กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 872.3 ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 872.3 ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น
เพียงไม่นานคนชุดเขียวก็หวนกลับมาที่ริมลำคลองเที่ยวโป ยังคงถือถ้วยขาวไว้ในมือ เพียงแต่ว่าในถ้วยมีน้ำเพิ่มมา
โต้วแยนผิดหวังอย่างมาก ฟ้าร้องดังแต่ฝนตกเบางั้นหรือ?
ถ้วยขาวใหญ่เพียงเท่านี้ ต่อให้ร่ายเวทตระกูลเซียน แต่จะยังบรรจุน้ำได้สักเท่าไรกัน? ยังไม่มากเท่ากระแสน้ำในลำคลองเที่ยวโปสายหนึ่งเลยด้วยซ้ำกระมัง? ทิ้งใกล้ไปแสวงหาสิ่งที่อยู่ห่างไกล ต้องการอะไรกันแน่?
เพียงแต่ว่าเฉินเหวินเชี่ยนกลับมีสีหน้าเครียดขรึม ถามว่า “เฉาเซียนซือไปยืมน้ำมาจากลำน้ำใหญ่หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไปไกลกว่านั้นเล็กน้อย เปลี่ยนสถานที่ที่ไปเอาน้ำมา”
เฉินเหวินเชี่ยนซักต่อ “น้ำมหาสมุทรรึ?!”
เฉินผิงอันพยักหน้า “อาจารย์เฉินโปรดวางใจ แม้ว่าจะเป็นน้ำที่อยู่ใกล้กับทางเข้ามหาสมุทร แต่ผู้เยาว์ได้ขจัดความขุ่นมัวเอามาแต่น้ำใส ตอนนี้อาจจะยังใสได้ไม่เท่าน้ำของลำคลอง แต่ในอนาคตหากให้เวลาอีกเล็กน้อย ระดับขั้นของโชคชะตาน้ำต้องไม่แย่เกินไปอย่างแน่นอน น้ำถ้วยนี้มีปริมาณที่ใช้ได้ มากพอจะประคับประคองหนองบึงใหญ่หรือทะเลสาบที่กว้างสามร้อยลี้แห่งหนึ่งเลยทีเดียว”
เฉินเหวินเชี่ยนจนคำพูด
นี่เรียกว่า ‘ใช้ได้’?
เล่าลือกันว่าเซียนเหรินบรรพกาล ในชายแขนเสื้อมีมหาสมุทรบูรพา!
โต้วแยนเบิกตากว้าง ยืดคอยาวมองมายังน้ำในถ้วย คนหนุ่มคงไม่ได้คุยโวโดยไม่ต้องร่างคำพูดหรอกกระมัง?
เฉินผิงอันส่งถ้วยขาวที่บรรจุน้ำจนเต็มให้กับเฉินเหวินเชี่ยน ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์เฉินได้รู้จักกับอาจารย์ผู้เฒ่าชุยก็คือการคบค้าสมาคมกันของวิญญูชนที่สะอาดเจือจางเหมือนน้ำเปล่า”
เฉินเหวินเชี่ยนก็ไม่ใช่คนที่คร่ำครึอะไร รับถ้วยน้ำใบนั้นมาอย่างเปิดเผย
