กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 867.2 ในภูเขามีอะไร
นักพรตเฒ่ารีบลุกขึ้นยืนทันใด “ข้าจะพาจิ่วเอ๋อร์และฮวาเซิงไปรอที่เรือนด้านหลังเดี๋ยวนี้ แล้วจะแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้คุมกฎทราบอย่างลับๆ”
เฉินหลิงจวินพยักหน้า สวมรองเท้าแล้วเดินไปที่หน้าประตูร้านเพียงลำพัง ใช้เสียงในใจเตือนสือโหรวว่าให้ระวังตัวหน่อย ดูแลคงโหวกับอาหมานให้ดี ต่อจากนี้ไม่ว่าจะมีความเคลื่อนไหวอะไรก็อย่าโผล่หน้าไปเด็ดขาด
แขกสามคน ชายสองหญิงหนึ่ง ต่างก็เป็นแปลกหน้า
คนหนึ่งคือบุรุษรูปโฉมอ่อนเยาว์ บุคลิกสุภาพสง่างาม อีกคนหนึ่งคือบุรุษที่เรือนกายแกร่งกำยำ มีกลิ่นอายของคนโบราณ สะพายห่อสัมภาระผ้าฝ้ายหนักอึ้งไว้บนไหล่เอียงๆ
และยังมีสตรีเรือนกายสูงโปร่งคนหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นสาวงามอะไร แต่บุคลิกองอาจผึ่งผาย ตรงเอวของนางห้อยดาบยาวด้ามไม้ป๋ายหยางเล่มหนึ่ง
คนทั้งสามเดินลงมาจากยอดบนสุดของบันไดตรอกฉีหลง สตรีใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สถานที่แห่งนี้มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นจริงๆ ปราณมังกรก็หนาแน่น ผิดจากปกติทั่วไป มิน่าเล่าตอนนั้นอาจารย์ถึงได้มาหยุดอยู่ที่นี่”
ในอาณาเขตของหลงโจว นอกจากแม่น้ำเถี่ยฝูที่มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังมีแม่น้ำชงตั้น อวี้เย่และซิ่วฮวาสามสายมาบรรจบกันที่เมืองหงจู๋
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้หยางฮวาเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูได้ย้ายไปรับหน้าที่อยู่ที่ลำน้ำใหญ่แล้ว
คนหนุ่มยิ้มเอ่ย “สหายหลิงจวิน”
เฉินหลิงจวินถามอย่างสงสัย “เจ้าคือ?”
คนหนุ่มยกมือปาดไปบนใบหน้าหนึ่งที ถอนเวทอำพรางตาทิ้งไป เผยให้เห็น ‘โฉมหน้าดั้งเดิม’ อยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้
เฉินหลิงจวินยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็คืออาจารย์ผู้เฒ่าเฉินนี่เอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
รู้จักอีกฝ่าย แต่ไม่ได้คบค้าสมาคมกันสักเท่าใด
ในอดีตอีกฝ่ายเคยทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้งช่วงระยะเวลาหนึ่ง ได้ยินมาว่าเป็นผีขี้เหล้าที่ติดเหล้าสุดชีวิต ภายหลังเขาออกเดินทางไกลไปที่อื่น เนื่องจากชื่อเสียงไม่โด่งดัง ความสามารถในการสอนหนังสือก็ธรรมดา ทางโรงเรียนจึงไม่มีใครสนใจเขา
เพราะตอนเด็กเผยเฉียนเคยไปเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน เฉินหลิงจวินไม่วางใจจึงมักจะแอบไปนั่งยองบนหัวกำแพง เคยเห็นอาจารย์ผู้เฒ่าอยู่สองสามครั้ง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะชื่อว่าเฉินเจินหรง ฟังห่านขาวใหญ่เล่าว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจากต่างถิ่นคนนี้มาจากทักษินาตยทวีป มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับอริยะหร่วนฉง
