กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 867.1 ในภูเขามีอะไร
ภูเขาลั่วพั่ว
อากาศสดชื่นปลอดโปร่ง ในลานบ้านของเรือนหลังหนึ่งแทบไม่มีที่ให้วางเท้า ตะแกรงไม้ไผ่สานขนาดใหญ่ไร้ตาหลายชิ้น ที่โกยผงจากกิ่งหลิวสานอีกหลายใบ ล้วนเอาพริกแดงมาแผ่ตากแดดให้แห้ง มองไปเห็นแต่สีแดงสดใส
ในระเบียงใต้ชายคา จูเหลี่ยนเอนกายนอนบนเก้าอี้นอนตัวหนึ่ง หลับตาทำสมาธิ โบกพัดใบลานเบาๆ
วันนี้เฉินยวนจีเดินนิ่งบนเส้นทางภูเขาเสร็จแล้วจึงมานั่งพักอยู่ที่นี่
นางชอบพูดคุยกับอาจารย์ผู้เฒ่าจู ไม่เพียงแค่เพราะจูเหลี่ยนเป็นคนพานางขึ้นเขา นำพาให้นางเดินไปบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธเท่านั้น บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ เฉินยวนจียังเห็นอาจารย์ผู้เฒ่าจูเป็นผู้อาวุโสที่ใกล้ชิดเหมือนญาติแท้ๆ เพียงหนึ่งเดียวด้วย
อาจารย์ผู้เฒ่ามักจะโน้มน้าวให้นางลงจากภูเขาบ่อยๆ กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ตัวจังหวัดบ้าง บอกว่าต่อให้จะถูกเร่งรัดให้แต่งงานก็ไม่ต้องหงุดหงิด ยิ่งไม่ต้องเห็นภูเขาลั่วพั่วเป็นสถานที่ที่เอาไว้หลบซ่อนตัวเพื่อหาความสงบ
เรื่องบางอย่างหนีไม่พ้น ต่อให้หลบเรื่องที่ ณ เวลานั้นทำให้หงุดหงิดใจได้พ้น ก็หลบความเสียใจภายหลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ไม่พ้น
ความพยายามที่เปล่าประโยชน์ที่สุดในชีวิตคนก็หนีไม่พ้นการหวนคิดถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจนั่นเอง
คนที่พเนจรไปต่างถิ่น คือว่าวกระดาษที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง มีเพียงความคิดในใจเท่านั้นที่จะกลายเป็นเชือกเส้นนั้น หากคนคนหนึ่งไม่มีความรักความผูกพันต่อคนในครอบครัวและบ้านเกิด ก็จะกลายเป็นว่าวตัวหนึ่งที่สายป่านขาดจริงๆ แล้ว ถ้าอย่างนั้นความสุขความทุกข์ การพบเจอการจากลาทั้งหลายก็ล้วนเป็นดั่งต้นหญ้าที่ขึ้นบนทุ่งกว้าง งอกงามโรยราล้วนขึ้นอยู่กับฟ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง อาจารย์ผู้เฒ่ายังบอกด้วยว่าเฉินยวนจีนั้นถือว่าโชคดีแล้ว ได้อยู่ใกล้บ้านเกิดขนาดนี้ อยากกลับบ้านก็แค่เดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่อยู่ใกล้ก็มีความน่าหงุดหงิดใจของคนอยู่ใกล้
การที่เฉินยวนจีชอบพูดคุยกับอาจารย์ผู้เฒ่าจู คงเป็นเพราะอาจารย์ผู้เฒ่าพูดจามีเหตุผล ไม่เคยวางมาดผู้อาวุโส ไม่เคยบังคับให้ผู้เยาว์ต้องรับฟังเหตุผลของเขาอย่างเดียวเท่านั้น
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “ยวนจี เดินนิ่งมาหลายปีแล้ว สะสมหมัดได้เท่าไรแล้ว”
เฉินยวนจีตอบ “หากนับถึงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ก็ได้สองล้านหมัดแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้นับอีก”
จูเหลี่ยนถามอีก “ทำไมถึงไม่นับแล้วล่ะ? เพราะรู้สึกว่าจำเรื่องนี้ไปก็ไม่มีความหมาย หรือว่าจู่ๆ ก็ลืมนับไป หลังจากนั้นก็เลยคร้านจะนับอีก?”
