กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 874.1 แกะสลักตัวอักษร
เฉินผิงอันยืนอยู่บนเส้นใยแมงมุมที่เชื่อมโยงระหว่างดวงจันทร์สองดวง ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทิ้งร่างดิ่งเป็นเส้นตรง ไล่ตามปีศาจใหญ่บรรพกาลที่เป็นฝ่ายถอยออกจากสนามรบตนนั้นไป
ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปกระตุกใยแมงมุมที่เจ้าของทิ้งไว้เอามาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ถึงอย่างไรก็มีลู่เฉินอยู่ด้วย ย่อมไม่มีภัยแฝงอะไรให้ต้องกังวล
เฉินผิงอันเหลือบมองไปทางประตูใหญ่ อีกฝั่งหนึ่งที่ประตูบานนี้กางกั้นก็คือใต้หล้ามืดสลัวแล้ว กลิ่นอายแห่งมรรคาที่เปี่ยมล้น ภาพบรรยากาศนับพันหมื่นคล้ายกับได้ทยอยกันมารวมตัวเป็นนักพรตบนยอดเขากลุ่มใหญ่
ป๋ายเจ๋อกับหลี่เซิ่ง สหายรักหมื่นปีที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ถูกชะตากันอย่างถึงที่สุดคู่นี้ กลายเป็นว่าหมื่นปีให้หลัง เมื่อต่างคนต่างต้องลงมือ กลับไม่มีใครออมมือไว้ไมตรี เพื่อดวงจันทร์ที่กำลังจะถูกย้ายออกไปจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างดวงนั้น คนหนึ่งขัดขวางการร่วมมือกันลากดวงจันทร์ของผู้ฝึกกระบี่สี่คน คนหนึ่งสกัดการขัดขวางของป๋ายเจ๋อ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนชะตาฟ้าปั่นป่วนรุนแรง
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนคนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่แล้ว อีกทั้งเนื่องจากมหามรรคาในใจของแต่ละคน พวกเขาจึงเป็นฝ่ายล้มเลิกความคิดที่จะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้า
หนึ่งกายธรรมชุดขาวที่มีกลิ่นอายความเก่าแก่ยิ่งใหญ่ อีกหนึ่งกายธรรมชุดลัทธิขงจื๊อ ปราณเที่ยงธรรมไพศาล
เส้นด้ายแนวตั้งแนวนอนทุกเส้นบนชุดลัทธิขงจื๊อของหลี่เซิ่งก็คือ ‘กฎเกณฑ์’ ข้อหนึ่งของใต้หล้าไพศาล
และหากมองอย่างละเอียด ‘กายธรรมของป๋ายเจ๋อ’ นั้นก็เกิดจากการรวมตัวกันของชื่อจริงเผ่าปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน
นี่จึงเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่กายธรรมของสองฝ่ายแตกสลายจึงกลายเป็นฟ้าพลิกแผ่นดินตลบ เป็นการช่วงชิงบนมหามรรคาตามความหมายที่แท้จริง
กว่าลู่เฉินจะคว้าโอกาสที่หายวับไปในเสี้ยววินาทีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขารีบหยิบตำราเต๋าหนึ่งหน้าออกมาจากชายแขนเสื้อ ปากท่องคาถาพึมพำ จากนั้นก็โยนยันต์ที่มีไอม่วงล้อมวนซึ่งตัวเองเป็นผู้สร้างออกไป อาศัยประตูบานใหญ่ที่เชื่อมโยงสองใต้หล้าไปยังป๋ายอวี้จิง ไปบอกข่าวดีแก่ศิษย์พี่ ให้เขารีบนำผู้ฝึกตนของป๋ายอวี้จิงมาชักนำดวงจันทร์ดวงนี้ ให้มันหล่นอยู่ในกระเป๋าของตัวเองก่อนเพื่อความสบายใจ จากนั้นต้องปิดประตูใหญ่ลงทันที ไม่อย่างนั้นหากป๋ายเจ๋อตัดสินใจจะอำมหิตขึ้นมา เปลี่ยนสนามรบไปอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว แล้วใช้หมัดต่อยให้ดวงจันทร์ดวงนั้นปริแตก ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดคิด
ด้วยตบะและขอบเขตของป๋ายเจ๋อ ต่อให้อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ต่อให้ศิษย์พี่อวี๋โต้วเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคม ในมือถือกระบี่เซียนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางจะรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้ได้ หนึ่งเพราะหลี่เซิ่งมาถึงใต้หล้ามืดสลัวจะถูกมหามรรคาสยบกำราบอย่างรุนแรงจนมิอาจคาดการณ์ได้ ถึงขั้นที่ว่าหนักหนายิ่งกว่าการที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวเสียอีก อีกอย่างก็คือลู่เฉินรู้นิสัยศิษย์พี่ของตัวเองดีว่าต้องไม่มีทางยินดีร่วมมือกับใครเพื่อต่อกรกับศัตรูแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการผสานมรรคาของป๋ายเจ๋อ ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ล้วนไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ขอแค่ปล่อยให้ป๋ายเจ๋อหวนกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ ด้วยระดับความแข็งแกร่งทนทานของร่างจริงป๋ายเจ๋อ บวกกับระดับความลึกล้ำต่อมรรคกถามากมายในใต้หล้าที่ป๋ายเจ๋อเข้าใจ เชื่อว่าเขาต้องฟื้นคืนพลังการต่อสู้กลับมาอย่างรวดเร็วแน่นอน
เพราะไม่ใช่ว่าใครก็สามารถชี้แนะเวทน้ำให้กับเฟยเฟยได้
ผู้เฒ่าร่างผอมแห้งที่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลอันยาวนานจากใต้ดินลึกของซากปรักตำหนักดวงจันทร์ ระหว่างที่ทิ้งร่างร่วงดิ่งลงไป เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็ได้กลายร่างเป็นบุรุษวัยกลางคนแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในสภาวะอันลี้ลับมหัศจรรย์ที่คล้ายคลึงกับการหวนคืนสู่ความจริงของลัทธิเต๋า หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็เชื่อว่าอีกเดี๋ยวมันก็จะแปลงโฉมกลายไปเป็นคนหนุ่ม และการเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ยังไม่ได้เกิดจากเวทอำพรางตาอีกด้วย แต่เป็นการจำแลงมหามรรคาที่มิอาจขัดขวางได้ชนิดหนึ่ง
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดตนนี้ทิ้งตัวดิ่งเป็นเส้นตรงลงไปยังพื้นดิน
คิดไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าคนที่สวมกวานดอกบัวผู้นั้นไล่ตามมาทัน
ปีศาจใหญ่ถือกระบี่ยาวไว้ในมือ เอื้อมมือไปด้านหลัง เส้นเอ็นหัวใจขมึงตึงเล็กน้อย แต่เมื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างรวดเร็วแล้วก็ยังล้มเลิกความคิดวู่วามที่จะปล่อยกระบี่ฟันคนทิ้งไป
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันแค่สิบกว่าจั้งเท่านั้น แสงปราณกระบี่สองเส้นพุ่งปะทะพื้นดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในเวลาเดียวกัน ความเคลื่อนไหวนั้นรุนแรงประดุจฟ้าคำรามสะเทือนเลือนลั่น
ปีศาจใหญ่ถามด้วยภาษาโบราณของเปลี่ยวร้างว่า “ไม่ไปช่วยจอมปราชญ์น้อยคนนั้นสักหน่อยหรือ?”
คาดไม่ถึงว่าผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์คนนั้นจะถึงขั้นตอบกลับเขาด้วยภาษาโบราณแห่งเปลี่ยวร้างที่สำเนียงถูกต้องดั้งเดิมพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้าเองก็ไม่ไปช่วยอาจารย์ป๋ายสักหน่อยล่ะ?”
