อาจทำตามความปรารถนาในใจได้สำเร็จ ชีวิตนี้ก็คงได้แต่หยุดเท้าอยู่ที่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว ทำให้นางถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนเป็นบินทะยาน คอขวดบนมหามรรคานั้นจะแข็งแกร่งถึงขั้นที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน ต้องมีจุดจบเป็นการสละร่างตายไปอย่างแน่นอน
เจิ้งจวีจงกลับมีเพียงความเงียบ
หันเชี่ยวเซ่อนั่งอยู่ริมหน้าผา เอ่ยอย่างจนใจว่า “ศิษย์พี่ ข้าไม่เคยขอร้องอะไรท่าน ใช่ไหม มีเพียงเรื่องนี้ ท่านก็ช่วยข้าหน่อยเถอะ ข้าหยุดอยู่ที่ขอบเขตเซียนเหรินมานานมากแล้ว อายุขัยมีจำกัด ข้าไม่อยากตายจริงๆ ยิ่งไม่ยินดีที่จะสละศพไปจุติเกิดใหม่ หวนกลับมาฝึกตนอีกครั้ง อย่างฟู่จิ้น ภายนอกมองดูมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด แต่แท้จริงแล้วกลับน่าสงสารนัก ข้าไม่อยากเป็นฟู่จิ้นแห่งนครจักรพรรดิขาวคนที่สองในสายตาของคนนอก”
อยู่ดีๆ เจิ้งจวีจงก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “หากเอาแต่เรียนรู้โดยไม่รู้จักคิดพิจารณาย่อมพบเจอกับความสับสน”
ไม่ได้บอกว่าเจ้าหันเชี่ยวเซ่ออ่านตำรามามากก็จะต้องเข้าใจมาก เจ้าก็เป็นแค่ร้านหนังสือที่วางตัวอักษรไว้ชั่วคราวร้านหนึ่งเท่านั้น
อาศัยการอ่านตำรามาเพิ่มพูนวิชาความรู้ ไม่ได้เท่ากับได้เพิ่มสติปัญญา
หันเชี่ยวเซ่ออึ้งตะลึง จากนั้นก็ยกสองมือกุมหัวโอดครวญ อาละวาดกรีดร้องเสียงแหลม
ศิษย์พี่พูดก็เหมือนไม่ได้พูดนั่นแหละ
เจิ้งจวีจงก้มหน้ามองหันเชี่ยวเซ่อแวบหนึ่ง
หันเชี่ยวเซ่อหยุดกรีดร้องอย่างเสียกิริยาทันที ไม่โวยวายอีกต่อไป นางสูดจมูก รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง
เจิ้งจวีจงหัวเราะ “วิธีแก้ปัญหานั้นอยู่ในตำราประเภทคำอรรถาธิบายหรือการอธิบายคำศัพท์โบราณที่มีอยู่ในนครจักรพรรดิขาว”
ดวงตาหันเชี่ยวเซ่อเป็นประกาย
เจิ้งจวีจงกล่าว “หนังสือไม่มาก แค่สามแสนกว่าเล่ม สามารถค่อยๆ อ่านไปได้”
หันเชี่ยวเซ่อทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง เริ่มถีบเท้าอาละวาดเอาแต่ใจอีกครั้ง
เจิ้งจวีจงพลันเอ่ยว่า “เจ้ารีบกลับไปที่นครจักรพรรดิขาวทันที พยายามอ่านตำราพิชัยยุทธให้มาก หากโชคดีได้ข้อคิดจากการอ่านตำรา เพียงไม่นานก็จะได้เจอกับเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน”
หันเชี่ยวเซ่อร้องอ้อหนึ่งที ศิษย์พี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องถามหาสาเหตุ แค่ทำตามที่เขาบอกก็พอ
เจิ้งจวีจงนั่งลงด้านข้าง สองมือกำเป็นหมัดวางลงบนหัวเข่าเบาๆ ทอดสายตามองไปไกล จุดที่สายตามองผ่านไป ทะเลเมฆค่อยๆ แยกตัวออกจากกันคล้ายถูกกระบี่หนึ่งฟันผ่า
หันเชี่ยวเซ่อไม่กล้ารบกวนการพิศมรรคาของศิษย์พี่ ลุกขึ้นนั่งแต่โดยดี หันหน้าไปมองเจิ้งจวีจง
แยกไม่ออกว่าเขาคือคนฟ้าขอบเขตสิบสี่หรือทวยเทพในตำนานกันแน่
เจิ้งจวีจงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การวางหมากครั้งสุดท้ายบนกระดานหมากโลกมนุษย์ของโจวมี่ มีเส้นสายนับพันนับหมื่น ค่อนข้างจะหาเจอได้ยาก”
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่
เว่ยจิ้นเริ่มหล่อหลอมปณิธานกระบี่บริสุทธิ์กลุ่มที่ได้รับสืบทอดมาจากจงหยวน
เฉาจวิ้นไม่ได้รู้สึกอิจฉาในโชควาสนาของเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะสักเท่าไร
ถึงอย่างไรอยู่กับพวกคนอย่างจั่วโย่ว เว่ยจิ้น และยังมีเฉินผิงอัน อย่างน้อยที่สุดตนก็มีข้อได้เปรียบอยู่บ้างเล็กน้อย ก็คืออายุมากกว่า
ดังนั้นจึงปล่อยวางได้มากกว่า ในเมื่ออายุมากกว่าก็ควรต้องยอมให้คนรุ่นเยาว์สักหน่อย