คนสองคนที่อยู่ข้างกายของอาจารย์ผู้เฒ่าเริ่มแนะนำตัวเอง ชายฉกรรจ์เรียกตัวเองว่าลั่วซานมู่เค่อ ฉายาว่าซงจือ
สตรีคลี่ยิ้มจริงใจ เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าชื่อฉินปู้อี๋ เป็นคนของเมืองถงหลงแห่งแผ่นดินกลาง”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความปวดกบาล มู่เค่ออะไร ถงหลงอะไรกัน จะทำให้นายท่านใหญ่เฉินสับสนอย่างนั้นหรือ? หากนายท่านอยู่ก็ดีน่ะสิ ตนไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไรเลย
ความคิดพลันบังเกิด เฉินหลิงจวินจึงตะโกนเรียก “พี่ใหญ่เจี่ย มีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนที่ร้านแล้ว”
นักพรตเฒ่าตาบอดรีบวิ่งห้อออกมารับรองแขกอย่างกระตือรือร้นทันใด พอดีกับที่มีโต๊ะสุราอยู่ เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยจึงนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเฉินหลิงจวิน
นอกจากลั่วซานมู่เค่อที่พูดไม่เก่ง แต่กลับดื่มเหล้าไม่น้อยแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าเฉินและฉินปู้อี๋ต่างก็เป็นคนเปิดเผย พูดจาตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยใคร่ครวญในใจพลางยิ้มดื่มสุราคารวะไม่หยุด เพียงไม่นานก็มั่นใจได้แล้ว ที่แท้บุรุษเงียบขรึมที่มีฉายาว่าซงจือก็เพิ่งเดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้ คิดจะมาเป็นร้านผ้าห่อบุญที่ภูเขาหนิวเจี่ยวสักครั้ง ส่วนฉินปู้อี๋นั้นได้ยินว่าภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอยู่เยอะ แล้วยังมีปรมาจารย์ที่ได้รับการประเมินด้านวิถีวรยุทธอยู่ด้วย ไม่ได้คิดจะมาเพื่อขอความรู้ประลองฝีมืออะไร นางก็แค่รู้สึกสนใจอย่างมาก อยากรู้ว่าจะขึ้นไปเดินเล่นบนภูเขาได้หรือไม่
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยบอกว่าเรื่องนี้ไม่ยาก แค่ต้องบอกกล่าวกับทางภูเขาลั่วพั่วก่อน แล้วก็ถือโอกาสชมภูเขาของตัวเองไปคำรบใหญ่ บอกว่าอากาศดี แมกไม้พืชพรรณเขียวขจีมองสบายตา ทัศนียภาพงดงามยิ่ง ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อก็มีมากมาย แต่กลับไม่กล้าพูดคำว่าที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าเป็นย้ายหวังขายแตง (มาจากประโยคยายหวังขายแตง ขายเองชมเอง เปรียบเปรยถึงคนคุยโวโอ้อวด)
ฉินปู้อี๋ยิ้มถาม “เถ้าแก่เจี่ย ขอถามหน่อยว่าเจ้าขุนเขาของพวกเจ้าเป็นคนอย่างไรหรือ”
เจี่ยเฉิงจิบเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มตอบ “พูดถึงเจ้าขุนเขาของพวกเราหรือ ถ้าอย่างนั้นผินเต้าคงมิอาจถ่อมตัวได้แล้ว อบอุ่นอ่อนโยนพูดจาไพเราะ ประพฤติตนเที่ยงตรงปรองดองกับผู้อื่น”
อาจารย์ผู้เฒ่าที่ชื่อจริงคือเฉินหรงหลุดหัวเราะพรืด
นี่ถือเป็นคำชมเชยที่สูงจนเกินกว่าจะปีนป่ายได้แล้ว
