กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 876.3 ขอบเขตถดถอย
เสี่ยวโม่พลิกเปิดตำราในทะเลสาบหัวใจอย่างรวดเร็ว ตามหาความหมายแฝงของคำศัพท์คำว่า ‘วีรบุรุษแห่งแคว้น’
“ก่อนที่เจ้าจะหวนกลับบ้านเกิด สามารถไปพบเซียนฉาสักหน่อยได้หรือไม่”
เฉินผิงอันพลันเปิดปากถาม “แน่นอนว่าไม่ใช่ให้เจ้ายอมรับในสถานะลูกศิษย์คนแรกของเขา นี่เป็นเรื่องในบ้านสายเต๋าของเจ้า ข้าไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง”
เซียนฉา มีอีกชื่อว่ากู้ชิงซง คือคนมหัศจรรย์ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วไพศาลโดยไม่ต้องใช้ขอบเขต
เขาเคยช่วยลู่เฉินถ่อเรือออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน ดังนั้นจึงถูกเฉาหรง เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองเป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของลู่เฉินผู้เป็นอาจารย์
ตอนอยู่ศาลบุ๋นกู้ชิงซงเคยรับปากตนว่าวันหน้าจะดูแลลูกศิษย์ภูเขาลั่วพั่วทุกคนที่เขาเจอบนเส้นทางการฝึกตน
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้าไม่เห็นเรื่องขอบเขตถดถอยสำคัญขนาดนี้เลยหรือ?!”
เฉินผิงอันตอบ “ชินไปแล้วก็ดีเอง เมื่อคุ้นเคยก็เกิดเป็นความชำนาญ”
นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ว่าตอนนั้นที่ข้าอยู่ที่นี่เคยโอสถทองแตกสลายไปกี่ครั้ง ขอบเขตถดถอยมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “คุณชายสมกับเป็นเซียนกระบี่จริงๆ”
ลู่เฉินกล่าว “ไม่มีปัญหา ข้ารับปากเจ้า แค่จะไปพบหน้าเจ้าโง่นั่นสักหน่อย”
เฉินผิงอันถึงกับยังมีแรงโยนของชิ้นหนึ่งให้กับลู่เฉิน
ลู่เฉินรับมาแล้วก็เห็นว่าเป็นที่วางพู่กันปะการังชิ้นนั้น จึงเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนยินดีว่า “มอบให้ข้าแล้วหรือ?!”
อิ่นกวานหนุ่มเหล่ตามองเจ้าลัทธิลู่หนึ่งที
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ข้าจะพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ของวังมังกรครึ่งหนึ่งมาจากหวังต้งให้ได้ เพียงแต่ว่าพวกเราสองคนจะแบ่งส่วนแบ่งกันอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าลัทธิลู่ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน ใช้จิตสำนึกเป็นตัวตัดสิน”
เสี่ยวโม่ผงกศีรษะคลี่ยิ้ม ดูท่าคุณชายคงเห็นตนเป็นคนกันเองจริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้พูดจาเกรงใจ แต่พอพูดคุยกับสหายลู่ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไร
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าและข้าแบ่งกันสามต่อเจ็ดส่วน เงื่อนไขคือเจ้าต้องช่วยข้าคิดหาวิธีรับมือกับภูเขาเมฆาเรืองของแจกันสมบัติทวีปด้วย หากสามารถทำได้ พวกเราก็แบ่งกันสี่ต่อหก”