รอกระทั่งเฉินเหวินเชี่ยนรับถ้วยน้ำที่ไม่หนักไปแล้ว เฉินผิงอันก็มองประเมินไปยังขุนเขาสายน้ำรอบด้าน สองนิ้วประกบติดกัน ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษยันต์ก็วาดเส้นโค้งต่างอักขระ วาดวงกลมหนึ่งวง กำหนดขอบเขตก่อน จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ เพียงชั่วพริบตานั้นขุนเขาสายน้ำพลันสั่นสะเทือน ห่างไปหลายลี้ด้านข้างลำคลองเที่ยวโป จุดที่เชื่อมต่อกับสันเขาเตี๋ยอวิ๋น อาณาเขตสามร้อยลี้พลันยุบถล่มลง ทว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายกลับถูกคนชุดเขียวสะบัดชายแขนเสื้อ พวกมันก็เหมือนขี่เมฆทะยานหมอก ถูกพัดให้ไปหล่นร่วงอยู่บนชายฝั่งของลำคลองเที่ยวโปตอนบน จากนั้นก็กำมือหลวมๆ ขยำรากดินฐานภูเขาที่ยุบถล่มให้เป็นก้อนดินขนาดเท่าเมล็ดงา ถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในมือ จากนั้นใช้นิ้ววาดยันต์ เลียนแบบลู่เฉินตอนที่อยู่นครเซียนจานซึ่งใช้หนึ่งคนหนึ่งยันต์ แยกกันวาดยันต์อักษรน้ำไว้ด้านใต้หลุมใหญ่และวาดยันต์อักษรภูเขาลงในก้อนดินที่อยู่ในมือ ในอนาคตทะเลสาบใหญ่จะสร้างสถานการณ์ขุนเขาสายน้ำแอบอิงร่วมกับสันเขาเตี๋ยอวิ๋น
ช่างสมกับเป็นฝีมือของเทพเซียน
พ่อปู่ลำคลองคนหนึ่ง เทพภูเขาคนหนึ่ง เผชิญหน้ากับวิชาย้ายภูเขาเคลื่อนสายน้ำประเภทนี้ เพราะไม่เคยพบเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงเป็นเหตุให้ร่างทองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำของทั้งสองสั่นสะเทือน จิตวิญญาณก็แกว่งไกวอย่างห้ามไม่ได้
เฉาเซียนซืออะไรกัน ต้องเรียกว่าเฉาเซียนเหริน เฉาเซียนจวินถึงจะเหมาะกว่ากระมัง
เฉินผิงอันยื่นดินก้อนกลมขนาดจิ๋วเท่าเมล็ดซิ่งให้กับโต้วแยน ยิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่โต้ว พบเจอกันโดยบังเอิญ แค่พบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน วันหน้าค่อยมาขอเหล้าจากพี่ใหญ่ดื่ม ยันต์อักษรภูเขานี้สามารถวางไว้ตรงรากภูเขาในอาณาเขตได้ วันหน้าเมื่อปราณแห่งดินก่อกำเนิดก็จะมีประโยชน์ต่อโชคชะตาภูเขาของสันเขาเตี๋ยอวิ๋นอยู่บ้าง ส่วนจุดเชื่อมต่อระหว่างสันเขาเตี๋ยอวิ๋นกับน้ำของทะเลสาบก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลว่าน้ำและภูเขาจะขัดแย้งกันเอง เพราะมีแต่จะมั่นคงทั้งสองฝ่าย”
โต้วแยนรับดินประหลาดที่บอกว่าเป็น ‘ยันต์อักษรภูเขา’ ลูกนั้นมา เขาถึงกับเซไปก้าวหนึ่ง เกือบจะถือไว้ไม่อยู่ ใบหน้าแก่ๆ ของท่านเทพภูเขาแดงก่ำ
โต้วแยนเหลือบตามองพ่อปู่ลำคลองเฉินที่ถือถ้วยได้อย่างผ่อนคลาย น่าประหลาดนัก ทำไมถึงมีแต่ตนที่ต้องขายหน้า?
