กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 870.3 ดอกไม้บานตามลำดับ
เฉินผิงอันชูชามเหล้าขึ้น โน้มตัวไปด้านหน้า ชนชามกับจอกเหล้าในมือของฉู่เม่า ยิ้มเอ่ยว่า “เดิมทีควรจะแยกแยะบุญคุณกับความแค้นออกจากกัน วันนี้ดื่มเหล้าไปแล้วก็ถือว่าให้แล้วกันไป แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอบคุณเจ้า”
พูดถึงเรื่องของการเป็นผ้าห่อบุญ เรื่องของการเก็บเงินก็คือการเปิดประตูรับแต่สิ่งมงคล
เซียนกระบี่หนุ่มไม่ได้พูดว่าเป็นเรื่องอะไร ฉู่เม่าย่อมไม่กล้าถามมาก
สุดท้ายรอกระทั่งเซียนกระบี่หนุ่มจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม ฉู่เม่าก็ยังมีความรู้สึกลวงตาเหมือนอยู่กันคนละโลกอยู่ดี
บนภูเขาห่างไกลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับศาลเทพภูเขา การมองเห็นเปิดกว้าง เหมาะแก่การชมทัศนียภาพ สตรีสามคนปูพรมของแคว้นไฉ่อีลงบนพื้น บนพรมวางสุราและผลไม้ขนมทานเล่นหลากหลายชนิดไว้จนเต็ม
คำพูดเก่าแก่ในยุทธภพบอกไว้ว่า สาวงามในภูเขา หากไม่ใช่ผีก็ต้องเป็นปีศาจ
แน่นอนว่ายังมีเทพหญิงที่เหล่าบัณฑิตใฝ่หาปรารถนามากที่สุดอีกด้วย
เด็กสาวคนนั้นดีใจจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพรมอย่างเบิกบาน
ฮ่าๆ ทุกเรื่องล้วนยากตอนเริ่มต้นเสมอ แต่พอได้เริ่มแล้วก็ไม่มีอะไรยากจริงๆ
รวยแล้ว รวยแล้ว ในที่สุดก็ร่ำรวยแล้ว ในที่สุดเหล่าเหนียงก็จะได้ใช้เงินอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ในที่สุดก็ไม่ต้องพึ่งพาใต้ชายคาคนอื่นคอยดูสีหน้าของคนอื่นแล้ว
ก็คือเหวยเว่ยเหนียงเนียงเทพภูเขาที่พาสาวใช้สองคนของศาลมาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่
ตลอดหลายปีที่นางเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นเหนียงเนียงเทพภูเขานั้น ทรัพย์สินทั้งหมดล้วนใช้ไปกับเรื่องการซ่อมแซมศาล แบบไหนที่ดูแล้วร่ำรวยมีหน้ามีตานางก็ทุ่มเงินทำอย่างนั้น แรกเริ่มไม่มีประสบการณ์ เป็นสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยที่ดักปล้นชิงกลางทางมาจนชินแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าควรจะเป็นเหนียงเนียงเทพภูเขาอย่างไร ก็เหมือนกับหญิงสาวงามสะพรั่งคนหนึ่งที่นั่งเกี้ยวเจ้าสาว เป็นเรื่องที่เพิ่งเคยทำครั้งแรก ดังนั้นจึงไม่คิดจะประหยัดเงินทองแม้แต่น้อย
นั่นคือการที่ต้องก้มหัวยอมให้คนอื่นซึ่งทำให้คนโมโหจนขนลุกชันจริงๆ ได้แต่อาศัยควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองเพื่อนำมาประคับประคองโชคชะตาขุนเขาสายน้ำชั่วคราว เพราะติดค้างหนี้ควันธูปไว้มากเกินไป เทพอภิบาลเมืองของอำเภอเจอนางก็ต้องเรียกว่ากูไหน่ไน (คำเรียกที่คนในบ้านใช้เรียกหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้ว) สภาพของเขาอนาถยิ่งกว่านางเสียอีก บอกว่าตัวเองใช้ชีวิตที่ต้องรัดเข็มขัดแน่นแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ แต่เป็นเพราะถูกนางทำให้เดือดร้อนจริงๆ ทว่าศาลเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดกลับไม่มีคุณธรรมสักเท่าไร นางต้องกินน้ำแกงประตูปิด พอไปถึงที่ตั้งของศาลเทพอภิบาลเมืองผู้ตรวจการที่อยู่ในการปกครองของฝ่ายปรโลกในหนึ่งทวีปก็ยิ่งหนักข้อ เพราะไม่ว่าใครที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการแห่งนั้นก็ล้วนชักสีหน้าใส่นางได้
วงการขุนนางขุนเขาสายน้ำช่างอยู่ได้ยากจริงๆ
ตอนที่เหวยเว่ยยังเป็นผีสาวก็เคยรู้สึกไม่พอใจกับวิถีทางโลกใบนี้ เป็นคนยากที่จะมีชีวิตอยู่ เป็นผีก็วางตัวลำบาก
คิดไม่ถึงว่ากว่าจะได้เป็นเหนียงเนียงเทพภูเขาที่ได้เสวยสุขกับควันธูปอย่างไม่ง่าย แล้วยังต้องเจอกับอุปสรรคมากมายหลายด้าน
โอกาสพลิกฟื้นของนางก็คือหลังจากที่เซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นมาเยี่ยมเยือน ศาลเทพภูเขาก็เริ่มมีบุญพาวาสนาส่ง
เป็นเหตุให้เหวยเว่ยตั้งใจตั้งชื่อให้กับเส้นทางภูเขาที่อยู่ใกล้กับศาลเป็นการส่วนตัวว่า ‘สันปันน้ำ’
เฉินผิงอันฉวยโอกาสตอนที่เหวยเว่ยไม่อยู่ในศาลเทพภูเขามานั่งอยู่บนก้อนหินสีเขียวเรียวยาวด้านนอกศาล
รับฟังเรื่องราวอันพลิกผันจากการเดินทางไปเยือนเมืองหลวงที่เหนียงเนียงเทพภูเขาเล่าให้สาวใช้สองคนของนางฟัง ถือเสียว่าฟังนักเล่านิทานเล่าเรื่อง
ที่แท้พวกนางสามคนก็ได้ ‘ตั้งใจคัดเลือก’ บัณฑิตที่เดินทางไปสอบในเมืองหลวงมาคนหนึ่ง ช่างซับซ้อนยุ่งยากเต็มไปด้วยปัญหา ทำให้คนต้องรอคอยอยู่เนิ่นนาน หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันเคยเตือนไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นหากพวกเขาเพียงแค่มัวแต่จับจ้องเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่อยู่ในอาณาเขตภูเขาบ้านตนเท่านั้น คาดว่าเวลานั้นศาลเทพภูเขาก็คงอัตคัดขัดสนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแล้ว
แรกเริ่มบัณฑิตคนนั้นไม่อยากจะเดินผ่านเส้นทางภูเขาเลยด้วยซ้ำ มีแต่จะอ้อมผ่านศาลเทพภูเขาไป ทีนี้จะทำอย่างไร ก็ทำตามวิธีที่เฉินผิงอันบอกอย่างไรล่ะ ลงจากภูเขาไปเข้าฝัน!
ตามการประมาณการณ์ของเหวยเว่ย ความสามารถในการสอบเคอจวี่ของบัณฑิตผู้นั้นไม่เลว ดูจากโชคชะตาบุ๋นบนร่างของเขาก็น่าจะได้ตำแหน่งถงจิ้นซื่อมาครอง ขอแค่ไม่ทำผิดพลาดในสนามสอบก็เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว แต่หากคิดจะสอบเป็นจิ้นซื่อระดับสองกลับค่อนข้างลุ้นได้ยากแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย หากบวกกับตะเกียงขุนเขาสายน้ำสีแดงใบใหญ่ที่จุดอยู่ด้านหลังบัณฑิตซึ่งเป็นโชคชะตาบุ๋นที่เหวยเว่ยมอบให้เข้าไปด้วย ก็มีหวังจะเลื่อนเป็นอันดับสองจริงๆ
ก็แค่ว่าหน้าตาของบัณฑิตคนนั้นค่อนข้างอัปลักษณ์ไปสักหน่อย หน้าเหมือนแตงเบี้ยวพุทราแตก
แรกเริ่มสาวใช้ของเหวยเว่ยยังไม่ใคร่จะยินยอม รังเกียจว่าบัณฑิตขี้เหร่เกินไป บอกว่านาง…กินไม่ลงจริงๆ
ทำเอาเหวยเว่ยโมโหจนบิดหูนาง ด่าว่านางโง่เง่า แค่เข้าฝันเท่านั้น ยังจะกินอีก กินอะไรกัน ไม่ใช่ให้เจ้าไปสร้างฝันวสันต์เมฆคล้อยฝนตกกับเขาโดยตรงเสียหน่อย
หลังจากการเข้าฝันอันย่ำแย่ครั้งหนึ่งผ่านไปก็ช่างโชคดีที่บัณฑิตผู้นั้นเพิ่งเคยเจอกับเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่อย่างนั้นในฝันที่มีข้อพิรุธเต็มไปหมด ขนาดเหวยเว่ยเองก็ยังรู้สึกว่าอนาถจนมิอาจทนมองได้ไหว ภายหลังนางจึงกัดฟัน ขอทำเนียบขุนเขาสายน้ำมาฉบับหนึ่ง เทพภูเขาลงจากภูเขาต้องพยายามอยู่ให้ห่างจากเส้นทางน้ำ เดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างระมัดระวัง ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันพูดถึง ‘ขุนนางสำคัญบางคนในราชสำนัก’ แต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจน ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เหวยเว่ยสนิทกับเจ้าคนที่กุมอำนาจอยู่ในราชสำนักผู้นี้มาก เพียงแต่รอกระทั่งเหวยเว่ยได้เป็นเหนียงเนียงเทพภูเขา ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมใจกันขีดเส้นแบ่งขอบเขตระหว่างกันอย่างชัดเจน
ไอ้หมอนั่นไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน ยิ่งไม่เห็นความสัมพันธ์ในวันวาน พูดจาภาษาขุนนางที่วกวนไปมา อะไรที่บอกว่าวิถีแห่งเคอจวี่คือเรื่องใหญ่แห่งแคว้น ไม่เหมาะจะสอดมือเข้าแทรก เป็นการทำลายกฎเกณฑ์
เหวยเว่ยที่เดิมทีไม่อยากจะพูดถึงเฉินผิงอันสักเท่าไรจนปัญญาจริงๆ จึงได้แต่ยกชื่อของเซียนกระบี่ท่านนี้ขึ้นมาอ้าง
ดีนักนะ
เฉินผิงอันสามคำนี้ก็สมกับเป็นโอสถวิเศษที่ดีที่สุดในใต้หล้าจริงๆ
แม้ตอนนั้นเจ้าหมอนั่นจะเอ่ยเพียงประโยคว่า ‘ไม่อาจฝากความหวังไว้ได้มากนัก’ แต่มารยาทการคบค้าสมาคมกับคนบนโลกน้อยนิดแค่นี้ เหวยเว่ยยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง บัณฑิตผู้นั้นมีโอกาสถึงเก้าในสิบส่วนที่จะชิงตำแหน่งจิ้นซื่อมาได้แล้ว ส่วนสามอันดับของขั้นแรก เหวยเว่ยไม่กล้าเพ้อฝันจริงๆ ขอแค่อย่าได้อยู่อันดับล่างสุดในบรรดาจิ้นซื่อก็พอ
ผลคือบัณฑิตคนนั้นได้อันดับที่สองมาครองโดยตรง แน่นอนว่าบัณฑิตต้องรู้สึกราวกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่เหวยเว่ยกับสาวใช้สองคนได้ยินข่าวดีใหญ่เทียมฟ้านี้ อันที่จริงก็รู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไร
พอจิ้นซื่อคนล่าสุดของรายชื่อกระดานทองคำมีเวลาว่างก็ไม่มัวชักช้าอืดอาด รีบโบยแส้ควบม้าเร็วตรงดิ่งมาถึงศาลเทพภูเขาโดยตรง พอมาถึงก็จุดธูปโขกหัว น้ำตาร้อนเอ่อคลอในกรอบดวงตา ช่วงเวลาที่เขาแสดงจิตศรัทธาอย่างจริงใจถึงที่สุดนั้นก็ได้เห็นควันธูปบริสุทธิ์ในศาลลอยอวลขึ้นมา พริบตานั้นจิตของเหวยเว่ยก็บรรลุธรรมกระจ่างแจ้ง
นางเหมือนเข้าใจหลักการเหตุผลยาวเป็นพรวนทั้งหมดในรวดเดียว เข้าใจอย่างแท้จริงว่าควรจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในสถานที่แห่งหนึ่งอย่างไร
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินยาวข้างต้นสนโบราณหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าช้าๆ
ทางฝั่งของเหวยเว่ยก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง บอกว่าคุณชายเฉินที่รักหยกถนอมบุปผาของเราท่านนี้ พูดจาชั่วร้ายได้คล่องปากกว่าพวกเราเสียอีก คนเราจะดูกันแต่หน้าตาภายนอกไม่ได้จริงๆ
แล้วก็เล่าเรื่องในบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นขึ้นมาอีก เหวยเว่ยถึงกับกุมท้องหัวเราะก๊าก
เฉินผิงอันเหลือกตามองบน
ไม่อยากจะถือสานาง
ในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำโดยรอบศาลมีโคมไฟสีแดงขนาดเท่ากำปั้นแขวนไว้มากมายจริงๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ถึงการปกป้องคุ้มครองจากเทพภูเขา มองแล้วน่ารักเพลินตา
มีทั้งของตระกูลใหญ่ แล้วก็มีของตรอกเก่าโทรมในหมู่ชาวบ้าน
เมล็ดพันธ์กรรมดีหนึ่งเมล็ด ขอแค่สามารถผลิดอกออกผลได้อย่างแท้จริงก็มีโอกาสที่บุปผาจะบานสะพรั่ง
หนึ่งเรื่องราบรื่นร้อยเรื่องก็ราบรื่น
ชายแดนของสองแคว้นไม่มีสี่พิฆาตแห่งแคว้นซูสุ่ยที่คอยออกอาละวาดทำร้ายคนอะไรอีกแล้ว เดิมทีก็เป็นสถานที่ที่ภูเขาสายน้ำงดงาม มีทั้งภูเขาตระหง่านหน้าผาสูงชันที่เหมาะแก่การมาผจญภัย แล้วก็มีสถานที่ที่ก้าวเดินได้ง่ายซึ่งเหมาะแก่การชมทัศนียภาพ ไม่อย่างนั้นเหวยเว่ยก็คงไม่มีทางเลือกสถานที่แห่งนี้ บวกกับที่มีเรื่องเล่าประหลาดอีกมากมาย ในอาณาเขตของศาลยังมีถนนทางหลวงอีกเส้นหนึ่ง เมื่อวิถีทางโลกกลับมาสงบสุขอีกครั้ง พวกบัณฑิตและหญิงสาวที่ออกมาเที่ยวชานเมือง มาเที่ยวเล่นตามภูเขาสายน้ำจึงมีเพิ่มมากขึ้นด้วย คนในยุทธภพ บัณฑิตนักศึกษาที่ออกทัศนาจร พ่อค้าและผู้คุ้มกัน สามลัทธิเก้าสาขา ควันธูปของศาลเทพภูเขายิ่งนานจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
มีผู้แสวงบุญรายใหญ่คนหนึ่งมาเยือนที่ศาลด้วยจิตศรัทธาอันเต็มเปี่ยม บริจาคเงินค่าน้ำมันก้อนใหญ่น่าดูชม
ดังนั้นเหวยเว่ยจึงสร้างวัดแห่งหนึ่งขึ้นมาในอาณาเขตบ้านตัวเอง ขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็ยังจ้างคนเฝ้าศาลมาโดยเฉพาะ นำเทวรูปผุพังที่เคยรวบรวมไว้เมื่อนานมาแล้วมาซ่อมแซมใหม่อีกครั้ง บ้างก็ปิดทอง บ้างก็ลงสี สรุปก็คือเงินของผู้แสวงบุญรายใหญ่คนนั้น นางไม่ได้อมไว้เองแม้แต่ตำลึงเดียว
ส่วนผู้แสวงบุญของจังหวัดคนหนึ่ง มีครั้งหนึ่งที่ตั้งใจมาจุดธูปในวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่งโดยเฉพาะ วันที่สิบสี่ก็มารออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว พอได้เห็นวัดก็พึงพอใจอย่างมาก คนมีเงิน บางทีอาจจะเลอะเลือนในเรื่องอื่น แต่ในเรื่องของการหาเงินและการใช้จ่ายเงินกลับถูกหลอกได้ยากที่สุด ดังนั้นจึงมองถึงความพิถีพิถันในการลงมือทำของศาลเทพภูเขาออกทันที เขาที่ใจป้ำมากจึงควักเงินออกมาอีกก้อนใหญ่ บริจาคให้กับทางศาลเทพภูเขา ถือว่าเป็นการมอบของขวัญตอบแทนกลับคืน
เหวยเว่ยเคยเป็นผีมาก่อน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเงิน เวลาปกติที่นางคบค้าสมาคมด้วย ส่วนใหญ่ก็คือเงินเทพเซียน แต่เรื่องของควันธูปนั้นก็มิอาจใช้เงินเทพเซียนมาหักลบกันได้จริงๆ
ผู้มีจิตศรัทธารายใหญ่ที่รูปโฉมธรรมดาไม่สะดุดตาแม้แต่น้อยก็เป็นแค่คนธรรมดาที่หาเงินมาจากล่างภูเขาเท่านั้น แต่ตอนนั้นเขาได้เอ่ยเหตุผลที่จริงใจมากข้อหนึ่งที่ทำให้เหวยเว่ยจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
‘อันที่จริงไม่ใช่ว่าข้ากำลังทำความดี บริจาคเงินทองให้ผู้อื่น แต่เป็นคนอื่นที่บริจาคบุญสัมพันธ์ให้กับข้า’
เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ลั่วจิง
จนถึงทุกวันนี้ฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยเสด็จมาเยือนเมืองหลวงแห่งที่สอง
หลิ่วชิงเฟิงเจ้ากรมผู้เฒ่ากรมพิธีการของเมืองหลวงแห่งที่สองแก่หง่อมเต็มที นอนป่วยติดเตียงลุกไม่ขึ้น ไม่ได้ไปที่ว่าการมานานมากแล้ว
อันที่จริงใต้หล้าไพศาลก็เคยมีตัวอย่างของราชวงศ์ไม่น้อยที่มีเมืองหลวงสองแห่ง สามแห่ง หรือถึงขั้นที่ว่ามีเมืองหลวงสำรองมากยิ่งกว่า
ที่ว่าการของลั่วจิงในทุกวันนี้ไม่ได้มีแค่กรมพิธีการเท่านั้น แม้แต่ที่ว่าการแห่งอื่นก็ยังมีขุนนางเสนอว่า ให้เมืองหลวงสองแห่งเหนือใต้เป็นเมืองหลวงประจำแคว้นทั้งคู่ ไม่มีการแบ่งหลักรอง
คลื่นใต้น้ำซัดถาโถม
ความคิดสองอย่าง แค่พูดออกมาแบบเดียวก็เท่านั้น
วันนี้ผู้เฒ่าได้ยินเสียงเรียกขาน ‘อาจารย์หลิ่ว’ ที่ไม่ได้ยินมานานก็ลืมตาขึ้น เพ่งสายตามองไป กว่าจะมองเห็นแขกไม่ได้รับเชิญซึ่งปรากฎร่างขึ้นมาจากความว่างเปล่าคนนั้นได้ชัดเจนก็ต้องเปลืองแรงไปไม่น้อย เขาพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เมื่อเทียบกับความระมัดระวังของปีนั้น ทุกวันนี้กลับทำตามใจปรารถนามากขึ้นแล้ว เป็นเรื่องดี เชิญนั่งตามสบายเถอะ”
หลิ่วชิงเฟิงลุกขึ้นนั่ง หยิบหมอนมาหนุนหลังตัวเอง
อันที่จริงในห้องอุ่นยังมีสาวใช้อยู่คนหนึ่ง
เฉินผิงอันหาเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้ววางลงเบาๆ นั่งห่างจากริมเตียงมาไม่ไกล สองมือวางไว้บนหัวเข่า เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์หลิ่วนอนพูดก็ได้”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “วันหน้ายังมีเวลาได้นอน ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อน”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
หลิ่วชิงเฟิงชี้ไปที่โต๊ะหนังสือ “ราชวงศ์แห่งหนึ่งควรจะปกครองจัดการขุนนางละโมบอย่างไร ไม่ต้องพูดมากแล้ว เป็นเรื่องสำคัญในสำคัญเว้นจากสองเรื่องอย่างแคว้นและสงคราม อีกทั้งในด้านนี้ต้าหลีของพวกเราก็ทำได้ดีมาก แต่ว่า วิถีแห่งการเป็นขุนนางของขุนนางน้ำใสบางคน ข้อเสียอาจไม่เห็นแน่ชัด ข้าคิดจะยกพู่กันเขียนตัวอักษรกลับยากแล้ว ได้แต่อาศัยตอนที่ยังไม่ตาย ใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่อธิบายผ่านปากเปล่า ให้คนเขียนลงบันทึกแทน รีบเขียนฎีกาขึ้นหนึ่งฉบับ คิดไปเองว่าคนเป็นขุนนางไม่ควรละโมบในเงินทอง จึงดื้อดึงยืนกรานในความคิดตัวเอง ทำอะไรโหดเหี้ยมทารุณ มิใช่ทางสายกลางตามคำสอนของอริยะปราชญ์”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เคยเห็นคำกล่าวทำนองเดียวกันนี้จากในรวมเล่มบันทึกท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง บอกว่าขุนนางละโมบเป็นภัยแก่แคว้นแค่สามส่วน ทว่าภัยที่มาจากขุนนางน้ำใสประเภทนี้กลับมีมากถึงเจ็ดส่วน”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พูดเกินจริงไปหน่อย แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล ไม่พูดประโยคประหลาด ไม่พูดแรงๆ สักสองสามคำ ใครจะฟังใครจะอ่านกันเล่า”
“ใช่แล้ว ตำราเล่มนั้นข้าเคยอ่านเหมือนกัน ช่วยสตรีเปลี่ยนชื่อจาก ‘ชุ่ยหวน’ ไม่ไพเราะเท่า ‘หวนชุ่ย’ นะ”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ พยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยว่า “ที่แท้อาจารย์หลิ่วก็เคยอ่านมาก่อนจริงๆ เสียด้วย”
บันทึกท่องเที่ยวเล่มนั้นขายได้ไม่มากนักในแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งไม่ได้มีการพิมพ์ซ้ำมานานแล้ว
นี่แสดงให้เห็นถึงความจำที่ดีและการอ่านตำราที่หลากหลายของเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคนนี้ นี่ก็คงจะเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าผู้ที่มีความรู้และความจำดีเยี่ยมแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้เฒ่ายังไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งด้วย
“จุดที่อ่านแล้วชอบใจที่สุดก็คือคนในตำราช่วยให้สตรีที่มีชาติกำเนิดเป็นโสเภณีผู้นี้หลุดพ้นจากห้วงมหาสมุทรแห่งความทุกข์ มีทั้งเหตุผลส่วนรวมและส่วนตัว ค่อยๆ ขยับเพิ่มไปทีละขั้น รัดกุมจนน้ำไม่ไหลสักหยด”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า “เป็นอย่างที่อาจารย์หลิ่วพูด เป็นเช่นนี้จริงๆ”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “ทำเรื่องดีเรื่องหนึ่งได้อย่างรอบคอบไร้ช่องโหว่ ทำให้คนที่ได้รับประโยชน์ไม่ต้องเป็นทุกข์กับภัยแฝงที่อาจตามมาภายหลัง ต่อให้จะเป็นแค่เรื่องราวในตำรา คนอ่านอย่างเจ้าและข้าเปิดตำรามาถึงจุดนี้ก็ยังต้องปลาบปลื้มชื่นชมอยู่หลายส่วน”
เฉินผิงอันก็ได้แต่พยักหน้ารับต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้น
หลิ่วชิงเฟิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “หลิ่วชิงซานกับหลิ่วป๋อฉี วันหน้าต้องรบกวนให้อาจารย์เฉินคอยช่วยดูแลพวกเขามากๆ แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์หลิ่ววางใจได้เลย”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มเอ่ย “หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น มิอาจดูแลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องละอายใจ หากทำอย่างที่ว่านี้ไม่ได้ เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถิด ต่างคนต่างไม่สร้างความลำบากใจให้กัน เจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่ต้องวางใจกับเรื่องนี้”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ท่านวางใจได้”
หลิ่วชิงเฟิงมองเฉินผิงอัน เอ่ยหยอกเย้าว่า “ยังคงเป็นการขึ้นเขาไปเป็นเทพเซียนที่ดีกว่าจริงเสียด้วย”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
หลิ่วชิงเฟิงโบกมือ รู้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้อยากจะพูดอะไร
“บัณฑิตอ่อนแอเช่นข้าทนกับเรื่องลำบากเล็กๆ ได้ไหว แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจทนกับความเจ็บปวดได้เลย จุ๊ๆ อะไรที่บอกว่าเลือดเนื้อถูกกรีดถลก โครงกระดูกขาวตั้งยืน แค่คิดก็ชาไปทั้งหนังหัวแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่มีความคิดนั้น ต่อให้มีทางลัดในการเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำให้เดิน ข้าก็ไม่มีทางเดิน คนอื่นไม่เข้าใจ เจ้าน่าจะเข้าใจ”
เฉินผิงอันจึงไม่โน้มน้าวอะไรอีก
ผู้เฒ่ากระแอมสองสามทีแล้วก็พลันเอ่ยเรียก “เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์หลิ่ว?”
ผู้เฒ่ามองเซียนกระบี่บนภูเขาที่มองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มากคนนี้ก็ราวกับว่าได้เปิดตำรามาเจอหน้าที่รู้ใจเขาที่สุดในชีวิตนี้ จึงหลับตาพึมพำว่า “แม้โลกจะแปรปรวนดุจพายุฝน แต่ใจข้ากลับแจ่มกระจ่างเป็นพิเศษ”