ปีนั้นไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองช่วยส่งกระบี่บินนำความไปบอกต่อ เฉินผิงอันจำเป็นต้องชดใช้คืนความสัมพันธ์ควันธูปในส่วนนี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่เซียนดินยอดเขาเกิงอวิ๋นอย่างเจ้ายอดเขาหวงจงโหวที่เขาเพิ่งรู้จักก็เป็นคนที่น่าสนใจมาก สามารถถือเป็นสหายร่ำสุราได้ครึ่งตัวแล้ว
ภายในเวลาเกือบร้อยปี ภูเขาเมฆาเรืองมิอาจสกัดขวางการไหลหายไปของโชคชะตาได้ เนื้อหนังภายนอกดูดีแต่ภายในกลับว่างเปล่า ดังนั้นต่อให้ภูเขาเมฆาเรืองได้เลื่อนเป็นสำนัก ไม่ถึงสามร้อยปี ยอดเขาสิบเก้าแห่งของภูเขาเมฆาเรืองที่มียอดเขาลวี่กุ้ย เกิงอวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้น และภูเขาสายน้ำงดงามทั้งหลายที่ยังไม่ถูกเซียนดินบุกเบิกยอดเขา ก็จะต้องกลายเป็นดั่งเมฆหมอกที่พัดลอยผ่านตาไป กลายมาเป็นสถานที่ที่ปราณวิญญาณเบาบางไม่เหมาะแก่การฝึกตน การเสื่อมถอยของโชคชะตาประเภทนี้ของภูเขาเมฆาเรืองเป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมาก ตอนนั้นเฉินผิงอันที่เป็นขอบเขตสิบสี่ลองมองดูแล้วก็ถึงกับเห็นว่าไม่ใช่ว่ายันต์อักษรภูเขาและยันต์อักษรน้ำสองแผ่นจะแก้ไขได้
“ยอดเยี่ยมไปเลย ผินเต้ามีสมบัติชิ้นหนึ่งที่ค่อนข้างมีวาสนากับภูเขาเมฆาเรืองอยู่พอดี ความคิดอันเงียบสงบล่องลอยอยู่ในแสงเรื่อเรือง บังเอิญยิ่งนัก เป็นการให้ยาที่ถูกกับโรคพอดี”
ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ หยิบกุยหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านบนแกะสลักลายเมฆแบบนูน ของชิ้นนี้มีความมหัศจรรย์อย่างมาก สีสันจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล จำแลงภาพมงคลไม่ซ้ำกันออกมา และตัวอักษรโบราณที่แกะสลักก็จะสอดคล้องกับสี่ฤดู
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าลัทธิลู่ที่ไปพบผู้อาวุโสกู้บนทะเลแล้วช่วยขึ้นบกไปเยือนภูเขาเมฆาเรืองด้วยตัวเองอีกสักครั้ง”
ลู่เฉินถามอย่างกังขา “เจ้าไม่เอาของชิ้นนี้ไปส่งด้วยตัวเองหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลองเอาอย่างตู้อวี๋ดูบ้าง”
ไม่อย่างนั้นวันหน้าหากมีเวลาว่างแล้วได้ไปดื่มเหล้ากับหวงจงโหวที่ยอดเขาเกิงอวิ๋นอีกครั้งก็จะขาดรสชาติไปอีกหลายส่วน
ลู่เฉินถาม “ตู้อวี๋? เทพเซียนจากที่ใดกัน?”
แต่เฉินผิงอันกลับไม่สนใจ ปล่อยจิตใจจมดิ่งลงไปอีกครั้ง
ลู่เฉินจึงได้แต่ดื่มเหล้ากับเสี่ยวโม่ต่ออีกครั้ง ไม่พูดอะไรอีก
เสี่ยวโม่มองนักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกย่อมมีความรู้สึกเดียวดายอย่างเลี่ยงได้ยาก
ใครเล่าจะรู้ขอเส้นทางไม่ขอปลา เวลานี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองมีอิสระเสรีที่แท้จริง
“เจิ้งจวีจงไม่เสียแรงที่เป็นเจิ้งจวีจง!”