เฉินยวนจีตอบตามสัตย์จริง “หากจงใจจำเรื่องนี้ก็ง่ายที่จะเสียสมาธิยามฝึกหมัด ราวกับว่าฝึกหมัดก็เพียงแค่เพื่อนับจำนวนเท่านั้น”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ดีมาก คุณชายเคยพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าเมื่อไหร่ที่แม่นางเฉินไม่จงใจจดจำจำนวนครั้งที่ตัวเองปล่อยหมัดออกไปก็เป็นเวลาที่วิชาหมัดของนางได้เดินเข้าห้อง (เปรียบเปรยถึงการมีความชำนาญ) แล้ว”
เฉินยวนจีกล่าว “พรสวรรค์ในการเรียนหมัดของเจ้าขุนเขาดีกว่าข้ามากจริงๆ”
นางจำต้องฝืนใจยอมรับเรื่องนี้
จูเหลี่ยนถาม “แล้วยังมีอะไรอีก?”
เฉินยวนจีส่ายหน้าอย่างซื่อตรง “ไม่มีแล้ว”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “คนนี่นะ ต่างก็ชอบคนที่ชอบ รังเกียจคนที่รังเกียจ”
พูดให้อ้อมค้อมไปอย่างนั้นเอง
แต่เฉินยวนจีก็ไม่ได้โง่ นางย่อมฟังเข้าใจ
เฉินยวนจีอธิบายว่า “ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้าขุนเขาเฉิน เขาเป็นคนดีมาก ก็แค่ว่าภาพจำครั้งแรกค่อนข้างแย่ไปสักหน่อย จึงทำให้ชอบเขาไม่ลงจริงๆ ภายหลังอยู่บนภูเขา ข้าก็ไม่ค่อยสนใจเจ้าขุนเขาสักเท่าไร แต่อันที่จริงแล้วก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าเจอหน้ากันแล้วควรจะพูดอะไร”
“เข้าใจได้”
จูเหลี่ยนพยักหน้า “ยวนจี บอกตามตรง สำหรับเส้นทางการเรียนวิชาหมัดของเจ้า เจ้าขุนเขาล้วนเห็นดีในตัวเจ้ามากมาโดยตลอด หากไม่เป็นเพราะรู้ดีว่าเจ้าจะไม่มีทางตอบตกลง แล้วยังกังวลว่าเจ้าคิดจะมากไปถึงเรื่องที่ไม่มีจริงเหล่านั้น คุณชายก็อยากรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดด้วยซ้ำ อืม ก็เหมือนจ้าวซู่เซี่ยนั่นและ การเห็นดีของคุณชายที่ว่านี้ ไม่ใช่รู้สึกว่าเจ้าหรือจ้าวซู่เซี่ย ในอนาคตจะต้องมีผลสำเร็จด้านการเรียนวรยุทธสูงสักเท่าไร ก็แค่รู้สึกว่าผู้ฝึกยุทธบนภูเขาลั่วพั่วแบ่งได้เป็นสองประเภทเท่านั้น หนึ่งอยู่ที่วิชาหมัด หนึ่งอยู่ที่ใจ ฝ่ายแรกนั้นปณิธานหมัดอยู่บนร่าง เข้าใจสัจธรรมแห่งหมัด เรียนรู้วิชาหมัดได้อย่างรวดเร็ว ส่วนฝ่ายหลังเมื่อเทียบกันแล้วจะไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไร แต่มีความยืนหยัดด้วยจิตใจอันแน่วแน่ ไม่สนใจความคิดและสายตาของผู้อื่น”
เฉินยวนจีรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นางอืมรับเบาๆ “ความคิดของเจ้าขุนเขาดีมากเลย”
เฉินยวนจีนั่งอยู่ด้านหลังเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งที่วางไว้ข้างระเบียงทางเดิน จูเหลี่ยนที่ถือพัดใบลานอยู่ในมือจึงโบกมือเป็นวงกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย
ใบหน้าจูเหลี่ยนประดับยิ้ม พึมพำเอ่ยว่า “ต้นหลิวที่จุดพักม้าส่ายใบเหลือง ต้นท้อริมลำน้ำแตกใบเขียว คนเหมือนภูเขาเขียวใจเหมือนสายน้ำ ขุนเขาเขียวยังสามารถตั้งตระหง่านดุจสายพิณ ยังมีที่มาที่ไป ชีวิตคนเดียวดาย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไยจะไม่ใช่ความเจ็บปวด”
แค่ฟังเฉินยวนจีก็สัมผัสได้ถึงความเสียใจอ่อนจาง
จูเหลี่ยนหันหน้ามายิ้มเอ่ย “หยวนเป่าชอบเฉาฉิงหล่าง ใช่ไหม?”