เฉินผิงอันกล่าว “รอสักครู่ ข้ายังต้องเขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ รบกวนให้พี่ใหญ่โต้วนำไปมอบต่อให้กับฉางชุนโหวแห่งลำน้ำใหญ่ ข้ากับเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูในอดีตผู้นี้ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว ความเคลื่อนไหวของที่นี่วันนี้ ไม่แน่ว่าฉางชุนโหวอาจสามารถช่วยข้าอธิบายให้ทางเมืองหลวงสำรองและกรมโยธาอธิบายฟังได้บ้าง”
ระหว่างที่พูดเฉินผิงอันก็บิดข้อมือหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจากชายแขนเสื้อ กระดาษลอยอยู่กลางอากาศ ไอน้ำลอยอบอวล กลายเป็นตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่ลี้ลับมหัศจรรย์ เฉินผิงอันเขียนจดหมายลับฉบับหนึ่งเสร็จอย่างรวดเร็ว จดหมายนี้เขียนให้เทพวารีหยางฮวาหรือฉางชุนโหวแห่งลำน้ำใหญ่ที่มารับหน้าที่เสริมตำแหน่งที่ขาด เนื้อหาในจดหมายล้วนใช้ถ้อยคำที่เกรงใจมีมารยาท อธิบายคร่าวๆ ถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในอาณาเขตลำคลองเที่ยวโปวันนี้ ประโยคสุดท้ายถึงเป็นกุญแจสำคัญ ก็หนีไม่พ้นหวังว่าในอนาคตภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ผิดต่อกฎระเบียบ ฉางชุนโหวจะช่วยดูแลโต้วแยนเทพภูเขาสันเขาเตี๋ยอวิ๋นมากหน่อย
ก็เหมือนกับซานจวินแห่งมหาบรรพตทุกท่านในเก้าทวีปของไพศาลที่จะต้องดูแลแม่น้ำลำคลองมากมายในเขตการปกครอง ถ้าอย่างนั้นกงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ที่สถานะสูงศักดิ์ ในเขตการปกครองก็ย่อมมีเทือกเขามากมายอยู่เช่นกัน
สุดท้ายเฉินผิงอันหยิบตราประทับส่วนตัวออกมา อักษรของตราประทับคือคำว่า ‘เฉินสืออี’
หยิบตราประทับขึ้นมา เป่าลมใส่ตัวอักษรสามตัวตรงก้นตราประทับเบาๆ แล้วประทับลงไปตรงช่วงท้ายของจดหมาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันใช้ตราประทับซึ่งเก็บรักษามาอย่างดีหลายปีชิ้นนี้ประทับลงบนจดหมายอย่างเป็นทางการ
วันหน้าบนจดหมายที่ส่งต่อระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาลูกอื่น ขอแค่เป็นลายมือของเฉินผิงอันเจ้าขุนเขา หากไม่ลงตราประทับเป็นคำว่า ‘เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว’ ก็ต้องใช้ตราประทับ ‘เฉินสืออี’ ชิ้นนี้
นี่ต่างหากถึงจะเป็นมารยาทบนภูเขาที่ถูกต้องชอบธรรม
เฉินผิงอันสอดจดหมายใส่ซอง มอบให้กับโต้วแยน สุดท้ายกุมหมัดยิ้มเอ่ยกับคนทั้งสองว่า “อาจารย์เฉิน พี่ใหญ่โต้ว ผู้เยาว์ยังต้องเร่งเดินทางต่อ จึงต้องขอลากันแต่เพียงเท่านี้ ขุนเขาสูงใหญ่สายน้ำไหลยาว ไว้พบกันใหม่วันหน้า”
เฉินเหวินเชี่ยนและโต้วแยนต่างก็คารวะกลับคืน
โต้วแยนทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “เหวินเชี่ยน ครั้งนี้ข้าได้พึ่งใบบุญเจ้าแล้ว โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า นึกจะมาก็มา”
สมกับเป็นฝีมือของเทพเซียน ขยับมือง่ายๆ ก็สร้างร่องรอยแห่งเซียนที่น่าเหลือเชื่อนี้ขึ้นมา
เฉินเหวินเชี่ยนแค่ยกยิ้มไม่เอ่ยอะไร
โต้วแยนพลันถามว่า “เอ๊ะ? เฉินเหวินเชี่ยน เจ้าจำหน้าตาของเฉาเซียนซือคนนั้นได้อย่างชัดเจนหรือไม่?”
