กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 877.1 ต่างคนต่างมีท่าเรือ
“ได้สิๆ ต้องได้อยู่แล้ว!”
แม่นางน้อยรีบวางคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวลง มือกำเชือกของกระเป๋าผ้าฝ้ายใบเล็กที่สะพายเอียงๆ เอาไว้แน่น วิ่งตะบึงไปที่โต๊ะตลอดทาง ตัวสูงจริงๆ เลยนะ หากรู้แต่แรกคงวิ่งน้อยลงสองก้าวไปแล้ว
หมี่ลี่น้อยแหงนหน้าถาม “หากผู้มาเยือนแค่ผ่านทางมาแล้วกระหายน้ำ ต้องรีบเดินทางต่อ บนโต๊ะมีน้ำเปล่าวางอยู่ หากยินดีนั่งพักชมทัศนียภาพสักครู่ก็สามารถดื่มชาได้ เดี๋ยวข้าจะไปต้มน้ำร้อนกาหนึ่งมาให้ท่าน”
บนดวงหน้าเล็กๆ คล้ายคาดหวังอย่างยิ่งให้แขกผู้มาเยือนพูดคำว่าไม่รีบร้อน
คนผู้นั้นยิ้มเอ่ย “ไม่ได้รีบร้อนเดินทางเป็นพิเศษ”
เพราะก่อนที่หลี่เซิ่งจะหวนกลับมายังไพศาล เขาต้องอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กับภูเขาลั่วพั่วก่อน
หมี่ลี่น้อยคลี่ยิ้มกว้างทันใด “ใบชาเป็นของที่บ้านเอง ไม่ต้องเกรงใจ แต่ก่อนหน้านี้มีนักพรตเฒ่าบางส่วนที่ผ่านทางมาที่นี่เช่นเดียวกับท่าน ต่างก็บอกว่าน้ำชาอร่อยนะ แขกผู้มาเยือนรอสักครู่ นั่งลงก่อน ข้าจะไปต้มน้ำชงชาให้เดี๋ยวนี้แหละ”
เห็นว่าแขกยังยืนอยู่ หมี่ลี่น้อยก็รีบปรายตาไปมองม้านั่งยาว ยิ้มเอ่ยเสริมไปหนึ่งประโยคว่า “ท่านวางใจได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะมีฝนใหญ่ตกลงมา แต่ข้าเอาผ้ากับชายแขนเสื้อเช็ดอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว”
ไม่กล้าพูดว่าบนโต๊ะไม่มีฝุ่นติดสักเม็ด แต่ก็สะอาดสะอ้านแน่นอน
ทุกๆ เกือบครึ่งชั่วยาม ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วจะต้องวิ่งมาเช็ดรอบหนึ่ง จะไม่สะอาดได้หรือ?
บุรุษยิ้มเอ่ย “ตกลง”
แม่นางน้อยชุดดำไปกลับอย่างรวดเร็ว นางเขย่งปลายเท้า ท่วงท่าคล่องแคล่ว มือเท้าว่องไว ยื่นน้ำชาร้อนๆ ถ้วยหนึ่งส่งให้แขก
บุรุษใช้สองมือรับถ้วยชามา เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม คลี่ยิ้มเขินอาย โบกมือเบาๆ แล้วเอ่ยขอตัวลา กลับไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูภูเขา ระหว่างที่เดินยังหมุนตัวกลับมาบอกกับแขกผู้มาเยือนว่าหากมีเรื่องอะไรก็เรียกนางได้เลย
บุรุษดื่มชาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ มองดูแล้วมีกลิ่นอายเซียนอย่างมาก
เห็นสายตามองประเมินของแม่นางน้อย บุรุษก็ยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้น
แม่นางน้อยคลี่ยิ้ม รู้สึกลำบากใจเล็กน้อยจึงรีบหันหน้ากลับมา นั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่กับตัวเองต่อไป
ห่างไปไกลมีเด็กชายชุดเขียวคนหนึ่งเดินเรอเพราะเพิ่งดื่มสุรามา เห็นว่าหมี่ลี่น้อยนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ตรงโต๊ะมีบุรุษแปลกหน้านั่งอยู่อีกคน สวมเสื้อผ้าเหมือนกับห่านขาวใหญ่อย่างมาก
เฉินหลิงจวินจึงเดินอาดๆ จนชายแขนเสื้อส่ายสะบัด ตะโกนมาแต่ไกล “โอ้ หมี่ลี่น้อย มีแขกมาเยือนอีกแล้วหรือ?”