เฉินยวนจีกลั้นยิ้ม พยักหน้าตอบ “นางชอบเฉาฉิงหล่างมาก ก็แค่ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากพูดอย่างไร เอาเป็นว่าทุกครั้งที่เฉาฉิงหล่างอ่านหนังสืออยู่หน้าประตู หยวนเป่าจะต้องจงใจเดินเร็วๆ รีบร้อนหมุนตัวเดินขึ้นเขาฝึกหมัดต่อเสมอ”
จูเหลี่ยนเอ่ยต่ออีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเด็กหยวนไหลแอบชอบเจ้า เจ้าเองก็แอบรู้เหมือนกันใช่ไหม?”
เฉินยวนจีหน้าแดงเรื่อ “รู้น่ะรู้ แต่ข้าไม่ชอบเขานี่นา”
จูเหลี่ยนวางพัดใบลานลง เอ่ยเสียงเบา “คนที่เคยเห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ยากจะถูกน้ำของที่อื่นดึงดูดได้ ผู้ที่ลุ่มหลงในรักไปแล้วก็ยากที่จะถูกรักอื่นชักนำไป”
“ความสุขความทุกข์ของความรักชายหญิง ก็แค่ว่าคนในความคิดกลายมาเป็นคนในความทรงจำ หรือไม่ก็คนในใจกลายไปเป็นคนข้างหมอนแล้ว”
หากเป็นเฉินยวนจี ต่อให้จะเป็นคำพูดแบบเดียวกัน แต่ออกมาจากปากของอาจารย์ผู้เฒ่าจูกับออกมาจากปากของเจิ้งต้าเฟิง กลับยังคงมีความหมายที่ไม่เหมือนกัน
คนหนึ่งคือผู้เฒ่าใจดีมีเมตตาที่มากประสบการณ์ อีกหนึ่งคือคนเสเพลหยาบช้าที่ไม่รู้จักควบคุมดวงตาของตัวเองให้ดี โชคดีที่เจิ้งต้าเฟิงนับว่ามีแค่ความคิดของโจรแต่ไม่มีความกล้าพอจะเป็นโจร ไม่เคยมือไม้ยุ่มย่ามกับนาง
เฉินยวนจีพลันเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาออกเดินทางไกลอีกแล้วหรือ”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที เอ่ยเนิบช้าว่า “คนคนหนึ่งยุ่งมาก วิถีทางโลกก็จะได้มีเวลาว่าง”
……
ลูกจ้างและเถ้าแก่ในสองร้านของตรอกฉีหลง จำนวนคนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สือโหรวตัวแทนเถ้าแก่ของร้านยาสุ้ย โจวจวิ้นเฉินที่มีฉายาว่าอาหมาน ก่อนหน้านี้ไม่นานยังมีเด็กชายผมขาวที่ชื่อว่าคงโหวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ตัวแทนเถ้าแก่ของร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันคือนักพรตเฒ่าตาบอดเจี่ยเฉิง เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกร นอกจากอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่ง ซึ่งลูกศิษย์คือจ้าวเติงเกากับเถียนจิ่วเอ๋อร์แล้ว ยังมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่ชื่อชุยฮวาเซิงมาเพิ่ม นางบอกว่าตัวเองเป็นน้องสาวของชุยตงซาน ทำเอาเฉินหลิงจวินขำเกือบตาย
วันนี้เฉินหลิงจวินคุยเล่นกับน้องป๋ายที่ศาลาเสร็จก็เดินเตร็ดเตร่มาถึงเมืองเล็ก เดินก้าวอาดๆ เข้าไปในร้านยาสุ้ยก็พูดกลั้วหัวเราะทักทายเสียงดัง “น้องสาวคงโหว!”
