กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 880.1 ผู้แข็งแกร่งที่ทำให้จิตใจข้าหวั่นไหว
เฉินผิงอันทิ้งกระบี่ยาวเย่โหยวไว้ที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น พาเสี่ยวโม่ไปซื้อขนมสำหรับคนสองคนในบริเวณใกล้เคียง จากนั้นก็ซื้อเหล้าหนึ่งกา เป็นเงินสิบสี่ตำลึงพอดี ไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่อีแปะเดียว
เสี่ยวโม่ซื้อขนมและสุราเป็นเพื่อนเฉินผิงอันเรียบร้อยแล้วก็เดินเล่นอยู่ในเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรือง ยิ้มเอ่ยว่า “คนที่มีเวลาว่างมองดูคนบนโลกยุ่งอยู่กับการทำเรื่องต่างๆ ถึงจะเป็นคนที่ยุ่งและมุ่งมั่นอยู่กับเรื่องที่คนบนโลกละทิ้งไม่สนใจ สหายลู่เคยบอกว่าตัวเองคือลูกสมุน (ปังเสียน แปลตรงตามตัวอักษรว่าช่วยเหลือตอนว่าง) คำกล่าวนี้ยอดเยี่ยมมาก”
ชมทีหนึ่งชมถึงสอง
เฉินผิงอันถือกล่องอาหารไว้ในมือ ยิ้มถามว่า “เสี่ยวโม่ เจ้าเรียกคำแล้วคำเล่าว่าสหายลู่ หรือเจ้าไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของลู่เฉิน?”
เสี่ยวโม่กล่าว “สหายลู่พูดจาเปิดเผย ก่อนหน้านี้จึงไม่ได้ปิดบังสถานะเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงของตัวเอง เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าเรียกว่าเจ้าลัทธิลู่จะดูห่างเหินเกินไป ผิดต่อความกระตือรือร้นที่สหายลู่มีให้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่ไม่ว่าเจ้าจะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องปรับตัวได้เป็นอย่างดีแน่”
รอยยิ้มของเสี่ยวโม่แฝงความเขินอายหลายส่วนด้วยความเคยชิน เหลือบมองกล่องอาหารที่อยู่ในมือของเฉินผิงอันแล้วถามอย่างใคร่รู้ว่า “คุณชาย ของกินและสุราที่อยู่ในกล่องอาหารใบนี้ล้วนมีข้อพิถีพิถันหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีสิ ไม้ของกล่องอาหารใบนี้มาจากเขตอวี้จางบ้านเกิดแห่งที่สองของไทเฮาต้าหลี เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวบ้าน คนที่อิ่มตายมีน้อย คนที่หิวตายมีมาก ก็ต้องดูว่ากระเพาะของไทเฮาพวกเราท่านนี้เป็นอย่างไรแล้ว การเดินทางมาเยือนเมืองหลวง ขอแค่ไม่ยุ่งกับเรื่องของคนอื่น เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักเท่าใด สิบสี่ตำลึงเงินกำลังดี”
เขตอวี้จางซึ่งเป็นภูมิลำเนาของไทเฮาหนันจานผลิตไม้งามได้มากมาย หลายปีมานี้ผลผลิตล้วนไม่พอกับความต้องการมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ที่ราชสำนักต้าหลีไม่ควบคุมอย่างเข้มงวดก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ควบคุมได้ยากอะไร หากมีคำสั่งทางกองทัพประกาศออกไป ขอแค่โยกย้ายกำลังพลที่เฝ้าประจำอยู่ในพื้นที่ออกมา ไม่ว่าจำนวนคนจะมากหรือน้อย อย่าว่าแต่ตระกูลชนชั้นสูงที่มีอำนาจในท้องถิ่นเลย ต่อให้เป็นเทพเซียนบนภูเขา ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าไปแตะต้องต้นหญ้าหรือต้นไม้สักต้นของป่าในเขตอวี้จาง