ฉินปู้อี๋ยิ้มถาม “นักพรตเจี่ยเลื่อมใสอาจารย์หนันเฟิงมากหรือ?”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความมึนงง
เจี่ยเฉิงวางถ้วยเหล้าลง ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ที่ไหนกัน อันที่จริงเจ้าขุนเขาบ้านข้าชอบบทความของอาจารย์ผู้เฒ่าเฉิงอย่างมาก แล้วยังแนะนำให้ข้าอ่านบ่อยๆ ด้วย บอกว่ายิ่งความเรียงปกิณกะของอาจารย์หนันเฟิงก็ยิ่งเขียนร้อยเรียงกันได้อย่างสวยงาม มีเหตุมีผล เปี่ยมไปด้วยความหมาย มองปราดๆ คล้ายไม่โดดเด่น แต่แท้จริงแล้วกลับมีความนัยชวนให้ขบคิด”
ฉินปู้อี๋ยิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าขุนเขาเฉินของพวกเจ้าจะชื่นชอบเฉพาะบทความของอาจารย์หนันเฟิง ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”
เมื่อเทียบกับพวกป๋ายเหย่ ซูจื่อและหลิ่วชีแล้ว ความเรียงปกิณกะของอาจารย์เฉิงก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าจริงๆ
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยรีบยิ้มอธิบายทันใด “ก็ไม่ถือว่า ‘เฉพาะ’ เพียงแค่ว่าเมื่อเทียบกันแล้วชอบมากกว่า ในเรื่องของการศึกษาหาความรู้ แท้จริงแล้วเจ้าขุนเขาบ้านข้าเชิดชูในคำกล่าวที่ว่า ‘แค่เปิดอ่านก็ได้ผลประโยชน์’ มากที่สุด เจ้าขุนเขายังเคยยิ้มเอ่ยกับข้าว่า เพียงแค่เพราะตอนเด็กฐานะทางบ้านยากจน จึงไม่เคยไปเรียนหนังสือในโรงเรียน เป็นเหตุให้บนเส้นทางการฝึกตนในภายหลังมักจะต้องออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลเสมอ ก็เลยได้ใช้หนี้อ่านตำราส่วนนั้นให้ครบถ้วนได้พอดี”
ฉินปู้อี๋กับชายฉกรรจ์เงียบขรึมที่เรียกตัวเองว่าลั่วซานมู่เค่อหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
ถือเป็นงานเลี้ยงสุราที่พูดคุยกันอย่างเบิกบาน เฉินหรงที่มีชาติกำเนิดมาจากสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปพาสหายรักสองคนไปหาโรงเตี๊ยมพักแรมก่อน รอคอยข่าวจากทางภูเขาลั่วพั่ว
ทุกครั้งที่เจอกับคนแปลกหน้า เฉินหลิงจวินมักจะกลัดกลุ้มอยู่เสมอ
โชคดีที่ยังมีพี่ใหญ่เจี่ยที่พึ่งพาได้มากที่สุด นอกโต๊ะสุรา ไม่ว่าเจอใครก็ล้วนไม่หวั่นกลัว
ในอดีตตอนที่เว่ยเซี่ยนผ่านทางมาที่ตรอกฉีหลงพร้อมกับหลูป๋ายเซี่ยง ได้มานั่งอยู่ที่นี่พักหนึ่ง พี่ใหญ่เจี่ยเจอกับเว่ยเซี่ยนกลับขลาดกลัวเสียได้ ภายหลังเผยเฉียนเป็นคนเปิดเผยความลับถึงได้รู้ว่าตัวเองสร้างเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า รู้ว่าคำว่าคอแข็ง ‘ดื่มได้เท่าน้ำในมหาสมุทร’ ของเว่ยเซี่ยนนั้น ที่แท้แล้วเป็นสุราปริมาณเท่าใด
เดินไปส่งตลอดทางจนสุดตรอกฉีหลง ตอนที่ย้อนกลับมาที่ร้าน เฉินหลิงจวินก็กระโดดตบไหล่พี่ใหญ่เจี่ย “คุยกันได้ไม่เลว”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยลูบหนวดยิ้ม “เรื่องอย่างการต้อนรับขับสู้ผู้คนนี้ เอ่ยประโยคที่ไม่ถ่อมตัว ไม่กล้าพูดว่ามีความสามารถครึ่งหนึ่งของเจ้าขุนเขา แต่สองสามส่วนกลับยังพอมีอยู่บ้าง”