คงโหวที่ถูกเฉินหลิงจวินเรียกอย่างสนิทสนมว่าน้องสาวก็คือเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชาย คู่รักของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู
เด็กชายผมขาวยังเป็นแค่ลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกของภูเขาลั่วพั่วชั่วคราว จึงมาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ร้าน
มันตั้งฉายาให้กับตัวเองว่าคงโหว (เครื่องสายโบราณชนิดหนึ่งของจีน)
แต่เฉินหลิงจวินหรือจะรู้ว่าเจ้าฝักแคระที่น่าสงสารเพราะต้องผมขาวตั้งแต่อายุน้อยๆ มีขอบเขตอะไร และมีภูมิหลังเป็นมาอย่างไร ที่พึ่งคือใคร
รู้แค่ว่าเป็นนังหนูคนหนึ่งที่นายท่านบ้านตนเก็บได้ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว เฉินหลิงจวินนั้นมีลูกคิดเป็นของตัวเอง ตอนที่เผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยถูกนายท่านพากลับเมืองเล็กก็ไม่มีขอบเขตอะไรไม่ใช่หรือ
เวลานี้เด็กชายผมขาวหันหลังให้เฉินหลิงจวิน ปากกำลังกัดกินขนมชิ้นหนึ่ง ในมือสองข้างยังถือขนมไว้อีกสองชิ้น ดวงตาจับจ้องขนมถาดใหญ่
นางกำลังยุ่งอยู่นะ
ไม่มีเวลาว่างมาสนใจเด็กชายชุดเขียวที่เสียงดังเอะอะผู้นั้นหรอก
อาหมานมองเด็กชายผมขาวที่ดีกว่าพวกคนยักยอกของเล็กน้อย เด็กชายก็ให้รู้สึกโมโห ไม่คิดจะเป็นคนใบ้แล้ว “กินๆๆ รู้จักแต่จดลงบัญชี จดลงบัญชี จดลงบัญชีกะผีอะไรกัน ด้วยเงินเดือนน้อยนิดแค่นั้นของนางเมื่อไหร่ถึงจะเติมหลุมได้เต็มกัน อีกทั้งเจ้าขุนเขายังเป็นคนที่มีเงินแต่ไม่ใจกว้าง ทุกๆ สามวันห้าวันชอบมาตรวจบัญชีที่นี่ ถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่ใช่เถ้าแก่ของพวกเราที่วางตัวลำบากหรอกหรือ”
อาหมานยังโมโหไม่หาย “ลอยน้ำยังพอมีเสียงดังบ้าง แต่กินเงียบไม่มีเสียงแบบนี้ก็ถือว่ามีความสามารถแล้ว”
พี่หญิงสือโหรวต้องตื่นแต่เช้าเลิกงานดึกทุกวัน กว่าจะเก็บสะสมเงินน้อยนิดมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมทีสามารถเอาไปแลกเป็นเศษเงินก้อนได้เล็กน้อย ผลกลับดีนัก มีเจ้าคนไร้จิตสำนึกมาอยู่ด้วย เงินที่ควรสะสมได้กลายมาเป็นหนี้บนหน้าบัญชีหมดแล้ว
อีกอย่างดูเหมือนสมองของแม่นางน้อยคนนี้จะมีปัญหา นางมักจะเดินวนอยู่ที่เรือนด้านหลังเพียงลำพัง แล้วทุกครั้งยังต้องชูแขนร้องตะโกนเสียงดังทำนองว่า ‘บรรพบุรุษอิ่นกวานบารมีอำนาจสะเทือนยุทธภพ วรยุทธเกริกก้องล้ำโลก’ ‘บรรพบุรุษอิ่นกวาน หล่อเหลาสง่างามไร้ผู้ใดเทียบเคียง เวทกระบี่เก่งกาจไร้เทียมทาน...’
อาหมานอยากพานางไปหาหมอตั้งนานแล้ว
เวลานี้เด็กชายผมขาวได้ยินเจ้าใบ้น้อยบ่นก็ไม่เพียงแต่ไม่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กลับยังจงใจโคลงศีรษะไปมาด้วย
ทำเอาอาหมานเดือดดาลจนอยากจะปะทะกับนางสักที หากไม่เป็นเพราะเห็นว่านางคือเด็กหญิงคนหนึ่ง หมัดหนึ่งต่อยออกไป…ยังต้องจ่ายค่ายาอีก
สือโหรวยิ้มเอ่ย “ล้วนเป็นคนกันเอง จะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ไปไย”
พอเฉินหลิงจวินได้ยินว่าเจ้าใบ้น้อยถึงกับกล้าตำหนินายท่านบ้านตนก็โมโหจนยกสองมือเท้าเอวฉับ ถลึงตาใส่ “โจวจวิ้นเฉิน พูดจาระวังปากหน่อย ข้ารู้จักอาจารย์ของเจ้านะ นางน่ะเป็นคนรุ่นเดียวกับข้า อาจารย์ของเจ้ายังรู้จักคนฆ่าสัตว์ทุกคนในเมืองเล็กด้วย เจ้าลองชั่งน้ำหนักเอาเองเถอะ”
อาหมานหัวเราะหึหึ “เจ้ารู้จักอาจารย์ของข้า? ข้ายังรู้จักอาจารย์ของอาจารย์ข้าด้วยนะ? พูดจาไม่ระวังแล้วจะทำไม เจ้าจะตีข้าหรือ?”