หมี่ลี่น้อยตอบกลับ “อืม จิ่งชิงกลับมาแล้วหรือ”
เฉินหลิงจวินถาม “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาต้องการให้ช่วยหรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง โบกมือเป็นวงใหญ่ “ฮ่า ไม่ต้องๆ”
รอกระทั่งค่อยๆ ขยับเข้าใกล้โต๊ะตัวนั้น เฉินหลิงจวินจึงเริ่มชะลอฝีเท้า ชายแขนเสื้อสองข้างก็ไม่โบกสะบัดอีก
เห็นว่าบุรุษคล้ายบัณฑิต เป็นบัณฑิตก็ดีน่ะสิ เพราะต้องพิถีพิถันในคำว่าวิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ
เฉินหลิงจวินยืนอยู่ข้างโต๊ะ บังอยู่ตรงกลางระหว่างแขกกับหมี่ลี่น้อยไว้พอดี
เฉินหลิงจวินประสานมือคารวะพลางเอ่ยว่า “เฉินหลิงจวินแห่งภูเขาลั่วพั่วคารวะท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มาเยี่ยมเยียนสหายหรือแค่ผ่านทางมาชมทัศนียภาพเท่านั้น?”
บุรุษยิ้มบางๆ “ไม่ต้องเกรงใจ ข้ากับอาจารย์ของเจ้าเป็นสหายรักกัน”
เฉินหลิงจวินมึนงง ตนมีสหายในยุทธภพมากเกินจะนับจริงๆ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้พูดถึงใครอยู่กันแน่
พลันเกิดความกระวนกระวายไม่สบายใจ
กังวลว่าจะเป็นนักพรตหนุ่มของยอดเขาพาตี้อีกคน
คาดว่านักพรตน้อยคนนั้น เวลาปกติคงจะค่อนข้างเกียจคร้านฝึกตน ขอบเขตถึงได้ไม่สูง เรียกได้ว่าธรรมดาสามัญสุดๆ
แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่อาจารย์ของคนเขาเป็นถึงลูกพี่ใหญ่แห่งวิถีขาวดำสองสายของอุตรกุรุทวีป
เฉินหลิงจวินยิ้มถามต่อไปว่า “อาจารย์คงมาจากทางเมืองหงจู๋กระมัง เคยถูกเด็กตัวเท่าก้นที่ตั้งโต๊ะอยู่ในศาลาคนหนึ่งดักขวางทางเพื่อบันทึกชื่อหรือไม่?”
บุรุษยังคงตอบไม่ตรงคำถามอยู่เหมือนเดิม “อาจารย์ของข้าคือเฉินจั๋วหลิวแห่งอุตรกุรุทวีป”
เฉินหลิงจวินกระจ่างแจ้งโดยพลัน มารดามันเถอะ ในที่สุดนายท่านใหญ่เฉินก็ได้เจอกับคนธรรมดากับเขาสักที!
ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนลูกศิษย์ของเจ้าเฉินจั๋วหลิวผู้นั้น ก็บัณฑิตนี่นะ ทั่วร่างย่อมมีแต่กลิ่นอายตำรา
แต่เฉินจั๋วหลิวที่ยากจนจนในกระเป๋าไม่มีเสียงเงินกระทบกันก็ใช้ได้เลยนี่นา คาดว่าคงเป็นลูกศิษย์ที่ในกระเป๋ามีเงินซึ่งเขารับมาไว้สินะ? ขาดอะไรก็เสริมอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย
เฉินหลิงจวินกระแอมสองสามที สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง นั่งลงบนม้านั่งยาว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องนับลำดับอาวุโสแยกกันไป ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงหรอก เรียกข้าว่าสหายจิ่งชิงก็พอแล้ว ถึงอย่างไรอาจารย์ของเจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเราก็คบหากันโดยนับเป็นคนรุ่นเดียวกันไปก็แล้วกัน”
เห็นว่าบุรุษคนนั้นหยุดดื่มชา คลี่ยิ้มมีเลศนัย
เฉินหลิงจวินก็คล้ายได้กินยาสงบใจ ต้องเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยของล่างภูเขาที่เฉินจั๋นหลิวหลอกมาได้แน่นอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ฝึกตนในภูเขาอย่างพวกข้าหน้าตาไม่แปรเปลี่ยน แล้วจะวิเคราะห์อายุจากหน้าตาได้อย่างไร?
