กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 868.1 กระบี่สังหารบินทะยานขั้นสูงสุด
หนึ่งกระบี่ปล่อยออกไป ภาพมายาของจิตมารทั้งหลายที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าล้วนสลายหายไปสิ้น
หยวนซงขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดที่รับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาทัวเยว่ไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวคนหนึ่ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอีกฝ่ายยังถึงขั้นคัดลอกวิชาอภินิหารส่วนหนึ่งของเทพชั้นสูงสององค์อย่าง ‘นักจินตนาการ’ และ ‘ผู้ส่งเสียงสะท้อน’ เอาไว้อีกด้วย
เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองที่เมื่อจิตบุ๋นสีทองดวงหนึ่งแตกสลาย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเสียใจ คล้ายกับรู้สึกเสียใจภายหลังที่ปีนั้นมอบจิตบุ๋นดวงนั้นให้ไป
ภิกษุชุดขาวเบี่ยงตัวหันข้าง เอนกายไปด้านหลังเล็กน้อย ขยับลูกประคำที่ถืออยู่ในมือ ใช้หางตามองประเมินอิ่นกวานหนุ่ม รอยยิ้มบนใบหน้ามีเลศนัยคล้ายกำลังพูดว่าขุนเขาสูงสายน้ำไหลยาว วันหน้าค่อยพบกันใหม่
สตรีชุดเขียวที่มัดผมหางม้าไม่หลบไม่เลี่ยง ปล่อยให้แสงกระบี่เส้นนั้นฟันผ่านไป
ภูเขาทัวเยว่ถูกผ่ากลางแตกออกเป็นสองส่วน ปรากฏเป็นร่องลึกมหึมาที่มิอาจประสานกลับดังเดิมได้ เนิ่นนานก็ยังไม่คืนสู่สภาพเดิม
ขณะเดียวกันกายธรรมของหยวนซงปีศาจใหญ่ก็ถูกกระบี่ฟันแยกออก บนซีกหน้าสองส่วนที่อยู่ห่างกันไกลมากเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเป็นครั้งแรก
เห็นได้ชัดว่ากระบี่นี้ของเฉินผิงอันมีการแบ่งสูงต่ำที่แตกต่างราวฟ้ากับดินจากกระบี่สามพันกว่าครั้งก่อนหน้านี้ ไม่ถูกพันธนาการอยู่ที่ระดับชั้นของเวทกระบี่อีกต่อไป แต่เป็นว่ามีปณิธานกระบี่เปี่ยมล้น ถึงขั้นที่ว่ายังสร้างเค้าโครงของวิถีกระบี่บางเส้นขึ้นมาด้วยตัวเอง
เป็นเหตุให้วิถีแสงกระบี่ที่เนิ่นนานก็ยังไม่จางหายเส้นนั้นไปขัดขวางวงปีแห่งกาลเวลาที่หยวนซงใช้ผสานมรรคากับภูเขาทัวเยว่ให้หยุดชะงักไปกลางคัน
สองฝั่งของ ‘เส้นทาง’ เปิดภูเขาสายน้ำ ปราณวิญญาณฟ้าดินของขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ หรือแม้กระทั่งชะตาฟ้าและชะตาขุนเขาสายน้ำต่างก็ถูกชักดึงมายังที่แห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง ประดุจน้ำขึ้นที่โถมซัดสาดสองระลอกซึ่งพุ่งเข้ามาเติมเต็มช่องโหว่บนมหามรรคาที่เกิดจากร่องลึกเส้นนั้น
ราวกับว่าหนึ่งกระบี่ได้สร้างดินแดนแห่งจักรวาลเวิ้งว้างนอกฟ้าขึ้นมา มหามรรคาโคจร ขอบเขตแบ่งแยกชัดเจน
เมื่อเทียบกับสภาพการณ์ของหยวนซงแล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินสามตนที่อยู่ในภูเขาต่างหากที่ต้องบอกว่ามีสภาพอเนจอนาถจนแทบทนมองไม่ได้
ตะขาบปีศาจใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ขดร่างล้อมรอบปลายยอดเขาไว้หลายรอบ มีจุดจบที่น่าสังเวชที่สุด หลบไม่พ้น ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินที่เดิมทีพลังชีวิตก็ถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัสอยู่แล้ว เวลานี้ร่างกายถูกฟันขาดไปพร้อมกับภูเขาทัวเยว่ด้วย ทารกก่อกำเนิดพยายามจะหอบหุ้มเอาโอสถทองหนีไป แต่กระนั้นก็ยังถูกแสงกระบี่ที่บดฟ้าบังดินขยี้จนเละ กลายเป็นซากศพที่กระจุยกระจายหลายส่วน กลิ้งหลุนๆ ลงไปที่ตีนเขา กายดับมรรคาสลายนับแต่นี้