ผู้คุมกฎฉางมิ่งที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะเดินลงมาจากขั้นบันไดของตรอกฉีหลงช้าๆ มาหยุดอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มประดับ
สตรีผู้นี้มักจะยิ้มตาหยีอยู่ตลอดทั้งปี แต่ไม่มีใครคิดว่านางเป็นคนพูดง่ายจริงๆ แม้แต่อาหมานร้านข้างๆ ที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เจอกับฉางมิ่งก็ยังสิ้นท่า ยอมเป็นเจ้าใบ้น้อยไปแต่โดยดี
คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของฉางมิ่งวันนี้จะเผยความจริงใจออกมาให้เห็น เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยที่ตกตะลึงเพราะได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝันไม่กล้าหลงระเริง รีบก้มหัวค้อมเอว สองมือโบกเบาๆ ไปทางนอกประตู จากนั้นขยับเท้าเบี่ยงตัวหันข้าง ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา คลี่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ผู้คุมกฎเชิญด้านใน เชิญด้านใน”
ฉางมิ่งเอนตัวพิงประตู ผงกศีรษะให้กับนักพรตเฒ่าตาบอด จากนั้นค่อยเอ่ยกับเฉินหลิงจวินว่า “คนกลุ่มนี้ เกินครึ่งคงมาเพราะเจ้า”
เฉินหลิงจวินเหมือนถูกฟ้าผ่า กระทืบเท้าหนึ่งที สะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง ร้องโอดครวญว่า “ข้าไปก่อเวรก่อกรรมอะไรมา! ไม่จริงนะ นายท่านใหญ่ไปขัดหูขัดตาใครเข้ากันเล่า ทุกวันข้าหมั่นทำความดีกับผู้อื่น แม้แต่มดข้างทางก็ยังไม่กล้าเหยียบ”
อาหมานที่นั่งอยู่หน้าประตูร้านติดกันลุกขึ้นยืน เดินมาตรงนี้ สองแขนกอดอก ถามว่า “ต้องการให้ข้าบอกเผยเฉียนสักคำหรือไม่”
เฉินหลิงจวินกลอกตาเร็วรี่ ไปหาเผยเฉียน ได้ผลก็ได้ผลอยู่หรอก แต่ปัญหาคือเผยเฉียนเป็นคนชอบจดจำความแค้นที่สุดแล้ว
เป็นคนไม่ควรใจแคบเกินไปไม่ใช่หรือ?
ฉางมิ่งแทะเมล็ดแตง ยิ้มเอ่ย “มาหาเจ้าก็ไม่อาจเป็นเรื่องดีที่มาเยือนถึงบ้านหรอกหรือ?”
เฉินหลิงจวินกระแอมหนึ่งที โบกมือให้อาหมาน “ไปๆๆ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”
อาหมานกระตุกมุมปาก หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที
เฉินหลิงจวินเอ่ยเสริมตามไปประโยคหนึ่งว่า “น้ำใจนี้รับไว้แล้ว คราวหน้าตอนที่ไปซื้อหนังสือที่ร้านของพี่น้องหลี่จิ่นข้า แค่บอกชื่อของข้าไปก็พอแล้ว”
บอกชื่อเขา แน่นอนว่าไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไร เพราะถึงอย่างไรต่อให้บอกชื่อนายท่านบ้านตนไปก็ไม่ได้ส่วนลดเหมือนกัน
แต่เขาสามารถแอบไปที่เมืองหงจู๋ก่อนรอบหนึ่งแล้วเอาเงินค่าหนังสือไปจ่ายให้ที่ร้านก่อนได้
ถือเป็นการเบิกจ่ายล่วงหน้าให้กับที่ร้าน จากนั้นตอนที่เจ้าใบ้น้อยหิ้วถุงป่านไปซื้อหนังสือค่อยให้หลี่จิ่นแสร้งทำเป็นว่าลดราคาให้
เรื่องเล็กๆ แบบนี้ นายท่านเทพวารีแม่น้ำชงตั้นอย่างเจ้าคงไม่รู้สึกลำบากใจกระมัง?