หรือว่าเจ้าเฉินจั๋วหลิวทำตัวไร้คุณธรรม ไม่เคยพูดถึงพี่น้องคนดีอย่างตนกับลูกศิษย์ของตัวเองมาก่อน? มารดามันเถอะ หากอีกฝ่ายไร้ความพิถีพิถันเช่นนี้จริงๆ คราวหน้าเจอกัน คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร
ในหัวเฉินหลิงจวินพลันมีลำแสงเปล่งวาบ กลายเป็นว่าอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาอีก ถามหยั่งเชิงว่า “เฉินจั๋วหลิวได้ลูกศิษย์ที่ดีจริงๆ ข้าว่าขอบเขตของน้องชายก็คงไม่ต่ำกระมัง?”
ในเรื่องของการไม่ทำความผิดซ้ำเดิม เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าตัวเองมีฝีมืออย่างมาก
เจิ้งจวีจงตอบกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ไม่ต่ำ แต่ก็ไม่สูง ตอนนี้ถือว่าขอบเขตเท่ากับอาจารย์”
ถ้าอย่างนั้นก็แน่ใจได้แล้ว!
เฉินหลิงจวินได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ ยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “ไม่เลว ไม่เลว!”
เจิ้งจวีจงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มังกรบินทะยานอยู่บนฟ้า เมฆฝนอบอวล คมกระบี่เก่าฝืดด้าน แต่แสงศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ ฟ้าฝนเคลื่อนผ่าน บนผนังมีเสียงคำรามดังกึกก้อง ขับขานเป็นหนึ่ง”
เฉินหลิงจวินได้ยินแล้วก็อืมๆๆ พยักหน้ารับอยู่ตลอด
นี่เจ้ากำลังร่ายกวีให้ข้าฟังรึ
ไม่เสียทีที่เป็นลูกศิษย์ของเฉินจั๋วหลิว
เฉินหลิงจวินไม่รู้สึกกังขาอีกแม้แต่นิดแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายอ้อมผ่านป๋ายเสวียนกับจ้าวซู่เซี่ยจนมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ถึงอย่างไรบนภูเขาก็มีห่านขาวใหญ่อยู่ ทางเหนือยังมีเว่ยซานจวิน ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้หรอก
ชุยตงซานยืนอยู่บนขั้นบันไดบนสุดของเส้นทางภูเขา หรี่ตามองเจ้าคนที่กำลังพูดคุยกับนายท่านใหญ่เฉิน
ต้องนับถือในความใจกล้ามหาศาล แต่กลับมีดวงชะตาที่แข็งยิ่งกว่าของเฉินหลิงจวินจริงๆ
นอกจากปรากฎการณ์ผิดปกติบนฟ้าแล้ว อันที่จริงใต้ดินในอาณาเขตของหลงโจวยังมีการซุ่มโจมตีไม่เล็กไม่ใหญ่ซ่อนอยู่อย่างลึกลับมิดชิดด้วย
หากโจวมี่ทำสำเร็จขึ้นมา ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิด คนที่ขอบเขตต่ำกว่าเซียนเหรินและปลายทางทุกคนบนภูเขาลั่วพั่วต้องตายทั้งหมด
โชคดีที่เจิ้งจวีจงเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมแล้ว สะอาดจนเหมือนม้านั่งยาวพวกนั้น
ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด ก่อนที่เจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนี้จะลงมือขัดขวางหมากตัวนั้น ก็ได้ทำให้กาลเวลาของภูเขาลั่วพั่วและภูเขาใต้อาณัติไหลย้อนกลับไปก่อนแล้ว
มีเพียงเจิ้งจวีจงที่อยู่ภายในเท่านั้นที่ไม่ถูกกระแสน้ำแห่งกาลเวลาหอบหุ้ม แต่ทุกคำพูด การกระทำและสีหน้าของเขากลับ ‘ย้อนหลัง’ ไปตามกระแสน้ำไหลด้วย รัดกุมไร้ช่องโหว่
แน่นอนว่าชุยตงซานเลือกที่จะอยู่นิ่งท่ามกลางกระแสน้ำไหลนี้
ดูเหมือนเจิ้งจวีจงจะต้องการถามชุยตงซานที่อยู่บนภูเขาเรื่องหนึ่ง
เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า อันที่จริงแม้น้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับอยู่ตลอด เพียงแต่ว่าพวกเราไม่รู้ก็เท่านั้น?
