กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 870.1 ดอกไม้บานตามลำดับ
ตอนนั้นเฉินผิงอันยืมตำราหลายเล่มมาจากกองโหราศาสตร์ เขาก็ไม่ได้กลับไปที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นหรือโรงเตี๊ยม แต่ก้าวหนึ่งก้าวตรงดิ่งไปบนหัวกำแพงเมืองแห่งหนึ่งของเมืองหลวง ได้เห็นเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่จอดลอยอยู่กลางอากาศริมอาณาเขตชานเมืองหลวง ด้านบนมีปราณมังกรเข้มข้นผิดปกติสองขุม มังกรที่แท้จริงจื้อกุย ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองต่างก็เหมือนตะเกียงดวงใหญ่สองดวงที่แกว่งส่ายอยู่ในลานบ้านหลังติดกันของตรอกหนีผิงกลางดึก อยากจะมองไม่เห็นก็ยังยาก
เฉินผิงอันจึงก้าวออกไปหนึ่งก้าว ตรงดิ่งขึ้นเรือข้ามฟากที่การป้องกันเข้มงวด ขณะเดียวกันนั้นก็ควักเอาป้ายสงบสุขปลอดภัยของผู้ถวายงานระดับสามออกมาชูขึ้นสูง
แม่ทัพบู๊คนหนึ่งที่สวมเสื้อเกราะพกดาบกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพหลายคนของเรือข้ามฟากได้ตีวงล้อมเป็นเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เห็นได้ชัดว่าการขับไล่แขกคือหน้าที่สำคัญอันดับหนึ่ง รอกระทั่งพวกเขาได้เห็นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาต้าหลีเป็นผู้แจกจ่ายถึงได้ไม่ลงมือในทันที
แม่ทัพบู๊ถามเสียงหนัก “ผู้ที่มาคือใคร?”
ผู้ฝึกตนที่อยู่เบื้องหน้าสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว บุคลิกนิ่งสงบ
มักรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
ผู้ฝึกตนเฒ่าสีหน้ามีเมตตาคนหนึ่งเอ่ยว่า “รบกวนเซียนซือโปรดบอกชื่อแซ่ด้วย ทางเรือข้ามฟากจำเป็นต้องบันทึกลงเอกสาร”
มือข้างหนึ่งที่อยู่ในชายแขนเสื้อคีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งไว้เงียบๆ “ส่วนเซียนซือผู้ถวายงานจะอยู่บนเรือได้หรือไม่ ทางเราก็ยังมิกล้ารับรองอะไร”
ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมือง องค์ชายซ่งซวี่ จ้าวเหยารองเจ้ากรมพิธีการ ทุกวันนี้คนเหล่านี้ต่างก็อยู่บนเรือ ใครจะกล้าประมาท
เฉินผิงอันบอกชื่อของตัวเอง “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว”
แม่ทัพบู๊อึ้งตะลึงไปก่อน จากนั้นก็ทำสีหน้าเข้าใจในฉับพลัน ถามว่า “คือเจ้าขุนเขาเฉินที่เกือบจะเล่นงานลูกเต่าหลานตะพาบของภูเขาตะวันเที่ยงให้ตายน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันเองก็อึ้งไปเหมือนกัน ก่อนจะพยักหน้ายิ้มรับ “หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นข้าแล้ว”