หากแม้แต่หน้าตาน้อยนิดแค่นี้ยังไม่ยอมมอบให้กัน ยังจะอยู่ในยุทธภพต่อไปได้อย่างไร? หา? ต้องให้นายท่านใหญ่เฉินสอนเจ้าหรือไม่?
……
เมืองหลวงต้าหลี ตรอกถงถัว
อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าเก่าซีดนั่งยองอยู่ในตรอกสายหนึ่ง เพิ่งจะเล่นหมากรุกกับคนจบไปหนึ่งตา
อีกฝ่ายนั้นเล่นหมากรุกก็เพื่อหาเงิน ส่วนอาจารย์ผู้เฒ่าก็เหมือนคนที่ทำตัวเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภแจกเงินโปรยเงิน
หมากล้อมหนึ่งกระดานใช้เวลามากเกินไป ดังนั้นในตรอกแห่งนี้จึงเล่นแต่หมากรุกแทบทั้งหมด บางคนก็อาศัยความสามารถที่แท้จริงมาเล่นหมากรุกเพื่อชนะเอาเงินมา แต่คนที่มากกว่านั้นกลับใช้เคล็ดลับเก่าแก่ทำท่าว่าจะแพ้ในช่วงท้ายของกระดานมาหลอกเอาเงินคนอื่น
อาจารย์ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน นวดข้อมือ กระโดดสองที พึมพำว่าต่อจากนี้ข้าจะเอาจริงแล้วนะ
โมโหนัก ไม่เพียงแต่แพ้เงิน ยังถูกตาเฒ่าทั้งหลายที่ล้อมวงดูอยู่ด้านข้างซึ่งชอบเจ้ากี้เจ้าการบอกให้วางตรงนั้นวางตรงนี้ด่าว่าฝีมือการเล่นห่วยแตกเสียอีก
คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วชนะได้เงินไปไม่น้อยคือชายหนุ่มที่ยิ้มตาหยีท่าทางเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง ร่างเตี้ยม่อต้อ ใบหน้าก็เหมือนเตียงเบี้ยวพุทราแตก เวลานี้บุรุษแค่กังวลว่าเงินในกระเป๋าของอาจารย์ผู้เฒ่ายากจนจะมีไม่มากพอ
อาจารย์ผู้เฒ่านั่งยองกลับลงไปอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ผลคือหลังจากผ่านไปอีกหนึ่งตาก็ต้องควักเงินใช้หนี้อีกครั้ง
นิสัยในการเล่นหมากรุกของอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ช่าง…ยากจะบรรยายได้ด้วยคำเดียว ความสามารถในการล้มกระดานสูงกว่าฝีมือการเล่นหมากเสียอีก
แทบจะทุกครั้งที่เดินไปได้สามก้าวห้าก้าวจะต้องโหวกเหวกว่าขอข้าเดินใหม่ เอ๊ะ? ทำไมถึงวางหมากผิดตำแหน่งเสียล่ะ อายุมากแล้ว สายตาก็ไม่ค่อยดีแบบนี้แหละ
ภายหลังชายหนุ่มถึงกับชินเสียแล้ว ขอแค่อาจารย์ผู้เฒ่าเงยหน้าก็รู้แล้วว่ามีเรื่องจะปรึกษา ถึงอย่างไรก็ง่ายมาก วางหมากไปแล้วห้ามเปลี่ยนใจ ไม่มีอะไรให้ต้องปรึกษากันอีก
โชคดีที่ยามจ่ายเงินกลับรวดเร็วฉับไว เต็มใจเดิมพันก็ยินดียอมรับความพ่ายแพ้ ฝีมือในการเล่นหมากนั้นแย่ นิสัยยามเล่นก็ไม่ดี แต่นิสัยในการเดิมพันกลับนับว่าพอใช้ได้
ดูเหมือนผู้เฒ่าจะยังไม่ยอมแพ้ “หากลูกศิษย์ของข้าอยู่ด้วย รับรองว่าไม่มีทางแพ้แน่”
ชายหนุ่มยิ้มเอ่ย “อาจารย์ผู้เฒ่าเชิญเรียกลูกศิษย์มาได้เลย ของรางวัลในการเดิมพันก็สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก”
อาจารย์ผู้เฒ่าลูบหนวดถอนหายใจ “ก็เพราะว่าเรียกมาไม่ได้น่ะสิ”
คนหนุ่มเอ่ยสัพยอก “อาจารย์ผู้เฒ่าคืออาจารย์สอนหนังสือที่มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้าหรือ?”