เซียนเหรินที่เหลืออีกสองคน คนที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งเจ็ดสี เนื้อหนังของเรือนกายมนุษย์เหี่ยวแห้งโรยรา ส่ายโงนเงนจะหล่นมิหล่นแหล่อยู่ท่ามกลางปราณกระบี่ที่ท่วมทะลัก ประกายแสงของเบาะรองนั่งก็มืดดับจางหาย เรือนกายของเซียนเหรินพลิ้วส่ายไปตามสายลม
บุรุษวัยกลางคนที่รูปโฉมเปลี่ยนจากคนที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มีกลิ่นอายของความโบราณแผ่อวล กลายมาเป็นผู้เฒ่าร่างผอมแห้งหนังหุ้มกระดูกคนหนึ่ง
ส่วนผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอีกตนที่มีรูปโฉมเป็นสตรี เสื้อเกราะลายตะปูทองแดงดิ้นทองบนร่างของนางแตกสลายไปพร้อมกับตะเกียงเซียนเหรินถือดวงนั้น ดวงหน้าที่เดิมทีงามประณีติเกิดรอยปริร้าวนับไม่ถ้วน คล้ายผืนนาที่แตกระแหงขาดน้ำมานานหลายปี ชุนเขาสายน้ำในฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของนางก็มีสภาพน่าสังเวชพอๆ กัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตะเกียงแห้งขอดที่ไร้น้ำมันได้แล้ว
หากจับคู่เข่นฆ่ากับอิ่นกวานแล้วนางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ช่างเถิด ทว่าหายนะที่เกิดขึ้นวันนี้กลับเหมือนว่าอิ่นกวานหนุ่มกับหยวนซงร่วมมือกันมาสังหารห้าขอบเขตบนอย่างพวกเขาชัดๆ จะให้นางยอมรับได้อย่างไร นี่จึงเป็นเหตุให้ในใจของผู้ฝึกตนหญิงเผ่าปีศาจที่ได้ปกครองดินแดนหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นี้เกิดความเคียดแค้นชิงชัง แค้นที่อิ่นกวานออกกระบี่อย่างอำมหิต ยิ่งแค้นในวิธีการชั่วร้ายของลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาทัวเยว่ อีกฝ่ายถึงกับจงใจกักขังพวกเขาไว้ที่นี่
ต่อให้ในศาลบรรพจารย์บ้านตัวเองจะมีตะเกียงต่อดวงชะตาซึ่งสามารถช่วยให้นางสร้างเรือนกายขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง เหมือนการยืมศพคืนวิญญาณ แต่ถึงอย่างไรจิตวิญญาณของนางก็เสียหายไปแล้วส่วนหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ตะเกียงต่อชะตาสามารถจุดได้ ทว่าโอสถทองและก่อกำเนิดที่สำคัญอย่างถึงที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนกลับเอากลับไปด้วยไม่ได้ เป็นเหตุให้การอาศัยตะเกียงต่อชะตามาฝึกตนใหม่อีกครั้งถูกบนภูเขามองเป็นการสละศพชั้นต่ำที่เลวร้ายที่สุดมาโดยตลอด แทบจะขอบเขตถดถอยร่วงลงไปต่ำกว่าเซียนดินอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างที่หากสูญเสียร่างจริงของเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งทนทานมาตั้งแต่กำเนิดไปเมื่อไหร่ ความเสียหายบนมหามรรคาจะมากมหาศาลกว่าผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลมากนัก
เซียนเหรินหญิงที่มีฉายาว่าฝานลู่ผู้นี้ เวลานี้เหมือนต้นหญ้าต้นหนึ่ง เรือนกายโยกคลอนไปตามสายลมไม่หยุด ถูกพายุลมกรดของปราณกระบี่ขุมนั้นพัดพาจนจิตวิญญาณเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ใบหน้าและเรือนกายส่งเสียงแตกร้าวเหมือนปะทัดที่ส่งเสียงดังแผ่วๆ ระลอกหนึ่ง นางยกมือปาดไปบนใบหน้า ล้วนมีแต่เถ้าธุลีที่เกิดจากมหามรรคาที่ดับสูญไป ในใจนางเกิดความสิ้นหวัง กัดฟันกรอด จ้องเขม็งไปยังลูกศิษย์คนแรกของภูเขาทัวเยว่ที่อยู่นอกภูเขา “หายนะที่เกิดขึ้นในวันนี้เดือดร้อนให้ห้าขอบเขตบนสิบกว่าคนต้องมาตายอยู่ที่นี่ ล้วนเป็นเจ้าที่มอบให้! หยวนซง หยวนซงตัวดี ช่างตั้งชื่อได้ดีจริงๆ เจ้ามันเป็นตัวการร้ายของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง!”
หยวนซงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เพียงแค่มองไกลๆ ไปยังทิศทางของลำคลองเย่ลั่วเท่านั้น
สตรีผู้นั้นเหมือนสติวิปลาสไปแล้ว นางพลันหัวเราะดังลั่น ยกแขนข้างที่สลายกลายเป็นฝุ่นผงปลิวกระจายอย่างต่อเนื่องขึ้นมา ตบลงไปบนหน้าผากของตัวเอง “มา อิ่นกวาน ข้าจะมอบคุณความชอบในการสู้รบให้เจ้าอีกเรื่องก็แล้วกัน! ขอแค่เจ้าสังหารหยวนซง ทำลายภูเขาทัวเยว่ให้ย่อยยับให้ได้! ได้ตายด้วยน้ำมือของอิ่นกวานคนสุดท้ายแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ไม่ถือว่าขาดทุนสักเท่าไร…”
สายฟ้าสีทองเส้นหนึ่งพุ่งปลาบลงมาจากบ่อสายฟ้าอย่างว่องไว ทำลายเรือนกายของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตเซียนเหรินคนนั้นให้แหลกสลายอย่างสิ้นเชิง
ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวลุกขึ้นยืนจากเบาะรองนั่ง กวาดตามองไปรอบด้าน ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าต้องมาตายเช่นนี้ รู้สึกอัดอั้นเล็กน้อยนะ”
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่ไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ กลับต้องมาตายอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตายใต้คมกระบี่ของอิ่นกวาน แพร่ออกไปก็คือเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า
หยวนซงถอนสายตากลับมา มองไปยังจุดหนึ่งที่อยู่นอกตราผนึกของฟ้าดินทั้งสองแห่ง
พวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ทยอยกันตายอยู่ในภูเขา อยากหนียังแทบไม่ทัน คิดไม่ถึงว่าจะยังมีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นฝ่ายบุกเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่ด้วยตัวเอง
คือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเผ่าปีศาจขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง เขาพุ่งมาถึงอย่างรีบร้อน ก่อนจะขี่กระบี่หยุดลอยตัว บังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา กระบี่บินแยกตัวออกเป็นกระบี่ยาวอีกนับพันเล่ม พยายามที่จะเจาะตราผนึกภูเขาสายน้ำชั้นนั้นให้กลายเป็นประตูบานหนึ่ง
น่าเสียดายที่เมื่อมาอยู่ในสนามรบแห่งนี้กลับยังคงเป็นเหมือนลำธารเส้นเล็กที่กระแสน้ำไหลมีจำกัดเส้นหนึ่ง เมื่อกระแทกชนลงไปบนมหาบรรพตสูงตระหง่านเชื่อมแผ่นฟ้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเหนื่อยเปล่า
ผู้ฝึกตนยังคงไม่อาจทำลายตราผนึกหนาชั้น ในและนอกของภูเขาทัวเยว่และของนกในกรงได้ เขาที่อยู่ข้างนอกจึงร้องคำรามเกรี้ยวกราด
หยวนซงมองมายังเฉินผิงอัน “มีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งต้องการเอาชีวิตแลกด้วยชีวิต ว่าอย่างไร? หากเจ้าตอบตกลง ข้าจะปล่อยเขาเข้ามา”
เฉินผิงอันกระตุกยิ้มมุมปาก
ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ จะมาแลกกับขอบเขตเซียนเหริน? เพ้อฝันเกินไปหน่อยหรือไม่ ใต้หล้ามีการค้าแบบนี้ด้วยหรือ?