ปีศาจใหญ่บนยอดเขาที่อยู่ในรูปโฉมของเด็กหนุ่มเรียบร้อยแล้วตกตะลึงไปเล็กน้อย “หรือว่าข้ามองผิดไป แท้จริงแล้วเจ้าไม่ใช่เผ่ามนุษย์?”
ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์อายุน้อยๆ คนหนึ่ง ใครเล่าที่จะกินอิ่มว่างงานแล้วเอาเวลาไปศึกษาภาษาโบราณของเปลี่ยวร้าง?
อีกอย่างบนร่างของผู้ฝึกตนคนนี้ก็มีกลิ่นอายคุ้นเคยที่ล่องลอยอยู่เสี้ยวหนึ่งจริงๆ
เห็นว่าคนผู้นั้นคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร ปีศาจใหญ่บรรพกาลตัวนี้ก็ถามว่า “ตามข้ามาทำไม?”
คนผู้นั้นยอมตอบตามความจริง “ดูว่าจะฉวยโอกาสที่ขอบเขตของเจ้าไม่มั่นคง ยังไม่กลับสู่ยอดเขาสูงสุดอีกครั้งอย่างแท้จริงหาโอกาสมาจัดการเจ้าได้หรือไม่”
ตาข่ายหนึ่งกางอยู่บนความว่างเปล่า ปราณสังหารนับหมื่นล้านก่อกำเนิด
เหมาะกับสนามรบที่ได้ยึดครองความได้เปรียบทางชัยภูมิที่สุด ขอแค่สร้างรังเก่าขึ้นมาในจุดลึกของใต้ดินเสียก่อน แล้วก็แค่ต้อง ‘ป้องกันแมลงตัวน้อยบินหนี’ สำหรับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างเผ่ามนุษย์หรือกองทัพล่างภูเขาที่คล้ายคลึงกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่พาตัวมาติดกับดักแล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนี้ก็คืออาจารย์ค่ายกลที่น่ากลัวที่สุด
แล้วนับประสาอะไรกับที่ปีศาจใหญ่บรรพกาลตัวนี้ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาสูงสุดที่บนร่างแบกรับวิถีกระบี่บรรพกาลเส้นหนึ่งหรืออาจจะมากกว่านั้น
ปีศาจใหญ่หลุดหัวเราะพรืด
ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์สมัยนี้ แต่ละคนล้วนขอบเขตสูงถึงเพียงนี้ นิสัยก็แย่ถึงเพียงนี้ พูดจาก็ต้องตรงไปตรงมาขนาดนี้ด้วยหรือ?
ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เมื่อเทียบกับหลายคนก่อนหน้านั้น พูดถึงแค่เรื่องของอายุก็ออกจะประหลาดอยู่บ้าง ภาพบรรยากาศขุนเขาสายน้ำของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์หากคิดคำนวณตาม ‘อายุที่แท้จริง’ ก็เห็นได้ชัดว่าอายุไม่ถึงห้าสิบปี แต่หากคิดคำนวณตามวงปีบางอย่างที่แม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาสร้างขึ้น ผู้ฝึกกระบี่ตรงหน้าผู้นี้ก็ยังคงอายุไม่มาก แต่จะดีจะชั่วก็น่าจะฝึกตนมาได้สามร้อยปีแล้ว เพียงแต่ว่าบางครั้งกลับแสดงออกให้เห็นว่าอายุสี่ห้าพันปี
มองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ปีศาจใหญ่ก็หัวเราะหยันเอ่ยว่า “อย่ามาหลอกข้าเลย หากเจ้ามีความสามารถจริง มีความมั่นใจสักห้าส่วน ป่านนี้ก็คงออกกระบี่ไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูไหม?”