มองดูเหมือนเรื่องนี้พิสูจน์ได้ง่ายมาก แม้แต่เด็กน้อยก็ยังทำได้ ก็แค่เดินก้าวออกไปข้างหน้าช้าๆ ก้าวหนึ่งก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?
แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากสืบเสาะเรื่องนี้ลงลึกอย่างแท้จริง แม้แต่ชุยตงซานก็ยังไม่กล้ารับประกันอะไร แทบจะไม่อาจอธิบายได้
ชุยตงซานประสานมือคารวะ “ขอบคุณอาจารย์เจิ้งที่ลงมือผดุงความเป็นธรรม พระคุณใหญ่หลวงครั้งนี้มิอาจหาสิ่งใดมาตอบแทนได้”
เจิ้งจวีจงส่ายหน้า
ลงมือผดุงความเป็นธรรม? ไม่ใช่เลย แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้านี้ไม่เคยมีพระคุณใดที่ตอบแทนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าฝ่ายหนึ่งมีน้ำใจช่วยเหลือ แต่ฝ่ายหนึ่งกลับลืมบุญคุณ
อย่ามาแกล้งโง่อยู่ตรงนี้ ต่อให้เจ้าจะเป็นซิ่วหู่ครึ่งตัวก็ตาม
ชุยตงซานถอนหายใจ ในเมื่อไม่อาจคลี่คลายเป็นการส่วนตัวได้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ทำการค้าแล้ว
ชุยตงซานชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว จากนั้นก็เพิ่มอีกหนึ่งนิ้ว
เรื่องที่นครจักรพรรดิขาวจะสร้างสำนักเบื้องล่างไว้ที่เปลี่ยวร้าง ภูเขาลั่วพั่วยินดีช่วยออกแรงสนับสนุน ยกตัวอย่างเช่นเรียกหาเซียนกระบี่มาสักสองถึงสามคน
ดูเหมือนเจิ้งจวีจงจะขี้เกียจสนใจลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ของชุยตงซาน จึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ร้านในตรอกฉีหลง ข้าคุยกับอาจารย์ของเจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าที่เป็นลูกศิษย์ก็อย่าได้วาดงูเติมขาเลย”
ชุยตงซานจนใจอยู่บ้าง อันที่จริงในอดีตตอนที่เห็นกลอนคู่ในร้านฉ่าวโถวครั้งแรก เขาก็รู้สึกสงสัยแล้ว
แม้จะบอกว่าเป็นลายมือของเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเนื้อหาในกลอนคู่นั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ ขนาดคนโง่ยังมองออกว่าผิดปกติ
ตอนนั้นชุยตงซานจึงหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง แย่งเอากลอนคู่มาแล้ววิ่งออกไปนอกร้าน บอกว่าจะเอาไปให้ศิษย์พี่ของอาจารย์ดู ทำเอาเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยตกใจขวัญหนีดีฝ่อ โชคดีที่ชุยตงซานแค่แกล้งขู่เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยเล่นเท่านั้น เอาวิ่งออกไปแปบเดียวก็โยนคืนกลับไปให้เจี่ยเฉิง บอกว่าแขวนไว้ให้ดี
อันที่จริงตอนนั้นชุยตงซานก็ได้สังเกตดูพวกวัสดุ ตัวอักษร คำลงท้ายและตราประทับของกลอนคู่ชิ้นนั้นมาแล้วรอบหนึ่ง มันไม่มีความมหัศจรรย์ใดๆ ให้พูดถึงเลยจริงๆ เป็นแค่กลอนคู่ธรรมดาทั่วไป และยิ่งเป็นลายมือของเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยอย่างไม่ต้องสงสัย
รอกระทั่งเจิ้งจวีจงเป็นคนเปิดเผยความลับด้วยตัวเอง ชุยตงซานถึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด เข้าใจความหมายแฝงที่แท้จริงของคำว่า ‘สถานที่รู้ใจอยู่ไม่ไกล’ จริงๆ แล้ว
ความรู้นั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวของกลอนคู่ แต่อยู่บนตัวของเจี่ยเฉิงที่อยู่ห่างจากกลอนคู่ ‘ไม่ไกล’ ต่างหาก
ขณะเดียวกันก็เป็นการบอกเตือนอาจารย์ด้วยว่า ขอแค่ใจคิดถึงเรื่องนี้ก็จะอยู่ห่างจากเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวไม่ไกลแล้ว
นี่หมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ตอนเฉินจั๋วหลิวอาจารย์ของเจิ้งจวีจงยังเป็นเจี่ยเฉิง เจิ้งจวีจงก็ชิงฉวยโอกาสได้เปรียบมาไว้ก่อน ก็เหมือนกับว่าได้เป็นเพื่อนบ้านกับอาจารย์มานานหลายปี เจิ้งจวีจงจึงตั้งใจใช้สิ่งนี้มาพิศมรรคา มาเรียนรู้เวทกระบี่จากคนพิฆาตมังกร?
ในความเป็นจริงแล้วเจิ้งจวีจงสองคนก่อนหน้านี้ต่างก็อยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจริงๆ เพียงแต่ว่าตอนเฉินผิงอันอยู่ในร้านฉ่าวโถวเคยใช้เสียงในใจพูดคุยกับ ‘เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย’ ก็แค่ว่าตัวของเจี่ยเฉิงคล้ายกับคนที่ทำหน้าที่ส่งจดหมายเท่านั้น ไม่ได้รู้เนื้อหาในจดหมายที่ทั้งสองฝ่ายส่งให้กันแม้แต่น้อย
เจิ้งจวีจงแอบติดตามหันเชี่ยวเซ่อเดินทางผ่านกุยซวี อาศัยสิ่งนี้ปิดฟ้าข้ามมหาสมุทรกลับคืนมายังไพศาล จากนั้นจึงใช้ ‘เจี่ยเฉิง’ เป็นท่าเรือแห่งหนึ่ง ข้ามมหาสมุทรขึ้นฝั่ง ตรงมาที่ตรอกฉีหลงแห่งนี้ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงทำเรื่องที่เกินความจำเป็น จงใจเผยกายอยู่ใน ‘สถานที่รู้ใจอยู่ไม่ไกล’ ก็แค่ต้องการให้ชุยตงซาน ให้ซิ่วหู่ครึ่งตัวผู้นี้ที่ทบทวนกระดานหลังเกิดเหตุได้คิดดูให้ดีๆ ว่า จากลากันที่เมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวในปีนั้น ร้อยกว่าปีผ่านพ้นไปแล้ว เหตุใดฝีมือการเล่นหมากล้อมถึงยังไม่เพิ่มขึ้น กลับกันยังลดลงอีกด้วย
ชุยตงซานพลันเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างกระจ่างแจ้งจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเดือดดาล “อาจารย์เจิ้งทำแบบนี้ก็เกินไปแล้วนะ! เกินไปแล้วจริงๆ!”
เจิ้งจวีจงยิ้มรับ เตรียมจะจากไป
ชุยตงซานรีบเดินเร็วๆ ตามติดไป “ไม่คิดจะเปลี่ยนวิธีหาทางที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์มากกว่านี้หรอกหรือ? ยอดฝีมือที่ใกล้จะหลุดพ้นจากสามภพเข้าไปทุกทีอย่างอาจารย์เจิ้ง ไยต้องขุ่นเคืองกันเช่นนี้ด้วย?”
แม้แต่คำเดียวเจิ้งจวีจงก็คร้านจะพูดให้มากความ
ชุยตงซานเดินเบี่ยงตัว พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าสามารถเล่นหมากล้อมกับอาจารย์เจิ้งได้อีกสิบตา”
“ในเมื่อเทียบกับเมฆหลากสีสิบกระดานของปีนั้นไม่ได้แล้ว เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาว่างมากนักหรือ?”
เจิ้งจวีจงก้าวเดินเนิบช้า “เจ้าอาจจะรู้สึกว่าการแพ้ด้านหมากล้อมมีรสชาติ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าการชนะหมากล้อมไม่มีความหมายอะไร”
เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วข้างกายผู้นี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ซิ่วหู่ที่กว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขาที่ทั้งกายและใจล้วนสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ เป็นอริยะผู้ไร้อารมณ์ความรู้สึกได้ไม่ใช่เรื่องง่ายผู้นั้นอีกแล้ว
มีเรื่องให้ห่วงพะวงมากเกินไป เมื่อมีกลิ่นอายความเป็นมนุษย์มากเข้า ฝีมือการเล่นหมากล้อมย่อมตื้นเขิน
เจิ้งจวีจงถอนหายใจ
ก็เหมือนประโยคติดปากที่ชุยตงซานมักจะพูดบ่อยๆ ว่า ‘ข้าคือตงซานไงล่ะ’ นั่นแหละ
ถูกต้องแล้ว เด็กหนุ่มชุยตงซาน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ซิ่วหู่ในปีนั้นอีกแล้ว
ในอดีตบัณฑิตหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งไปเยี่ยมเยือนนครจักรพรรดิขาว ทั้งสองฝ่ายประชันหมากล้อมกันท่ามกลางเมฆหลากสี ชุยฉานที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเจิ้งจวีจงคีบเม็ดหมากวางเม็ดหมาก ไม่พูดไม่จา แต่สีหน้ากลับคล้ายกำลังบอกเจิ้งจวีจงว่า เจ้าสามารถเอาชนะข้าตานี้ได้ แต่ชุยฉานตาถัดไปจะต้องชนะชุยฉานตาก่อนได้แน่นอน ขอแค่สถานการณ์หมากมีเยอะมากพอ โอกาสที่จะชนะของเจิ้งจวีจงก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
นี่ต่างหากจึงจะเป็นสาเหตุแท้จริงที่เจิ้งจวีจงยินดีเล่นหมากล้อมติดกันสิบกระดานกับบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่ง
ทั้งๆ ที่พ่ายแพ้ อีกทั้งยังแพ้แล้วแพ้อีก แต่กลับชนะด้านความมั่นใจในการเล่นหมากล้อมมาได้อย่างเต็มเปี่ยม
เจิ้งจวีจงไม่เคยย้อนดูการเล่นหมากล้อมของตัวเอง มีเพียงสถานการณ์เมฆหลากสีเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
หากไม่ใช่เพราะจะดีจะชั่วชุยตงซานก็ยังเดาถึงการค้าระหว่างตนกับเฉินผิงอันออก เจิ้งจวีจงก็ไม่อยากจะพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ค่าตอบแทนจากการลงมือขัดขวางโจวมี่ เจิ้งจวีจงบอกให้เฉินผิงอันล้มเลิกความคิดที่จะสร้างสำนักเบื้องล่างไว้ที่ใบถงทวีป
ง่ายดายเพียงเท่านี้
ขอแค่ไม่ใช่ใบถงทวีป จะเป็นแจกันสมบัติทวีป ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หรือแม้กระทั่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็ล้วนตามแต่ใจ
เป็นเพราะนครจักรพรรดิขาวมีแผนการบางอย่างต่อใบถงทวีป?
ไม่มีเลยสักนิด
เจิ้งจวีจงก็แค่ต้องการทำให้อิ่นกวานหนุ่มรู้สึกอึดอัดใจ
เรื่องที่เจ้าทำไม่สำเร็จตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน รอจนเจ้าได้เป็นอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง เป็นเจ้าสำนักภูเขาลั่วพั่ว และยิ่งเป็นเซียนกระบี่ท่านหนึ่งแล้ว
อยู่ที่ใบถงทวีปแห่งนั้น ก็ยังคงทำไม่ได้
ต่อให้เจ้าจะวางแผนสร้างสถานการณ์ไว้ที่ใบถงทวีปนานแล้ว มีการชิงลงมือก่อน ทุ่มเทตั้งใจด้วยความยากลำบาก วางแผนลึกล้ำยาวไกล มองดูเหมือนว่าทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีล้วนไม่มีอะไรขาด…
แต่เจ้าเฉินผิงอันก็ยังคงทำไม่ได้อยู่ดี