เฉินเหวินเชี่ยนขมวดคิ้วน้อยๆ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “จำได้ไม่ค่อยชัดจริงๆ เสียด้วย”
โต้วแยนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “นี่มันเรื่องอะไรกัน เซียนเหรินบนยอดเขาทำอะไรไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินได้จริงๆ”
เฉินเหวินเชี่ยนกล่าวเสียงเบา “ไม่มีอะไรที่ยากจะเข้าใจ ก็หนีไม้พ้นวิญญูชนที่ทำความดีไม่หวังสิ่งตอบแทน”
หากเขาเดาไม่ผิดล่ะก็ ในจดหมายบับนั้น คนชุดเขียวที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับต้องกำชับหยางฮวาฉางชุนโหวว่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องอะไรกับโต้วแยน
เทพภูเขาโต้วเก็บยันต์อักษรภูเขาชิ้นนั้นใส่ลงไปในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วยกมือเช็ดหน้าแรงๆ กำลังจะเปิดปากพูด ร่างทองกลับสั่นสะเทือนอีกครั้ง ประกายแสงบนร่างทองไหลริน
ไม่เพียงแต่สันเขาเตี๋ยอวิ๋นของโต้วแยนที่มีเมฆหลากสีเคลื่อนคล้อยล้อมวน มีไอหมอกลอยอวลขึ้นมาจากกลางหุบเขา
ยังมีลำคลองเที่ยวโปสายนี้ ทั้งๆ ที่เป็นช่วงฤดูกาลของหน้าร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ดอกซิ่งที่อยู่สอกฝากฝั่งกลับผลิบานนับไม่ถ้วน ประหนึ่งต้อนรับลมวสันต์ฤดู
เฉินเหวินเชี่ยนเอ่ยเสียงเบา “เกิดจากคำทำนายสี่คำว่า ‘ขุนเขาสูงใหญ่สายน้ำไหลยาว’”
โต้วแยนพูดเสียงสั่น “คงไม่ใช่อริยะผู้ทรงธรรมที่ปากอมกฎสวรรค์คนหนึ่งหรอกกระมัง?!”
เฉินเหวินเชี่ยนเงียบงัน
โต้วแยนเกาหัวตัวเอง “สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เฉินเหวินเชี่ยนยิ้มเอ่ยสัพยอก “ไม่ใช่ว่ามีแต่ข้าที่รู้จักชุยเฉิงสักหน่อย เจ้าก็รู้จักเสี่ยวชุยเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
ในหัวของโต้วแยนพลันมีแสงสว่างเปล่งวาบ เขาพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง ก่อนหน้านี้ที่ตนเซถลา คงไม่ใช่เพราะเฉาเซียนจวินจดจำความแค้นที่ตนพร่ำเรียกอาจารย์ผู้เฒ่าชุยเฉิงที่เขาเคารพว่าเสี่ยวชุยคำแล้วคำเล่าหรอกกระมัง?