ลู่เฉินพลันเผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี “ขนาดนี้แล้วยังถึงกับสกัดขวางไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แล้วยังถือโอกาสจัดการกับภัยแฝงบางอย่างไปด้วย”
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น แบมือ “เอาเหล้ามากาหนึ่ง”
ลู่เฉินโยนเหล้าหมักเถาเจียงที่มาจากนครเสินเซียวไปให้หนึ่งกา
เฉินผิงอันแกะผนึกดินออก ดื่มเหล้าอึกใหญ่ เอ่ยเสียงเบาว่า “มารดามันเถอะ สักวันหนึ่งข้าผู้อาวุโสจะฆ่าไอ้ตะพาบนี่ให้ตายแม่งเลย”
เสี่ยวโม่ยังคงเอ่ยประโยคจากใจจริงประโยคนั้น “คุณชายสมกับเป็นเซียนกระบี่จริงๆ”
ลู่เฉินเช็ดหน้า สหายเสี่ยวโม่ผู้นี้จะต้องอยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้อย่างเจริญก้าวหน้าแน่นอน
……
อาณาเขตภูเขาลั่วพั่ว เป็นวันธรรมดาที่ผ่านพ้นไปอีกวัน สายลมอบอุ่นแสงแดดงดงาม
วันนี้จูเหลี่ยนที่อยู่บนภูเขาฮุยเหมิงซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างได้พาเจี่ยงชวี่ลงงานด้วยตัวเอง พ่อครัวเฒ่ากำลังกระทุ้งดิน ผู้ฝึกตนหนุ่มช่วยช่างบนภูเขาตีเส้น
หน่วนซู่น้อยยังคงง่วนทำงานอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ตอนเช้าต้องไปทำความสะอาดห้องของนายท่านที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ก่อน ไม่ทันระวังจัดหนังสือบนโต๊ะเบี้ยวไปอีกเล็กน้อย
เหวยเหวินหลงนักบัญชีกำลังตรวจสอบบัญชีร่วมกับลูกศิษย์ครึ่งตัวอย่างจางเจียเจิน ผู้คุมกฎฉางมิ่งนั่งดื่มน้ำชาอยู่ด้านข้างเงียบๆ
หมี่อวี้กำลังนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา เบิกตาใหญ่จ้องตาเล็กอยู่กับคนจิ๋วควันธูปแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัดที่มาขานชื่อบนภูเขา
ไม่มีเฉินหลิงจวินคอยยั่วยุอยู่ด้านข้าง อันที่จริงหนึ่งคนตัวโตกับหนึ่งคนตัวเล็กก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน หากเด็กชายชุดเขียวอยู่ที่นี่ด้วยก็คงครึกครื้นกว่านี้ เพราะมักจะมีคำพูดที่ทำให้หมี่อวี้มึนงงหลุดจากปากมาเสมอ ยกตัวอย่างเช่นพอพูดถึงมือไม้อ่อนเวลาจับคน เฉินหลิงจวินจะต้องมองตากับคนจิ๋วควันธูป จากนั้นคนหนึ่งก็ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น อีกคนหนึ่งเอามือกุมท้องหัวเราะก๊าก กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนโต๊ะ หมี่อวี้ต้องใช้สมองขบคิดอยู่หลายตลบถึงจะเข้าใจว่าเจ้าบ้ากามสองคนพูดเรื่องอะไรกันอยู่
หมี่อวี้ล่ะอัดอั้นตันใจนัก ล้วนเป็นความสามารถที่เรียนรู้มาจากเจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูทั้งหมดเลยหรือ?
นี่ทำให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส ‘พี่น้องต้าเฟิง’ คนนั้นมากขึ้นทุกที
พ่อครัวเฒ่า เว่ยซานจวิน บวกกับเฉินหลิงจวิน แต่ละคนล้วนชอบผลักคุณความชอบไปให้เจิ้งต้าเฟิงกันทั้งนั้น ดังนั้นในใจของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ อีกฝ่ายจึงมีภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่สง่างามอย่างมาก เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ว่ากันว่ารูปโฉมยังหล่อเหลาอีกด้วย
ด้านการประลองหมากล้อม ฝีมือก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ขนาดจูเหลี่ยนและเว่ยป้อก็ยังเอาชนะไม่ได้ แล้วยังสามารถพูดคุยเรื่องความรู้ในด้านการสอบเคอจวี่กับเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างเฉาฉิงหล่าง หยวนไหลสองคนนี้ได้ด้วย