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ภูเขาลั่วพั่วมีอยู่ข้อหนึ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะขอบเขตอะไรก็ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
สือโหรวลูบศีรษะของเด็กชาย เอ่ยเสียงเบาว่า “คนครอบครัวเดียวกันห้ามพูดจาไม่ดีใส่กัน”
อันที่จริงตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่ว สือโหรวไม่ค่อยกลัวใคร กลัวก็แค่ชุยตงซานเท่านั้น ไม่ว่าคำพูดประหลาดระคายหูแค่ไหนเขาก็พูดออกจากปากได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่น…พานกเดินเล่น
แต่นั่นคือปฏิทินเหลืองที่ไม่อยากจะหวนกลับไปนึกถึง หลายปีมานี้ดีขึ้นเยอะแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอแค่เจ้าขุนเขาอยู่ที่บ้านเกิด เวลาปกติไม่ว่ากับใครชุยตงซานก็ล้วนมีรอยยิ้มส่งให้
คราวก่อนชุยตงซานพาน้องสาวชุยฮวาเซิงกลับมาด้วย ยังมอบหวีไม้จันทร์เล่มหนึ่งให้สือโหรว ด้านบนแกะสลักตัวอักษรไว้สามคำ คิดถึงสาวงาม
อาหมานยืนเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ฟุบตัวลงบนโต๊ะขึ้นเงิน ตีหน้าเคร่งยื่นมือข้างหนึ่งออกไป พูดกับเฉินหลิงจวินว่า “อย่ามัวพูดจาไร้สาระกับข้า หากแน่จริงก็ช่วยนางใช้หนี้ จากนั้นอยากกินเท่าไรก็ตามใจ กินจนหมด ข้าจะไปทำให้ใหม่ หากรู้สึกว่าไม่อร่อย จะด่าข้าอย่างไรก็ได้”
เฉินหลิงจวินยกชายแขนเสื้อขึ้นทันที “มารดามันเถอะ ชั่วชีวิตนี้นายท่านใหญ่เฉินเผชิญกับคลื่นลมมรสุมลูกใหญ่มามากมาย อุปสรรคนานัปการเอามาใส่กระบุงหลายใบก็ยังไม่เต็ม ข้าก็แค่ไม่อยากจะพูดมาก มีเพียงเรื่องเงินเท่านั้นที่ข้าไม่เคยต้องเสียท่าให้ใครมาก่อน บอกมาเถอะ เป็นเงินเท่าไร?!”
เด็กชายผมขาวหันหน้ามา แก้มพองโป่ง พูดอู้อี้ฟังไม่ชัด “อย่านะ แค่ติดไว้ก่อนก็ได้แล้ว ใช่ว่าจะไม่ใช้คืนเสียหน่อย ติดเงินคนอย่างไรก็ดีกว่าติดค้างน้ำใจผู้อื่น”
เฉินหลิงจวินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กชายผมขาว หากไม่เป็นเพราะห่านขาวใหญ่เปิดเผยความลับสวรรค์ก็คงมองไม่ออกจริงๆ ว่าอีกฝ่ายคือแม่นางน้อยคนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยไม่ได้ใช้ชื่อนี้ นางใช้ชื่อว่าจือหลัน
แต่เฉินหลิงจวินกลับไม่ชอบใจ โน้มน้าวทั้งขู่ทั้งปลอบอยู่พักใหญ่ นางถึงยอมเปลี่ยนชื่อเป็นคงโหว
‘น้องสาว ฟังพี่ใหญ่เฉินสักคำ เจ้าเป็นสตรี เรื่องของการตั้งชื่อนี้ ทางที่ดีที่สุดอย่าให้มีอักษรฉ่าวอยู่ในชื่อ’ (อักษรฉ่าว草头字 คืออักษรที่มีขีดสามขีดบนชื่อ มีความหมายถึงพวกพืชพรรณต่างๆ ซึ่งชื่อจือหลัน 芝兰 ที่หมายถึงดอกไอริสและดอกกล้วยไม้ก็มีอักษรฉ่าวอยู่ด้วย)
ในอดีตตอนอยู่ตำหนักสุ้ยฉู ชื่อของนางคือเทียนหราน ฉายาเฟิ่งโส่ว
ของที่นางรักถนอมมากที่สุดก็คือคงโหวชิ้นหนึ่ง แกะสลักเป็นรูปมังกรและหงส์ ห้อยพู่สีทอง พันด้วยด้ายสีเขียว
เด็กชายผมขาวที่แก้มป่องพูดอู้อี้ฟังไม่ชัด “เลิกเรียกน้องสาว น้องสาวสักที ไม่น่าฟังเอาเสียเลย รีบเปลี่ยนคำเรียกใหม่เร็วเข้า”
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างลำบากใจ “แต่เจ้าก็ไม่มีไอ้จ้อนนี่นา จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าน้องชาย ข้าก็เรียกไม่ออกจริงๆ”
เด็กชายผมขาวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปไกลๆ เลยไป”
เฉินหลิงจวินจึงได้แต่ไปดื่มเหล้ากับพี่ใหญ่เจี่ยที่ร้านติดกัน
พี่ใหญ่เจี่ยมีหลักการเหตุผลในยุทธภพอยู่เต็มท้อง สามารถพูดให้พวกที่ดีแต่ประจบสอพลอผู้มีอิทธิพลกลายเป็นพวกผักชีโรยหน้าได้
นับแต่โบราณมาคนยุ่งเทพไม่ยุ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องแอบอู้งานให้มากขึ้น ยังบอกอีกว่าตนเองก็เคยเป็นบุรุษผู้หล่อเหลามีเสน่ห์ น่าเสียดายที่ตอนอายุยังน้อยใช้ชีวิตเสเพลไม่เอาถ่าน ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องราวบนโลกมักมีความทุกข์ยากอยู่เสมอ
นี่สง่างามกว่าพวกสตรีและชายโสดขึ้นคานในหมู่บ้านชนบทซุบซิบนินทากันมากนัก?
พี่น้องสองคน คนหนึ่งคล่องแคล่วคนหนึ่งคุ้นเคย เพียงไม่นานก็จัดงานเลี้ยงสุราขึ้นมา นั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงข้ามกัน วันนี้เฉินหลิงจวินเอาสุราดีมาด้วยสองกา เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยสูดซู้ดหนึ่งทีก็ตัวสั่นเยือก สุราดี สุราดี
เฉินหลิงจวินนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาว หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าปล่อยน้ำสั่นเยือกสองที”
เทพเซียนผู้เฒ่ายกนิ้วปาดเช็ดมุมปาก “ต้องสามทีถึงจะถูก”
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กพากันหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า
เจี่ยเฉิงมาจากแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่งของภาคกลาง คือสถานที่ที่มีชื่อว่าป๋อโจว
เขาเล่าว่าที่บ้านเกิด นับแต่โบราณมาก็เป็นบ้านเกิดแห่งสุรา ขนาดนกกระจอกยังดื่มเหล้าได้ถึงสองตำลึง
เป็นเหตุให้ทุกวันนี้แม้แต่เจ้าใบ้น้อยที่อยู่ร้านติดกันยังเริ่มเรียนรู้ที่จะด่าคนแล้ว บอกว่ายังสู้นกกระจอกสักตัวของป๋อโจวไม่ได้ด้วยซ้ำ
เฉินหลิงจวินพลันขมวดคิ้ว วางถ้วยเหล้าลง ใช้เสียงในใจเอ่ย “มีคนตบะไม่ต่ำหลายคนมาที่ตรอกฉีหลง พี่ใหญ่เจี่ยท่านไปที่เรือนหลังก่อน หากแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่ได้มาก่อเรื่อง ท่านค่อยออกมาต้อนรับแขก”
นักพรตเฒ่าตาบอดยิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไร ให้พี่ใหญ่ไปพบพวกเขาเอง…”
เฉินหลิงจวินกล่าว “อย่างน้อยก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิดสามคน”
——