สืบสาวราวเรื่องกันแล้วยังเป็นเพราะสงครามดุเดือดครั้งนั้น กองทัพต้าหลีมีคนตายมากเกินไป คนตายไปแล้วก็ต้องมีโลงศพ
ดังนั้นช่วงนี้ราชสำนักถึงได้เริ่มลงมือออกคำสั่งห้ามการตัดต้นไม้กันเองอย่างจริงจัง เตรียมจะปิดผนึกภูเขาและผืนป่า เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ศึกใหญ่ปิดฉากลงหลายปีแล้ว ไม้เหล่านั้นจึงเริ่มกลายมาเป็นวัสดุไม้ชั้นเยี่ยมที่พวกขุนนางชั้นสูงและตระกูลเซียนบนภูเขาเอามาก่อสร้างจวน หรือไม่ก็ใช้สถานะของผู้แสวงบุญรายใหญ่คอยส่งเอาไม้ใหญ่สำหรับทำเสาคานไปให้วัดวาอารามก่อสร้างซ่อมแซม สรุปก็คือไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโลงศพแล้ว
ตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ตั้งอยู่เหนือพระราชวังขึ้นไป ดังนั้นขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงพวกนี้จึงเข้าร่วมการประชุมเช้าและเข้างานในที่ว่าการได้สะดวกอย่างมาก
การประชุมเช้าของต้าหลี ทุกวันฟ้ายังไม่ทันสาง ถนนสองเส้นนี้ก็มีขบวนรถม้าเคลื่อนขยับไม่ขาดสายแล้ว
ได้ยินมาว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนตอนที่นายท่านผู้เฒ่ากวนเพิ่งจะเข้าไปอยู่ในกรมขุนนาง หากขบวนรถแน่นขวางถนน เขาก็มักจะลงไม้ลงมือเพื่อช่วงชิงถนนเสมอ ถึงอย่างไรขุนนางต้าหลีในเวลานั้นก็แทบจะถือว่ามีชาติกำเนิดจากขุนนางบู๊กันทั้งหมด ค่อนข้างคล้ายคลึงกับที่ว่าการหกกรมของเมืองหลวงสำรองต้าหลีในทุกวันนี้ ต่อให้ขุนนางไม่ได้ลงสนามรบเข้าร่วมการเข่นฆ่า แต่เอกสารที่ผ่านมือทุกวันก็คล้ายจะพกพาเอากลิ่นควันปืนและคาวเลือดมาด้วย
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เดินผ่านประตูใหญ่ของพระราชวัง หน้าประตูกว้างถึงเจ็ดบาน มีประตูคู่หนึ่งที่ทาสีชาดสลักด้วยปุ่มนูนสีทอง พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้าม หินหยกขาวเขียวปูเป็นพื้น ผนังสูงสีชาด หลังคาทรงจั่วปลายยอดแหลมปูด้วยกระเบื้องแก้วใสสีเหลือง สองข้างของประตูสร้างเป็นห้องเรียงรายเหมือนห่านสยายปีก ห้องท้ายสุดเป็นห้องเข้าเวร สถานที่สำคัญอย่างพระราชวัง เวลาปกติพวกชาวบ้านต้องไม่มีโอกาสได้เข้ามาโดยพลการแน่นอน เฉินผิงอันมอบป้ายสงบสุขแผ่นนั้นให้กับเสี่ยวโม่แล้ว ให้เสี่ยวโม่แขวนไว้ที่เอวพอเป็นพิธี
ขุนนางบู๊สวมเสื้อเกราะคนหนึ่งก้าวเร็วๆ ตรงมา เขาจำอีกฝ่ายได้แต่แรก อาณาเขตหลายลี้รอบประตูใหญ่ของพระราชวังบานนี้ได้สร้างตราผนึกเวทคาถาไว้หลายชั้นเพื่อสะดวกให้พวกขุนนางที่รับหน้าที่เฝ้าประตูตรวจสอบและบันทึกสถานะของผู้ที่มาเยือน ขุนนางต้าหลีและผู้ถวายงานบนภูเขาบางส่วนที่มาเข้างานปกติไม่จำเป็นต้องขัดขวาง พวกเขาสามารถเข้าออกวังหลวงได้ตามใจชอบ
เฉินผิงอันกล่าว “ท่านผู้นี้คือผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา ชื่อว่าโม่เซิง โม่จากเซี่ยงโม่ (ตรอกถนน) เซิงจากเซิงหัว (ชีวิต)”
เพียงไม่นานก็มีขุนนางผู้ช่วยคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องเข้าเวร ใช้เสียงในใจพูดคุยกับขุนนางบู๊ครู่หนึ่ง
ขุนนางบู๊กุมหมัดคารวะ “เจ้าสำนักเฉิน ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ในกรมอาญาไม่มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ ‘โม่เซิง’ ดังนั้นโม่เซิงแขวนป้ายผู้ถวายงานเดินอยู่ในเมืองหลวงโดยพลการก็ถือว่าไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบของราชสำนักแล้ว”
ความนัยในคำพูดนี้ก็คือเฉินผิงอันสามารถเข้าวังได้ แต่ ‘โม่เซิง’ ที่เป็นคนติดตามกลับไม่อาจเข้าไปได้
แน่นอนว่าไม่โง่จนถึงขั้นเตือนให้เซียนกระบี่หนุ่มรีบสั่งให้ผู้ติดตามปลดป้ายสงบสุขของกรมอาญาลงมา
แต่เรื่องนี้ทางฝั่งของห้องเข้าเวรจะต้องมีการบันทึกลงเอกสารอย่างละเอียดแน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจบเรื่องทางกรมอาญาจะคิดเล็กคิดน้อยหรือไม่ กล้ามาซักไซ้เอาโทษหรือไม่ ต้องการจะถามหาความรับผิดชอบจากภูเขาลั่วพั่วหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของกรมอาญาแล้ว ร้อยปีที่ผ่านมา ขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลี ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งขุนนางที่เล็กหรือใหญ่ก็เคยชินที่จะแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ต่างคนต่างทำงานตามหน้าที่ของตัวเองกันมานานแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กลับไปแล้วข้าจะให้กรมอาญาบันทึกเพิ่มลงไป”
ขุนนางบู๊สะอึกอึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ
สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สายตาของขุนนางบู๊ผู้นี้ก็เผยแววเด็ดเดี่ยว ยื่นมือไปกดด้ามดาบ ส่ายหน้าให้กับเซียนกระบี่ชุดเขียว เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เจ้าสำนักเฉิน ในเมื่อไม่ถูกหลักกฎเกณฑ์ และข้าก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ คงต้องล่วงเกินแล้ว”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าที่ใช้มือกดด้ามดาบของขุนนางบู๊ แล้วก็ไม่สร้างความลำบากใจให้กับคนที่ต้องทำตามหน้าที่อย่างพวกเขาเหล่านี้ เพียงยิ้มเอ่ยว่า “ห้องเข้าเวรของพวกเจ้าสามารถส่งข่าวแจ้งไปทางกรมอาญา ข้าจะรอฟังข่าวอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
หากกรมอาญาตอบตกลงย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ตกลง แล้วเกี่ยวอะไรกับที่ข้าจะเข้าวังหลวงด้วย
พวกเจ้าคิดว่าตัวเองคือหลิวเจียหรือ?
ขุนนางบู๊ถอนหายใจโล่งอก บอกให้เจ้าขุนเขาเฉินรอสักครู่ แล้วก็ไม่ทำตัวอิดออดอีก หันตัวก้าวยาวๆ ตรงไปยังห้องเข้าเวร รีบส่งข่าวไปที่กรมอาญาทันที เพียงไม่นานก็ได้รับการตอบกลับ เนื้อหาเรียบง่ายมาก แค่สองคำเท่านั้น ปล่อยผ่าน
เพียงแต่ในจดหมายนอกจากตราประทับใหญ่ของฝ่ายถังปู้แล้ว ถึงกับยังมีตราประทับขุนนางของรองเจ้ากรมอาญาสองท่านด้วย
นี่ทำให้ขุนนางบู๊ค่อนข้างประหลาดใจ
เปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ต่อการเดินทางมาเยือนวังหลวงของเฉินผิงอันในครั้งนี้ ดูจากท่าทางแล้วคงไม่เรียบง่ายเพียงแค่ไปเป็นแขกในที่ว่าการอย่างที่ตรอกหนันซวินเท่านั้น
รอกระทั่งเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ชื่อเสียงเลื่องลือกับผู้ติดตามที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวถูกปล่อยผ่านและค่อยๆ เดินจากไปไกล
ขุนนางบู๊กลับมาที่ห้องเข้าเวร ยิ้มเอ่ยกับขุนนางผู้ช่วยที่มาจากแคว้นใต้อาณัติซึ่งเวลานี้กำลังยกพู่กันเขียนบันทึกว่า “เจ้าขุนเขาเฉินผู้นี้คือคนในพื้นที่ของต้าหลีเรา เซียนกระบี่ที่อายุน้อยขนาดนี้ ไม่ด้อยไปกว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเลย”
“ส่วนวิชาหมัดของเจ้าขุนเขาเฉินเป็นเช่นไร ยอดฝีมือที่สามารถอบรมสั่งสอนปรมาจารย์ใหญ่ที่ได้รับการประเมินอย่างเผยเฉียนออกมาได้ จะอ่อนด้อยได้หรือ? การต่อสู้ที่ภูเขาตะวันเที่ยงครานั้น เวทกระบี่ของเจ้าขุนเขาเฉินพวกเราสูงหรือต่ำ ข้ามองตื้นลึกไม่ออก แต่การต่อสู้ระหว่างเขากับผู้พิทักษ์ภูเขาตะวันเที่ยงครั้งนั้น ทำเอาข้าที่ได้ดูต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยเพื่อซื้อเหล้ามาดื่ม”
ขุนนางผู้ช่วยหัวเราะร่า “เหล่าหม่า เซียนกระบี่เฉินเป็นญาติเจ้าหรือ? น่าประหลาดใจนัก ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่เฉินจะไม่ได้แซ่หม่านะ”
ขุนนางบู๊ยิ้มเอ่ย “เจ็บนะเนี่ย”
ขุนนางผู้ช่วยวางพู่กันลง พลันเอ่ยว่า “เจ้าสำนักที่ร้ายกาจขนาดนี้ เป็นทั้งเซียนกระบี่หนุ่ม แล้วก็เป็นทั้งปรมาจารย์ด้านการฝึกยุทธ ทำไมอยู่ในสนามรบใหญ่ครั้งนั้นถึงเห็นแค่ลูกศิษย์และผู้ถวายงานศาลบรรพจารย์ของเขาเท่านั้นที่บ้างก็ออกหมัดบ้างก็ออกกระบี่อยู่บนสนามรบ แต่กลับไม่เห็นตัวเขาเลย?”
ขุนนางบู๊สะอึกอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ไม่แน่ว่าอาจยุ่งอยู่กับการปิดด่านก็ได้ เทพเซียนบนภูเขางีบทีหนึ่งก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องใหญ่อันดับหนึ่งอย่างการฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน พลาดสงครามใหญ่ครั้งนั้นไปก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ”
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เดินอยู่ในวังหลวงที่ทุกพื้นที่ล้วนมีแต่ที่ว่าการน้อยใหญ่ ที่ทำงานของเหล่าขุนนาง บรรยากาศเคร่งเครียด เป็นทัศนียภาพที่แตกต่างไปจากในและนอกเมืองอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันหันหน้ามองไปยังทิศทางของลำน้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่ภาคกลางของเมืองหลวงแห่งที่สอง คาดว่าตอนนี้ป๋ายอวี้จิงจำลองคงได้รับกระบี่บินส่งจดหมายไปจากทางฮ่องเต้ต้าหลีแล้วกระมัง
คิดจะขู่กันหรือ?
ขอโทษด้วย ปีนั้นตอนอยู่บนสนามรบปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าสิบสี่คนก็ยังไม่อาจข่มขู่ให้ตนตกใจกลัวได้
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ หากทางฝั่งนั้นมีกระบี่บินที่พุ่งมาที่นี่ รบกวนเจ้าช่วยขวางไว้ให้ด้วย”
เสี่ยวโม่หุบยิ้ม พยักหน้าเอ่ย “คุณชายเชิญเลี้ยงเหล้าคนได้ตามสบาย มีเสี่ยวโม่อยู่ที่นี่จะไม่มีใครรบกวนการฝึกตนของฮูหยินได้แน่นอน”
ในที่สุดตนก็มีโอกาสได้ชดเชยให้แล้ว
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนั้นสหายลู่ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ยกนิ้วโป้งให้ตน บอกว่าถึงกับกล้าปล่อยกระบี่ใส่แม่นางหนิงที่อยู่ในดวงจันทร์ ซัดให้นางหล่นร่วงลงไปยังโลกมนุษย์
เฉินผิงอันได้ยินเสี่ยวโม่เรียกว่า ‘ฮูหยิน’ ก็พยักหน้าเบาๆ
เป็นผู้ถวายงาน ถือว่าให้คนเก่งแสดงความสามารถได้ไม่เต็มที่แล้ว
ทั้งสองฝ่ายเดินมาถึงนอกประตูวังที่มีการป้องกันเข้มงวด เฉินผิงอันเอ่ยกับแม่ทัพบู๊คนหนึ่งที่รับหน้าที่เฝ้าประตูว่า “ช่วยไปแจ้งสักหน่อย วันนี้ข้าต้องการพบแค่หนันจานเท่านั้น”
หรือควรจะเรียกว่าลู่เจี้ยงแห่งสกุลลู่สำนักหยินหยางแผ่นดินกลาง
คาดไม่ถึงว่าตรงมุมมืดของประตูวังจะมีผู้ฝึกตนหนุ่มที่ตรงเอวห้อยป้ายสงบสุขอันดับหนึ่งเดินออกมา โบกมือให้กับแม่ทัพบู๊ บอกเป็นนัยว่าตนจะเป็นคนรับรองแขกไม่ได้รับเชิญสองคนนี้แทน
เฉินผิงอันหรี่ตาเอ่ย “ผู้อาวุโสลู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ผู้ฝึกตนหนุ่มยิ้มรับ แสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ทั้งยังย้อนถามว่า “เหตุใดเดินทางมาครั้งนี้เจ้าขุนเขาเฉินถึงไม่ได้สะพายกระบี่มาด้วย มีกระบี่แต่จงใจไม่ใช้อย่างนั้นหรือ”
บุรุษชุดเขียวตรงหน้า เจ้าขุนเขาแห่งภูเขาลั่วพั่วคนนี้ คือเจ้าสำนักแห่งหนึ่งในใต้หล้าไพศาล เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง อิ่นกวานคนสุดท้าย ลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่ง
แน่นอนว่าหนึ่งนั้นในช่วงแรกเริ่มสุดของทุกสิ่งทุกอย่าง ยังเป็นเพราะว่าปีนั้นเด็กหนุ่มเหยียบโชคดีขี้หมา เลือกที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าบนสะพานแบบคานของเมืองเล็ก และถึงกับกลายมาเป็น…นายแห่งกระบี่
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจเอาภาพของเขาทับซ้อนเข้ากับเด็กหนุ่มรองเท้าสานแห่งตรอกหนีผิงในปีนั้นได้เลย
ลูกศิษย์ของเตาเผาในเวลานั้นก็คือเด็กหนุ่มที่ระหว่างเดินไปส่งจดหมาย แค่รองเท้าสานเหยียบลงบนหินเขียวของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ก็กระวนกระวายไม่สบายใจแล้ว
เพิ่งได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากทางบ้าน บอกว่าเฉินผิงอันได้นำพาผู้ฝึกกระบี่หลายคนจับมือกันเดินทางไกลไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
สร้างวีรกรรมลากดวงจันทร์ ย้ายดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ไปยังใต้หล้ามืดสลัวได้สำเร็จ
นอกจากนี้ยังทำอะไรไปอีกบ้าง ไม่มีใครรู้
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้อาวุโสก็แค่อายุมากกว่าเล็กน้อย ช่วงเวลาการฝึกตนก็ยาวนานกว่าเล็กน้อย แต่ในเมื่อไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไร ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพูดจาเพ้อเจ้อถึงวิถีกระบี่เลย”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันจ้องบรรพจารย์สกุลลู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูมานานหลายปีผู้นี้เขม็ง เอ่ยเตือนด้วยความปรารถนาดีว่า “ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ต้องฟังคำแนะนำจากคนอื่นบ้าง”
ผู้ฝึกตนหนุ่มไม่มีไฟโทสะ ยิ้มเอ่ยว่า “อิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคุณสมบัติจะพูดแบบนี้จริงๆ ข้าผู้แซ่ลู่ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สถานะของตนก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป อาจารย์เฉินที่อายุยังน้อยทว่ากลับมากไปด้วยประสบการณ์กลอุบายลึกล้ำตรงหน้าผู้นี้คือคนที่หลอกได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ถึงอย่างไรสถานะของพวกเฟิงอี๋ พวกสารถีเฒ่าก็ถูกเปิดเผยก่อนตนเสียอีก
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดจะช่วยนำทางหรือว่าจะรับกระบี่อยู่ตรงนี้?”