โต้วแยนถาม “ไม่ได้ถามหรือว่าชุยเฉิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
รู้เพียงว่าสหายเก่าคนนี้เคยทำความผิดหลายครั้ง ออกจากอาณาเขตของลำคลองเที่ยวโปไปโดยพลการ หากไม่เป็นเพราะพ่อปู่ลำคลองตัวเล็กๆ ถือว่าระดับขั้นต่ำสุดในบรรดาเทพวารีของโลกใบนี้ ตำแหน่งขุนนางไม่อาจลดต่ำไปมากกว่านี้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเฉินเหวินเชี่ยนก็คงถูกลดตำแหน่งครั้งแล้วครั้งเล่า หมวกขุนนางที่สวมอยู่มีแต่จะยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ แต่ก็เพราะเหตุนี้เฉินเหวินเชี่ยนจึงไม่มีหวังที่จะได้เลื่อนขั้นในวงการขุนนางอีก ทางฝั่งของเทพอธิบาลเมืองประจำเขตได้ประกาศมาที่จวนวารีลำคลองเที่ยวโปแล้วว่า การขานชื่อในศาลเทพอภิบาลเมืองที่จะมีขึ้นปีละครั้ง ไม่ต้องมาร่วมแล้ว ศาลเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่มีทางปรนนิบัติเทพวารีใหญ่เฉินอย่างเจ้าได้ไหวแน่นอน
เฉินเหวินเชี่ยนสีหน้าหม่นหมอง “ในสีหน้าของคนชุดเขียวผู้นั้นมีคำตอบอยู่นานแล้ว ไยต้องถามให้มากความ”
เฉินผิงอันเดินทางต่อไปที่แคว้นเหมยโย่ว เพียงแต่ว่าไม่ได้พบเซี่ยนเว่ยหนุ่มที่ปีนั้นเป็นผีขี้เหล้าสติวิปลาสในอำเภอที่คุ้นเคย เดิมทีเขาอยากจะมาเยือนสถานที่แห่งเดิมแล้วใช้สุราขอซื้อเทียบอักษรฉ่าวซูหลายฉบับมาจากเซี่ยนเว่ย พอไปสืบข่าวในที่ว่าการอำเภอถึงได้รู้ว่าใต้เท้าเซี่ยนเว่ยได้ลาออกจากตำแหน่งออกเดินทางท่องเหนือไปนานแล้ว การค้าปีนั้นช่างคุ้มค่ายิ่งนัก เฉินผิงอันแค่ใช้เหล้าหมักบนภูเขาห้ากาก็ขอเทียบอักษรฉ่าวซูมาได้ปึกใหญ่ ตัวอักษรทั้งมีความสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็มีความเข้มงวดเป็นระเบียบ
ตัวอักษรของเฉินผิงอันเองเขียนได้ธรรมดาอย่างมาก แต่เขาคิดว่าสายตาในการชื่นชมสิ่งของของตัวเองนั้นแม่นยำ ไม่แพ้ให้กับนักเขียนพู่กันจีนที่มีฝีมือล่างภูเขาคนใด แล้วนับประสาอะไรกับที่แม้แต่จูเหลี่ยนกับชุยตงซานก็ยังบอกว่าเทียบอักษรฉ่าวซูพวกนั้น แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถเลียนแบบความเหมือนทางจิตวิญญาณเจ็ดแปดส่วนออกมาได้ คำประเมินเช่นนี้ ไม่อาจสูงไปมากกว่านี้ได้แล้วจริงๆ ชุยตงซานบอกตามตรงว่าเทียบอักษรฉ่าวซูเหล่านี้ ทุกชิ้นล้วนสามารถนำมาทำเป็นสมบัติสืบทอดประจำตระกูลได้ ยิ่งผ่านเวลาไปนานก็ยิ่งมีค่า แม้แต่ซานจวินใหญ่เว่ยก็ยังทำหน้าหนาตื้อขอ ‘เทียบเซียนเหรินย่ำเท้าบนความว่างเปล่า’ ไปจากเฉินผิงอัน อันที่จริงเทียบอักษรมีไม่ถึงสามสิบคำ แต่เขียนเสร็จในรวดเดียว ‘เทียบเซียนเหรินย่ำเท้าบนความว่างเปล่า ใต้ฝ่าเท้าบังเกิดเมฆแดง ลมฝนพัดพาบุปผาโปรยปราย ตราประทับหลงหนีแผ่นหยก ไฟใหญ่หลอมอักษรแท้จริง’