อยู่ดีๆ ปีศาจใหญ่ก็นึกถึงคนรักของอีกฝ่ายขึ้นมา นังหนูน้อยผู้นั้นออกกระบี่อำมหิตจริงๆ
อย่าลองเลยดีกว่า
ไม่มีความจำเป็น
สาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะเจ้าหมอนี่เหลือบมองพื้นดินคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา ราวกับมองทะลุความคิดของตน หากสองเท้าของเขาสัมผัสพื้นก็จะสร้างฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมา แผ่นฟ้าผืนดิน ถักทอเป็นตาข่าย
ในฟ้าดินของตัวเอง ต่อให้จะเรียกหาคนให้มาช่วย ต่อสู้กับผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ ต่อให้โอกาสชนะมีไม่มาก แต่ก็ต้องถลกหนังของอีกฝ่ายออกได้ชั้นหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นบอกกล่าวกับภูเขาทัวเยว่สักหน่อย…
มารดามันเถอะ ทำไมภูเขาทัวเยว่ถึงไม่อยู่แล้วเล่า?
หรือว่าใต้หล้าไพศาลยกทัพบุกมาโจมตีถึงภูเขาทัวเยว่แล้ว?
กวาดตามองไปรอบด้าน มองการจัดขบวนต่อสู้ของเผ่ามนุษย์กลุ่มนั้นก็เหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ปีศาจใหญ่ตนนี้พลันใจหายวาบ รีบชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างว่องไว ยังคงเรียกรวมปีศาจมารและภูตประหลาดทั้งหลายในหกถ้ำที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนในอดีตมาไว้ก่อนดีกว่า กินดื่มอิ่มหนำแล้ว ตบะยอดเขาสูงสุดกลับคืนมาค่อยถามกระบี่กับคนอื่นถึงจะมั่นคงกว่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าหมื่นปีให้หลัง พวกศิษย์ลูกศิษย์หลานกลุ่มนั้นได้แตกกิ่งก้านสาขาอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างบ้างหรือไม่
ทำไมครั้งนี้ตนถูกป๋ายเจ๋อปลุกให้ตื่นแล้วถึงได้มีเรื่องไม่คาดฝันมากมายขนาดนี้? ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียทีหรือ?
สีหน้าของปีศาจใหญ่ฉายแววจนใจ ยิ่งตัดสินใจได้ว่าควรต้องฝืนนิสัย เก็บกลั้นอารมณ์ฉุนเฉียวมาสักหน่อย มีเรื่องเพิ่มมากขึ้นหนึ่งเรื่องไม่สู้มีเรื่องน้อยลง ดังนั้นจึงพูดไปตามตรงว่า “ว่ามาเถอะ ทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมผละจากไป”
เรื่องของศักดิ์ศรีหน้าตานั้น ไม่นับเป็นอะไรได้เลยจริงๆ
ปีนั้นเวทกระบี่หล่นลงมายังโลกมนุษย์ดุจสายฝน บนพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นเผ่าปีศาจหรือเผ่ามนุษย์ก็มีเพียงผู้ที่ได้รับโชควาสนาใหญ่เท่านั้นที่ถึงจะได้ขึ้นเขาไปฝึกตน
และผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มอื่นที่เมื่อเทียบกับป๋ายเจ๋อ ชูเซิงแล้ว กลับถือว่าเป็นเด็กรุ่นเยาว์ด้านการฝึกตนแล้ว อีกทั้งคุณสมบัติยังธรรมดา เพราะเรื่องของการฝึกกระบี่นั้นก็เป็นมันที่หมอบกราบ โขกหัววิงวอนบุคคลที่อยู่สูงสุดมาอย่างยากลำบาก
ลู่เฉินสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของเฉินผิงอันจึงจำต้องเอ่ยเตือนว่า “เจ้าอย่าได้ต่อสู้จริงๆ นะ หลี่เซิ่งต่อสู้กับป๋ายเจ๋ออยู่ที่นี่ก็ค่อนข้างเสียเปรียบแล้ว”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ย “ข้ารู้”