ภูเขาตระกูลเซียนที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกอย่างภูเขาตะวันเที่ยงแค่ออกเงินอย่างเดียวเท่านั้น แทบไม่เคยออกแรงอย่างแท้จริงมาก่อน ยิ่งไม่เคยส่งคนมาช่วย นอกจากผู้ฝึกกระบี่จำนวนน้อยนิดเพียงหยิบมือที่ไปโผล่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าแล้ว ตัวอ่อนเซียนกระบี่คนอื่นๆ ที่เหลือซึ่งต่างก็มีความสำคัญพวกนั้นก็แทบไม่ต่างอะไรจากการลงภูเขาไปเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำเลย สรุปก็คือที่ไหนปลอดภัยพวกเขาก็ไปที่นั่น ทางฝั่งของกองทัพต้าหลีนี้ ขอแค่เป็นแม่ทัพบู๊ที่เป็นผู้นำกองทัพทำสงครามล้วนเห็นกันอย่างชัดเจน แน่นอนว่าต้องดูแคลนภูเขาตะวันเที่ยงอย่างมาก ดังนั้นการร่วมงานพิธีของภูเขาลั่วพั่วคราวนั้นจึงสาแก่ใจพวกเขายิ่งนัก
ใบหน้าของแม่ทัพบู๊เต็มไปด้วยรอยยิ้ม โบกมือสลายวงล้อมบนเรือข้ามฟาก ก่อนจะกุมหมัดเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าขุนเขาเฉินไม่ได้สะพายกระบี่ เมื่อครู่เกือบจะจำไม่ได้ การปกป้องเรือข้ามฟากเป็นหน้าที่ของพวกเรา ล่วงเกินท่านแล้ว เว่ยเจี้ยง (แม่ทัพผู้น้อย/แม่ทัพปลายแถว เป็นคำเรียกขานอย่างถ่อมตัวของแม่ทัพ) จะให้ลูกน้องไปรายงานลั่วอ๋องเดี๋ยวนี้”
พื้นที่ศักดินาที่ซ่งมู่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอ๋องปกครองก็คือลั่วโจว ที่ตั้งของแม่น้ำลั่วสุ่ยโบราณก็คือหนึ่งในต้นกำเนิดสายน้ำของลำน้ำใหญ่ในภาคกลางของยุคหลัง
อันที่จริงเวลาปกติแม่ทัพผู้นี้ก็คือน้ำเต้าตันคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะยิ้มเก่ง เป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวเองว่า “ข้าชื่อเลี่ยวจวิ้น เคยเป็นลูกน้องใต้อาณัติของแม่ทัพซู เคยเป็นพลทหารราบเดินเท้ามาก่อน เป็นคนชั้นต่ำ เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดถึงดีกว่า ข้าเป็นสหายของกวนอี้หราน น่าเสียดายที่ปีนั้นตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนคลาดกับเจ้าขุนเขาเฉินไป ไม่เคยเจอกันมาก่อน มักจะได้ยินอวี๋ซานฝางกับชีฉีพูดถึงเจ้าขุนเขาเฉินเป็นประจำ บอกว่าท่านคอแข็งไร้เทียมทาน ดื่มสุราด้วยกัน สุดท้ายหากจะมีใครสักคนที่นั่งอยู่ได้ก็ล้วนถือว่าเป็นเพราะเป็นเจ้าขุนเขาเฉินไม่ได้ดื่มอย่างเต็มคราบ”
อันที่จริงก็เป็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ตามหลักแล้วเมื่อครู่ตอนที่เฉินผิงอันขึ้นเรือมา เขาไม่ได้จงใจร่ายเวทอำพรางตา ในเมื่อเลี่ยวจวิ้นผู้นี้เคยดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำครั้งนั้นมาก่อน ก็ไม่มีทางจำเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วคนนี้ไม่ได้แน่นอน
นี่ก็คือผลจากการที่มีมรรคกถาของลู่เฉิน ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่อาจย่อยท่วงทำนองและปราณแห่งมรรคาทั้งหมดได้ เป็นเหตุให้เมื่อเขาท่องอยู่ในโลกมนุษย์จึงเป็นดั่งเรือลำหนึ่งที่ไม่ถูกผูก เรือนกายมนุษย์และฟ้าดินเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง เป็นเหตุให้ในเรื่องของ ‘รูปโฉม’ กลายเป็นว่าคนนอกเห็นเขาเหมือนมองดอกไม้อยู่ในดงหมอก รอกระทั่งเฉินผิงอันบอกชื่อของตัวเองและชื่อของภูเขาออกไป