ลู่เฉินสะท้อนใจยิ่งนัก ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราเป็นคนที่ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปีจริงๆ
หยวนซงยิ้มเอ่ย “ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นมีชื่อว่าฮุ่ยถิง มาจากสำนักกระบี่หงเย่”
กระทั่งบัดนี้กายธรรมของหยวนซงถึงได้กลับมาประสานกันดังเดิม และภูเขาทัวเยว่ก็กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมอีกครั้ง
คิดไม่ถึงว่าวิถีของปณิธานกระบี่เส้นนั้นจะมองเมินการไหลทวนของแม่น้ำแห่งกาลเวลา ยังคงลอดทะลวงภูเขาทัวเยว่ จริงเท็จแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน ปล่อยประกายแสงเจ็ดสีที่ทำให้คนมองตาพร่า ท่วงทำนองอันเจิดจ้าพร่าตาที่เกิดแรงปะทะกันระหว่างแม่น้ำแห่งกาลเวลากับเสาหินกลางกระแสน้ำก่อให้เกิดเป็นเศษแก้วใสแห่งกาลเวลาที่มารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง ใหญ่เล็กไม่แน่นอน สาดกระเซ็นไปทั่วสี่ทิศในบริเวณใกล้เคียงกับเส้นทางกระบี่และภูเขาทัวเยว่ แต่ละชิ้นเหมือนดาวตกพุ่งทะยาน ส่วนที่เล็กเล็กเท่าเล็บมือ ส่วนที่ใหญ่ก็ใหญ่เท่าเงินเหรียญทองแดง กระจัดกระจายไปทั่วทิศทางของฟ้าดิน พุ่งลิ่วออกไปนอกอาณาเขตของค่ายกลใหญ่พันลี้ของภูเขาทัวเยว่ แล้วไปกระแทกชนลงบนผนังที่มองไม่เห็นของฟ้าดินเล็กนกในกรง สุดท้ายระเบิดแตกโพละ จำต้องหวนกลับคืนไปสู่แม่น้ำแห่งกาลเวลาอีกครั้ง
มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของพลังสังหารจากกระบี่เมื่อครู่ของเฉินผิงอัน
ขณะเดียวกันก็หมายความว่ากระบี่นี้ได้ทิ้งระเบียงยาวปราณกระบี่ที่มิอาจซ่อมแซมได้ไว้ในฟ้าดินเรือนกายของหยวนซงแล้ว
ก็เหมือนกับว่าเฉินผิงอันได้เงื้อกระบี่ฟันให้เกิดแม่น้ำปราณกระบี่ที่คล้ายคลึงกับลำคลองเย่ลั่วเอาไว้เส้นหนึ่ง
หยวนซงเอ่ยต่ออีกครั้ง “เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อฮุ่ยถิงนี้มาก่อน เขาเองก็เคยเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าขอบเขตถดถอยลงสองครั้งในสนามรบ ครั้งล่าสุดคือเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘จือเฟิ่น’ ปริแตก เพราะรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ตลอดจึงพลาดสงครามใหญ่คราวก่อนไป”
หยวนซงไม่ได้กังวลว่าเฉินผิงอันจะผิดคำพูด หากคิดจะใช้กลโกง เมื่อครู่แค่เปิดประตูออกโดยตรงก็ได้แล้ว
ฟังว่าเป็นสำนักกระบี่หงเย่และฮุ่ยถิง
เฉินผิงอันที่หรี่ตาลงก็พยักหน้ารับ
รู้จักสิ ทำไมจะไม่รู้จักผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่ชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้เล่า
ในคฤหาสน์หลบร้อนมีบันทึกเกี่ยวกับเขาอย่างละเอียด ไม่เพียงแต่เพราะผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจตนนี้ชอบวิ่งมาร่วมวงความครึกครื้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มาเก็บสะสมคุณความชอบทางการสู้รบจนเป็นเหตุให้ขอบเขตถดถอยสองครั้งเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองกระบี่บิน ‘จือเฟิ่น’ ผู้นี้ ยามที่อยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังชอบลอบโจมตีผู้ฝึกกระบี่หญิงโดยเฉพาะ เพื่ออาศัยสิ่งนี้มาหลอมกระบี่ บำรุงวิชาอภินิหารของกระบี่บินบางอย่าง
เซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บเคยถูกเขาลอบฆ่า
นางชื่อว่าซ่งไฉ่อวิ๋น
ก็คือสตรีที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสองคนอย่างจ้าวเก้ออี๋และเฉิงเฉวียนคิดถึงคำนึงหาไปชั่วชีวิต
อันที่จริงตอนนั้นซ่งไฉ่อวิ๋นสามารถถอยออกจากสนามรบได้ แต่เป็นเพราะระหว่างทางนางเจอกับผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่ตกอยู่ในวงล้อมอันตราย เพื่อช่วยพวกเขา นางถึงได้ถูกฮุ่ยถิงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเผ่าปีศาจที่รอจังหวะฉวยโอกาสโจมตีหาโอกาสได้เจอ เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘จือเฟิ่น’ ออกมาสังหารนางด้วยกระบี่เดียว
ตอนนั้นในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายที่ถูกนางช่วยเอาไว้ก็มีเด็กหนุ่มที่เคยสดใสมีชีวิตชีวา นิสัยเป็นมิตรเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ชื่อว่าอินเฉินรวมอยู่ด้วย
ดีมาก ในเมื่ออีกฝ่ายพาตัวมาส่งถึงที่ การค้าครั้งนี้ เขาจะทำ
เฉินผิงอันเปิดทางเส้นหนึ่งในฟ้าดินนกในกรงก่อน จากนั้นหยวนซงก็เปิดค่ายกลใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ ให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนนั้นได้เข้ามาในสนามรบ
เซียนเหรินที่เดิมทีอยู่นิ่งเฉยรอความตาย เมื่อมองเห็นแสงกระบี่ที่คุ้นเคยเส้นนั้นก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “ฮุ่ยถิง เจ้าโง่หรือไร?”
ต้องเอาหัวหนึ่งมาส่งให้กับอิ่นกวานหนุ่มเปล่าๆ แน่นอน
ส่วนปราณวิญญาณน้อยนิดและปราณกระบี่หลายเส้นหลังจากตายไปของสหายเฒ่า แน่นอนว่าต้องถูกหยวนซงเก็บเอาไว้
แม้จะบอกว่าฮุ่ยถิงติดค้างชีวิตหนึ่งกับเขา หรือจะพูดให้ถูกคือครึ่งชีวิต ในอดีตเคยช่วยฮุ่ยถิงไว้ครั้งหนึ่ง ภายหลังก็เคยช่วยเหลือครั้งใหญ่ไปอีกครั้ง แต่เรื่องของการแลกชีวิตจะคิดเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่มาจากสำนักกระบี่แห่งหนึ่งของเปลี่ยวร้างกลับไม่สนใจสหายรัก เพียงแค่ขี่กระบี่ไปหยุดลอยอยู่ที่ริมอาณาเขตของฟ้าดินเล็ก แหงนหน้ามองกายธรรมหมื่นจั้งที่สวมกวานดอกบัว ยิ้มถามว่า “เจ้าก็คือคนที่มารับตำแหน่งต่อจากเซียวสวิ้น เฉินผิงอันอิ่นกวานคนใหม่หรือ?”
