กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 879.2 เงินสิบสี่ตำลึง
ลังเลเล็กน้อย เด็กสาวก็ถามเสียงเบาว่า “พี่หญิงชื่อแซ่อะไรหรือ?”
เผยเฉียนลืมตาตอบ “เจิ้งเฉียน”
สายตาเด็กสาวฉายประกายแวววาว “ชื่อดี! ถึงกับแซ่เดียวชื่อเดียวกับปรมาจารย์ใหญ่เจิ้งที่ข้าเลื่อมใสที่สุด!”
ในยุทธภพมีคำกล่าวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือปรมาจารย์ใหญ่เจิ้งคนนั้นงดงามราวบุปผาราวหยก เรือนกายบอบบางอรชร แต่กลับซุกซ่อนพละกำลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินที่ผีร้องไห้เทพคร่ำครวญเอาไว้
และยังมีข่าวลือในยุทธภพอีกอย่างหนึ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่า บอกว่าเจิ้งซาเฉียนผู้นั้น แม้ว่าจะเป็นสตรีอายุน้อย แต่กลับสูงหนึ่งจั้ง เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ต้นขาหนาสะโพกใหญ่ ปล่อยหมัดออกไปครั้งสองครั้ง ไม่ว่าจะผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจหรือผู้ฝึกยุทธเผ่าปีศาจก็ล้วนต้องมีจุดจบแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
ดูเหมือนเด็กสาวจะนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดขึ้นมาได้จึงหัวเราะชอบใจ กว่าจะหยุดเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางเอ่ยว่า “พี่หญิงเจิ้งเฉียนคงไม่ได้มีนามแฝงในยุทธภพอีกอย่างว่าเผยเฉียนหรอกกระมัง?”
โรงเตี๊ยมของบ้านตนอยู่ห่างจากตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น จึงมักจะได้ยินข่าวคราวเล็กๆ บางอย่างของบนภูเขาและในยุทธภพ และยังมีก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เวทีประลองยุทธใกล้กับศาลเทพอัคคีก็เพิ่งได้ยินข่าวลือมาอีกอย่าง เจิ้งเฉียนผู้นั้นมีชื่อจริงว่าเผยเฉียน มาจากสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว ส่วนเรื่องราวเทพเซียนและเรื่องน่าสนใจในยุทธภพที่มากกว่านั้น ตอนนั้นรอบข้างเสียงดังมาก เด็กสาวพยายามเงี่ยหูตั้งใจฟังเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังได้ยินไม่ชัดเจน
เผยเฉียน? (ขาดทุน) เจิงเฉียน? (หาเงิน/ได้เงิน) ทำไมถึงดูเหมือนว่าสองชื่อนี้ถึงเอาแต่งัดข้ออยู่กับเงินล่ะ?
เผยเฉียนคลี่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
เด็กสาวก็ยิ้ม รู้สึกว่าคำพูดนี้ของตนค่อนข้างน่าขำ
“พี่หญิงเจิ้งเฉียน เคยอ่านบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งไหม? เมื่อหลายปีก่อนขายดีมาก ข้าลงมือช้าไปก็เลยซื้อมาไม่ได้ เสียใจจนไส้แทบเขียวแล้ว”
เผยเฉียนกล่าว “เคยอ่าน”
ในบันทึกขุนเขาสายน้ำที่อาจารย์พ่ออยู่ทั้งในตำราและนอกตำรา เผยเฉียนที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาเคยอ่านมาไม่น้อย
เด็กสาวถามอย่างใคร่รู้ “นี่ท่านกำลังฝึกวิชาหมัดอยู่หรือ?”
“ออกหมัดง่ายแต่เดินนิ่งยาก ยากแรกนั้นอยู่ที่จะเรียนหมัดต้องเรียนการเดินก่อน ความยากต่อมาอยู่ที่หยดน้ำที่กร่อนหิน ต้องพากเพียรอย่างไม่ลดละ”
เผยเฉียนเดินเล่นต่อ อืมรับหนึ่งที “อาจารย์พ่อของข้าเคยบอกว่าฝึกวิชาหมัดอย่างยากลำบากมาสองสามปี ทว่าทำวิชาหมัดหายใช้เวลาแค่สองสามวันเท่านั้น”
เด็กสาวกระโดดผลุงขึ้นมา “สัจธรรมแห่งหมัดนี้ ข้ารู้ ข้ารู้ ขอแค่เดินทางผ่านศูนย์ฝึกยุทธแห่งนั้น ทุกวันจะต้องได้ยินเสียงชายแขนเสื้อสะบัดตีดังพึ่บพั่บมาจากข้างใน หรือไม่ก็เป็นเสียงฮื่อฮ่าที่ดังจากปาก แล้วจู่ๆ ก็พลันกระทืบเท้า กระทืบจนพื้นดินดังตึงๆๆ ตามคำกล่าวที่บอกไว้ในตำราหมัด นี่เรียกว่ากระดูกบิดเส้นเอ็นพลิกประหนึ่งประทัดระเบิด ใช่ไหม? คำพูดเก่าแก่ในตำราหมัดกล่าวได้ดี หมัดประหนึ่งพยัคฆ์ลงจากภูเขา ประหนึ่งมังกรลงมหาสมุทร พี่หญิงเจิ้งเฉียน ท่านลองดูสิว่าท่าทางของข้าเป็นอย่างไร ถือว่าเข้าขั้นแล้วหรือไม่?”
เผยเฉียนไร้คำพูดตอบโต้ แล้วก็ไม่อยากจะสาดน้ำเย็นใส่แม่นางน้อย จึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดเหลวไหลของนาง
ส่วนท่าทางที่ก้าวเดินส่งเดชของแม่นางน้อย เผยเฉียนก็ยิ่งมองดูด้วย…ความใกล้ชนิดสนิทสนม ไม่ต่างจากตนตอนเด็กสักเท่าไร
พอคิดถึงสายตาที่อาจารย์พ่อและพวกพ่อครัวเฒ่า เว่ยคอแข็งมองตนในอดีต เผยเฉียนก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก
ปัญหาก็อยู่ที่วิชากระบี่มารคลั่งที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมาตอนเป็นเด็ก ตัวเผยเฉียนเองไม่คิดจะใช้แล้ว ผลกลับถูกหมี่ลี่น้อยเรียนรู้เอาไปเสียได้
เผยเฉียนเห็นว่าเด็กสาวไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจึงได้แต่ยืนนิ่ง เปิดปากเอ่ยว่า “เรียนหมัดง่าย แต่ฝึกหมัดยาก กระบวนท่าเรียนง่าย แต่ปณิธานเรียนได้ยาก อะไรที่เรียกว่าเดินเข้าห้อง นั่นก็คือต้องมีปณิธานหมัดส่วนหนึ่งอยู่บนร่าง เป็นเหตุให้ผู้ฝึกยุทธอย่างเราๆ ประหนึ่งมีเทพช่วย ทว่าความสามารถที่มากกว่านั้นกลับเป็นคนที่บังคับหมัด ไม่ใช่เอาแต่เดินตามหมัดไปอย่างเดียว ก็เหมือนการออกคำสั่งต่อเทพ ปณิธานหมัดของทั้งร่าง อาวุธยุทโธปกรณ์สารพัด แค่หยิบเอามาไว้ในมือง่ายๆ แต่ละชิ้นล้วนเหมือนแขนเหมือนนิ้วมือตัวเองที่ขยับเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เข้าใจหรือไม่?”
เด็กสาวพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่เข้าใจ!”
เผยเฉียนยิ้มบางๆ “กระบวนท่าหมัดของใต้หล้ามีนับพันนับหมื่น สัจธรรมแห่งหมัดมีนับสิบนับร้อย มีเพียงวิชาหมัดที่มีแค่หนึ่งเดียว”
เด็กสาวฉงนสนเท่ห์ “หมายความว่าอย่างไร?”
เผยเฉียนหรี่ตายิ้มเอ่ย “เบื้องหน้าไร้ผู้คน วรยุทธไร้อันดับสอง”
อาจารย์พ่อเคยพูดเองว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมให้ได้ มีเพียงการฝึกวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูงเท่านั้นที่ไม่อาจยอมหลีกทางให้ได้ ถามหมัดกับคนอื่น เบื้องหน้าต้องไร้เงาคน เรียนวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูง ข้างกายต้องไม่มีผู้ใด
อีกทั้งท่านปู่ชุยก็เคยเอ่ยหลักการทำนองเดียวกันนี้มาก่อน
เด็กสาวฟังด้วยใบหน้าแดงปลั่ง รู้สึกเลื่อมใสสุดขีด “เผด็จการ! เต็มเปี่ยม!”
เผยเฉียนยิ้มถาม “ทำไมเจ้าถึงอยากท่องยุทธภพถึงเพียงนี้?”
เด็กสาวนั่งกลับลงไปบนม้านั่ง เอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “เป็นชายหญิงในยุทธภพมีอิสระน่ะสิ ไม่ต้องแต่งงาน แล้วยังได้พบเห็นเรื่องราวและผู้คนแปลกประหลาดมากมาย ทางที่ดีที่สุดคือก่อนออกท่องยุทธภพจะต้องแบกเอาเมล็ดแตงทอง ใบไม้ทองกองใหญ่ไปด้วย หาร้านเหล้าข้างทางสักร้าน หยุดม้าลง ดื่มเหล้าเสร็จก็โยนเงินก้อนใหญ่ไปให้ เอ่ยประโยคหนึ่งว่าเถ้าแก่คิดเงิน ช่างใจป้ำยิ่งนัก ในหนังสือล้วนเขียนไว้เช่นนี้”
เผยเฉียนยิ้มกล่าว “ออกไปอยู่ข้างนอก นอกจากคนที่แค่พบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานานแล้ว กับคนอื่นก็อย่าละโมบในคำว่าใจกว้างเด็ดขาด หนึ่งการไม่เปิดเผยทรัพย์สินก็คือกฎของยุทธภพ อีกอย่างก็คือคนในยุทธภพที่แท้จริงมีชีวิตที่คมดาบต้องอาบเลือด หาเงินได้ไม่ง่าย ในหนังสือเขียนไว้ว่าพวกจอมยุทธใหญ่ถูกคนฟันหนึ่งที คิ้วไม่กระดิกสักครั้ง ก็แค่ต้องทำแผลให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง บางทีเจ้ายังไม่ทันเปิดหนังสือไปอีกหน้า จอมยุทธใหญ่ก็รักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ไปพูดคุยแย้มยิ้มอยู่บนโต๊ะเหล้าแห่งอื่นแล้ว ทว่าหากบาดเจ็บถึงเส้นเอ็นและกระดูกต้องรักษาตัวหนึ่งร้อยวัน นี่คือหลักการที่แม้แต่เด็กน้อยก็ยังเข้าใจ”
เด็กสาวอึ้งตะลึง
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าลองใช้แรงที่มากที่สุดตบบ้องหูตัวเองทีหนึ่งสิ”
แค่ได้ยินประโยคนี้เด็กสาวก็เข้าใจทันที
คงเป็นนักต้มตุ๋นในยุทธภพกระมัง
มีใครเขาสอนวิชาหมัดอย่างเจ้าบ้าง?
เพียงแต่เห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นไม่เหมือนล้อเล่น เด็กสาวที่เหมือนถูกผีดลใจก็ตบบ้องหูตัวเองแรงๆ ทีหนึ่ง ตบจนตัวเองเซถลา พอมองเผยเฉียนที่ไม่สะทกสะท้าน เด็กสาวก็ไหล่ลู่คอตก “ไม่แรงพอ ใช่ไหม”
เผยเฉียนยิ้มกล่าว “เอาเป็นว่าดีกว่าข้าในอดีตมากก็แล้วกัน”
ปีนั้นตอนที่อยู่นครมังกรเฒ่า นักพรตหญิงหวงถิงเคยจับเส้นเอ็นบีบกระดูกให้กับเผยเฉียน เจ็บปวดจนถ่านดำน้อยแหกปากร้องเสียงดังสนั่นฟ้า
ทำเอาคนบางคนสงสารจนพูดทันทีว่าไม่ต้องฝึกหมัดแล้ว ไม่ต้องฝึกหมัดแล้ว
เด็กสาวตัดสินใจได้ทันที “เจิ้งเฉียน ข้าเข้าใจแล้ว นับแต่วันนี้ไป ข้าจะไม่เรียนวิชาหมัดอีกแล้ว!”
เผยเฉียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ช่างเถิด ตนไม่เหมาะจะเป็นอาจารย์หรือเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคากะผายลมอะไรเลยจริงๆ กับเจ้าใบ้น้อย อันที่จริงก็มีสภาพการณ์อันน่าเวทนาทำนองเดียวกันนี้ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนในนามผู้นี้อยู่ร่วมกับสือโหรวอย่างปรองดอง เห็นได้ชัดว่าสนิทกันยิ่งกว่าตนด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรพอมาอยู่กับอาจารย์ อาหมานก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็นเลยสักครั้ง ถนอมคำพูดราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก ยอมเป็นเจ้าใบ้น้อยเท่านั้น
เผยเฉียนเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กสาว ยกฝ่ามือขึ้นขยี้แก้มของเด็กสาวเบาๆ เพียงไม่นานรอยแดงก็สลายหายไป นางยิ้มเอ่ย “คนที่เจ้าต้องการตามหาคนนั้น อันที่จริงอยู่ห่างเจ้าไม่ไกล ดังนั้นจึงไม่ต้องไปหาในยุทธภพหรอก”
เด็กสาวนวดคลึงข้างแก้มตัวเอง ไม่เข้าใจสักนิดว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่ แต่เด็กสาวก็รู้แค่ว่าเจิ้งเฉียนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ต้องเป็นจอมยุทธหญิงอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว นางจึงตะโกนเสียงดัง “พี่หญิงเจิ้งเฉียน ข้าจะเรียนหมัด!”
เผยเฉียนส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ตัวข้าเองยังเรียนได้ไม่ถึงแก่น ไม่อาจสอนวิชาหมัดเลิศล้ำอะไรให้เจ้าได้หรอก”
แล้วนับประสาอะไรกับที่การเรียนหมัดก็ลำบากมากจริงๆ
เฉาฉิงหล่างที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินคุยเล่นกับเถ้าแก่ผู้เฒ่าหลิวอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมาหาเผยเฉียนเพื่อคุยธุระบางอย่าง ผลคือเห็นว่านางกำลัง ‘สอนหมัด’ ให้คนอื่น เฉาฉิงหล่างจึงหยุดเดิน ยืนรออยู่ห่างไปไกลตรงระเบียงเงียบๆ
ในเมื่อศิษย์พี่เล็กและอาจารย์ต่างก็ทยอยกันแนะนำให้เขารักษาสถานะขุนนางเปียนซิวของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเอาไว้ เฉาฉิงหล่างเองก็ไม่ใช่คนคร่ำครึ จึงล้มเลิกความคิดที่จะลาออกจากการเป็นขุนนาง
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่มาที่เรือนแห่งนี้ เฉาฉิงหล่างประสานมือคารวะเอ่ยว่า “คารวะท่านอาจารย์”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้สุภาพอ่อนโยน มีมารยาทอบอุ่น สีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง
นี่แสดงให้เห็นถึงความดีงามในขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วบ้านตน
หลิวลู่ไฉเห็นคนต่างถิ่นคนนั้นก็รีบบอกลากับเผยเฉียน หิ้วอ่างน้ำออกไปจากเรือน
เฉินผิงอันเอ่ยกับเฉาฉิงหล่างว่า “คุยธุระกันข้างนอกนี่สักหน่อย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า”
เฉาฉิงหล่างรีบไปที่ห้องหลัก ยกเอาเก้าอี้สองตัวและม้านั่งยาวหนึ่งตัวออกมาทันที
เขาสามารถนั่งบนม้านั่งยาวกับเผยเฉียนได้
ส่วนอาจารย์กับแขกแปลกหน้าคนนั้นก็ให้นั่งบนเก้าอี้
ระเบียงใต้ชายคากว้างขวางมากพอ สองฝ่ายสามารถนั่งลงตรงข้ามกันได้
เสี่ยวโม่เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ ก่อนจะนั่งตัวตรงอย่างสำรวม
หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเผยเฉียน ถามว่า “เป็นอะไรไป?”
แม้เผยเฉียนจะใจฝ่อ แต่ก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม ข้าอดไม่ไหวจึงแอบมองสภาพจิตใจของแม่นางน้อยไปทีหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “มองแล้วก็มองไปเถอะ”
เผยเฉียนทำสีหน้าประหลาดใจ ถามอย่างกังขา “อาจารย์พ่อไม่โกรธหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่อก่อนใช้กฎเกณฑ์ควบคุมเจ้าอย่างเข้มงวดเพราะกังวลว่าเจ้าจะหลงเดินทางผิด แต่ตอนนี้ไม่ต้องควบคุมเจ้าแบบนั้นแล้ว ยุทธภพอันตราย ใจคนยากจะคาเดา เจ้าต้องปกป้องตัวเองให้ดี”
ในช่วงอายุที่ควรตั้งกฎเกณฑ์ เฉินผิงอันไม่เคยเลอะเลือนกับเผยเฉียน เป็นเพราะกังวลว่าเผยเฉียนเรียนวิชาหมัดไปแล้วจะไม่รู้จักหนักเบา ทว่ารอกระทั่งเผยเฉียนเติบใหญ่ รู้ถูกผิดอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรใช้กฎเกณฑ์มาพันธนาการนางอย่างตายตัวมิอาจไม่รู้จักพลิกแพลงเกินไป
เผยเฉียนกล่าว “อาจารย์พ่อ ไม่ต้องเป็นห่วง วันหน้าทุกครั้งที่ข้าออกท่องยุทธภพจะพยายามไม่ทำผิด หรือต่อให้ทำผิดแล้วก็จะแก้ไขให้ถูกต้อง”
นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนพูดแบบนี้กับอาจารย์พ่อหลังจากเติบใหญ่
ยากจะจินตนาการได้ว่าเผยเฉียนที่อยู่ตรงหน้าก็คือเจ้าเม่นน้อยที่ปีนั้นเคยเรียบเรียง ‘ตำรารวมมะเหงก’ ขึ้นมาเป็นการส่วนตัว ไม่ว่าเจอใครก็ปล่อยขนทิ่มคนนั้น แล้วก็ยากจะจินตนาการได้ว่าคือถ่านดำน้อยที่ ‘อดทนกับความยากลำบากได้ดี’ ซึ่งชอบตอแยพัวพันอยู่กับเว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง ทุกคนไม่ว่าใครที่ยอมกรอกกำลังภายในให้นางยี่สิบปี นางก็พอใจแล้ว
ทุกๆ เหตุผลก็เหมือนท่าเรือแห่งหนึ่ง
บางทีมีเพียงในอนาคตเดินไปถึงท่าเรือแห่งนั้น ได้เห็นเรื่องราวและผู้คนบางอย่างกับตาตัวเองก็จะเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง
แล้วก็มีหลักการเหตุผลบางอย่างของอริยะปราชญ์ในตำรา คำพูดโบราณของคนเฒ่าคนแก่ การกระทำและวาจาที่อยู่นอกตำรา ซึ่งคล้ายกับศาลาริมทางหลังแล้วหลังเล่า
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ตกลง อาจารย์พ่อเชื่อเจ้า”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยแนะนำกับเสี่ยวโม่ “สองคนนี้คือลูกศิษย์ของข้าเอง เผยเฉียน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาขั้นสูงสุด”
“เฉาฉิงหล่าง ปั้งเหยี่ยนแห่งการสอบเคอจวี่ของต้าหลี”
แล้วเฉินผิงอันจึงแนะนำเสี่ยวโม่ที่อยู่ข้างกายให้คนทั้งสองได้รู้จัก “ฉายาว่าสี่จู๋ ทุกวันนี้ใช้นามแฝงว่าโม่เซิง คือผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่ง ขอบเขตไม่ต่ำ แน่นอนว่าเป็นสหายที่หากไม่ตีกับอาจารย์ก็ไม่ได้รู้จักกัน วันหน้าโม่เซิงจะฝึกกระบี่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว มีชาติกำเนิดเช่นเดียวกับอาจารย์ลุงหลิวของพวกเจ้า วันหน้าสามารถเรียกว่าผู้อาวุโสสี่จู๋ กลับบ้านเกิดครั้งนี้จะรับเข้าทำเนียบขุนเขาสายน้ำของยอดเขาจี้เซ่อ รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว”
หนึ่งชายหนึ่งหญิง สีหน้านิ่งสงบ ไม่มีความเสแสร้งใดๆ
ผู้ฝึกยุทธลุกขึ้นกุมหมัด บัณฑิตประสานมือคารวะ
ราวกับว่าไม่มีอารมณ์ขึ้นลงต่อชาติกำเนิดเผ่าปีศาจของผู้อาวุโสสี่จู๋ที่อยู่ตรงหน้านี้แม้แต่น้อย เห็นเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
เสี่ยวโม่ไม่ต้องร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอะไรก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความจริงใจของชายหนุ่มหญิงสาวตรงหน้าคู่นี้
ลุกขึ้นยืนอยู่นานแล้ว เสี่ยวโม่ค้อมเอวลงน้อยๆ กุมหมัดเขย่ามือ ยิ้มเอ่ย “ข้าก็แค่มีอายุมากกว่าไม่กี่ปี ไม่ต้องเรียกผู้อาวุโสหรอก ไม่สู้พวกเจ้าเรียกข้าตรงๆ ว่าเสี่ยวโม่ตามคุณชายไปเลยก็แล้วกัน ข้าชอบอย่างหลังมากกว่า”
จากนั้นเสี่ยวโม่ก็รีบควักชายแขนเสื้อ
เตรียมของขวัญพบหน้าสองชิ้นไว้เรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องๆ”
ภูเขาลั่วพั่วบ้านตนมีโจวอันดับหนึ่งที่มือเติบใจใหญ่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
อีกทั้งเสี่ยวโม่มิอาจเทียบกับเจียงซ่างเจินที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้ มอบของขวัญออกมาให้หนึ่งชิ้น สมบัติก็ต้องน้อยลงไปหนึ่งส่วน
เสี่ยวโม่ยืนกราน “คุณชาย เป็นแค่น้ำใจเล็กน้อย ไม่ใช่ของขวัญที่มีราคาอะไรเสียหน่อย”
“แม่นางเผยและอาจารย์น้อยเฉาล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณชายที่สุด หากไม่มีของขวัญให้เลย ตามเหตุตามผลล้วนไม่เหมาะสม ก่อนหน้านี้คุณชายปฏิเสธชุดคลุมอาคมพวกนั้นไปแล้ว ไม่สู้ครั้งนี้ให้ข้าได้วางมาดผู้อาวุโสต่อหน้าพวกเขาบ้างเถอะ?”
เฉินผิงอันจึงได้แต่พยักหน้า
เสี่ยวโม่ไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วต้องเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นอย่างมากแน่นอน ประหนึ่งปลาได้น้ำ ไม่ด้อยไปกว่าโจวอันดับหนึ่งเลย
เชี่ยวชาญการยุให้คนอื่นเหล้า นั่นคือความสามารถที่แบ่งความสูงต่ำของคนบนโต๊ะเหล้าได้
ชอบดื่มสุราคารวะ ไม่เคยหลบเลี่ยงการดื่ม แล้วยังหาเหล้าดื่มเอง ก็คือนิสัยการดื่มที่ดีเยี่ยม
คำโบราณว่าไว้ได้ถูกต้อง วัตถุแยกเป็นประเภท มนุษย์อยู่กันเป็นกลุ่ม เสี่ยวโม่เหมือนตนมาก
นิสัยการดื่มเหล้ายอดเยี่ยม ก็แค่ความสามารถในการยุให้คนดื่มแย่ไปสักหน่อย
ปีนั้นที่ร้านเหล้า เป็นที่รู้กันถ้วนทั่วว่าเถ้าแก่รองหลบเพียงหมัดไม่หลบสุรา
ส่วนประโยคหลังที่พวกผีขี้เหล้านักพนันทั้งหลายชอบพูดกันว่า ‘ถึงอย่างไรหมัดเดียวก็ล้มไปกองแล้วนี่นา’ คำพูดเหลวไหลบนโต๊ะสุรา ย่อมไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้