คนอื่นถึงจะจำเขาได้ในทันทีทันใด ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าจะเฝ้ารอให้เมฆเคลื่อนตัวออกจนมองเห็นแสงจันทร์ และก่อนหน้านี้นานกว่านั้น ตอนที่มรรคาจารย์เต๋าขี่วัวไปเยือนเมืองเล็กก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน มรรคาจารย์เต๋าไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ถึงร่องรอยการเดินทางของตัวเอง จึงทำให้ฟ้าไม่รู้ดินไม่รู้และคนก็ไม่รู้
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “ปริมาณการดื่มเหล้าของข้านั้นปกติ ก็แค่ว่านิสัยยามดื่มเหล้านับว่าพอใช้ได้ ไม่เหมือนคนบางคน กระบวนท่าลวงตามีใช้ไม่หมดสิ้น ยกถ้วยทีไรมักสะบัดข้อมือเสมอ ทุกครั้งที่ถอยออกจากโต๊ะเหล้า ข้างฝ่าเท้าก็สามารถเลี้ยงปลาได้เลย”
เลี่ยวจวิ้นฟังด้วยความสาแก่ใจในอารมณ์ หัวเราะดังลั่นอย่างเบิกบาน อยู่กับเจ้ากวนอี้หราน ตนต้องเสียเปรียบมาไม่น้อย เขาจึงรวมเสียงให้เป็นเส้น บอกความลับแก่เซียนกระบี่หนุ่มที่พูดจามีอารมณ์ขันคนนี้ “คาดว่าเป็นเพราะกวนหลางจง (ชื่อตำแหน่งขุนนางอย่างหนึ่ง และสามารถเป็นคำเรียกองค์รักษ์ในวังหลวงได้อีกด้วย) ของพวกเรามีชาติกำเนิดมาจากตรอกอี้ฉือ แน่นอนว่าต้องรังเกียจที่รสชาติของสุราในทะเลสาบซูเจี่ยนย่ำแย่ ไม่อร่อยเท่าฉี่ม้าที่ดื่มมาจนชินแล้ว”
จื้อกุยที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะยืนอยู่ตรงดาดฟ้าของเรือข้ามฟาก หรี่ตามองมายังบุรุษชุดเขียวที่ก่อนหน้านี้จากลากันที่ศาลของลำน้ำใหญ่
นางหงุดหงิดนิสัยเข้ากับคนได้ง่าย ปฏิบัติต่อผู้อื่นเป็นอย่างดีของเฉินผิงอันอย่างมากมาโดยตลอด
ราวกับว่าไม่ว่ากับใครเขาก็พูดคุยด้วยได้หมด ดูเหมือนว่าในสายตาของคนประเภทนี้มักจะมองเห็นเรื่องราวที่ดีงามได้เสมอ
หากเสแสร้งแกล้งทำก็ยังพอทำเนา แต่นี่เขากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เฉินผิงอันเงยหน้าใช้เสียงในใจยิ้มถาม “ในฐานะสุ่ยจวินของสี่มหาสมุทรที่ได้เลื่อนขั้นใหม่ ทุกวันนี้เทพวารีจึงมีหน้าที่คอยคุ้มกันทางน้ำ เจ้าไม่กลัวว่าศาลบุ๋นจะตำหนิเอาหรือ? หากข้าจำไม่ผิด ทุกวันนี้ระดับขั้นขององค์เทพบนทำเนียบทองหยกของต้าหลี ไม่ใช่ชามข้าวเหล็กที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนอีกแล้วนะ”
หลังจากการประชุมของศาลบุ๋นครั้งนั้นผ่านไปก็มีมาตรการต่างๆ ที่อาศัยรายงานขุนเขาสายน้ำแพร่ไปทั่วเก้าทวีปของไพศาล
พูดถึงแค่การประเมิน การเลื่อนขั้น การลดขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ราชวงศ์ของโลกมนุษย์ล่างภูเขา อำนาจในการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่ง การส่งมอบทรัพย์สินให้กับศาลบุ๋นก็ยิ่งเหมือนหน่วยการตรวจสอบของกรมขุนนางในราชสำนัก ทางฝั่งของต้าหลี หยางฮวาเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูเข้าไปชดเชยตำแหน่งฉางชุนโหวที่ว่างอยู่ชั่วคราว ถือเป็นการโยกย้ายไปรับหน้าที่ในตำแหน่งที่ระดับเท่ากัน ตำแหน่งเทพยังคงเป็นระดับสาม ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการโยกย้ายขุนนางเมืองหลวงไปประจำการนอกเมือง แต่ก็สามารถควบคุมพื้นที่แห่งหนึ่งนอกเมืองหลวงได้ รับหน้าที่เป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินา ถือว่าได้รับหน้าที่ให้ปฏิบัติงานสำคัญอย่างหนึ่ง
