กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 866.4 รื้อฟื้น
ภายหลังหม่าขู่เสวียนฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถยกระดับความอาวุโสสูงขึ้นอีกหนึ่งขั้น ดังนั้นจึงเรียกอวี๋สืออู้ว่าอาจารย์ลุง แต่เนื่องจากผู้ถ่ายทอดมรรคาที่ภูเขาเจินอู่ของหม่าขู่เสวียนค่อนข้างเยอะ ในบรรดาคนเหล่านั้นก็ไม่ขาดเทพบรรพกาลที่ตำแหน่งไม่ต่ำอีกหลายท่าน จะเรียกอวี๋สืออู้ว่าอาจารย์ลุงหรืออาจารย์อาก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาเท่านั้น ถึงอย่างไรชื่อเสียงของหม่าขู่เสวียนในแจกันสมบัติทวีปก็ไม่เล็ก ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไร้เหตุผลคนหนึ่ง
คนบ้า ทำอะไรตามแต่ใจ กำเริบเสิบสานไร้ยำเกรง การกระทำของเขามิอาจเอาเรื่องหลักทำนองคลองธรรมมาพูดถึงได้เลยแม้แต่น้อย
เป็นหนึ่งในตัวสำรองคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้าเหมือนกัน สวี่ป๋ายและฉุนชิงที่มาจากแผ่นดินกลาง ตอนที่เดินทางไปท่องเที่ยวแจกันสมบัติทวีปต่างก็ถูกเขาไปหาเรื่องถึงที่ สวี่ป๋ายยอมรับความพ่ายแพ้โดยตรง ผลคือถูกหม่าขู่เสวียนให้คำวิจารณ์ว่าเป็น ‘เศษสวะ’ ฉุนชิงลงมือแล้ว แต่ผลคือต้องมาเจอกับหม่าขู่เสวียนที่ลงมือไม่รู้จักหนักเบา ปีนั้นฉุนชิงจึงบาดเจ็บไม่เบา
ส่วนคนรุ่นเยาว์สิบคนที่แจกันสมบัติทวีปประเมินกันออกมาเอง หม่าขู่เสวียนยังคงอยู่อันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรี นอกจากนี้ก็มีเซี่ยหลิง หลิวป้าเฉียว เจียงอวิ้น โจวจวี่ สุยโย่วเปียน ฯลฯ
ส่วนอวี๋สืออู้ที่ถูกขนานนามให้เป็น ‘หลี่ถวนจิ่งคนที่สาม’ เนื่องจากตอนนั้นขอบเขตไม่สูงพอ บวกกับที่จำนวนครั้งในการลงมือบนสนามรบมีไม่มาก จึงได้แต่อยู่ในอันดับตัวสำรองของในหนึ่งทวีปเท่านั้น
ดังนั้นแจกันสมบัติทวีปจึงมีความรู้สึกที่ค่อนข้างซับซ้อนต่อหม่าขู่เสวียน ทั้งรังเกียจความยโสโอหังของคนผู้นี้ ทั้งจำต้องยอมรับว่าแจกันสมบัติทวีปมีหม่าขู่เสวียนก็ค่อนข้างมีหน้ามีตา
หม่าขู่เสวียนเหลือบตามองกลุ่มคนดูที่อยู่ห่างไปไกลแล้วคร้านจะมองมากให้เปลืองสายตาอีก หันหน้าไปเอ่ยสัพยอกอวี๋สืออู้ว่า “หลี่ถวนจิ่งคนที่สามอย่างเจ้า ไม่คิดจะไปคุยเล่นกับหลี่ถวนจิ่งคนที่สองสักสองสามประโยคหรือ?”
เมื่อสามสิบปีก่อน คำเรียกขานว่าหลี่ถวนจิ่งคนที่สองนั้นพูดถึงเว่ยจิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งศาลลมหิมะ แต่นี่เป็นคำเรียกขานอย่างหนึ่งก่อนที่เว่ยจิ้นจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน รอกระทั่งเว่ยจิ้นทยอยฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้ง สุดท้ายกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนเหรินคนแรกของแจกันสมบัติทวีป แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก
เพราะนับแต่เด็กมาก็ฝึกตนอยู่บนภูเขาเจินอู่ ระบบการสืบทอดของอวี๋สืออู้ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกตนของสำนักการทหาร แต่เขาก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง อีกทั้งสถานะที่ลึกลับยิ่งกว่านั้นก็คืออวี๋สืออู้แบกรับโชคชะตาบู๊ไว้บนร่าง นี่เป็นความลับห้ามแพร่งพรายอันดับหนึ่งของศาลบรรพจารย์ภูเขาเจินอู่เลยทีเดียว
อวี๋สืออู้ยังถูกหม่าขู่เสวียนเรียกว่าเป็นสหายครึ่งตัวในบรรดา ‘สหายครึ่งตัว’ อีกด้วย
ทุกวันนี้บนร่างของเขามีโชคชะตาบู๊อยู่สามขุม สองส่วนในนั้นเป็นก่อนหน้านี้ยามที่สถานการณ์ในใต้หล้าตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม ศาลบรรพจารย์ของสำนักการทหารแผ่นดินกลางได้รับการอนุญาตจากศาลบุ๋น บรรพจารย์สำนักการทหารเจียงเว่ยสองคนจากแผ่นดินกลางจึงมอบโชคชะตาบู๊มาให้เขาสองส่วน
การร่วมกันสังหารครั้งหนึ่ง หนึ่งแบ่งออกเป็นห้า
ทุกวันนี้อวี๋สืออู้ยังขาดอีกสองส่วน
น่าเสียดายที่สองส่วนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่นั้นไม่ใช่ว่าอวี๋สืออู้ที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งจะไปแสวงหามาได้ด้วยตัวเอง
หม่าขู่เสวียนจุ๊ปากพูดอย่างประหลาดใจ “‘เสียเมืองเร็วขนาดนั้น’ ประโยคนี้พูดได้ดี”
กำแพงเมืองปราณกระบี่พิทักษ์มาได้กี่ปีแล้ว?
ใช้พื้นที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ใช้นครแห่งหนึ่งทำสงครามกับใต้หล้า
สถานที่ที่ใหญ่เพียงเท่านี้ ยังไม่ใหญ่เท่าแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่งของเก้าทวีปในไพศาลเลยด้วยซ้ำ
ทว่าขุนเขาสายน้ำสามทวีปของใต้หล้าไพศาลในช่วงหลังเล่า ต้องเสียเมืองไปหลังจากผ่านไปนานเท่าไรเอง?
ต่อให้หม่าขู่เสวียนจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่แค่ไหน ต่อให้จะไม่รู้สึกดีอะไรกับอิ่นกวานหนุ่มที่เป็นคนบ้านเดียวกันเท่าใด ก็ยังไม่มีหน้าพูดประโยคแบบนี้จริงๆ
เด็กหนุ่มที่พกมีดผ่าฟืนหันหน้ามามองหม่าขู่เสวียนผู้เป็นอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อย
ในเมื่อเฉินชิงตูผู้นั้นเวทกระบี่ไร้เทียมทานปานนี้ ทำไมไม่ออกกระบี่หลายๆ ครั้งเล่า ตามคำกล่าวในรายงานขุนเขาสายน้ำทั้งหลาย ดูเหมือนเฉินชิงตูจะเพียงแค่ปล่อยกระบี่หนึ่งออกไปพอเป็นพิธีเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้ลงมืออีก สุดท้ายก็แค่ใช้หนึ่งกระบี่เปิดทาง คุ้มครองนครบินทะยานให้ไปเยือนใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้เท่านั้น
หม่าขู่เสวียนกดหัวของเด็กหนุ่มแล้วหมุนหนักๆ ให้หันไปทางอวี๋สืออู้ “อาจารย์ไม่ว่าง ให้อวี๋ขี้บ่นอธิบายให้เจ้าฟังก็แล้วกัน”
อวี๋สืออู้จึงใช้เสียงในใจอธิบายให้ฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน
ก่อนที่สงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายจะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ เฉินชิงตูที่ถูกเรียกขานด้วยความเคารพว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส แท้จริงแล้วเคยปล่อยกระบี่ใส่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ไปแล้วหนึ่งครั้ง
แม้จะบอกว่าบนสนามรบที่ผู้ฝึกกระบี่และเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างคุมเชิงกัน มองดูเหมือนคลื่นลมสงบ แต่แท้จริงแล้วขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้บางแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้พังทลายย่อยยับไปหมดแล้ว
นี่ก็คือความไร้เหตุผลจากการที่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ผสานมรรคากับฟ้าดินทั้งแห่ง
อวี๋สืออู้ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ก็เหมือนอาชีพอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นคนหาปลาตกปลา คนตัดฟืนผ่าฟืน พ่อค้าหาเงิน ส่วนผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็บริสุทธิ์เรียบง่ายยิ่ง แค่ออกกระบี่สังหารปีศาจเท่านั้น”
ในที่สุดหม่าขู่เสวียนก็เอ่ยแทรกมาว่า “ยังมีนักชันสูตรที่ตรวจสอบศพ เพชฌฆาตที่ตัดหัวคน ร้านขายโลงศพที่รอคนตาย”
อวี๋สืออู้ปรายตามองหม่าขู่เสวียน ฝ่ายหลังรีบยกสองมือขึ้นทันใด เป็นการบอกว่าเจ้าอวี๋สืออู้เชิญพูดจู้จี้ต่อตามสบาย
“นอกจากนี้ อยู่ในหน้าที่ไหนก็ทำหน้าที่นั้น ยกตัวอย่างเช่นเฉินซีกับฉีถิงจี้ นอกจากจะเป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรแล้ว ยังเป็นเจ้าประมุขของแต่ละตระกูล ต่างคนต่างต้องวางแผนหาทางถอยให้กับตระกูลของตัวเอง อิ่นกวานเฉินผิงอันก็ต้องวางแผนการรบอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อน เพื่อให้ความเสียหายทางการสู้รบที่น้อยที่สุดของฝ่ายตัวเองแลกเปลี่ยนมาด้วยผลงานทางการสู้รบที่ใหญ่ที่สุดบนสมรภูมิรบ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ต้องไม่ปล่อยให้ควันธูปของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขาดสะบั้นลง ภายใต้เงื่อนไขที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมิอาจรักษาเอาไว้ได้ นอกจากที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว การยอมพลีชีพอย่างลืมตายของเหล่าเซียนกระบี่ที่ส่งกระบี่ไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็เพื่อพยายามที่จะรักษาเมล็ดพันธ์บนวิถีกระบี่ไว้ให้ได้มากยิ่งกว่าเดิม ให้พวกเขาได้ไปลงหลักปักฐานอยู่ในใต้หล้าห้าสี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าได้ช่วยถ่วงเวลาให้กับใต้หล้าไพศาลแล้ว”
และยังมีความจริงกับเรื่องวงในที่ลึกกว่านี้ที่อวี๋สืออู้ไม่ได้พูดออกมา
ความลับบางอย่าง เช่นว่าโจวมี่มหาสมุทรความรู้และหร่วนซิ่วเดินขึ้นฟ้าจากไป ตลอดทั้งภูเขาเจินอู่ เกรงว่าคงมีแค่อวี๋สืออู้กับหม่าขู่เสวียนเท่านั้นที่รู้ จนถึงทุกวันนี้แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังถูกปิดหูปิดตา
ในความเห็นของอวี๋สืออู้ เฉินชิงตู บรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้าง โจวมี่
สิ่งที่ทั้งสามฝ่ายต้องการก็คือ รักษานครบินทะยาน โจมตีใต้หล้าไพศาล แสวงหาการเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของตัวเอง
ผู้แข็งแกร่งก็คือผู้ที่สามารถฝากความหวังไว้ที่การกระทำทั้งหลาย ทำให้ความหวังกลายมาเป็นความจริง
เด็กหนุ่มเกาหมิงเหลือบตามองเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนพวกนั้นแล้วถามอย่างกังขาว่า “เหล่าหม่า บรรพจารย์ลุงอวี๋ เทพเซียนบนภูเขาพวกนี้คงไม่ใช่คนโง่หรอกกระมัง?”
ไม่ชอบเรียกว่าอาจารย์ แต่ชอบเรียกหม่าขู่เสวียนว่าเหล่าหม่า
วั่งจู่ศิษย์พี่ของเขาย่อมไม่กล้าทำตัวเนรคุณแบบนี้แน่นอน
อวี๋สืออู้คลี่ยิ้ม ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
หม่าขู่เสวียนนั่งยองลงบนหัวกำแพงเมือง เอ่ยว่า “ไยต้องหมิ่นเกียรติคนโง่ด้วย”
เมื่อก่อนตอนที่อยู่เมืองเล็กบ้านเกิด หากบอกว่าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงคือดาวอัปมงคล ถ้าอย่างนั้นหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาก็คือคนโง่ในสายตาของคนวัยเดียวกัน
คนหนึ่งถูกผู้คนรังเกียจเดียดฉันท์ ส่วนอีกคนหนึ่งกลายเป็นตัวตลกที่ผู้คนใช้แก้เบื่อ
หม่าขู่เสวียนยิ้มเอ่ย “อาจารย์ลุงอวี๋ ไป ไปงัดข้อกับคนกลุ่มนั้นสักหน่อย หากคุยกันไม่รู้เรื่อง ข้าจะได้ลงมือต่อยตีคนได้ ตลอดทางมานี้รู้สึกอุดอู้ยิ่งนัก ข้าต้องหาเรื่องสนุกทำเสียหน่อย”
อวี๋สืออู้นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
หม่าขู่เสวียนนั่งยองอยู่บนพื้น ยื่นมือไปตบหัวกำแพง เอ่ยว่า “ขนาดนี้แล้วยังไม่ไปพูดคุยสักสองสามประโยค เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อหัวกำแพงเมืองใต้ฝ่าเท้าของพวกเราบ้างหรือ?”
อวี๋สืออู้คิดแล้วก็ยอมไปอธิบายเหตุผล ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
ไม่ถือสาว่าใต้หล้าไพศาลจะมีคนตายไปกี่มากน้อย กับจงใจทำให้ใต้หล้าไพศาลมีคนตายมากขึ้น คือเรื่องสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นอกจากเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีที่เป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวซึ่งหลังจากลงสนามรบไปเข่นฆ่า ภายหลังยังเคยขัดขวางการบุกรุดหน้าของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร้างในฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปไปทีละก้าวแล้ว
เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนอื่นๆ ล้วนไม่เคยมีใครจากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอีกมากมายที่ใช่ว่าจะไม่สามารถจากไปได้ แต่สุดท้ายก็ยังอยู่ต่อบนสนามรบ
ในบรรดาเซียนกระบี่ก็มีผู้อาวุโส ต่งซานเกิง เฉินซี น่าหลันเซาเหว่ย ในกลุ่มเซียนกระบี่ใหญ่มีโจวทุ่ยมี่ หมี่ฮู่ จิ้นชิง ส่วนเซียนกระบี่ที่รบตายไปกลับมีมากยิ่งกว่านี้
ตอนนั้นในนครบินทะยานกลุ่มคนที่ขอบเขตสูงที่สุดก็คือขอบเขตก่อกำเนิดอย่างพวกหนิงเหยา ดังนั้นใต้หล้ามียังมีการผ่อนปรนเช่นนี้ด้วยหรือ?
อวี๋สืออู้ฝืนนิสัยพูดไปมากมายอย่างอดทน
แต่ไม่ว่าอวี๋สืออู้จะพูดอย่างไร อีกฝ่ายก็ยังคว้าจับเรื่องหนึ่งไม่ยอมปล่อย เหตุใดเฉินชิงตูถึงไม่ออกกระบี่ให้มากหน่อย?
นอกจากนี้ต่างก็เห็นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจากแจกันสมบัติทวีปผู้นี้เป็นคนโง่ เจ้ามาพูดอะไรกับพวกเราตั้งมากมายขนาดนี้? หากไม่เป็นเพราะได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากภูเขาเจินอู่ ป่านนี้คงไล่คนไปนานแล้ว
อวี๋สืออู้รู้สึกจนใจเล็กน้อย
คนเราก็ดีแต่จะจดจ้องคนคนหนึ่ง เรื่องเรื่องหนึ่งไม่ยอมปล่อย
เอ่ยเพียงหนึ่งแต่ตกหล่นไปนับหมื่น นี่ก็เป็นแค่คำกล่าวที่ถ่อมตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
หม่าขู่เสวียนเบิกบานใจนัก กำหมัดถูมือ พาคนทั้งกลุ่มมาหยุดอยู่ข้างกายอวี๋สืออู้ เด็กหนุ่มที่ตรงเอวห้อยมีดผ่าฟืนบ่นว่า “อาจารย์ลุงอวี๋ อธิบายให้พวกคนโง่ฟังตั้งมากมายแบบนี้ไปทำไม ไม่รวดเร็วฉับไวเลยแม้แต่น้อย”
หม่าขู่เสวียนหัวเราะหึหึ “คนโง่บอกว่าเจ้าไม่ถูก ถึงอย่างไรก็ต้องมีเหตุผลของเขา”
จากนั้นหม่าขู่เสวียนก็เอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “พวกเราอย่ามัวพูดโน้มน้าวอวี๋ขี้บ่นอีกเลย ด้วยนิสัยคนดีของเขา เดี๋ยวก็มีข้ออ้างที่ไร้เหตุผลอยู่ดีนั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่น ‘พวกเขาฟังไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นข้าที่อธิบายไม่เข้าใจ’”
คนรุ่นเยาว์ที่มีชาติกำเนิดจากเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจู แทบไม่มีใครที่ไม่เข้าใจพูด
อีกอย่าง ‘วิชาความรู้ของวงศ์ตระกูลที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคน’ ของหม่าขู่เสวียนก็ไม่ใช่แค่ดีธรรมดาเท่านั้น
หม่าขู่เสวียน หลี่ไหว กู้ช่าน พูดถึงแค่เรื่องนี้ คนทั้งสามต่างก็มีข้อได้เปรียบติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
อวี๋สืออู้ถอนหายใจ “ยกให้เจ้าแล้ว จำไว้ว่าอย่าลงมือหนักเกินไป ทุกวันนี้ศาลบุ๋นควบคุมเข้มงวดนัก”
อวี๋สืออู้จากมาเพียงลำพัง ยกคนกลุ่มนั้นให้หม่าขู่เสวียนจัดการ
ชีวิตก็คือตำราไร้ตัวอักษรเล่มหนึ่ง อุปสรรคมากมายก็คล้ายการถูกคนเอาถุงป่านครอบหัวแล้วทุบตี จุดที่ไม่เข้าใจก็ไม่มีโอกาสเปิดตำราใหม่อีกครั้งเพื่อหาคำตอบว่าเป็นเพราะอะไรอีกแล้ว
แน่นอนว่าเซียนซือที่มาจากธวัลทวีปกลุ่มนั้นไม่ได้อยู่ในข้อนี้
หม่าขู่เสวียนพลันได้ยินเสียงในใจจากคนที่เขาที่คาดไม่ถึง “ลงมือกะน้ำหนักให้ดี อย่าสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ ที่เหลือก็ตามแต่ใจ”
คือเสียงของอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งบูชาของลัทธิขงจื๊อซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์ม่านฟ้า เฮ้อโซ่ว
……
ทางฝั่งของสะพานโค้งสีทอง เทพสูงสุดสามคนของสรวงสวรรค์ใหม่ โจวมี่ยืนอยู่ข้างราวรั้ว หร่วนซิ่วยืนอยู่บนรั้ว มีเพียงหลีเจินที่ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนรั้ว ยังคงครุ่นคิดถึงปัญหาสองข้อนั้น
สรุปแล้วว่าปีนั้น หนึ่งนั้นคิดอย่างไรกันแน่
การช่วงชิงแห่งน้ำและไฟที่เป็นชนวนการล่มสลายของสรวงสวรรค์เก่าเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่
โจวมี่ยิ้มเอ่ย “ตอนนั้นคือเพื่อเพิ่มควันธูปให้กับโลกมนุษย์ จะได้นำมาหล่อหลอมร่างทองขององค์เทพได้มากกว่าเดิม ผลคือรอกระทั่งจำนวนของเผ่ามนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว เทพวารีที่เคยเดินทางไกลอยู่นอกฟ้าระยะหนึ่งได้หวนกลับมายังสรวงสวรรค์เก่าอีกครั้ง ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าเกิดความผิดปกติกับโลกมนุษย์ เพราะบนพื้นดินมีแสงสว่างรวมกลุ่มกันหนาแน่น แสงตะเกียงแห่งใจคนทอดยาวเป็นสาย รวมกันเหมือนมหาสมุทรแห่งเพลิง แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่เทพวารีเป็นผู้ดูแลจึงคล้ายถูกตัดแบ่งดินแดนที่ใหญ่มากออกไปแถบหนึ่ง อีกทั้งสถานการณ์แห่งเปลวไฟนี้ยิ่งนานก็ยิ่งลุกลามรุนแรง เจ้าสามารถมองมันเป็น…เทพอัคคีเดินลงน้ำที่โบราณเก่าแก่ที่สุดครั้งหนึ่งได้”
หลีเจินเบิกตากว้างมองไปยังโลกมนุษย์ เอ่ยอย่างตกตะลึง “ข้ามองไม่เห็นก็ช่างเถิด ทำไมแม้แต่อวี่ซื่อก็ยังมองไม่เห็นด้วยเล่า?”
เขาหลุบตาลงมองโลกมนุษย์ก็เห็นเพียงปราณวิญญาณที่มารวมตัวกันอยู่บนผืนแผ่นดิน เห็นเป็นจุดๆ เหมือนดวงดาว บ้างสว่าง บ้างมืดสลัว แสงสว่างทุกจุดก็คือผู้ฝึกตนที่ขอบเขตสูงต่ำไม่เท่ากัน นอกจากนี้ยังมีการไหลรินของโชคชะตาอีกหลายขุม
เผ่ามนุษย์มองขึ้นฟ้าเห็นทางช้างเผือกพร่างพราวงามงด
อันที่จริงองค์เทพหลุบตามองแผ่นดินของโลกมนุษย์ก็เป็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร
จะดีจะชั่วอวี่ซื่อก็เป็นเทพวารีที่ได้เลื่อนขั้นใหม่ ไม่มีเหตุผลให้เขามองไม่เห็นการไหลรินบนมหามรรคาแห่งชะตาชีวิตส่วนที่เป็นของเขานี่นา
หร่วนซิ่วกล่าว “เพราะข้าไม่ให้พวกเจ้ามองเห็น”