เฉาจวิ้นทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า ในฐานะผู้อาวุโสที่มีอายุลวงมากกว่าหลายปี เขาก็จะช่วยปกป้องมรรคาให้กับเว่ยจิ้นก็แล้วกัน
สำหรับเซียนซือต่างถิ่นที่โชคดีมาเที่ยวเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ในช่วงเวลานี้พอดี ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาได้เปิดโลกกว้าง จิตวิญญาณสะท้านหวั่นไหว รู้สึกเพียงว่าค่าใช้จ่ายกับเรือข้ามฟากที่เป็นเงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย
อันดับแรกก็เป็นเทพร่างสูงใหญ่ราวขุนเขาที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ในมือถือดาบคมกริบ ใช้ท่วงท่าที่ไร้ศัตรูทัดทานขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้หัวกำแพง
ต่อมาก็มีผู้เฒ่าเผยกาย รวบรวมปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ของฟ้าดินมาไว้ เพียงแค่กระบี่เดียวก็สังหารเทพองค์นี้ให้ตายดับได้แล้ว
จากนั้นผ่านไปไม่นาน ผู้เฒ่าคนนั้นก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะออกเดินทางไกลไปเยือนเปลี่ยวร้าง เพียงชั่วพริบตาก็มองไม่เห็นร่องรอยอีก
หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าผู้เฒ่าคนนั้นก็คือหัวใจสำคัญของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้มีประสบการณ์โชกโชนที่สุด วิถีกระบี่สูงที่สุดในโลกมนุษย์ เฉินชิงตู
ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่จงใจอยู่ห่างไกลจากเว่ยจิ้น พวกเขามาจากสำนักหนึ่งในธวัลทวีป ตั้งอยู่ติดมหาสมุทรทางทิศตะวันตก บนภูเขารับแค่ผู้ฝึกตนสายยันต์เท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้พวกเขาจัดทำรายชื่อของสำนักในไพศาลขึ้นมา แน่นอนว่าเพื่อยกสถานะของตัวเอง เพราะถึงอย่างไรผืนแผ่นดินของสามทวีปในไพศาลก็จมดิ่งลงไปแล้ว อีกสองทวีปที่เหลืออย่างทักษินายตทวีปและแจกันสมบัติทวีป ภูเขาสายน้ำก็สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล สิ่งหนึ่งเกิดสิ่งหนึ่งดับ ตามหลักแล้วสำนักในธวัลทวีปที่รากฐานแทบจะไม่มีความเสียหายใดๆ ฐานะก็ควรต้องเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย
เวลานี้คนสิบกว่าคนชมทัศนียภาพอยู่ที่ปลายด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมือง หยิบเอาสุราและผลไม้ออกมา กินไปคุยเล่นกันไปด้วย
มีคนเอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมื่อเวทกระบี่ของเฉินชิงตูสูงขนาดนั้น อีกทั้งเขายังไม่ตาย เห็นได้ชัดว่ายังออกกระบี่ได้ เหตุใดปีนั้นกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้…เสียเมืองรวดเร็วถึงเพียงนั้น จะเป็นเพราะพวกเขาจงใจปล่อยน้ำ (เปรียบเปรยถึงการยืดหยุ่น ผ่อนปรน) ทำให้น้ำแห่งหายนะที่ไหลเชี่ยวซัดกรากขุมนั้นถูกชักนำไปยังใต้หล้าไพศาลหรือไม่?”
มีคนที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าคล้อยตาม “มีความเป็นไปได้นี้อยู่”
อดีตอิ่นกวานเซียวสวิ้นนำพาเซียนกระบี่สองคนอย่างลั่วซานและจู๋อานทรยศไปเข้าร่วมกับเปลี่ยวร้าง
คนเฝ้าประตูของภูเขาห้อยหัว เซียนกระบี่ใหญ่จางลู่ก็ยิ่งปล่อยให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกรูกันผ่านภูเขาห้อยหัวไปไม่ใส่ใจ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่ความลับอะไร
ส่วนเรื่องที่กำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าไพศาลเกลียดชังกันเองก็ยิ่งเป็นเรื่องจริงที่รู้กันทั่ว
หรือว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จงใจทำ ต้องการให้ใต้หล้าไพศาลมีคนตายเยอะๆ?