เจียวเฒ่าของถ้ำเฟิงสุ่ยแม่น้ำเฉียนถังแจกันสมบัติทวีปเพิ่งไปรับหน้าที่เป็นหลินหลีป๋อเติมตำแหน่งกงโหวสามคนของลำน้ำฉีตู๋ให้เต็ม แน่นอนว่าถือเป็นการได้เลื่อนขั้น เจียวเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงที่ชื่อจริงคือเฉิงหลงโจวเลื่อนขั้นเป็นเจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษาต้าฝูของใบถงทวีป
ต่างคนต่างมีโชควาสนา
จื้อกุยหัวเราะหยัน “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าขุนเขาเฉินไม่ได้รับหน้าที่ในกรมพิธีการของต้าหลี หรือว่าการประชุมครั้งนั้น ศาลบุ๋นให้รางวัลตามคุณความชอบก็เลยได้ตำแหน่งสูงอำนาจแท้จริงที่คู่ควรกับสถานะในสายบุ๋นมาครองแล้ว? ถึงได้สามารถยุ่งวุ่นวายกับเรื่องคนอื่นได้มากขนาดนี้แล้ว?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะดีจะชั่วก็เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี เอ่ยเตือนประโยคหนึ่งก็ไม่ถือว่าทำเกินกว่าเหตุ นิสัยที่ไม่อาจรับฟังคำเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดีจากคนอื่นได้ วันหน้าต้องปรับปรุงบ้างแล้ว”
“ก็แค่อ่านหนังสือมาหลายเล่มหน่อย นิสัยที่ชอบเป็นอาจารย์สอนคนอื่น เจ้าก็ต้องเปลี่ยนบ้างแล้ว หากถามข้า เมื่อก่อนตอนที่เจ้าไม่เคยอ่านตำรายังเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นมากกว่า”
จื้อกุยยิ้มบางๆ “ยังคงเป็นในอดีตที่ดี โดนคนด่าโดนคนตีที่บ่อโซ่เหล็กก็สามารถทำให้คนโมโหไปได้นานหลายวัน”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็น ‘คนรุ่นเยาว์’ ของถ้ำสวรรค์หลีจูที่ขนบธรรมเนียมบริสุทธิ์เรียบง่าย เพียงแค่ว่ากันถึงเรื่องคำพูดคำจาก็สามารถถือว่าอยู่ในศาลบรรพจารย์แห่งเดียวกันได้แล้ว
จื้อกุยหรี่ดวงตาสีทองคู่นั้นลง ใช้เสียงในใจถาม “ขอบเขตสิบสี่? เอามาจากไหน?”
นางเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว
ในฐานะมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลก และยังเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่บนร่างแบกรับโชคชะตาของเจียวหลง เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนบนยอดเขาทั่วไปแล้ว ความสามารถในการมองเห็นของนางย่อมดีมากกว่า
เฉินผิงอันกล่าว “ยืมมาจากคนอื่น คนผู้นั้นเจ้าก็รู้จักพอดี”
จื้อกุยหลุดหัวเราะพรืด เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในคำกล่าวนี้ของเฉินผิงอัน
นางพลันหรี่ดวงตาที่เรียวยาวคู่นั้นลง “นักพรต...ลู่?!”
นางเกือบจะหลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาตรงๆ
ดูเหมือนนางจะจับเจอจุดอ่อนจึงใช้นิ้วมือเคาะราวรั้ว “จุ๊ๆๆ รู้จักเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรกับคู่แค้นแล้ว ต่างก็พูดกันว่าสตรีเติบใหญ่เปลี่ยนแปลงได้สิบแปดแบบ แต่ก็แค่รูปโฉมเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เจ้าขุนเขาเฉินกลับดีนัก มีการเปลี่ยนแปลงมากยิ่งกว่า ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าขุนเขาเฉินที่มักจะออกเดินทางไกลเป็นประจำ บุรุษพอมีเงินก็ร้ายกาจจริงเสียด้วย”
เฉินผิงอันไม่ถือสา เพียงถามว่า “เจ้ารู้จักอาจารย์ซานซานจิ่วโหวหรือไม่?”
จื้อกุยยิ้มตาหยี “รู้จักแล้วอย่างไร ไม่รู้จักแล้วอย่างไร?”
ฝ่ามือที่ขาวสะอาดราวกับหยกข้างหนึ่งของนางมีเส้นเลือดเขียวปูดโปนขึ้นมาบนหลังมือ เห็นได้ชัดว่านางเคียดแค้นอาจารย์ซานซานจิ่วโหวจนต้องกัดฟันกรอด ทั้งยังกลัวลึกเข้าไปถึงกระดูก
ภูเขาเจินจูคือที่ตั้งของ ‘ไข่มุก’ ที่มังกรแท้จริงอย่างจื้อกุยผู้นี้คาบไว้ในอดีต ส่วนกระแสน้ำไหลที่ถูกชาวบ้านในพื้นที่เรียกด้วยความเคยชินว่าลำธารหลงซวี ภายหลังได้เลื่อนขั้นเป็นลำคลองสายนั้นก็คือหนึ่งใน ‘หนวดมังกร’ (หลงซวี) ของแท้แน่นอน เชื่อมโยงอยู่กับถนนหลักของเมืองเล็ก หนวดมังกรสองเส้นหนึ่งหลบซ่อนหนึ่งเปิดเผย นอกจากนี้ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ก็แบ่งเป็นลำคอและกระดูกสันหลังช่วงหนึ่งของมังกร ถนนฝูลวี่ทั้งสาย จวนทุกแห่งก็คือยันต์สยบกำราบหนึ่งแผ่น ส่วนต้นท้อทุกต้นในตรอกเถาเย่ก็คล้ายกับตะปูกักมังกรหนึ่งชิ้นที่ร่วมกันกักขังมังกรแท้จริงตัวหนึ่งที่เส้นเอ็นและกระดูกโผล่เปิดเปลือยไว้ที่เดิมไม่ให้ขยับเขยื้อน
ที่ตั้งเตาเผามังกรในเมืองเล็กหลายสิบแห่งที่ยอดฝีมือตั้งใจตามหาช่องโพรงมังกรถูกขนานนามว่าเป็นเตาที่ไฟในเตาพันปีไม่มีทางดับ สำหรับจื้อกุยแล้วนั่นไม่ต่างจากการถูกเพลิงใหญ่หล่อหลอมไม่หยุดพัก ทุกครั้งที่มีการเผาเครื่องปั้นก็คือการราดน้ำมันร้อนรดน้ำเดือดพล่านลงมา ใช้พระเพลิงเผาผลาญกรอกเทเข้ามาในจิตวิญญาณของนาง
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “อย่าลืมล่ะว่าปีนั้นเจ้าสามารถหนีหลุดออกมาจากบ่อโซ่เหล็กได้ หลังจากนั้นยังสามารถใช้เนื้อหนังเรือนกายของมนุษย์มาเดินท่องอยู่ในโลกมนุษย์อย่างอิสระเสรี เป็นเพราะใคร”
หากอิงตามกฎเกณฑ์ที่อริยะของสามลัทธิหนึ่งสำนักกำหนดไว้ให้กับถ้ำสวรรค์หลีจูช่วงแรกสุด นี่ถือเป็นการแสดงความเมตตาที่อยู่นอกเหนือกฎระเบียบครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันยังตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าเป็นการกระทำที่ล้ำเส้น
จื้อกุยกะพริบตาปริบๆ “แน่นอนว่าเป็นเพราะฉีจิ้งชุนทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ได้ไม่ดีพอ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างไรได้อีก?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ผินหน้าไปน้อยๆ ทำท่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง ก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด ลองพูดอีกทีสิ?”