วิธีการของอาจารย์จ้งเหนือชั้นกว่าเว่ยป้อหนึ่งระดับ ไม่ได้บังคับตื๊อขอ แค่ไปขอยืมเทียบอักษรบางชิ้นจากหน่วนซู่น้อยที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่สามครั้งห้าครั้ง บอกว่าต้องคัดลอกเทียบอักษรไว้หลายๆ ครั้งหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะได้ความหมายทางจิตวิญญาณของอักษรฉ่าวซูนี้มา ภายหลังเฉินผิงอันกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว รู้เรื่องนี้เข้าก็มอบเทียบอักษรชิ้นนั้นออกไปให้อย่างรู้อะไรควรมิควร อาจารย์จ้งยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่าข้าจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร วิญญูชนไม่แย่งของรักของคนอื่น ตอนนั้นเฉาฉิงหล่างอยู่ในเหตุการณ์ด้วยพอดี จึงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะช่วยอาจารย์จ้งเอา ‘เทียบภิกษุใต้แสงจันทร์’ ชิ้นนี้มาคืนให้อาจารย์เอง
เฉินผิงอันซื้อเหล้าอีกาครวญซึ่งเป็นเหล้าหมักของท้องถิ่นจากในนครฉือสุ่ยทะเลสาบซูเจี่ยนมาหลายไห
ไม่มีความบังเอิญก็ไม่เกิดเป็นตำรา ดื่มเหล้าอีกาครวญก็คิดไปถึงผู้ฝึกตนผีขอบเขตบินทะยานที่ ‘เพิ่งจะประมือกันไป’ ผู้นั้น อาจารย์ของเสวียนผู่เจ้านครเซียนจานก็มีฉายาว่าอูถี (อีกาครวญ) เช่นกัน
ฟ่านแย่นนายน้อยที่เป็นบุตรโทนของนครฉือสุ่ย ปีนั้นถูกคนอื่นมองเป็นคนโง่ไร้สมองมาโดยตลอด ทุกวันนี้ได้กลายเป็นเจ้านครแล้ว แล้วยังตีสนิทกับราชสำนักต้าหลีได้อีก เป็นเหตุให้ขุมกำลังอำนาจของนครฉือสุ่ยแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะทั้งที่อยู่ภายใต้เปลือกตาของสำนักเจินจิ้ง ทว่าบุคคลที่เป็นผู้กล้าห้าวหาญเช่นนี้กลับเคยเรียนขานกู้ช่านที่เป็นเด็กตัวเท่าก้นว่าพี่ใหญ่กู้คำแล้วคำเล่า
เฉินผิงอันเดินอยู่ริมน้ำ หันหน้ากลับไปมองก็มองไกลๆ ไปเห็นเหลาสุราที่กิจการรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง
ดูเหมือนว่าครั้งแรกในชีวิตที่จัดงานเลี้ยงสุราอย่างจริงจัง แล้วก็เป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็จัดขึ้นที่นั่นนั่นเอง
ในงานเลี้ยงสุราวันนั้น อันที่จริงกู้ช่านเป็นตัวของตัวเองและคุ้นเคยยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก เด็กคนหนึ่งที่กึ่งๆ จะโตเป็นผู้ใหญ่หัวเราะพูดคุยอย่างผ่อนคลาย คิ้วตาเบิกบาน
ตอนที่เจียงซ่างเจินยังเป็นคนดูแล เขาได้แบ่งเกาะห้าเกาะในทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเจินจิ้งให้กับภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ว่าแดนบิน (หมายถึงดินแดนที่ถูกโอบล้อมด้วยเขตการปกครองของพื้นที่อื่น หากจะเข้าไปยังดินแดนที่ถูกปิดล้อมนี้ก็ต้องบินข้ามผ่านเขตของพื้นที่อื่นเข้าไปจึงเรียกว่าแดนบิน) แห่งนี้อยู่ในนามของผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเจิงเย่
เจียงซ่างเจินไม่คิดจะเอาเรื่องนี้ไปประชุมในศาลบรรพจารย์ด้วยซ้ำ เขาใช้สิทธิ์ขาดตัดสินใจด้วยคำพูดของตัวเองคนเดียว
ใครมีความเห็นต่างกับเรื่องนี้? เหวยอิ๋งที่สามารถมองเป็นบุตรชายของตนครึ่งตัว?
หลิวเหล่าเฉิงที่ตอนนั้นเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง? หรือหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่เป็นผู้ถวายงานอันดับรอง? หรือหลี่ฝูฉวี?
แคว้นสือหาวที่อยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบซูเจี่ยน ฮ่องเต้หันจิ้งหลิง เนื่องจากไม่เคยฝึกตนมาก่อน อายุจึงเกือบครึ่งร้อยปีแล้ว ลักษณะจึงดูแก่ชราอย่างเห็นได้ชัด
วันนี้เลิกประชุมในท้องพระโรงมีเวลาได้พักผ่อน เขาก็เรียกหลานชายหลานสาวคู่หนึ่งมาพูดจ้ำจี้จ้ำไชให้ฟังอีกครั้ง พูดไปพูดมาก็คือคำพูดประโยคนั้น “เซียนกระบี่เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วคนนั้น ปีนั้นเคยเลี้ยงเหล้าข้าด้วย!”
ไม่ใช่คำว่า ‘พวกเรา’ อะไรแล้ว
ต่อให้ลูกผู้ชายจะไม่ควรพูดถึงความกล้าหาญในอดีตมากแค่ไหน เรื่องราวในอดีตและคนในอดีตเรื่องนี้ก็ต้องพูด พูดบ่อยๆ เป็นระยะ เมื่อพูดกับพวกบุตรมังกรมากเข้าก็ค่อยพูดกับพวกหลานมังกรอีกที
ส่วนเรื่องที่ปีนั้นพอได้เป็นฮ่องเต้ หันจิ้งหลิงก็เริ่มหางชี้ขึ้นฟ้า ไปเยือนเกาะชิงเสียกับหวงเฮ้อมารอบหนึ่ง ขอไปนั่งอยู่ในห้องบัญชีแห่งนั้น แต่ถูกกู้ช่านห้ามไว้ ตอนนั้นอันที่จริงทั้งสองฝ่ายได้ทะเลาะผิดใจกันแล้ว เพียงแต่ว่ากู้ช่านในเวลานั้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน มากแผนการกลอุบายลึกล้ำ ก็แค่ว่าไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าเท่านั้น
พูดถึงเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยพวกนี้ไปไย
“ไม่ใช่ว่าโยนเหล้าหมักตระกูลเซียนให้กาหนึ่งแล้วก็จบเรื่องกันไปนะ แต่เป็นงานเลี้ยงสุราที่จัดขึ้นอย่างจริงจัง อาหารวางเต็มโต๊ะ ก็แค่ว่าดื่มสุราทั่วไป ในนี้มีความนัยซ่อนอยู่ เด็กๆ อย่างพวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก หากเป็นสุราบนภูเขากลับกลายเป็นว่าจะไม่น่าสนใจ”
ปฏิทินเหลืองเก่าแก่พวกนี้ เด็กสองคนฟังจนหูชามานานแล้ว ได้แต่โคลงศีรษะ หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาให้กัน
เด็กคนหนึ่งอ้าปากกว้างไว้นานแล้ว พูดอย่างไร้เสียง ช่วยเสด็จปู่ฮ่องเต้เอ่ยประโยคที่ทุกครั้งต้องเอามาเป็นคำปิดท้าย
“ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น!”
เฉินผิงอันแค่เดินสองก้าวก็ไปกลับแคว้นสือหาวและทะเลสาบซูเจี่ยนมารอบหนึ่ง สำหรับคำพูดที่หันจิ้งหลิงใส่เสริมเติมแต่งพวกนั้น เขาไม่ได้ถือสา คุยโวไม่ได้ผิดกฎหมาย แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายยังเป็นฮ่องเต้พระองค์หนึ่ง
หลังจากนั้นก็ไปเยือนเกาะกงหลิ่วเงียบๆ รอบหนึ่ง ไปหาหลี่ฝูฉวี นางรับลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อมาใหม่คนหนึ่ง มาจากสถานที่เล็กๆ ที่ชื่อว่าอำเภอเซียนโหยว ชื่อว่ากวอฉุนซี คุณสมบัติด้านการฝึกตนย่ำแย่ แต่หลี่ฝูฉวีกลับตั้งใจถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เขายิ่งกว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดเสียอีก