กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 868.4 กระบี่สังหารบินทะยานขั้นสูงสุด
หยวนซงไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันได้หยุดหายใจ นอกจากจะถือกระบี่ขยับเข้ามาเข่นฆ่าประชิดตัวแล้วก็ยังร่ายเวทกระบี่บรรพกาลไม่ต่ำกว่าสามสิบชนิดแล้ว
ส่วนเฉินผิงอันกลับได้แต่ส่งกระบี่ออกไปสิบเก้าครั้งเท่านั้น
ทว่าความเร็วในการปล่อยกระบี่ของเฉินผิงอันกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากระบี่หลังได้ถูกกระบี่ก่อนหน้านี้ชักนำไป ประหนึ่งลมปราณแท้จริงเฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ทอดยาวไม่ขาดสาย
กระทั่งปล่อยกระบี่ออกไปยี่สิบครั้งจึงกลายมาเป็นคราวของเฉินผิงอันที่ยึดครองความได้เปรียบ การเดินขึ้นเขาครั้งนี้ เรือนกายเพิ่งจะพลิ้วลงที่หน้าประตูภูเขาทัวเยว่ เฉินผิงอันก็ปล่อยกระบี่ออกไปไม่หยุดตลอดทาง ยิ่งนานยิ่งเร็วจนกระทั่งหลายกระบี่ทับซ้อนเป็นหนึ่งกระบี่ แสงกระบี่รวมกันเป็นเส้นเดียว เป็นเหตุให้หยวนซงได้แต่ตั้งรับมิอาจตอบโต้คืนได้ชั่วขณะ
หลังสามสิบหกกระบี่ผ่านไป เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยกระบี่ต่อ กลับกลายเป็นถอยร่นออกจากภูเขาทัวเยว่ในชั่วพริบตา เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายที่ถือกระบี่
หยวนซงลุกขึ้นยืนท่ามกลางแอ่งเลือด รวบรวมเนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณมาปะติดปะต่อกัน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เฉินผิงอันถึงเปลี่ยนมาถือเย่โหยวไว้นานแล้ว
มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัด ห้านิ้วงอลงสัมผัสฝ่ามือ จากนั้นจึงใช้เส้นลายมือเป็นยันต์ขุนเขาสายน้ำ ขณะเดียวกันก็โคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ เป่าลมกลายเป็นพายุสายฟ้า
เท้าข้างหนึ่งกระทืบลงบนพื้นหนักๆ พื้นดินในรัศมีร้อยลี้ใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันพลันเปลี่ยนมาเป็นผิวกระจกสีทองผืนหนึ่ง ยังคงเป็นเคล็ดสายฟ้าที่เป็นวิชาลับไม่แพร่งพรายของภูเขามังกรพยัคฆ์
คือสุดยอดแห่งเวทสายฟ้า เป็นการนำเวทอสนี ยันต์และค่ายกลทั้งสามสิ่งนี้มาทับซ้อนกัน เรียกว่าเคล็ดสายฟ้า นอกภูเขามังกรพยัคฆ์ก็มีคำกล่าวว่าเกาเจินลัทธิเต๋าได้ครอบครองเคล็ดสายฟ้าเช่นกัน เชิญเทพให้ลงมาจุติ โยกย้ายกองกำลังทัพ ออกคำสั่งแก่มัลละบนสวรรค์
สายลมพัดกระโชกไอหมอกลอยอวล ฟาดแส้โบยมังกรก่อเกิดสายฟ้า กระชากดึงมหาบรรพต ขับไล่ลงสู่มหาสมุทร สามารถมองเป็นการโคจรน้ำใหญ่ขึ้นฝั่งได้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับเวทอสนีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาจากเทียนซือแต่ละยุคแต่ละสมัย ถูกขนานนามให้เป็นบรรพบุรุษแห่งหมื่นคาถาแล้ว กลับด้อยกว่ามาก เล่าลือกันว่าเคล็ดสายฟ้าที่แท้จริงได้ครอบครองคาถารวมของฝ่ายต่างๆ ในกรมสายฟ้าบรรพกาล เวทคาถาสุดยอดถึงแก่นแท้ ควบคุมหยินหยาง ความรุ่งโรจน์และโรยราของหมื่นสรรพสิ่ง การเกิดดับของสี่ฤดูกาล ฟ้าดินอยู่ในมือ หมื่นสรรพสิ่งจำแลงอยู่บนร่าง
ยิ่งนานก็ยิ่งร่ายเวทอสนีอย่างคุ้นชินมากขึ้น
ลู่เฉินอดไม่ไหวยิ้มถาม “ตัวเจ้าที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปไปเยือนซากปรักสนามรบมังกรเฒ่ามาแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ฉวยโอกาสที่ขอบเขตสูงเดินทางได้เร็ว เร่งเดินทางลงใต้ ไปเยือนสถานที่ต่างๆ มาไม่น้อย หวนกลับไปยังสถานที่ที่เคยไป พบเจอกับสหายเก่าบางคน”
หากคนอย่างเฉินผิงอันสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้อย่างแท้จริง
ขอบเขตของเขาจะต้องแน่นหนามั่นคงผิดปกติ
หลังจากนั้นก็คือศึกแห่งการชักเลื่อยที่น่าเบื่อไร้รสชาติครั้งหนึ่ง อันที่จริงหยวนซงยังคงมีเวทคาถาให้ใช้ไม่หมดสิ้น ราวกับว่าเขาต้องการจะโอ้อวดความรู้ทุกอย่างที่เรียนมาในชีวิตท่ามกลางการถามกระบี่ครั้งนี้ให้หมดรวดเดียว
เพียงแต่ว่าทางฝั่งของเฉินผิงอันแค่เปลี่ยนมือที่ถือกระบี่เท่านั้น เปลี่ยนจากการปล่อยกระบี่ติดกันสามสิบหกครั้ง เพิ่มจำนวนไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบถึงห้าสิบครั้ง
นอกจากนี้อย่างมากสุดก็แค่ใช้ฟ้าดินเล็กของเคล็ดสายฟ้ามาสร้างความมั่นคงให้กับเรือนกายและจิตแห่งมรรคาของตัวเอง
บ้างก็เรียกจันทร์ในบ่อออกมา ประหนึ่งสายฝนที่ตกลงบนภูเขาทัวเยว่
สนามรบได้ขยับไปที่ตีนเขาของภูเขาทัวเยว่อีกครั้งแล้ว
หยวนซงยืนถือกระบี่ หันหลังให้กับภูเขาทัวเยว่
อยู่ห่างจากภูเขาทัวเยว่ไปร้อยลี้ เฉินผิงอันถือเย่โหยว
เฉินผิงอันพลันเงยหน้ามองม่านฟ้าที่อยู่นอกใต้หล้าสองแห่ง
ดวงจันทร์ดวงหนึ่งเหมือนจะถูกกระชากออกเดินทางไกลไปแล้ว
ดูเหมือนว่าจะมีเรือนกายหนึ่งถูกซัดร่วงกลับลงมายังโลกมนุษย์ แต่นางหยุดยั้งเรือนกายที่กำลังร่วงลงมาไว้ได้อย่างว่องไว พกกระบี่หวนกลับดวงจันทร์ไปอีกครั้ง ทางที่ย้อนกลับไม่คลาดเคลื่อนไปจากเส้นทางเดิมเลยแม้แต่น้อย
เพียงชั่วพริบตานั้น เฉินผิงอันก็เหมือนกลายไปเป็นคนละคน
ภูเขาลูกหนึ่งถูกหยวนซงใช้เวทกระบี่ออกคำสั่งดึงขึ้นมาพร้อมรากแล้วกระแทกใส่เฉินผิงอันในแนวขวาง
แต่คราวนี้เฉินผิงอันกลับไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่ขยับเท้าก้าวเดินไปเบื้องหน้าอย่างไม่รีบร้อน ภูเขาที่ขยับมาอยู่ใกล้ในระยะประชิดกลับปริแตกออกด้วยตัวเอง
แสงกระบี่โค้งงอเส้นหนึ่งก็หยุดอยู่ห่างไปหลายจั้งเช่นเดียวกัน สะเก็ดไฟแตกกระจาย ฝนไฟลามไปทั่วทุกหนแห่ง รอบด้านจึงกลายเป็นพื้นดินไหม้เกรียม
หลังจากนั้นแทบทุกๆ หลายก้าวที่เฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ภูเขาทัวเยว่ก็จะมีเวทกระบี่หรือไม่ก็คาถาอาคมบทหนึ่งที่แตกกระจายออกในบริเวณใกล้เคียง
อยู่ในสถานะของผู้มิพ่าย เบื้องหน้าไร้ผู้คน ไร้ศัตรูทัดเทียมอยู่ตลอดเวลา
กับปีศาจใหญ่หยวนซงของภูเขาทัวเยว่ เป็นทั้งการถามกระบี่ ถามมรรคา และถามใจ
ไยต้องฝึกตน?
การเดินบนมหามรรคา พกกระบี่เดินตรงไป ไม่จำเป็นต้องอ้อมเส้นทาง
ชุดสีเขียวค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นชุดคลุมอาคมสีแดงสด
แม้แต่มรรคกถาขอบเขตสิบสี่ก็ยังไม่อาจขัดขวางการเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ได้
ราวกับว่าอิ่นกวานหนุ่มได้กลับคืนไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนั้น ใบหน้าพร่าเลือน เรือนกายล่องลอยไม่หยุดนิ่ง
ทั้งใบหน้าและเรือนกายประกอบจากเส้นด้ายนับพันนับหมื่นที่ตัดสลับถักทอกัน
ส่วนเส้นด้ายแห่งผลกรรมสีทองที่แผ่ขยายออกไปก็คล้ายกับสีสันการหล่อทองชั้นหนึ่งบนเทวรูป
ปีศาจใหญ่หยวนซงเงื้อกระบี่ฟันใส่อิ่นกวานหนุ่มที่เริ่มเดินขึ้นเขา
ผลคือบุคคลประหลาดที่ยิ่งเดินก็ยิ่งขยับเข้าใกล้เพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาก็ทำให้กระบี่ยาวของหยวนซงหยุดลอยนิ่ง เพราะพละกำลังที่พุ่งมาดุดันเกินไป เป็นเหตุให้ข้อมือข้างที่ถือกระบี่ของหยวนซงขาดคาที่ ค้างอยู่ในท่าเงื้อฟัน ส่วนร่างของหยวนซงก็ยิ่งเซถลาไปเบื้องหน้า
เฉินผิงอันปล่อยกระบี่หนึ่งออกไป
เป็นกระบี่ที่เรียบง่ายยิ่ง กระบี่ฟันบินทะยาน
ลู่เฉินเบิกตากว้างจนดวงตากลมดิก อึ้งงันดั่งไก่ไม้อย่างแท้จริง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันอีกคนหนึ่งที่มีดวงตาสีทองยืนอยู่บนยอดเขา อยู่ด้านหลังหยวนซง
ในมือถือกระบี่ยาวสีทอง ปาดไปบนลำคอของหยวนซงเบาๆ
หลังจากกระบี่ยาวเล่มนั้นปาดไปในแนวขวาง ค่ายกลใหญ่แม่น้ำแห่งกาลเวลาอะไร ผสานมรรคากับภูเขาทัวเยว่อะไร ล้วนเป็นมรรคกถาลวงตาไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น
ปาดคอบั่นหัว
ศีรษะถูกจิกถือไว้ในมือ
มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งหิ้วศีรษะ
ลู่เฉินเบิกตากว้าง ถามว่า “ใช่เจ้าไหม?”
คนผู้นั้นยิ้มบางๆ ตอบว่า “เป็นข้าเอง”
เฉินผิงอันสอดกระบี่ยาวเย่โหยวใส่ฝัก เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แน่นอนว่าต้องเป็นข้า”
ลู่เฉินอึ้งค้างอยู่นาน ทั้งมองเฉินผิงอันที่เผยกายด้วยความเป็นเทพบริสุทธิ์ ทั้งมองเฉินผิงอันที่เป็นฝ่ายถอนความเป็นเทพออกไป สุดท้ายลู่เฉินก็ถอนหายใจยาวเหยียด ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง แกล้งตายก็แล้วกัน
ส่วนเฉินผิงอันก็ผสานร่างจากสองกลายเป็นหนึ่ง
ฝ่ายปีศาจใหญ่หยวนซงที่เป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด สองจิตฟ้าดินต่างก็ถูกกระบี่ปั่นคว้านจนเละ จิตมนุษย์นำพาเจ็ดวิญญาณไป เริ่มแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ตบะหมื่นปี ขอบเขตของทั้งร่างล้วนดับสูญไปนับแต่นี้
ภูเขาทัวเยว่ทั้งลูกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเริ่มกลายเป็นสีขาวซีดเซียว
ดวงจิตของหยวนซงประดับประคองสติเสี้ยวสุดท้ายเอาไว้ จึงหลงเหลือเพียงร่างของบุรุษชุดเหลืองที่เป็นภาพมายา ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่มีความเจ็บแค้นไม่ยินยอมอะไร กลับกลายเป็นว่าโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
ลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ที่มีนามจริงว่าหยวนจี๋ การฝึกตนในชีวิตนี้ไม่เคยมีความไม่พอใจหรือความเสียใจใดๆ เขาพยายามสุดความสามารถที่มีแล้ว แต่ก็ยังรักษาภูเขาทัวเยว่เอาไว้ไม่ได้ แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ถามใจตัวเองแล้วกลับไม่ละอาย ไม่ต้องกักพื้นที่เป็นกรงขังตัวเองอีก ไยจะไม่ใช่การหลุดพ้นอย่างหนึ่งเล่า
หยวนซงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน หัวนี้เชิญเจ้าเอาไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ตามสบาย ใช้มันป่าวประกาศไปยังหลายใต้หล้า”
เฉินผิงอันส่ายหน้า วางศีรษะของปีศาจใหญ่หยวนซงไว้บนยอดเขาของภูเขาทัวเยว่เบาๆ
เลือกที่จะทิ้งมันไว้ที่นี่
หากขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดตนนี้ไม่ได้ปิดฉากลงด้วยสถานะของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว
ถ้าอย่างนั้นอย่าว่าแต่ศีรษะที่ดีเยี่ยมเลย แม้แต่โอสถปีศาจข้าก็จะยังถลกดึงออกมาด้วย
ภูเขาทัวเยว่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างเริ่มเกิดลางของการแตกแยกพังทลาย
หยวนซงหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน คล้ายจะรู้สึกประหลาดใจมากกับการเลือกของอิ่นกวานหนุ่ม เพียงแต่ไม่นานก็หมดสิ้นความรู้สึกประหลาดใจอีก
สุดท้ายหยวนซงนั่งขัดสมาธิ ตบศีรษะของตัวเองเบาๆ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เจ้าชนะอย่างไม่สมศักดิ์ศรีไปหน่อยหรือไม่?”
อาศัยขอบเขตสิบสี่ที่ได้มาเปล่าๆ แล้วยังมีกระบี่ยาวที่พลังพิฆาตเหนือนอกฟ้า รวมไปถึงบุคคลที่มีความเป็นเทพบริสุทธิ์
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดสะบัดส่ายไปตามสายลมบนยอดเขาดังพึ่บพั่บ
ทว่าใบหน้าและเรือนกายกลับเริ่มกลับคืนมาเป็นปกติ
เฉินผิงอันกล่าวว่า “หากข้าอายุเท่าเจ้า การถามกระบี่ในวันนี้ เจ้าคงมองไม่เห็นตัวข้าด้วยซ้ำ”
หยวนซงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ไม่พูดคุยอะไรกันอีก
บุรุษชุดเหลืองมองใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้าย
เขายกมือขึ้นช้าๆ ยกนิ้วโป้งให้กับผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์อายุน้อยๆ ที่อยู่ข้างกาย
เฉินผิงอันเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟ้า
เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืน
เคยกังวลว่านางมิอาจเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบห้าได้เสียที อยู่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยมจะต้องเจอกับอันตราย ทั้งกังวลว่าหลังจากนางกลายเป็นขอบเขตหยกดิบ บนบ่าต้องแบกภาระที่หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม แต่เขากลับไม่ได้อยู่ข้างกาย
กังวลว่านางจะไม่อาจกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้า ทั้งกังวลว่านางจะกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้า
คาดว่านี่ก็คงเป็นความชอบกระมัง
ทำให้คนคนหนึ่งไม่เหมือนตัวเอง สามารถทำให้คนที่มองโลกในแง่ดีกลายเป็นมองโลกในแง่ร้าย แล้วก็ทำให้คนที่มองโลกในแง่ร้ายกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี สามารถมองเห็นความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง มีความกล้าพอที่จะวาดฝันถึงอนาคต
สามารถทำให้เด็กหนุ่มตรอกเก่าโทรมที่ยากจนข้นแค้นพลันรู้สึกว่าตัวเองก็คือคนที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้า
สามารถทำให้เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่แม้แต่ตัวอักษรสักตัวก็เขียนไม่เป็นเดินทางข้ามภูเขาและมหาสมุทร ฝึกหมัดเงียบๆ หนึ่งล้านครั้ง แล้วยังต้องคอยพร่ำบอกกับตัวเองด้วยว่าต้องกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ให้ได้
ลู่เฉินกล่าว “วางใจเถอะ ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ต่อให้ลากดวงจันทร์ไม่สำเร็จ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่ถือว่ามาเสียเที่ยว”
จากนั้นก็คือทั้งสองฝ่ายที่พากันเงียบงัน
มีเพียงลมภูเขาที่พัดผ่านมา เหมือนเสียงครวญสะอื้นดังเป็นระลอก
แต่ละสถานที่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หลังจากที่ป๋ายเจ๋อออกคำสั่งให้ผู้จำศีลตื่นขึ้นมา
ใจกลางของเปลี่ยวร้าง ดินแดนแห่งน้ำแข็งพันลี้ที่มีน้ำแข็งเกาะตัวมานานหมื่นปี น้ำแข็งพลันเกิดการหลอมละลาย ทันใดนั้นสตรีเรือนกายบอบบางอ่อนช้อยคล้ายเส้นผมเส้นหนึ่งก็เผยกาย ร่างจริงของนางคล้ายจะเป็นที่ราบน้ำแข็งทั้งผืนนั้น
นางยืดแขนบิดขี้เกียจ ยกฝ่ามือขึ้นปิดปากที่อ้าหาว จากนั้นก็ขยับจมูกสูดดม เดินก้าวหนึ่งก็ข้ามพื้นที่หลายพันลี้ มาหยุดอยู่ที่นครโอ่อ่าโอฬารแห่งหนึ่ง นางเม้มปาก เลือดสดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในนครพลันรวมตัวกันกลายเป็นลำคลองเลือดสายยาวที่ถูกนางดื่มเกลี้ยงเหมือนดื่มสุรา เผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนคนหนึ่งและผู้ฝึกตนเซียนดินอีกหลายคนพยายามที่จะใช้วิชาแห่งชะตาชีวิตหลบหนีไปจากนรกขุมนี้ แต่นางดีดนิ้วแค่ไม่กี่ทีก็สลายพลังแห่งชีวิตของพวกเขา ก่อให้เกิดบุปผาเลือดเบ่งบานอยู่กลางอากาศหลายดอก
สำนักแห่งหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ทุกวันนี้พอจะถือว่ารักษาอักษรจงไว้ได้อย่างถูไถ ในศาลบรรพจารย์แขวนภาพหนึ่งเอาไว้ ไม่ใช่ภาพเหมือนของผู้ฝึกตนที่เป็นบรรพบุรุษแต่ละรุ่น แต่เป็นภาพขุนเขาสายน้ำเก่าแก่ภาพหนึ่ง วาดเป็นภาพการเข่นฆ่าอันดุเดือดโหดร้ายของสนามรบบรรพกาลแห่งหนึ่ง
ร่างจริงของปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่โชกไปด้วยเลือด ใต้ฝ่าเท้าของมันคือโครงกระดูกของทวยเทพร่างทองที่กลาดเกลื่อนแถบใหญ่
แต่แล้วภาพเหมือนก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ปรากฎการณ์ประหลาดที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาสำแดงอิทธิฤทธิ์ประเภทนี้เป็นเหตุให้คนทั้งบนและล่างสำนักตื่นเต้นซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีคุณสมบัติให้มาจุดธูปในศาลบรรพจารย์กับผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ต่างก็นั่งคุกเข่าอยู่ในและนอกศาลบรรพจารย์ พากันโขกหัวคำนับอย่างบ้าคลั่ง โครงกระดูกเผ่าปีศาจโครงหนึ่งในภาพวาดที่ไม่สะดุดตาพลันกระโดดขึ้นมา สีหน้าแข็งทื่อ กวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นก็มีผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา เขาเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง ยื่นมือไปคว้าจับ บิดศีรษะของผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ
ถึงอย่างไรมดตัวน้อยรุ่นหลังที่ถือเป็นคนของสายตัวเองพวกนี้ ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาก็ล้วนจุดธูปคารวะผิดๆ ไม่ใช่โทษตายแล้วจะเป็นอะไร
นอกจากนี้ในพรรคเล็กแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ศีรษะของเด็กหนุ่มคนหนึ่งพลันเอียงกะเท่เร่ สองตาดำมืด เหม่อลอยไร้สติ
ขณะเดียวกันสี่ด้านแปดทิศของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อาวุธเซียนแปดชิ้นที่ต่างก็มีผู้ครอบครองนานแล้วถึงกับสะบั้นความเชื่อมโยงบนมหามรรคากับเจ้านายด้วยตัวเอง สุดท้ายพากันบินพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง เพียงชั่วพริบตานั้นก็เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนของเปลี่ยวร้างห้าคนได้รับบาดเจ็บสาหัส คนหนึ่งในนั้นที่เป็นเซียนดินอายุน้อยซึ่งถูกมองว่าเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ถึงกับกายดับมรรคาสลายทันที
นอกจากนี้ในสถานที่ต่างๆ ของเปลี่ยวร้างยังมีปรากฎการณ์ผิดปกปติเกิดขึ้นอีกหลายแห่ง กลิ่นอายของความกว้างใหญ่ไพศาลขุมแล้วขุมเล่าพากันปรากฎขึ้นบนโลก
ทางฝั่งของภูเขาทัวเยว่ก็มีเสียงกัมปนาทเหมือนเสียงรากภูเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้น
ประหนึ่งเสียงสะท้อนก้องระหว่างฟ้าดินที่สอดประสานกับเสียงสายลมหลังจากการถามกระบี่ครั้งหนึ่งผ่านไป
ในที่สุดลู่เฉินก็ทำลายความเงียบ ถามว่า “ราคาที่ต้องจ่ายสูงไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันใช้กระบี่ยาวค้ำพื้น พลันค้อมเอวก้มหน้าลง ยื่นมือที่สั่นเท้าข้างหนึ่งออกมา ห้านิ้วงอเป็นตะขอจิกทับบนใบหน้า
หลับตาลงข้างหนึ่ง ยังมีดวงตาอีกข้างหนึ่งที่เป็นสีทอง
ลู่เฉินรู้สึกอกสั่นขวัญผวาอย่างที่หาได้ยาก ได้แต่ทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ “ขอบเขตอะไรนั่น ยิ่งดื่มเหล้าก็ยิ่งมี”
ลู่เฉินทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด อันที่จริงเขาไม่ได้พูดแค่เรื่องขอบเขตอย่างเดียวเท่านั้น
หากตนเก็บมรรคกถากลับมา เฉินผิงอันจะต้องขอบเขตถดถอยทันที
ผู้ฝึกลมปราณจะขอบเขตถดถอยจากหยกดิบเป็นก่อกำเนิด บนวิถีวรยุทธก็จะถดถอยจากขั้นคืนความจริงมาเป็นปราณโชติช่วง
แม้การถามกระบี่ครั้งนี้จะใช้กระบี่สังหารขอบเขตบินทะยานได้สำเร็จ ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย เพียงแต่โรคภัยที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก็สูงเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเมื่อได้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบอีกครั้งก็จะต้องเผชิญหน้ากับจิตมาร?
ธรรมะสูงหนึ่งฉื่ออธรรมสูงหนึ่งจั้ง ไม่ใช่เรื่องที่พูดล้อเล่นอะไร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการช่วงชิงกันระหว่างความเป็นคนและความเป็นเทพเลย
คาดว่านี่ก็คงเป็นผู้ฝึกกระบี่กระมัง?
นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่?
ตนไม่เหมาะจะหลอมกระบี่จริงๆ
ก่อนหน้านี้เกือบจะถูกนักพรตซุนโน้มน้าวให้หวั่นไหวเสียแล้ว
ลู่เฉินเอ่ยเตือน “เฉินผิงอัน มาปรึกษากันหน่อย ไม่อาจต่อสู้ได้อีกแล้วจริงๆ นะ”
หากยังมีการถามกระบี่ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ลู่เฉินก็กังวลจริงๆ ว่าแม้แต่ตนก็ต้องมอบให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจัดการแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้า “กลับแล้ว”