ลู่เฉินถอนหายใจโล่งอก
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าเห็นว่ากระบี่เล่มที่อยู่ในมือเจ้าไม่เลวเลย”
ก่อนหน้านี้แก่นแสงจันทร์บริสุทธิ์ของดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ได้ถูกปีศาจใหญ่บนยอดเขาสูงสุดตนนี้ใช้เวทลับนำมาหลอมเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง
มือที่ถือกระบี่ไพล่อยู่ด้านหลังของปีศาจใหญ่สะบัดควงกระบี่ แสงจันทร์ก็เอ่อนองออกมา “ก็บอกแต่แรกสิ มอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ไม่ได้รับกระบี่ แต่กุมกระบี่เย่โหยวที่สะพายอยู่ด้านหลังมาไว้ในมือ
ปีศาจใหญ่พยักหน้า ค่อนข้างน่าสนใจ
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง ฟาดฟันอีกฝ่ายหนึ่งกระบี่
ต่างคนต่างถอยหลังไปหลายสิบลี้ กระบี่ยาวในมือของปีศาจใหญ่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นแสงจันทร์เข้มข้นผืนหนึ่ง แสงจันทร์เข้มหนืดประดุจปรอท
ร่างของปีศาจใหญ่สลายหายไป บนพื้นดินพลันมีหลุมใหญ่ยักษ์โผล่มา ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม’ เผ่าปีศาจที่ออกจากซากปรักดวงจันทร์หวนกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งงอเข่าลงเล็กน้อย ยืดเอวขึ้นตรง เงยหน้ามองไปยังผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ที่ไม่ได้ตามมาไล่ฆ่าตนต่อ คล้ายต้องการจดจำใบหน้านั้นไว้ให้แม่น
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บแสงจันทร์พวกนั้นมาไว้ในกระเป๋าของตน
แสงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งที แล้วพุ่งไปยังซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เมื่อสองเท้าของเฉินผิงอันเหยียบลงบนหัวกำแพงเมือง ลู่เฉินก็ทิ้งตัวไปด้านหลัง เอนกายนอนอยู่ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมดอกบัว เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดผินเต้าก็ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญผวาอีกต่อไปแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่เวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าหนึ่งวันยาวนานราวกับหนึ่งปี ราวกับว่าในหนึ่งวันสามารถทำเรื่องต่างๆ เสร็จไปเป็นพันเรื่องได้แล้ว
เฮ้อโซ่วพลิ้วกายลงมาจากม่านฟ้า ยังคงเคารพกฎ นั่นคือลอยตัวอยู่นอกหัวกำแพงเมือง สองเท้าไม่สัมผัสพื้น อาจารย์ผู้เฒ่าหยิบอาวุธเทพเก่าแก่ชิ้นนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง ได้แต่กล้ากุมไว้หลวมๆ เท่านั้น ไม่กล้าจับดาบแคบเล่มนั้นให้แน่นด้วยซ้ำ เฮ้อโซ่วผลักมันให้กับอิ่นกวานหนุ่มท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางที่ย้อนกลับมายังหัวกำแพงเมืองอีกครั้ง “ดาบเล่มนี้เป็นอาวุธที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทิ้งไว้หลังจากใช้มันสังหาร ‘ผู้ลงทัณฑ์’ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่ง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้ข้ามอบดาบนี้ให้แก่เจ้า ถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่เจ้ากับเซียนกระบี่หนิงแต่งงานกัน”
