กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 871.1 ช่างน่าเสียดาย
ภูเขาตะวันเที่ยง หอกว้ออวิ๋น
ฟ้าใสหลังสายฝนชะผ่าน อากาศปลอดโปร่งสดชื่น
ท่าเรือป๋ายลู่นอกภูเขา ต้นกกต้นออเป็นพุ่มๆ พากันออกดอกแล้ว ต้นข้าวบนนาขั้นบันไดกลายเป็นสีเหลืองอร่ามไปทั้งแถบ
ภูเขาหลายลูกของภูเขาตะวันเที่ยงที่ห่างออกไปไกล ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย ดินไม้ก่อสร้าง ซ่อมแซมแก้ไข
ห้องอักษรเจี่ยที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดห้องนั้นไม่มีแขกมาเข้าพัก เฉินผิงอันจึงเข้าไปในห้อง ยกเก้าอี้หวายมาที่ระเบียงชมทัศนียภาพแล้วนั่งลง ทอดสายตามองไกลไปยังยอดเขาชิงอู้ที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือเบาๆ
เรื่องบางเรื่องหากเริ่มต้นแล้วก็ยากที่จะล้มเลิกได้ ยกตัวอย่างเช่นชื่นชอบใคร หรือยกตัวอย่างเช่นการดื่มเหล้า
บนโต๊ะเหล้า เฉินผิงอันได้เห็นเรื่องราวและความสัมพันธ์ผู้คนมามากมาย ดื่มเหล้าสามารถทำให้คนพูดน้อยเปลี่ยนเป็นคนคุยเก่ง สามารถทำให้คนที่เวลาปกติชอบตะโกนเสียงดังพึมพำเสียงเบา สามารถทำให้คนมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่กลับน้ำตาคลอโดยที่ไม่รู้ตัว สามารถทำให้คนแก่คนหนึ่งกลับกลายไปเป็นเด็ก
ไม่รู้ว่าโจวอันดับหนึ่งบ้านตนไปถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วจะเจอกับเหตุการณ์แบบใด แล้วจะสร้างความวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงไหน
ใบหลิวหนึ่งใบสังหารเซียนเหริน
ส่วนวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเจียงซ่างเจิน เฉินผิงอันไม่เคยถามมาก่อน
ชุยตงซานกลับเคยเล่าให้ฟังอยู่บ้าง บอกว่าระดับขั้นของกระบี่บินโจวอันดับหนึ่งสูงมาก ฉายประกายคมกริบ คฤหาสน์หลบร้อนสามารถประเมินให้เป็นระดับหนึ่งได้เลย ขึ้นภูเขาปีนหน้าผา ข้ามน้ำผ่านลำคลอง เจอเสื้อเกราะทะลวงเสื้อเกราะ
เรื่องที่ค่อนข้างอยู่เหนือการคาดการณ์ก็คือหนีเยว่หรงที่เดิมทีควรไปอยู่ที่อาณาเขตขุนเขากลางของต้าหลี ตอนนี้กลับอยู่ในโรงเตี๊ยมด้วย ดูเหมือนว่าจะกำลังตรวจบัญชีอยู่
หนีเยว่หรงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศฟ้าดินที่ผิดปกติ จึงรีบวางสมุดบัญชีที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งเจ็บปวดใจลง รีบมาที่นี่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ก่อนที่นางจะมายังได้ขอพรในใจอยู่เงียบๆ ว่าอย่าให้เป็นคนผู้นั้น ขออย่าให้เป็นคนผู้นั้นเด็ดขาดเชียว…
คงเป็นเพราะเวลาปกติเข้าวัดทำบุญน้อยครั้ง กลัวอะไรจึงเจออย่างนั้น หนีเยว่หรงเบี่ยงตัวเล็กน้อย ยอบกายคารวะแขกที่ไม่ได้รับเชิญ นางลังเลอยู่ชั่วขณะ มองประเมินอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แต่ก็ยังจงใจใช้คำเรียกขานที่ค่อนข้างห่างเหิน “คารวะเฉาเซียนซือ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง ยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือขึ้น เอ่ยว่า “ต้องแสดงความยินดีกับหนีเซียนซือก่อนที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกคน รับหน้าที่เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสำนักเบื้องล่างภูเขาตะวันเที่ยง”
หนีเยว่หรงรีบยอบกายคารวะอย่างสงบสำรวมอีกครั้ง
หากจะคิดกันจริงๆ จังๆ ขึ้นมา การที่นางได้รับเกียรติเลื่อนมาเป็นบุคคลลำดับที่สามของสำนักเบื้องล่างในอนาคต ก็ต้องขอบคุณการมาก่อกวนของเซียนกระบี่จากภูเขาลั่วพั่วท่านนี้จริงๆ
ไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นหัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุม ไม่มีทางวนมาถึงคราวขอบเขตประตูมังกรแห่งยอดเขาชิงอู้ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อย่างนางได้แน่ คิดอยากจะครอบครองตำแหน่งสำคัญของสำนักเบื้องล่าง? ช่างเป็นเรื่องงดงามที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าฝันถึง
นางที่เป็นอดีตเถ้าแก่เนี้ยะของโรงเตี๊ยมกว้ออวิ๋นไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เฉกเช่นเดียวกับเหวยเยว่ซานผู้เป็นศิษย์พี่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนที่เมื่อก่อนภายนอกดูปรองดองกันดีแต่แท้จริงแล้วกลับห่างเหิน ทุกวันนี้ความสัมพันธ์กลับใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น การร่วมทุกข์ในหายนะที่สำนักเกือบจะล่มสลายทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้มีความสัมพันธ์ของคนร่วมสำนักอย่างลึกซึ้งแท้จริง ก่อนที่หนีเยว่หรงจะออกไปจากสำนัก ทั้งสองฝ่ายเคยพูดคุยเปิดใจกันเป็นการส่วนตัวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุกวันนี้นางดูแลเงินที่สำนักเบื้องล่าง ในอนาคตก็จะต้องพยายามดูแลยอดเขาบ้านตนให้มากด้วย
หนีเยว่หรงถามอย่างระมัดระวัง “เรื่องของสำนักเบื้องล่าง ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าขึ้นชื่อว่ามีสหายอยู่ทั่วใต้หล้า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
หนีเยว่หรงไม่ได้มีท่าทีกระอักกระอ่วนสักเท่าใด การที่นางต้องคอยรับรองผู้คน คอยไปมาหาสู่กับผู้อื่นตลอดทุกปี หนังหน้าของนางจึงหนาเท่ากับสมุดบัญชีมานานแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสงสัย “เหตุใดหนีเซียนซือถึงยังอยู่ที่หอกว้ออวิ๋นแห่งนี้อยู่อีกเล่า?”
ตามหลักแล้วการเตรียมการก่อสร้างสำนักเบื้องล่างมีเรื่องราวมากมายซับซ้อน ในฐานะคนดูแลเงินจัดการกับบัญชี อีกทั้งยังเป็นขุนนางใหม่ที่เพิ่งมารับตำแหน่ง หนีเยว่หรงก็ไม่น่าจะปลีกตัวออกมาได้มากที่สุดถึงจะถูก
สีหน้าของหนีเยว่หรงเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนจริงสักเท่าไร ราวกับว่ากำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับอีกฝ่ายด้วยความมีมารยาทเกรงใจต่อกัน ทว่าก่อนหน้านี้ก็เป็นที่นี่ที่เฉินผิงอันนัดพบกับเจ้าสำนักจู๋หวง นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ สักครั้ง ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ตรงข้ามกัน เจ้าสำนักสองคนนี้ ไม่ว่าใครนางก็ไม่กล้ามองมากนัก
หนีเยว่หรงได้ยินคำถามนี้ก็รีบเก็บความคิดทั้งหลายกลับมา เลือกหาถ้อยคำมาตอบอย่างระมัดระวัง “ตอบเฉาเซียนซือ ครั้งนี้เยว่หรงมีธุระกะทันหันจึงจำต้องมาเยือนศาลบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบนสักครั้ง เกี่ยวกับเรื่องการค้าธูปเมฆาเรือง หวังว่าเจ้าสำนักจู๋จะช่วยตัดสินใจให้ เพราะทางภูเขาเมฆาเรืองได้ให้ราคา…”
“รายละเอียดเป็นอย่างไรไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเป็นแค่คนนอก อย่าได้ทำผิดกฎ”
เฉินผิงอันโบกมือขัดคำพูดของหนีเยว่หรง แล้วพูดชวนคุยว่า “ดูเหมือนกิจการของโรงเตี๊ยมจะซบเซาอยู่บ้าง”
หนีเยว่หรงเพียงแค่อืมรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่กล้ามีคำนินทาในใจแม้แต่ครึ่งคำด้วยซ้ำ
เหตุใดกิจการถึงไม่เจริญรุ่งเรือง ลูกค้าหร็อมแหร็ม? ต้องโทษใคร? แน่นอนว่าต้องโทษเถ้าแก่อย่างนางที่ไม่เข้าใจหลักของการทำการค้า
ไม่อย่างนั้นยังจะโทษเจ้าขุนเขาเฉินที่เพียบพร้อมไปด้วยมารยาทผู้นี้ได้อีกหรือ จะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
เจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาตะวันเที่ยงในอนาคต ก็คือหยวนป๋ายผู้ฝึกกระบี่จากราชวงศ์จูอิ๋งเก่า เพราะเคยมีการถามกระบี่กับหวงเหอแห่งสวนลมฟ้ามารอบหนึ่ง หยวนป๋ายจึงได้รับบาดเจ็บไปถึงรากฐานมหามรรคา หากไม่ผิดไปจากที่คาด ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์หนึ่งในสองหยกงามของจูอิ๋งเก่าในอดีตคนนี้ วิถีกระบี่ในชีวิตนี้คงต้องหยุดแค่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว
จู๋หวงเองก็เป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นคนหนึ่ง ระหว่างการเข้าร่วมพิธี หยวนป๋ายเคยป่าวประกาศต่อหน้าสายตาผู้คนมากมายว่าตัวเองได้ถอนตัวออกจากภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว วางท่าชัดเจนว่าหากไม่ลบชื่อเขาออกจากทำเนียบศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนของพวกเจ้า หยวนป๋ายก็จะถือเสียว่าได้ลบเลือนมันทิ้งไปกับมือตัวเองแล้ว
แน่นอนว่าสำนักเบื้องล่างในตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนที่หนีเยว่หรงพูด ยังไม่กล้าพูดว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน เพราะเมื่อผ่านมรสุมจากการเข้าร่วมงานพิธีในครั้งนั้น เรื่องไม่คาดฝันก็มีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ในการประชุมศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง ซ่งจ่างจิ้งได้ขอรายชื่อจากสำนักอย่างน้อยสามแห่งมาจากศาลบุ๋น ในบรรดาตัวสำรองของสำนักในแจกันสมบัติทวีป นอกจากภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้ก็ยังมีภูเขาเมฆาเรืองที่ยังขาดผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนไปคนหนึ่ง วัดโบราณของลัทธิพุทธที่อยู่ใกล้กับสระมังกรน้อยใหญ่ของภูเขาเยี่ยนตั้ง อารามเต๋าในภูเขาลูกหนึ่งของเฉาหรงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลู่เฉินในอดีต รวมไปถึงสำนักเบื้องล่างแห่งหนึ่งที่สำนักโองการเทพหวังว่าจะมี บวกกับตำหนักฉางชุนจวนเซียนในพื้นที่ของต้าหลี สรุปแล้วก็คือแต่ละฝ่ายแต่ละกองกำลัง ทุกวันนี้ต่างก็กำลังช่วงชิงรายชื่อสามชื่อนี้อยู่
เดิมทีภูเขาตะวันเที่ยงมีหวังที่จะได้เพิ่มสำนักเบื้องล่างที่เป็นสำนักอักษรจงแห่งหนึ่งมากที่สุด อย่าเห็นว่าซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีคอยปัดแข้งปัดขา จงใจขัดขวางไม่ให้ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ แล้วยังวางท่าว่าไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษากันแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วเขากับฮ่องเต้ต้าหลีคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ คนหนึ่งหน้าแดงคนหนึ่งหน้าขาว ทำให้ผู้ฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยงไม่ถึงขั้นกล้าไม่เห็นหัวใครในสายตามากเกินไป หลีกเลี่ยงไม่ให้ดูแลไม่ทั่วถึง ในอนาคตควบคุมได้ลำบาก ทั้งยังสามารถทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงยอมคายรากฐานของสำนักที่เป็นของแท้แน่นอนมาให้กับภายนอกมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถขจัดความแค้นเคืองที่จวนเซียนบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักอักษรจงเก่าแก่ส่วนหนึ่งมีต่อสกุลซ่งต้าหลีที่พยายามประคับประคองภูเขาตะวันเที่ยงอย่างสุดกำลังทิ้งไป
นอกจากยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัวแล้ว ราชสำนักต้าหลียังซ่อนวิธีรับมือภายหลังอีกอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าราชสำนักต้าหลีจะโปรดปรานภูเขาตะวันเที่ยงสักเท่าไร แต่เป็นเพราะสกุลซ่งต้าหลีกับแจกันสมบัติทวีปจำเป็นต้องรวบรวมโชคชะตาวิธีกระบี่ของหนึ่งทวีปที่เดิมทีกระจัดกระจายไปทั่วมาให้ได้มากกว่าเดิม
ดังนั้นการที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะสร้างสำนักเบื้องล่างขึ้นมา แท้จริงแล้วไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นมากนัก
ในสายตาของเฉินผิงอัน ถึงอย่างไรภูเขาเมฆาเรืองที่ชื่อเสียงดีที่สุด อีกทั้งเสียงเรียกร้องก็สูงที่สุดกลับกลายเป็นว่าไม่มีโอกาสเลื่อนเป็นสำนักอย่างเป็นทางการมากที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะขาดขอบเขตหยกดิบที่จะพิทักษ์ภูเขาไปคนหนึ่ง แต่เป็นเพราะต้าหลีมีแผนที่ลึกล้ำยาวไกลมากกว่านั้น
สำนักศึกษาซานหยา สำนักศึกษาหลินลู่ต่างก็ติดอันดับสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของศาลบุ๋นแล้ว บวกกับที่หนึ่งวัดหนึ่งอารามเลื่อนขั้นเป็นสำนัก ถ้าอย่างนั้นขงจื๊อ พุทธ เต๋าสามลัทธิก็ถือว่าได้ลงหลักปักฐานอยู่ในแจกันสมบัติทวีปอย่างแท้จริงแล้ว โชคชะตาขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปก็จะค่อยๆ มั่นคงขึ้น การโคจรแห่งวิถีฟ้าก็จะเข้ารูปเข้ารอย
ที่สำคัญที่สุดก็คือการสลายมรรคาของบรรพจารย์สามลัทธิทำให้แจกันสมบัติทวีปได้รับโชควาสนามากกว่าเดิม เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในแผนการที่ศิษย์พี่ชุยฉานกำหนดไว้แต่แรกแล้ว
เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองก็เหมือนกับนักเล่นหมากล้อมคนหนึ่ง เพียงแค่ต้องท่องจำการวางหมากแบบยอดเยี่ยม รูปแบบที่แน่นอนบางอย่างให้ได้ขึ้นใจ แล้วนำไปปะติดปะต่อกันบนกระดานหมาก ระยะยาวคือการรื้อถอนและตัดแบ่ง ระยะสั้นคือซ่อมแซมและผสานติดต่อ
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าการเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง เฉินผิงอันจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย วางแผนให้รอบคอบก่อนค่อยลงมือ เพราะเขาจำเป็นต้องให้ตัวเองได้ช่วงชิงโอกาสได้เปรียบจากการลงมือก่อน ต้องได้เป็นคนที่วางเม็ดหมากลงบนกระดานก่อน
ดังนั้นเมื่อเทียบกับศิษย์พี่ชุยฉาน เจิ้งจวีจงและอู๋ซวงเจี้ยงแล้ว เขาจึงยังห่างชั้นไกลนัก
ความสัมพันธ์กับผู้คนฝึกปรือมาอย่างไม่รู้ตัว แผนการลึกล้ำวางมาอย่างไม่เปิดเผยร่องรอย
ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิง อันที่จริงก็กำลังเติบโตเช่นเดียวกัน
ว่ากันว่าทุกวันนี้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีรายงานภูเขาสายน้ำหลายฉบับที่เริ่มศึกษาคนหนุ่มสาวของถ้ำสวรรค์หลีจูโดยเฉพาะแล้ว
หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่แตกหน่อหลังฝนตก เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ปลูกต้นไผ่ให้กลายเป็นผืนป่า
เมื่อครู่นี้หนีเยว่หรงเข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันบอกว่าการสร้างสำนักเบื้องล่างเป็นเรื่องเล็ก พูดค่อนแคะภูเขาตะวันเที่ยง จงใจสาดเกลือลงบนแผลสด
อันที่จริงนั่นก็เป็นเรื่องเล็กจริงๆ แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือภูเขาตะวันเที่ยงอย่าได้ก่อเรื่องอีก จงยอมก้มหัวขอร้องคนอื่นอย่างสงบเสงี่ยมแต่โดยดี ออกทั้งเงินออกทั้งคน ผู้ฝึกกระบี่ก็จงเข้าร่วมกองทัพอย่างว่าง่าย รับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ติดตามกองทัพม้าเหล็กต้าหลีลงสนามรบที่เปลี่ยวร้าง ถ้าอย่างนั้นเรื่องของสำนักเบื้องล่างก็ย่อมกลายเป็นดั่งน้ำมาคูคลองก่อเกิดแล้ว
ไม่ใช่ว่าหนีเยว่หรงไม่ฉลาดมากพอ แต่เป็นเพราะหอกว้ออวิ๋นและยอดเขาชิงอู้ต่างก็ไม่สูงมากพอ ต่อให้ผู้ฝึกตนยืนอยู่บนยอดเขาก็มองเห็นได้ไม่ไกล
เรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างแท้จริงก็คือเฉินผิงอันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะต้องให้ภูเขาตะวันเที่ยงล่มสลายไปด้วยตัวเองภายในเวลาหลายร้อยปี ยกตัวอย่างเช่นการเลือกสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วจะเลือกเป็นอาณาเขตของขุนเขากลางในแจกันสมบัติทวีป ไม่ใช่ใบถงทวีป คอยตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับภูเขาตะวันเที่ยงทุกเรื่อง ถ้าอย่างนั้นอีกไม่นานฝ่ายหลังก็จะต้องกลายเป็นน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด ได้แต่นั่งเฉยกินภูเขาจนว่างเปล่า
ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่มีวิธีงัดข้อกับพวกคนที่ฉลาดที่สุดในใต้หล้าพวกนั้น แต่หากจะให้จัดการกับพวกเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ชอบนั่งบ่อมองฟ้าอย่างพวกจู๋หวง เยี่ยนฉู่ กลับมากพอเหลือแหล่
หนีเยว่หรงถาม “เฉาเซียนซือ ขอให้ข้าเตรียมสุราและผลไม้มาให้ท่านได้หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ไม่นานศาลบรรพจารย์เพิ่งมอบวัตถุฟางชุ่นให้นางหนึ่งชิ้น มีชื่อว่า ‘ซู่เฟิงชิง’ (หลายยอดเขาเขียวขจี) ด้านในเก็บแกนม้วนภาพที่เป็นหยกขาวชิ้นนั้นเอาไว้ เดิมทียอดเขาชิงอู้บ้านตนก็มีอยู่แล้วหนึ่งชิ้น แต่ศิษย์พี่ต่างหากที่เป็นเจ้ายอดเขา จึงวนมาไม่ถึงมือนาง
ตามกฎบรรพบุรุษของยอดเขาอีเซี่ยน สมบัติหนักของสำนักทั้งหมดที่ถูกจดบันทึกลงบัญชีจะมอบให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดใช้เท่านั้น และยังคงถือว่าเป็นของศาลบรรพจารย์
ก็เหมือนเทพธิดาซูเจี้ยในอดีตที่พอถูกหวงเหอแห่งสวนลมฟ้าทำลายจิตแห่งกระบี่ให้แหลกสลาย ก่อนที่นางจะลงจากภูเขาไปอย่างหม่นหมองในปีนั้นก็ต้องคืนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นกลับมา
เฉินผิงอันเอ่ยปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ไม่ต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้ ข้าไม่ได้มาเพื่อรีดไถเสียหน่อย ก็แค่ผ่านทางมาเท่านั้น”
ในการมองเห็นของเขา ยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงหลังจากฝนตกมีทัศนียภาพแตกต่างกันออกไป ระหว่างยอดเขาสุ่ยหลงกับยอดเขาอวี่เจี่ยวที่เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ แล้วโชคชะตาน้ำค่อนข้างเข้มข้นถึงกับมีสายรุ้งเส้นหนึ่งพาดผ่าน ช่างเป็นภาพที่มีกลิ่นอายเซียนล่องลอยเสียจริง
ยอดเขาอีเซี่ยน ภูเขาเดียวดายน้อยใหญ่ ยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่ ยอดเขาหม่านเยว่ ภูเขาชิวลิ่ง ยอดเขาสุ่ยหลง ยอดเขาป๋าอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียน ยอดเขาฉงจือ ยอดเขาอวี่เจี่ยว ยอดเขาจูอวี๋ ยอดเขาชิงอู้…
นี่ก็คือสำนักศัตรูแห่งแรกของภูเขาลั่วพั่ว
ยอดเขาหม่านเยว่ของเซี่ยหย่วนชุ่ยกับภูเขาชิวลิ่งที่จู๋หวงออกคำสั่งให้ปิดภูเขา เซี่ยหย่วนชุ่ยกับเถาแยนโป เซียนกระบี่ผู้อาวุโสสองคนหนึ่งหยกดิบหนึ่งก่อกำเนิดได้กลายเป็นพันธมิตรกันจริงดังคาด
ภูเขาชิวลิ่งสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมากที่สุด เถาแยนโปลาออกจากตำแหน่งเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสำนักด้วยตัวเอง ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าจะปิดประตูทบทวนตัวเองหกสิบปี เยี่ยนฉู่แห่งยอดเขาสุ่ยหลงลาออกจากการเป็นผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์ มารับหน้าที่ดูแลเงินทองของสำนักแทน ถือว่าเอาชื่อเสียงจอมปลอมมาแลกกับผลประโยชน์ที่แท้จริง เซี่ยหย่วนชุ่ยที่มีความอาวุโสมากที่สุดเข้ารับตำแหน่งผู้คุมกฎแทนเยี่ยนฉู่ ถึงอย่างไรก็เป็นผลประโยชน์ที่หากไม่คว้าไว้ก็เสียเปล่า
เหลิ่งฉี่บรรพจารย์หญิงแห่งยอดเขาฉงจือปิดด่านไม่ต้อนรับแขก ทุกวันนี้ยอดเขาของนางก็ใกล้เคียงกับการปิดภูเขาแล้ว ก่อนที่เหลิ่งฉี่จะ ‘ปิดด่าน’ ได้มอบกิจธุระไม่น้อยไว้ให้หลิ่วอวี้จัดการ ซึ่งก็คือผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ถามกระบี่กับหลิวเสี้ยนหยางเป็นคนแรก
ส่วนอวี่หลิ่นเจ้ายอดเขาอวี่เจี่ยว เซียนกระบี่โอสถทองที่อายุน้อยมากความสามารถคนนี้ คาดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีความกล้าที่จะถามกระบี่กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนอีกแล้ว
ซือถูเหวินอิงที่มาจากยอดเขาหม่านเยว่ยอมตายตกกลายเป็นผี ทว่าสุดท้ายก็ยังคงจากไปเช่นนั้น ตอนมีชีวิตอยู่และหลังจากตายไปแล้วก็ลุ่มหลงในตัวของหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้ามาโดยตลอด แต่นางกลับไม่รู้ว่าหลี่ถวนจิ่งที่สละร่างไปจุติใหม่ได้กลับมาอยู่ไกลสุดขอบฟ้าใกล้เพียงตรงหน้า แท้จริงแล้วก็คือเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ถูกเถียนหว่านแห่งยอดเขาจูอิ๋งพาขึ้นเขามาคนนั้น
จู๋หวงพลันตั้งกฎข้อใหม่ขึ้นมา ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักของภูเขาตะวันเที่ยง นับแต่นี้ไปยอดเขาอีเซี่ยนจะไม่แต่งตั้งตำแหน่งผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาขึ้นมาอีก
เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาด ยิ้มเอ่ยว่า “คงต้องกลับคำเสียแล้ว รบกวนหนีเซียนซือไปที่ห้องเก็บสุราเอาสุรามาสองกาที”
หนีเยว่หรงรีบขอตัวไปเอาเหล้าทันที
ไม่กล้าเพิกเฉย ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา หนีเยว่หรงเอาเหล้าหมักฉางชุนที่หอกว้ออวิ๋นเก็บรักษามานานหลายปีมาสองกา เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายมาโดยตลอดกลับรับมาแค่กาเดียว เขาโบกชายแขนเสื้อ ย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องมาที่ระเบียงชมทัศนียภาพแห่งนี้
หนีเยว่หรงเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ หลังจากนั่งลงแล้วนางก็เปิดผนึกดินของเหล้ากาหนึ่งออก จิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำ
เฉินผิงอันแกว่งกาเหล้า เอามาวางไว้ข้างหู ฟังเสียงสุราในกาแล้วพลันยิ้มเอ่ยว่า “เป็นสุราจริง น่าเสียดายที่ระเหยไปไม่น้อย”
แค้นใหม่แค้นเก่า เหล้าใหม่เหล้าเก่า
บางทีแค้นใหม่บางอย่างได้กลายเป็นแค้นเก่าที่สะสมมานานหลายปีก็เหมือนสุราที่สามารถระเหยไปได้ ปริมาณในแต่ละปีจึงลดน้อยลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว
แต่ก็มีความอาฆาตบางอย่างที่เป็นเหมือนโจวอันดับหนึ่งว่าไว้ เหมือนปากของตะพาบเฒ่าที่กัดแน่นไม่ยอมปล่อย
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ศิลาที่ตั้งไว้ริมชายแดน ทางฝั่งของภูเขาตะวันเที่ยงมีคนแอบไปทำลายหรือไม่?”
เส้นเอ็นหัวใจของหนีเยว่หรงพลันขึงตึงขึ้นมาทันใด หวนกลับมาภูเขาตะวันเที่ยงครานี้ เซียนกระบี่เฉินมาเพื่อซักไซ้เอาผิดจริงๆ หรือนี่?
ที่ตนกำลังดื่มอยู่ก็คือสุราลงทัณฑ์?
เพียงแต่ว่าคนตั้งป้ายศิลาครึ่งตัวผู้นี้กลับเอ่ยประโยคที่ต่อให้หนีเยว่หรงคิดจนหัวแตกก็ยังไม่เข้าใจ “ป้ายศิลาจะตั้งอยู่ตรงนั้นไปอย่างยาวนาน นี่ก็คือกฎที่ภูเขาลั่วพั่วตั้งไว้กับภูเขาตะวันเที่ยง นอกจากนี้แล้วไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเจ้าก็ไม่ต้องเครียด ยกตัวอย่างเช่นถูกคนทำลายย่อยยับ ยอดเขาอีเซี่ยนก็แค่ตั้งศิลาขึ้นมาใหม่ สรุปก็คือข้าไม่จำเป็นต้องออกเงิน เพียงแต่ว่าอย่าถ่วงเวลานานเกินไป หากถูกคนโยนทิ้งไปไกลก็จะเป็นต้องย้ายกลับมาไว้ที่เดิม ร่องรอยตัวอักษรถูกปราณกระบี่ทำลายก็จำไว้ว่าต้องแกะสลักลงไปใหม่”
หนีเยว่หรงได้แต่ตอบตกลงเสียงเบา