ผู้ปกป้องมรรคาก่อกำเนิดเฒ่าคนหนึ่งเหลือบตามองทิศไกล เอ่ยเตือนว่า “มีคนนอกอยู่ด้วย พูดจาระวังหน่อย”
ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เสียงในใจพูดคุยกันก็แล้วกัน
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสิบกว่าคนจึงพูดคุยเรื่องนี้กันต่อ
เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเขาไม่รู้เรื่องหนึ่ง เสียงพูดคุยในใจ เมื่อดังเข้าหูผู้ฝึกตนสองคนที่อยู่ในกลุ่มนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ต่างจากการตะโกนพูดเสียงดังเลย
ภูเขาบนโลกที่ใกล้ชิดกับองค์เทพมากที่สุดก็คือศาลบรรพชนสำนักการทหารทั้งหลายที่อยู่ในใต้หล้าไพศาล
ส่วนเทพยุคบรรพกาล สำหรับเสียงในใจของผู้ฝึกลมปราณในยุคหลังแล้วล้วนเป็นเรื่องที่คุ้นเคยดียิ่งนัก
นอกจากศาลบรรพจารย์สำนักการทหารแผ่นดินกลางแล้ว นอกจากนี้ยังมีภูเขาสำนักเบื้องล่างที่คล้ายคลึงกันอยู่อีกสี่แห่ง แบ่งออกเป็นอู่หลินแห่งหลิวเสียทวีป หอเจี่ยหม่าแห่งทักษินาตยทวีป รวมไปถึงศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ของแจกันสมบัติทวีป
เรียกรวมกันว่า ‘ศาลภูเขาหลินไถ’ และในบรรดานั้นก็เป็นอู่หลินที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นเหตุให้ผู้ฝึกยุทธที่คลุกคลีอยู่ในยุทธภพล่างภูเขาต่างก็ถูกเรียกว่าเป็นคนของอู่หลิน (ยุทธภพ/ยุทธจักร)
ห้าคนที่อยู่ห่างไปไกลมาจากภูเขาเจินอู่ของแจกันสมบัติทวีปพอดี
หม่าขู่เสวียน อาจารย์ลุงอวี๋สืออู้
สาวใช้สู่เตี่ยน วั่งจู่ลูกศิษย์เปิดภูเขา เป็นทั้งผู้ฝึกลมปราณและเป็นทั้งผู้ฝึกยุทธเต็มตัว
ยังมีลูกศิษย์คนสุดท้ายอีกคนหนึ่งที่หม่าขู่เสวียนเพิ่งรับมาได้ไม่นาน เด็กหนุ่มที่ตรงเอวห้อยมีดผ่าฟืนไว้เล่มหนึ่ง มีชื่อว่าเกาหมิง
ก่อนหน้านี้เพื่อรอจังหวะเก็บตก หม่าขู่เสวียนเลือกไปดื่มเหล้าอยู่ในเหลาสุราแห่งหนึ่งของอำเภอเล็กทางทิศเหนือของภูเขาตะวันเที่ยงซึ่งไม่มีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เพราะอวี๋สืออู้บอกว่านี่คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของหม่าขู่เสวียน มีความเป็นไปได้ที่เฉินผิงอันจะสูญเสียสถานะผู้ฝึกกระบี่ไปที่ภูเขาตะวันเที่ยง
ก่อนหน้านั้นเขาได้เจอกับเฉินผิงอันที่หน้าประตูศาลลำน้ำใหญ่ใกล้กับเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ก็เป็นอวี๋สืออู้ที่ห้ามปรามหม่าขู่เสวียนว่าอย่าต่อสู้กับเฉินผิงอัน
ผลกลับกลายเป็นว่าทั้งสองครั้งต่างก็ไม่มีผลลัพธ์อะไร
เด็กหนุ่มที่พกมีดผ่าฟืนก็คือเด็กหนุ่มซื่อบื้อที่ตอนอยู่ในร้านเหล้าไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เอามีดฟันคอคน
ตอนที่หม่าขู่เสวียนเพิ่งจะไปอยู่ภูเขาเจินอู่ อันที่จริงต้องเรียกอวี๋สืออู้ว่าบรรพจารย์ลุง นั่นก็เพราะลำดับอาวุโสของเจ้าหมอนี่สูงอย่างมาก ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นอาจารย์ลุงของเจ้าภูเขาเจินอู่ได้ เป็นเหตุให้ยามที่อวี๋สืออู้เจอกับบรรพจารย์เจียง บรรพจารย์เว่ยสองท่านจากศาลบรรพจารย์สำนักการทหารแผ่นดินกลาง ก็แค่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ลุงและอาจารย์อาก็พอ