บรรพบุรุษสกุลลู่ที่มีศาสตร์คงความเยาว์ผู้นี้เบี่ยงตัว ผายฝ่ามือข้างหนึ่ง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เชิญ ลู่เจี้ยงจัดงานเลี้ยงสุราไว้รอเรียบร้อยแล้ว นางต้องการเลี้ยงต้อนรับเจ้าขุนเขาเฉินด้วยตัวเอง”
คนทั้งสามเดินผ่านประตูวังหลวงไปด้วยกัน
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจสอบถาม “คุณชาย ข้าว่าไอ้หมอนี่ขวางหูขวางตายิ่งนัก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานของสหายลู่ ขอบเขตก็ไม่สูง เป็นแค่ขอบเขตเซียนเหรินที่ยังอยู่ห่างจากบินทะยานอีกเล็กน้อย ต้องการให้ข้าสับเขาให้ตายเลยไหม?”
จากนั้นเสี่ยวโม่ก็เอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “อย่างมากสุดก็แค่สามกระบี่เท่านั้น”
คาดว่านี่คงเป็นการเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามของปีศาจใหญ่บนยอดเขาสูงสุดที่เพิ่งออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นี้แล้ว “คุณชาย ข้าสามารถหาเหตุผลในการถามกระบี่ก่อนได้ รับรองว่าจะกะน้ำหนักให้ดี เพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส ไม่ถึงกับตายคาที่”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เคยไล่ฆ่าหย่างจื่อ เคยท้าทายป๋ายเจ๋อมาสองครั้ง แล้วยังเคยถามกระบี่กับหยวนเซียงและหลงจวินมาก่อน เวทกระบี่จะสูงมากพอหรือไม่
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่เดินห่างไปด้านหน้าเล็กน้อยหันหน้ามา ได้แค่สัมผัสถึงความผิดปกติอย่างพร่าเลือนเท่านั้น เขามองเด็กหนุ่มข้างกายเฉินผิงอันที่ตอนนี้ยังไม่รู้สถานะ
เสี่ยวโม่หันมายิ้มให้อีกฝ่ายน้อยๆ
พยักหน้าให้ ขอแค่อีกฝ่ายผงกศีรษะกลับก็จะถือว่าตอบตกลงการถามกระบี่ของตนแล้ว
คุณชายเอ่ยมาอีกสักประโยค เสี่ยวโม่ก็ออกกระบี่ได้แล้ว
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายหันหน้ากลับไปอย่างว่องไว
เฉินผิงอันพูดด้วยเสียงในใจ “ไม่ต้องรีบร้อน บัญชีเก่าบางอย่างต้องคิดคำนวณกันให้ชัดเจน”
เห็นหนันจานที่ปรากฏตัวเพียงลำพัง
และยังมีงานเลี้ยงสุรา
เฉินผิงอันวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ เปิดออกเบาๆ หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา หยิบตะเกียบไผ่เขียววัสดุธรรมดาออกมาสองคู่ “หากไม่มอบกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตมาให้ก็อาจจะต้องยุ่งยากสักหน่อย วันนี้ข้าสังหารเจ้าแล้วค่อยไปหาเอง”