ว่ากันว่าทุกวันที่เฝ้าประตูภูเขา เขาจะต้องช่วยชี้แนะวิชาหมัดให้กับเฉินยวนจีอย่างมีน้ำอดน้ำทน
พูดจาตลกขบขันน่าสนใจ ทั้งทะลึ่งตึงตังทั้งจริงจัง ทั้งสามัญทั้งสง่างาม อะไรที่บอกว่าคนแก่ผมขาวทัดบุปผาเหมือนคนหนุ่มสาว ยามบุรุษทำตุ้งติ้งขึ้นมาก็ไม่มีเรื่องอะไรของสตรีแล้ว ล้วนต้องชิดซ้ายไปเลย
ตรงหน้าประตูภูเขา ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วกำลังงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ กอดคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวเอาไว้ สัปหงกเหมือนลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าวเปลือก
แม่นางน้อยชุดดำขยี้ตา เริ่มรอคอยให้เจ้าขุนเขาคนดีพาตนไปเที่ยวเล่นที่เมืองหงจู๋ด้วยกัน ท่องยุทธภพไม่ต้องสนว่าใกล้หรือไกลนี่นะ
ตอนกลางวันก็มีข้อดีของตอนกลางวัน ตอนกลางคืนก็มีข้อดีของตอนกลางคืน หิ่งห้อยโผบิน จิ้งหรีดและกบตัวเขียวทะเลาะกัน สายน้ำที่ไหลระหว่างร่องคันนาแวะเวียนมาทักทาย ต้นหญ้าป่างีบหลับท่ามกลางสายลมบางเบา ดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบตาปริบๆ ให้กับโลกมนุษย์
หมี่ลี่น้อยกระโดดผลุงขึ้นมา มือหนึ่งถือคานหาบสีทอง อีกมือหนึ่งคว้าไม้เท้าเดินป่า ร่ายวิชากระบี่มารคลั่งที่ร่ำเรียนมาจากเผยเฉียน
เฉินหลิงจวินอยู่ที่ศาลาระหว่างเส้นทางภูเขา ลากป๋ายเสวียนพี่น้องคนดีให้มาชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วยกัน
ก่อนจะออกจากบ้าน ป๋ายเสวียนได้ชงชาโก่วฉี่ (เก๋ากี๊ เป็นยาสมุนไพรจีน ลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆสีแดง) มาเองหนึ่งกา เคยได้ยินเฉินหลิงจวินบอกว่า ดื่มชาชนิดนี้แล้วจะดูว่าตนคือคนเก่าแก่ในยุทธภพ
ทุกวันนี้ป๋ายเสวียนหงุดหงิดใจอย่างมาก เรียนวิชาหมัดช่างยากยิ่งนัก ไม่เหมือนกับฝึกกระบี่เลย
แค่มองก็เป็น แค่ใช้ก็ไร้ประโยชน์
โชคดีที่ขอแค่ไม่ต้องขึ้นเวทีประลองก็ยังคงไร้ศัตรูทัดทานอยู่ดี
เฉินหลิงจวินมักจะพูดจาแทงใจดำคนเสมอ บอกว่าคราวก่อนเจ้าประลองยุทธกับเผยเฉียน ร้ายกาจมากเลยนะ เกือบจะล้มไปกองเสียแล้ว ขนาดถูกต่อยก็ยังต้องยืนกลับไปให้ได้
หากไม่เป็นพี่น้องบ้านตัวเอง ป่านนี้ป๋ายเสวียนคงถลกแขนเสื้อวางมวยด้วยไปแล้ว
เงินหนึ่งอีแปะล้มวีรบุรุษผู้กล้าได้ เมื่อหลายปีก่อนเฉินหลิงจวินที่อยู่ในภูเขาลั่วพั่ว กระเป๋าเงินแห้งกรอบ ไม่มีเงินจะให้การสนับสนุนใครแล้ว ไม่อาจรั้งเงินไว้ได้เลยจริงๆ
ในช่วงเวลาหลายปีที่ภูเขาลั่วพั่วอัตคัดขัดสนที่สุดนั้น ต่อให้ต้องตายเฉินหลิงจวินก็ยังรักหน้าตา อันที่จริงเขาคอยควักเงินในกระเป๋าตัวเองแล้วเปลี่ยนวิธีการนำมามอบให้กับภูเขาบ้านตัวเองอยู่ตลอด
นอกจากเงินแต่งภรรยาที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็มิอาจสะเทือนได้แล้ว เขาก็ไม่มีเงินให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยติดมือสักเหรียญเดียว
ภายหลังได้เงินเดือนจากทางภูเขา ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ล้วนหมดไปกับการเดินทางท่องอุตรกุรุทวีปครานั้น คบหาสหายหลายคน เขาเคยชินกับการทุ่มทองพันชั่งมานานแล้ว จึงใช้หมดไปนานแล้ว
ดังนั้นทุกครั้งที่ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ก่อนเฉินหลิงจวินทุ่มเงินเพื่อเปิดปากพูดก็จะต้องคิดอยู่นานว่าควรพูดอะไร เงินส่วนนั้นถึงจะไม่เสียเปล่า
โชคดีที่ได้มาเจอกับโจวอันดับหนึ่งที่ใจกว้างมือเติบ แต่กลับรู้จักวางตัวเป็นคนเก่งกว่าเว่ยซานจวินร้อยเท่า!