ลู่เฉินที่อยู่ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัวในกวานเต๋ายืดคอยาว เบิกตากว้าง จ้องมองอาวุธในตำนานเล่มนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ นี่คือ ‘อาวุธเทพ’ ที่สมชื่อเชียวนะ เทียบกับอาวุธเซียนใดๆ ในโลกยุคหลังแล้ว ระดับขั้นยังสูงกว่าหนึ่งระดับ ไม่จำเป็นต้องหล่อหลอม ขอแค่สามารถทำให้อาวุธประเภทนี้ยอมรับเป็นนายได้ก็จะได้รับวิชาอภินิหารบรรพกาลหนึ่งชนิดหรือถึงขั้นหลายชนิด
เฮ้อโซ่วเอ่ยเตือน “อิ่นกวานต้องระวังหน่อย อาวุธชิ้นนี้ควบคุมได้ยากมาก”
ดาบแคบพิฆาตที่แลกเปลี่ยนมาจากเทวบุตรมารนอกโลกเคยเป็นวัตถุที่ใช้ลงทัณฑ์บนแท่นสังหารมังกร
มีกำแพงแห่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่กั้นขวาง คมดาบสองคมอยู่เคียงข้างกัน จักรพรรดิและขุนนางมีความต่าง
ตอนที่ผู้ลงทัณฑ์ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลชั้นสูงตนนั้นเผยกายเคยเอ่ยว่า ผู้ที่โชคดีได้พบคมดาบนี้ก็คือผู้ที่โชคร้าย
เฉินผิงอันพยักหน้า แต่กระนั้นก็ยังยื่นมือไปกุมด้ามดาบของดาบยาวไร้ฝักอย่างไม่ลังเล ไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย มันว่าง่ายอ่อนโยนอย่างยิ่ง
อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อโซ่วละอายใจอย่างมาก ดาบขององค์เทพ ก่อนหน้านี้ถูกเฉินชิงตูกุมไว้ในมือไม่มีท่าทางพยศใดๆ หากเพียงเท่านั้นก็ช่างเถิด คาดไม่ถึงว่าเมื่ออิ่นกวานหนุ่มรับมาไว้ในมือมันจะยัง…ว่าง่ายเช่นนี้
ต้องรู้ว่าช่วงเวลาที่เขารับดูแลอาวุธชิ้นนี้ชั่วคราว ลำพังเพียงแค่สยบกำราบความผิดปกติมากมายที่เกิดจากการถูกกระตุ้นความเป็นเทพที่บริสุทธิ์ส่วนนั้นเอาไว้ก็ทำให้เฮ้อโซ่วรู้สึกเปลืองแรงมากแล้ว
ลู่เฉินถอนหายใจอยู่ในใจ
ไม่เพียงเพราะเฉินผิงอันคือสาเหตุบางอย่าง ยังเป็นเพราะอิ่นกวานหนุ่มคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ทั้งยังมีความเชื่อมโยงบนมหามรรคาที่ลี้ลับมหัศจรรย์
ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวเก็บรวบรวมมาอย่างยากลำบาก ค้นหาไปทั่วสารทิศ ไม่เพียงแค่เพื่องมเอาพื้นที่ลับที่ปริแตกในแม่น้ำแห่งกาลเวลาพวกนั้นมาได้ ถึงขั้นที่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนใหญ่ออกเดินทางไกลไปนอกฟ้า ใช้ดวงดาวต่างท่าเรือ ดวงดาวหมุนเวียนเคลื่อนคล้อย ของตกทอดที่เป็นอาวุธเทพรวมทั้งสิ้นสิบแปดชิ้น ในบรรดานั้นก็มีแค่สองชิ้นที่ลู่เฉินคิดว่าระดับขั้นสามารถทัดเทียมกับของที่ลู่เฉินเห็นในเวลานี้ได้ ชิ้นหนึ่งคือหอเมฆมรกตที่อยู่ในป๋ายอวี้จิง ซึ่งถูกปิดผนึกมานานหลายพันปีแล้ว ส่วนอีกชิ้นหนึ่งคือเสื้อเกราะ เล่าลือกันว่าเป็นหนึ่งในสามของเลียนแบบของเสื้อเกราะที่ผู้สวมเสื้อเกราะสวมใส่อยู่บนร่าง