จื้อกุยฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนราวรั้ว หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ให้ข้าพูดอีกรอบข้าก็ต้องพูดหรือ”
เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี เฉินผิงอันมีนิสัยอย่างไร นางรู้ชัดเจนดี
อยู่กับคนดีเกินเหตุอย่างเขา ไม่ว่าใครก็สามารถพูดจาไร้ยำเกรงได้ ถึงอย่างไรนับแต่เด็กมาเขาก็คือแมลงน่าสงสารที่ถูกคนดูแคลน ถูกคนพูดจาทิ่มแทงใจมาจนชินแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะอาฆาตแค้น ยิ่งไม่มีทางมาแก้แค้นเอาคืน คนทั่วไปแม้แต่คำว่าคนทำดีย่อมได้ดีก็ยังไม่เชื่อ แต่เขาดันไปเชื่อคำที่ว่าทำชั่วย่อมได้ชั่ว นับแต่เด็กมาก็ไม่กลัวผี แต่กลับเป็นผีขี้ขลาดที่ไม่กล้าทำเรื่องเลวร้าย ไม่กล้ามีจิตใจที่เลวร้ายเลยแม้แต่น้อย มีเพียงกับเรื่องบางเรื่องเท่านั้นที่ห้ามล้ำเส้น
ปีนั้นครั้งแรกที่จื้อกุยได้เห็นหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่ชอบเขาแล้ว มังกรที่แท้จริงบนโลกเกิดมาก็มีเกล็ดย้อน (เชื่อกันว่าใต้คอมังกรจะมีเกล็ดย้อนกลับ ใครที่แตะมาโดน มังกรจะพิโรธและอาจถึงตายได้) เพราะบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางเชี่ยวชาญเวทเรียกรวมมังกร เลี้ยงมังกรและพิฆาตมังกร ดังนั้นสำหรับหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นทายาทของนักเลี้ยงมังกร จื้อกุยจึงมีความรู้สึกรังเกียจสะอิดสะเอียดที่มาจากสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
หลิวเสี้ยนหยางในเวลานั้นคือมนุษย์ธรรมดาจริงแท้แน่นอน จึงไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย แล้วยังถูกเถียนหว่านผูกด้ายแดง เขาจึงคิดแค่ว่าจื้อกุยรังเกียจที่ตัวเองไม่มีเงิน
ซ่งจี๋ซินเดินออกมาจากห้องพักในตัวเรือ ข้างกายมีซ่งซวี่องค์ชายแห่งต้าหลี รองเจ้ากรมจ้าวแห่งกรมพิธีการ และยังมีเด็กสาวที่ได้ผลเก็บเกี่ยวจากการรื้อค้นมาเต็มไม้เต็มมือติดตามมาด้วย เพียงแต่ว่าอวี๋อวี๋เหลือบไปเห็นเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ชอบยิ้มหวาน ทว่ากลับฆ่าคนตาไม่กะพริบผู้นั้น นางก็หน้าบูดทันที
แม้จะบอกว่าเขาที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่เขาคนนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาคนนั้นก็ยังเป็นเขาอยู่ดีนี่นา
การต่อสู้หลายครั้งนั้น เขาเคยกระชากนางมา หมุนตัวกลับได้ก็ใช้ศอกถองเข้ามาที่หัวใจ จนนางกระอักเลือดพุ่งออกจากปาก...หรือไม่ก็ยื่นมือมากดหน้า ดึงจิตวิญญาณทั้งหมดของนางออกมาตามใจชอบ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในบรรดาผู้ฝึกตนแผนภูมิดินของต้าหลี จุดจบของนางถือว่าดีแล้ว มีอีกหลายคนที่สภาพอเนจอนาถมากยิ่งกว่า
พอคิดถึงเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจซึ่งไม่อยากจะย้อนนึกถึงพวกนี้ อวี๋อวี๋ก็รู้สึกว่าเหล้าบนเรือข้ามฟากยังคงน้อยเกินไป
ซ่งจี๋ซินยิ้มถาม “มาหาข้ามีธุระหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “ไม่ใช่ว่าเจ้ามาหาข้าเพราะมีธุระหรอกหรือ?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปนั่งคุยกันด้านใน”
จ้าวเหยาสามคนรั้งเท้าอยู่ข้างนอกอย่างรู้กาลเทศะ ให้เพื่อนบ้านตรอกหนีผิงสองคนรำลึกความหลังกันเพียงลำพัง
ในห้องห้องหนึ่ง เฉินผิงอันกับซ่งจี๋ซินนั่งหันหน้าเข้าหากัน จื้อกุยเดินข้ามธรณีประตู ไม่ได้นั่งลง แต่ยืนอยู่ด้านหลังซ่งจี๋ซิน ก็นางเป็นสาวใช้นี่นะ ตอนที่อยู่เมืองเล็กบ้านเกิด อิงตามขนบธรรมเนียมแล้ว สตรีทั่วไปเวลากินข้าวไม่ได้นั่งโต๊ะ อีกทั้งขอแค่เป็นสตรีที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ยามไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่สุสานก็ไม่อาจไปเข้าร่วมพิธีด้วยเช่นกัน
ซ่งจี๋ซินถามเข้าประเด็นทันที “อย่าฆ่าคน นี่คือเส้นขอบเขตต่ำสุดของข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่สนว่าต้องทุ่มเทด้วยอะไร ถึงอย่างไรก็ต้องงัดข้อกับเจ้าและภูเขาลั่วพั่วให้ได้”
เฉินผิงอันเอ่ย “ซ่งมู่ เจ้าต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งให้ชัดเจนเสียก่อน ไม่ใช่ข้าทำให้นางลำบากใจ แต่เป็นนางที่กำลังทำให้ข้าลำบากใจ”
จื้อกุยยิ้มกล่าว “คุณชายคิดมากเกินไปแล้ว คนดีคนหนึ่งอยู่ดีๆ จะฆ่าคนได้อย่างไร อย่างมากก็แค่อธิบายเหตุผลสองสามประโยค สั่งสอนอีกเล็กน้อยก็สามารถเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผยได้แล้ว”
ซ่งจี๋ซินจ้องเฉินผิงอันเขม็ง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ใช้คุณธรรมตอบแทนคุณธรรม ใช้ความแค้นตอบแทนความแค้น ใช้ความแค้นตอบแทนคุณธรรมคือคนถ่อยที่แท้จริง ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้นคือวิญญูชนจอมปลอม นี่ไม่ใช่หลักการเหตุผลของข้า แต่เป็นคำสอนของปรมาจารย์มหาปราชญ์”
เฉินผิงอันหันหน้าไปเอ่ยกับจื้อกุย “เป็นคนนอกก็อย่าอยู่ที่นี่เลย”
จื้อกุยส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องเป๋ง “ข้อแรก ข้าไม่ใช่คนนอก ข้อสอง ข้าไม่ใช่คนด้วย”
ซ่งจี๋ซินเอ่ย “จื้อกุย เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
จื้อกุยเบ้ปาก ครั้นเรือนกายพลันหายวับไป
เฉินผิงอันพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น สองนิ้วประกบกันเป็นมุทรากระบี่