ชื่อของเฉินผิงอันที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนผู้นี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผู้ฝึกกระบี่เฒ่าได้ยินได้ฟังมาจนหูชาแล้วจริงๆ
ที่สำนักกระบี่หงเย่ก็มีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนหนึ่งที่เป็นความหวังของสำนักได้เลื่อนขั้นสู่ร้อยเซียนกระบี่ภูเขาทัวเยว่ ลำดับขั้นไม่สูง แต่โชคดีได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าไพศาล เพียงแต่ว่าได้รับบาดเจ็บตอนอยู่ใบถงทวีป จึงหวนคืนกลับมายังบ้านเกิดนานแล้ว รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในสำนักนานหลายปี ทุกครั้งที่พูดถึงอิ่นกวานอายุน้อยๆ ผู้นั้นจะเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมเลื่อมใส การที่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยได้มีโอกาสถามกระบี่กันอย่างจริงจังสักครั้งก็ถูกเขามองเป็นหนึ่งในความเสียดายใหญ่หลวงจากการเดินทางไกลครั้งนั้น
ภูเขาของตนเป็นเช่นนี้ สหายนอกภูเขาที่มาเยี่ยมเยือนก็พอๆ กัน น่ารำคาญยิ่งนัก
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเรือนกายของผู้ฝึกกระบี่ที่เล็กเท่าเมล็ดงา
ฮุ่ยถิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเข้มข้นของอิ่นกวานหนุ่มก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ชีวตินี้ของข้าพอจะมีค่าบ้างใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างเฉยเมย “ไม่มีค่า เจ้าก็แค่สมควรตาย”
หยวนซงหัวเราะ
หากจำไม่ผิด นี่เป็นประโยคที่สองที่เฉินผิงอันเปิดปากพูดอย่างเป็นทางการหลังจากปรากฏตัวที่ภูเขาทัวเยว่? อีกทั้งยังมีตัวอักษรเพิ่มมากกว่าสองคำว่า ‘ตกลง’ ที่เอ่ยอย่างเรียบง่ายเสียด้วย
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เคารพผู้แข็งแกร่ง สงสารผู้อ่อนแอ หยวนซงผู้นี้ อันที่จริงน่าสนใจมาก น่าเสียดายที่พวกเจ้าเป็นศัตรูที่อยู่กันคนละฝ่าย ไม่อย่างนั้นการพบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพครั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจได้นั่งดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกันก็เป็นได้”
แน่นอนว่าคำว่าเคารพของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ค่อนข้างจะต่างไปจากที่อื่น
ส่วนคำว่าสงสาร เมื่อเทียบกันแล้วกลับเข้าใจได้ง่ายกว่า คือพูดถึงตอนที่หยวนซงบอกให้เฉินผิงอันปล่อยพวกผู้ฝึกตนของสำนักในบริเวณใกล้เคียงซึ่งเป็นดั่งมดตัวเล็กพวกนั้นไป
แสงกระบี่เฉียบคมเส้นหนึ่งฟันแสกหน้า กรีดผ่าตั้งแต่ศีรษะของผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจลงมาเป็นแนวตั้ง
แสงกระบี่ผุดขึ้นอีกครั้ง ฟันขวางผ่าเอว
กายธรรมโบกชายแขนเสื้อ บ่อสายฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันหดย่อส่วนไปปรากฏอยู่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่เฒ่า เลือกที่จะใช้เวทห้าอสนีบดขยี้หลอมสังหารจิตวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ
ประเด็นสำคัญคือในบ่อสายฟ้าแห่งนั้นยังมีตัวอักษรสีทองเปล่งประกายสองตัวถูกบีบให้ลอยออกมา ก็คือชื่อจริงเผ่าปีศาจของฮุ่ยถิง แสงสว่างที่ถูกชื่อจริงชักนำมาส่ายไหวไม่หยุดประดุจแสงเทียนกลางแรงลม
บังคับดึงเอาชื่อจริงเผ่าปีศาจออกมาทั้งอย่างนี้?!
ลู่เฉินพลันรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันใด ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่โหดร้ายจนแทบทนมองไม่ได้เช่นนี้มาก่อน มีให้เห็นถมเถไป
เพียงแต่ว่าคนที่ออกกระบี่คือเฉินผิงอัน จึงทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
บนเส้นทางการฝึกตนของเจ้าเด็กนี่ ปล่อยกระบี่ก็ดี ออกหมัดก็ช่าง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ชอบอืดอาดชักช้า ฆ่าก็คือฆ่า ไม่เคยจงใจทารุณกรรมใครเช่นนี้มาก่อน