และของเลียนแบบสามชิ้นนี้ก็ยังให้กำเนิดเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารอีกสามชนิดที่สำนักการทหารในโลกยุคหลังสร้างขึ้นมาอย่างเสื้อเกราะจิงเหว่ย เสื้อเกราะจินอูและเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง และเสื้อเกราะน้ำค้างหวานตอนนั้นก็ได้สร้างผลงานเปิดภูเขาที่เป็น ‘บรรพบุรุษ’ ขึ้นมาแปดชิ้น ในบรรดานั้นก็มีเสื้อเกราะ ‘ซีเยว่’ ที่ปริแตกยับเยิน ตราผนึกหนาชั้น ถูกเฉินผิงอันเก็บตกมาได้จากหอหลิงจือ ส่วนอื่นๆ ที่เหลือก็แบ่งออกเป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานอีกเจ็ดตัวแรกสุดอันได้แก่ฝอกั๋ว ฮวาเปา ซานกุ่ย สุ่ยเซียน เสียกวาง ไฉ่อี อวิ๋นไห่ แต่ส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายไปหมดแล้ว
ปีนั้นเดิมทีลู่เฉินคิดว่าจะไปขโมยเสื้อเกราะตัวนั้นออกมาจากหอมรกต แล้วมอบให้กับศิษย์น้องเล็ก แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะถูกเจ้าหอขัดขวาง จากนั้นยังเอาเรื่องนี้ไปฟ้องกับศิษย์พี่อวี๋โต้วอีกด้วย
อวี๋โต้วไม่ได้เสียดายสมบัติหนักชิ้นนั้น แต่คิดว่าทุกวันนี้ขอบเขตของศิษย์น้องยังต่ำเกินไป ยังมิอาจควบคุมสมบัติหนักชิ้นนี้ได้ชั่วคราว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเลื่อนเป็นเซียนเหรินก่อนถึงจะพอต้านทานท่วงทำนองความเป็นเทพที่เหลืออยู่ได้
สมบัติเทพอีกชิ้นหนึ่งพลัดไปอยู่นอกป๋ายอวี้จิง ซึ่งก็คือชิ้นที่อยู่ในมือของหญิงแก่ขอบเขตสิบสี่นิสัยร้ายกาจอย่างถึงที่สุดผู้นั้น เป็นเหตุให้นักพรตหญิงได้รับวิชาอภินิหารของ ‘ผู้หล่อหลอม’ นางจึงสามารถอาศัยพละกำลังของตัวเองคนเดียวหลอมอาวุธกึ่งเซียนหรือแม้กระทั่งอาวุธเซียนออกมาได้
อาวุธเทพสิบหกชิ้นนอกจากนั้นล้วนไม่ใช่ของที่เทพชั้นสูงสิบสองท่านได้ครอบครอง ระดับขั้นยังเป็นรองอยู่หนึ่งขั้น ชิ้นหนึ่งในนั้นก็คือดาบแคบพิฆาตของอู๋ซวงเจี้ยงจากตำแหน่งสุ้ยฉู ผลคือเปลี่ยนมือมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วจึงมาอยู่ในมือของเฉินผิงอัน
และอาวุธเทพประเภทนี้ยังมีความประหลาดอีกอย่างหนึ่ง เมื่อผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเป็นผู้ใช้ จะใช้ได้อย่างคล่องมือมาก แทบจะไม่มีโรคร้ายใดๆ แฝงอยู่ หันกลับมามองผู้ฝึกลมปราณที่ได้ครอบครองสมบัติล้ำค่ากลับต้องระวังแล้วระวังอีก ต่อให้ถูกผู้ฝึกตนหลอมได้สำเร็จก็ยังอาจจะแว้งกลับมาโจมตีได้ง่ายๆ ใต้หล้ามืดสลัว ในประวัติศาสตร์เคยมีโศกนาฎกรรมประเภทนี้เกิดขึ้นสิบกว่าครั้ง จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนถูกอาบย้อม นิสัยเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึมซับอิทธิพลไปโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย