กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 879.3 เงินสิบสี่ตำลึง
เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่าง คนทั้งสองมองไปยังเฉินผิงอันในเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันพยักหน้าอีกครั้ง
เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างถึงได้เก็บของขวัญชิ้นนั้นไป
เฉินผิงอันมองแค่แวบเดียวก็รู้ตื้นลึกหนาบาง คือสมบัติอาคมที่ซุกซ่อน ‘ถ้ำสวรรค์เล็ก’ สองชิ้นซึ่งมีระดับสูงยิ่งกว่าวัตถุจื่อชื่อ
สมบัติล้ำค่าบนภูเขาประเภทนี้ อย่าวว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไปเลย แม้แต่ร้านผ้าห่อบุญอย่างเฉินผิงอันก็ยังไม่มีสักชิ้น
คนทั้งสองต่างเอ่ยขอบคุณผู้อาวุโสสี่จู๋
เสี่ยวโม่คลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด เห็นว่าพวกเขาทั้งสองไม่มีท่าทีว่าจะนั่งลง เสี่ยวโม่ถึงได้นั่งลงไป
เด็กสองคนนี้ที่บ้านสอนมารยาทมาดีมาก
คงไม่ใช่ว่าสหายลู่หลอกตนแล้วกระมัง? จงใจพูดให้ถ้ำสวรรค์หลีจูเก่าที่ขนบธรรมเนียมเรียบง่ายบริสุทธิ์กลายมาเป็นบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยอันตราย? ถือเป็นการมอบความตกตะลึงระคนยินดีให้กับตน?
เสี่ยวโม่อดไม่ไหวใช้เสียงในใจเอ่ย “คุณชาย แม่นางเผยอายุน้อยมากเลยนะ แต่ใกล้จะได้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแล้วหรือ?”
ยามอยู่กับอาจารย์พ่อของนาง แม่นางน้อยนอบน้อมอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าสหายลู่หลอกตนอีกครั้งแล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้ใช้เสียงในใจตอบกลับ แต่เปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “เผยเฉียนอายุน้อยมาก แต่ราชวงศ์เหวินอวิ๋นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีสตรีคนหนึ่งชื่อว่าป๋ายเริ่น ดูเหมือนว่าจะพอๆ กันกับนาง อายุห้าสิบก็เป็นขอบเขตปลายทางแล้ว อีกทั้งฟังลู่เฉินเล่าว่าราชครูหญิงของราชวงศ์ชิงเสินก็เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางตอนอายุน้อยยิ่งกว่านี้”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ
เฉาฉิงหล่างกลับมองเห็นความภาคภูมิใจของอาจารย์ตนได้อย่างชัดเจน แจ่มกระจ่าง
อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันยืมขอบเขตสิบสี่มาจากลู่เฉิน ก่อนจะออกไปจากเมืองหลวงต้าหลีก็ได้เห็นความประหลาดบนร่างของเผยเฉียนแล้ว นี่ทำให้เขาที่เป็นอาจารย์ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เพราะตอนนี้เผยเฉียนอยู่ในสภาพการณ์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
นางกำลังกดขอบเขต!
เป็นเรื่องที่แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน
การฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวใช่ว่าตัวของผู้ฝึกยุทธเองจะเป็นผู้ตัดสินใจได้ จะฝ่าคอขวดได้หรือไม่ ตัวเองก็ไม่ใช่คนตัดสินใจ ต้องอดทน เมื่อคอขวดถูกเปิดออก ไม่เลื่อนขั้น ก็ยิ่งไม่ได้อยู่ในการควบคุมของตน อีกทั้งหากสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้ ใต้หล้านี้จะมีผู้ฝึกยุทธคนใดที่เป็นอย่างเผยเฉียนบ้างเล่า?
แต่เสี่ยวโม่เห็นการเข่นฆ่ามาจนเคยชินแล้ว อีกทั้งการเข่นฆ่าบนยอดเขาส่วนใหญ่ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเรื่องประหลาดมากมายไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
ทว่าตอนนี้เสี่ยวโม่กลับมีความใคร่รู้ในตัวเฉาฉิงหล่างมากกว่า
เผยเฉียนฝึกหมัดในทุกวันนี้ก็แค่เพื่อกดขอบเขตจริงๆ
นางต้องการเลือกสถานที่แห่งหนึ่งและวันใดวันหนึ่งก่อน ถึงจะยอมให้ตัวเองเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทาง
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นโดยตรง บอกให้เฉาฉิงหล่างรู้ถึงความคิดของชุยตงซาน
คำตอบของเฉาฉิงหล่างเรียบง่ายมาก “อาจารย์ อันที่จริงเป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด ก่อนหน้านี้เพราะเห็นว่าดูเหมือนอาจารย์กับศิษย์พี่เล็กจะตัดสินใจกันแล้ว ข้าถึงได้แข็งใจตอบตกลงว่าจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่ใช่พวกเผด็จการเสียหน่อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ หากตัวเจ้าเองมีความคิดเห็นก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นเจ้าก็ควรจะบอกอาจารย์ตามตรง...ช่างเถิด ครั้งนี้เป็นเพราะอาจารย์คิดไม่รอบคอบเอง วันหน้าข้าจะระวังให้มาก เจ้าเองก็เหมือนกัน”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “จำไว้แล้วขอรับ”
เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “เดิมทีเจ้าสามารถเป็นเจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของไพศาลได้”
เฉาฉิงหล่างเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากในเรื่องนี้
เมื่อก่อนศาลบุ๋นควบคุมอย่างเข้มงวด ผู้ฝึกลมปราณรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนัก จำเป็นต้องมีขอบเขตเป็นหยกดิบ นี่คือกฎเหล็ก
ผู้ฝึกตนอิสระของป่าเขา คิดจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก่อนอายุสี่สิบก็ช่างเป็นความฝันของคนปัญญาอ่อนโดยแท้
ต่อให้จะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่รากฐานลึกล้ำ การสืบทอดมีระบบระเบียบ คิดจะกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบในช่วงอายุเท่านี้ก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์เช่นกัน ในประวัติศาสตร์ของไพศาลมีน้อยจนนับนิ้วได้
นอกจากนี้ต่อให้มีผู้มากพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่เป็นเช่นนี้ หนึ่งทางสำนักย่อมไม่มีทางปล่อยให้ลูกรักแห่งสวรรค์ที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมถูกกิจธุระยิบย่อยในภูเขามาผลาญเวลาการฝึกตนที่มีค่าไป เพราะจะได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากนี้ในสำนักใหญ่ ต่อให้มีสำนักเบื้องล่าง ขอบเขตหยกดิบที่อายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ไม่เหมาะที่จะให้ไปเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างโดยตรง เพราะบนเส้นทางการฝึกตนที่รุดหน้าไปราวกับผ่าลำไม้ไผ่สายนั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าผู้ฝึกลมปราณจะเดินโซซัดโซเซ เจออุปสรรคมากมายอยู่ในกองเรื่องหยุมหยิม
ตัวเองเป็นเช่นไร เฉินผิงอันแทบไม่เคยมีข้อพิถีพิถันอะไรมาก่อน ถึงขั้นที่ว่ายามออกท่องยุทธภพก็ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลกับ ‘ขอบเขตที่ถดถอย’ มากนัก
แต่พอมาเป็นเผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างกลับต่างออกไปอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่นเฉาฉิงหล่างสอบติดปั้งเหยี่ยน พอเฉินผิงอันรู้เข้า นอกจากจะดีใจแล้วก็อดนินทาในใจอยู่สองสามส่วนไม่ได้ ลูกศิษย์ของข้าทำไมถึงเป็นแค่ปั้งเหยี่ยน ไม่ใช่จ้วงหยวน? เป็นเหตุให้ครั้งนี้เฉินผิงอันมาเยือนเมืองหลวงต้องอดทนข่มกลั้นอย่างมาก ถึงจะไม่ไปแอบขโมยเปิดดูข้อสอบในการสอบหน้าพระที่นั่งของจ้วงหยวนคนใหม่ในคลังเก็บเอกสารของกรมพิธีการ ดูสิว่าจะใช่กระดาษคำตอบของลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของตนหรือไม่ แต่แค่เพราะตัวอักษรเขียนไม่เป็นระเบียบมากนัก พวกขุนนางที่ตรวจข้อสอบซึ่งอายุมากแล้วถึงได้มองพลาดไป หรือไม่ก็เป็นฮ่องเต้ที่จงใจลดระดับของเขาลงมา?
เฉาฉิงหล่างเอ่ย “อาจารย์ ข้าเพิ่งไปหาสวินชวี่มา เขาบอกว่าอาจารย์เข้ากับคนได้ง่ายมาก ไม่ใช่ว่าแสร้งทำเป็นไม่มีมาด แต่ท่านไม่วางมาดเลยจริงๆ”
“สวินชวี่ไม่ใช่คนที่ชอบประจบสอพลอใคร ยิ่งไม่ได้จงใจให้ข้าเอามาบอกต่อให้อาจารย์ฟัง เขายินดีพูดแบบนี้ก็แสดงว่าต้องเคารพเลื่อมใสอาจารย์อย่างมากแน่ เขายังบอกอีกว่าวันหน้าหากตัวเองเป็นขุนนางใหญ่แล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ ไม่ว่าอยู่ร่วมกับใครก็จะต้องทำให้คนรู้สึกเหมือนได้อาบไล้ท่ามกลางลมวสันตฤดู”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่ได้ทำให้สวินชวี่รู้สึกว่าเจ้าหาอาจารย์มาผิดคนก็ดีแล้ว”
เฉินผิงอันเริ่มเข้าใจความรู้สึกของฮว่อหลงเจินเหรินขึ้นมาบ้างแล้ว
ออกไปอยู่นอกบ้าน ถูกคนมองเป็นฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ เป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ หรือถูกมองเป็นอาจารย์ของจางซานเฟิง อันที่จริงทั้งสองอย่างนี้มีความต่างที่ลี้ลับอยู่
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ช่วงที่ผ่านมาข้าคิดถึงปัญหาข้อนี้มาโดยตลอด ตัวของปัญหาคงไม่พูดถึงแล้ว วันหน้ารอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมจะต้องมาทบทวนกระดานกับเจ้าอย่างแน่นอน สรุปก็คือที่ภูเขาลั่วพั่ว ข้าอาจจะยังต้องจัดการกับเรื่องอีกมากมาย ทั้งน้อยและใหญ่ หากเห็นแล้วรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องก็จะต้องจัดการเสียหน่อย แต่ทางฝั่งของสำนักเบื้องล่างในวันหน้า ข้าอาจจะปล่อยมือมากกว่า ดังนั้นเจ้าที่อยู่ข้างกายตงซานอาจมีความเห็นต่างไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ ถึงขั้นที่อาจต้องทะเลาะกัน ถึงเวลานั้นเขาเป็นเจ้าสำนัก แล้วยังเป็นศิษย์พี่เล็กของเจ้า เรื่องนี้ก่อนที่เจ้าจะไปใบถงทวีปก็ลองคิดดูก่อนได้”
เฉินผิงอันโคลงศีรษะอยู่กับตัวเอง “ไม่ใช่ว่าอาจจะ แต่ต้องเป็นแน่นอน”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้า “อาจารย์ อันที่จริงข้าไม่กลัวการทะเลาะกันหรอก ขอแค่ไม่ใช่การถกเถียงกันด้วยอารมณ์ก็สามารถหาข้อดีมาชดเชยข้อเสีย ตรวจสอบหาช่องโหว่แล้วแก้ไขได้”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “จำไว้ว่าไม่เพียงแต่กับศิษย์พี่เล็กของเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าเจอเรื่องราวมากมายใดๆ นอกจากนี้ ชอบและถนัดที่จะใช้เหตุผลคือเรื่องหนึ่ง แต่ก็ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของคนอื่นด้วย พิถีพิถันในเรื่องถามสาเหตุไม่ถามถึงผลลัพธ์ ไม่เอาผลลัพธ์ดีเลวมายอมรับหรือปฏิเสธคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เจอกับปัญหาใหญ่ ปัญหาที่ยากจะแก้ไข ก็คือการฝึกตน”
กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็แบมือสองข้างออก ตบเบาๆ จากนั้นหันฝ่ามือเข้าหากัน “พวกเราชื่นชมคนผู้หนึ่ง ต้องมีการกะน้ำหนักให้ดี อันที่จริงคือการรักษาระยะห่างที่เหมาะสมคู่ควรอย่างหนึ่ง ห่างไปก็ห่างเหินเกิน ใกล้ไปก็ง่ายที่จะเรียกร้องเอาจากคนอื่น ดังนั้นต้องเหลือพื้นที่ว่างให้กับคนใกล้ชิดทุกคนสักเล็กน้อย หรือแม้กระทั่งเหลือพื้นที่ว่างสำหรับการทำความผิด ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับถูกผิดที่ใหญ่หลวง ก็ไม่ต้องจับแน่นไม่ยอมวาง คนที่จิตใจละเอียดอ่อน ส่วนใหญ่มักจะไม่ทันระวังเรียกร้องเอาความรับผิดชอบอย่างเต็มรูปแบบ ปัญหาดันอยู่ที่ว่าพวกเราไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย แต่คนข้างกายกลับได้รับบาดแผลไปมากมายนานแล้ว”
“คำโบราณกล่าวไว้ว่า คนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีมักต้องมีจุดที่ละเอียดอ่อน อันที่จริงหากมองอีกมุมก็ถือว่าเป็นเหตุผลที่ดี เพราะคนที่ถนัดสังเกตจุดที่ละเอียดอ่อนก็ต้องมีความเข้าอกเข้าใจคนอื่น”
“นอกจากนี้ก็คือต้องคอยบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ใช่รูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่ไม่มีไฟโทสะเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครก็ต้องมีอารมณ์เป็นของตัวเอง และอารมณ์ก็คือเหตุผลอย่างหนึ่ง ในหลายๆ ครั้งมองดูเหมือนกำลังอธิบายเหตุผลกับคนอื่น ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเห็นอยู่ในสายตาอย่างชัดเจน แต่กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังอดทนข่มกลั้น ถ้าอย่างนั้นก็คือการฝึกจิตใจที่สำเร็จแล้วจริงๆ”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มถามว่า “ข้าถามว่า ว่ากันไปตามสถานการณ์ ดีหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างตอบอย่างไม่ลังเล “ดีมาก”
เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า การว่ากันไปตามสถานการณ์ ต่อให้อีกฝั่งหนึ่งจะมีเหตุผลมากแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นการปฏิเสธอีกฝั่งหนึ่งอยู่ดี?”
เฉาฉิงหล่างอึ้งตะลึง ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าเอ่ย “เป็นเช่นนี้จริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าว “ดังนั้นการว่าไปตามสถานการณ์ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หากคนที่เป็นฝ่ายมีเหตุผลตะเบ็งจนคอขึ้นเอ็น ถลึงตากว้าง พูดจาเสียงดัง แล้วผลลัพธ์ล่ะเป็นอย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเหตุผลนั้นถูกต้อง แต่เรื่องของการใช้เหตุผลกลับล้มเหลว”
“การสื่อสารและอธิบายเหตุผลอย่างแท้จริงต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับอีกฝ่ายก่อน”
“เจ้าจำเป็นต้องทำให้ตัวเองมีจิตใจที่สงบและเป็นกลางเสียก่อน จากนั้นค่อยใช้การยอมรับอย่างมากมายมาอธิบายการปฏิเสธหนึ่งหรือสองข้าที่เจ้าอยากจะพูดอย่างแท้จริงให้ชัดเจน”
“แน่นอนว่าคำพูดทุกอย่างของเจ้ายังต้องใช้ความจริงใจ มิอาจเสแสร้งแกล้งทำได้ ข้อนี้สำคัญอย่างมาก ต้องเอาไปวางไว้ข้างหน้าก่อน ‘จิตใจสงบเป็นกลาง’ เสียอีก”
เฉาฉิงหล่างใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วพยักหน้ารับ “การจัดอันดับก่อนหลังในเรื่องนี้ของท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ ถามว่า “ลองคิดดูอีกที ดูว่ามีตรงไหนตกหล่นหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างเริ่มขบคิดอย่างลึกซึ้ง
เผยเฉียนนั่งอยู่บนม้านั่งยาวด้านข้าง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันมองไปยังเผยเฉียน พยักหน้ายิ้มเอ่ย
เผยเฉียนจึงปลุกความกล้าเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ นี่ดูเหมือนว่าจะเป็น…หลักการเหตุผลที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่ถึงจะพูดได้อย่างชัดเจน”
“ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผล แต่กลับมีฐานะสูงยิ่งกว่า หากมีคนใช้เหตุผลกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่อาจอดทนได้เลยแม้แต่น้อย รีบตะเบ็งเสียงถลึงตาใส่ทันที จะทำอย่างไร?”
“หรือยกตัวอย่างเช่นเจ้าประมุขของตระกูลหนึ่งในครอบครัวของคนล่างภูเขา เจ้าขุนเขา เจ้าสำนัก พวกคนที่กุมอำนาจอย่างพวกผู้คุมกฎที่อยู่บนภูเขา หากพวกเขาไม่ใช้เหตุผลเช่นนี้ล่ะ? ดูเหมือนเหตุผลนี้ของอาจารย์พ่อยากจะอธิบายให้ชัดเจนได้”
“อาจารย์พ่อ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”
เผยเฉียนยิ่งพูดก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจ เสียงจึงเบาลงเรื่อยๆ
ถึงท้ายที่สุดเผยเฉียนก็เกาหัว เอ่ยอย่างเขินอายว่า “ไม่ควรจะสอดปากพูด”
เฉินผิงอันกลับยกนิ้วโป้งให้เผยเฉียน “ใช่แล้ว นี่ก็คือปมของปัญหา”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง พวกเจ้าคิดว่าตอนนี้ตัวเองใช่ผู้แข็งแกร่งหรือไม่? ความต่างระหว่างผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอ เป็นการเปรียบเทียบกับข้า เปรียบเทียบกับหมี่ลี่น้อยที่ตอนนี้ยังขอบเขตไม่สูง เปรียบเทียบกับป๋ายเสวียนที่ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง หรือว่าเปรียบเทียบกับใคร?”
ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกาย พยักหน้ารับอย่างแรง “เข้าใจแล้ว!”
เฉาฉิงหล่างลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะอาจารย์ แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด
เผยเฉียนไม่สะดวกจะลุกขึ้นกุมหมัดตามไปด้วย ไม่เข้าท่า เลยมองค้อนใส่เฉาฉิงหล่างที่อยู่ข้างกาย
เจ้าตัวขี้ประจบ!
ภูเขาลั่วพั่วก็มีการประจบเอาใจของเจ้าหมอนี่นี่แหละที่ลึกล้ำไม่เปิดเผยร่องรอยมากที่สุด
เฉินผิงอันพึมพำ “เรื่องราวและผู้คนในใต้หล้านี้ อย่าได้แสวงหาสิ่งที่อยู่นอกกาย”
เฉาฉิงหล่างพลันถามว่า “อาจารย์กังวลว่าวันหน้าการกระทำและคำพูดของคนมากมายในภูเขาลั่วพั่วกับสำนักเบื้องล่างจะเป็นเหมือนอาจารย์เกินไปหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างถูกใจ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตน พยักหน้าเอ่ยว่า “มีความกังวลเช่นนี้อยู่”
เมื่อความเป็นตัวเองของบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของสำนักแห่งหนึ่งถูกนาบประทับชัดเจนเกินไป ก็ย่อมกลายเป็นว่าเบื้องบนปฏิบัติเบื้องล่างทำตาม เรื่องแบบนี้มีทั้งผลดีและผลเสีย
แต่เฉินผิงอันก็ยังหวังว่า ไม่ว่าจะเป็นภูเขาลั่วพั่วในวันนี้หรือสำนักเบื้องล่างที่ใบถงทวีปในวันหน้า ต่อให้จะมีการแบ่งแยกลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ ลูกศิษย์ฝ่ายในและผู้ฝึกตนฝ่ายนอกที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราว ทว่าชีวิตของทุกคนจะเป็นเหมือนกัน ต่างมีความดีงามเหมือนกัน
เสี่ยวโม่นั่งอยู่ด้านข้างเพียงแค่เงี่ยหูตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ รู้สึกเลื่อมใสในตัวคุณชายของตัวเองยิ่งนัก พูดจาเป็นขั้นเป็นตอน แยกอธิบายเป็นข้อๆ อย่างละเอียด แล้วจับรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
ยิ่งรู้สึกว่าตนเป็นคนหยาบมากกว่าเดิม ต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายมาจากคุณชาย เพียงแต่ว่าอยู่กับคุณชาย คงมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุดจริงๆ แล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “พวกเจ้ากลับไปรอข้าที่ภูเขาลั่วพั่วกันก่อน”
เผยเฉียนรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
นางพอจะมองสภาพการณ์ของอาจารย์พ่อในเวลานี้ออกคร่าวๆ แล้ว
เฉินผิงอันโบกมือ พาเสี่ยวโม่ออกไปจากโรงเตี๊ยม
ก่อนหน้านี้เดินทางลงใต้ เฉินผิงอันได้ทำกล่องอาหารจากไม้ที่มาจากเขตอวี้จางไว้ใบหนึ่ง ตอนนี้จึงคิดว่าจะออกไปซื้อขนมและเหล้ากาหนึ่งจากในเมืองหลวง ถึงอย่างไรค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็รวมเป็นเงินสิบสี่ตำลึงอยู่แล้ว
จากนั้นจะไปเยือนวังหลวงต้าหลีรอบหนึ่ง
สุราคารวะไม่ดื่ม ก็ดื่มสุราลงทัณฑ์แทนแล้วกัน