ดูท่าทางแล้วยากจนอย่างมาก ในถุงเงินฟีบแบนที่ทำจากผ้าฝ้ายเก่าซีด ตอนนี้ก็ยิ่งยุบแบนลงมากกว่าเดิม หากควักเหรียญทองแดงออกมาหมดก็ต้องไม่มีทางใส่เศษเงินก้อนได้สักกี่เหรียญแน่นอน
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ลูกศิษย์มีไม่มาก แต่ทุกคนล้วนประสบความสำเร็จ เป็นครามที่เกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม”
คนหนุ่มยิ้มถาม “หรือว่าในบรรดาลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ผู้เฒ่ามีนายท่านที่เป็นจิ้นซื่อ จวี่เหรินอยู่ด้วย?”
ช่างเป็นคำถามที่ชวนให้คนลำบากใจเสียจริง
ซิ่วไฉเฒ่าบื้อใบ้ตอบไม่ถูกไปชั่วขณะ
คนสองรุ่นอย่างอาจารย์และศิษย์ มีเพียงเรื่องการสอบเคอจวี่เท่านั้นที่เป็นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
ดูเหมือนว่านอกจากตนที่สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉมาแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีหลังจากนั้นอีก
โชคดีที่ในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์มีเฉาฉิงหล่าง ช่างเป็นต้นกล้าที่ดี โชคดีนัก โชคดีนัก
เห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าส่ายหน้า
ประกายร้อนแรงและความหวังน้อยนิดในดวงตาของบุรุษก็ดับวูบหายไปทันที
เดิมทีคิดว่าตัวเองได้มาเจอกับผู้เฒ่าแห่งวงการขุนนางต้าหลีท่านหนึ่งที่เป็นดั่งนกกระเรียนโบยบินอย่างอิสระเสรีเสียอีก
บุรุษที่ชนะในการเล่นหมากรุกชนะมาได้อย่างผ่อนคลายมากจริงๆ เป็นเหตุให้ยามที่อาจารย์ผู้เฒ่าคิดจะเปลี่ยนใจหรือลังเลเวลาจะวางเม็ดหมาก คนหนุ่มจะเอนหลังพิงผนัง หยิบตำราเล่มหนึ่งที่จัดพิมพ์อย่างประณีติออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก เปิดหนังสือสองสามหน้าอ่านฆ่าเวลา แต่แท้จริงแล้วเนื้อหาในตำราเล่มนี้ถูกเขาท่องจำจนขึ้นใจมานานแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มถาม “น้องชายคือบัณฑิตที่เข้าเมืองหลวงมาสอบหรือ?”
บุรุษส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ใช่ มาเมื่อหลวงเพื่อร่วมการสอบชิวเหวย (การสอบระดับมณฑล) ภูมิลำเนาของข้าอยู่ที่หวาโจว ภายหลังติดตามพวกบรรพบุรุษย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง พอจะถือว่าเป็นคนในพื้นที่ของเมืองหลวงได้ครึ่งตัว เดิมทีระยะทางน้อยนิดแค่นี้ ค่าเดินทางยังมีพอ เพียงแต่ว่าดันคันไม้คันมือซื้อตำราฉบับสมบูรณ์มาสองเล่ม ก็เลยได้แต่มาตั้งกระดานเล่นหมากรุกอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นอยู่ในเมืองหลวงที่ไร้ญาติขาดมิตรแห่งนี้ ให้ตายอย่างไรก็คงไม่มีทางสอบมาถึงขั้นระดับมณฑลได้”