เพราะโจวอันดับหนึ่งได้ทิ้งเงินเทพเซียนไว้ให้สองถุง ถุงหนึ่งเป็นเงินฝนธัญพืช ถุงหนึ่งเป็นเงินร้อนน้อย ล้วนยกให้เฉินหลิงจวินทั้งหมด บอกว่าให้ช่วยออกเงินสนับสนุนแทนเขา อย่าให้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเทพธิดาหลิวแห่งยอดเขาอีไต้เงียบเหงาเกินไป
ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าที่ตรอกฉีหลงไปด้วยกันมื้อหนึ่ง เฉินหลิงจวิน โจวอันดับหนึ่ง เจ้าบ้านอย่างเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย ต่างก็ดื่มกันอย่างเต็มคราบบันเทิงเริงใจ
เฉินหลิงจวินดื่มจนหน้าแดงหูแดง ยืนอยู่บนม้านั่งยาว ตบอกตัวเองอย่างแรง พูดรับรองกับเจียงซ่างเจินว่า ‘พวกเราสองพี่น้องคือใครกับใคร ไม่ต้องพูดให้มากความ ล้วนอยู่ในสุราหมดแล้ว เจอกันใหม่คราวหน้าก็จะได้ร่วมมือกันอีกครั้ง!’
หลิวรุ่นอวิ๋นผู้ฝึกตนหญิงของยอดเขาอีไต้ถูกเทพธิดาของทะเลสาบหนันถังขัดขวาง แต่ก็ยังแอบเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำขึ้นมาอย่างลับๆ ผู้ชมมีไม่มาก แต่ปราณวิญญาณของยอดเขาอีไต้กลับได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย
เพราะได้รับการสนับสนุนจากคนสองคน คนหนึ่งชื่อเปิงเลอะเจินจวิน อีกคนหนึ่งคือปลาขาวน้อยในคลื่นน้ำ ลงมือทีก็ใจป้ำจนน่าเหลือเชื่อ
ทางฝั่งของตรอกฉีหลง ก่อนหน้านั้นเด็กชายผมขาวที่เป็นลูกจ้างอยู่ในร้านยาสุ้ยทำเอาเจ้าใบ้น้อยโมโหไม่เบา เสร็จแล้วก็ไปลากเด็กสาวฮวาเซิงที่อยู่ในร้านติดกันให้ไปนั่งอาบแดดตรงหน้าประตู กินขนมที่ติดเงินไว้ในร้านด้วยกัน กำลังคิดว่าจะอาศัยความสามารถของตัวเองหลอกเอาเงินส่วนหนึ่งมาจากชุยฮวาเซิงอย่างไรดี หนี้ที่ติดไว้จะได้ใช้คืนเสียที
ส่วนเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็ออกจากร้านฉ่าวโถวบ้านตนแวะมาเยี่ยมร้านติดกัน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับน้องสือที่โต๊ะคิดเงินอยู่สองสามประโยค
แม้สือโหรวจะรำคาญเพื่อนบ้านที่ชอบโอ้อวดคนนี้มากๆ แต่ก็จำต้องยอมรับว่าเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยคนนี้ไม่ถือว่ากินเปล่าอยู่เปล่าจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นทุกๆ วันที่สองเดือนสองของทุกปี นักพรตผู้เฒ่าก็จะต้องให้เถียนจิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นลูกศิษย์ทำ ‘มังกรร้อยด้าย’ ด้วยการเอากาน้ำมาหนึ่งกา ใส่เหรียญทองแดงลงไปสองสามเหรียญ แล้วไปดึงน้ำมาจากบ่อ ระหว่างทางที่กลับมาจะต้องเทน้ำออกจากกาทีละน้อยไปตลอดทาง สุดท้ายเอาน้ำที่เหลือในกาและเงินเหรียญทองแดงไปเทในอ่างน้ำที่เรือนด้านหลังร้าน นอกจากนี้ทุกๆ วันชิงหมิง จะต้องไปเผากระดาษเงินกระดาษทองที่มุมถนน อันที่จริงก็มีข้อพิถีพิถันเยอะมาก
บนภูเขาลั่วพั่ว คนที่พิถีพิถันที่สุดและใส่ใจกับขนบธรรมเนียมเก่าแก่พวกนี้มากที่สุด นอกจากผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนแล้วก็คือเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยที่ขึ้นเหนือล่องใต้มาเกินครึ่งชีวิตผู้นี้แล้ว
งานมงคลของเพื่อนบ้านใกล้เคียง เขาก็จะไปช่วยงานด้วยเช่นกัน แค่กินข้าวมื้อเดียวก็พอ ไม่เก็บเงิน ไม่เพียงแค่เมืองเล็กเท่านั้น อันที่จริงอำเภอและเขตทั้งหลายในจังหวัดหลงโจวก็มีการเชิญเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยที่ยิ่งนานก็ยิ่งมีชื่อเสียงไปเช่นกัน ครอบครัวเศรษฐี แน่นอนว่าต้องมอบซองแดงให้ ใหญ่หรือเล็กก็อยู่ที่น้ำใจ ดูตามกำลังทรัพย์ของตัวเอง ให้มากหรือให้น้อยก็ไม่เป็นไร หากฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี นักพรตผู้เฒ่าก็จะไม่เก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียว กินข้าวหนึ่งมื้อ มอบเหล้าข้าวหมักในพื้นที่ให้สักกา แค่นี้ก็เพียงพอ
คนมากมายบนภูเขาลั่วพั่ว บางทีคนที่ชอบดื่มเหล้าอย่างแท้จริง หรือควรจะบอกว่าดื่มเหล้าแทนข้าว ก็น่าจะมีแค่เจี่ยเฉิงแล้ว อันที่จริงหมี่อวี้และเฉินหลิงจวินต่างก็ไม่ได้ชอบดื่มเหล้าอย่างนักพรตเฒ่า
วันนี้ผู้เฒ่าเอนกายพิงโต๊ะคิดเงิน คุยถึงเจ้าขุนเขาบ้านตนกับสือโหรว เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยลูบหนวดยิ้มกล่าว “การพูดจาและทำอะไรระมัดระวังของเจ้าขุนเขาของพวกเรา อย่าได้ดูแคลนเด็ดขาด นี่ถือเป็นการรักษาศีลอย่างหนึ่งแล้ว”
ตลอดทั้งอาณาเขตหลงโจวต้าหลี นอกจากผู้ฝึกตนจำนวนน้อยนิดแล้ว ทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกลมปราณแทบจะทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปต่างก็มึนงงสับสนเช่นเดียวกัน
เพราะภาพเหตุการณ์ประหลาดนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไปแล้วจริงๆ
ท้องฟ้ามีรูโหว่ แสงสีขาวเส้นหนึ่งเปล่งวูบแล้วจางหาย
ในภูเขาลั่วพั่วมีเพียงชุยตงซานที่นอนอยู่บนระเบียงชั้นสองของเรือนไม้ไผ่เท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
เทวบุตรมารนอกโลกที่อยู่ตรอกฉีหลงสัมผัสได้ถึงพลานุภาพน่าหวั่นเกรงที่ทำให้หายใจแทบไม่ออก
คล้ายกับทัณฑ์สวรรค์อันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามยามที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งต้องเจอเมื่อฝ่าทะลุคอขวด
ซานจวินเว่ยป้อสัมผัสได้ทางจิต เขาถึงขั้นเข้าใจผิดคิดว่าชั่วพริบตานั้นอาณาเขตของขุนเขาเหนือได้ถูกทำลายย่อยยับในเวลาเพียงชั่วครู่เดียว ทว่ารอกระทั่งเว่ยป้อออกมาจากจวนที่พำนัก มาที่ยอดเขาพีอวิ๋น กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
ภาพลวงตาหรือ?
แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ภาพลวงตา
นั่นเป็นวิธีการหนึ่งที่โจวมี่ปล่อยลงมายังโลกมนุษย์กับมือตัวเอง
เป็นการลงมืออย่างเฉียบคมตามความหมายที่แท้จริงครั้งแรกหลังจากที่โจวมี่ขึ้นสวรรค์ไป
เพียงแต่ว่าหายนะวอดวายที่เดิมทีมากพอจะทำให้อดีตถ้ำสวรรค์หลีจูทั้งแห่งสลายหายไป กลับจางหายดุจหมอกควันในชั่วพริบตาเพียงเพราะการลงมือขัดขวางของคนคนหนึ่ง
บุรุษแปลกหน้าคนหนึ่งที่คล้ายแขกผู้มาเยือน เรือนกายสูงเพรียว สวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะ เขายืนอยู่ข้างโต๊ะหน้าประตูภูเขาลั่วพั่ว คลี่ยิ้มอบอุ่น หันหน้าไปถามแม่นางน้อยชุดดำเบาๆ “นั่งได้หรือไม่?”