กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 881.2 นั่งนิ่ง
ในความเป็นจริงแล้ว นักธรณีศาสตร์และนักมองลมปราณของสกุลลู่ ความสามารถในการแหงนหน้าสังเกตปรากฎการณ์ฟ้าและตรวจสอบลมน้ำที่ซุกซ่อนรวมตัวกันก็ไม่ด้อยเลยสักนิด
แล้วนับประสาอะไรกับที่สกุลลู่สำนักหยินหยางยังมีหน้าที่ที่ลึกลับอำพรางอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือรับผิดชอบให้การช่วยเหลือนครเฟิงตู ทำให้คนอยู่ในมุมสว่าง ผีอยู่ในมุมมืด สุดท้ายมืดและสว่างแยกทางกันเดิน ทั้งสองฝ่ายไม่ก้าวล้ำกันและกัน
บนใบหน้าของลู่เหว่ยเผยแววเสียดายอยู่หลายส่วน “ดังนั้นหลายๆ เรื่อง ในสายตาของคนนอกจึงเห็นว่าสกุลลู่ของพวกเราทำตัวประหลาด มักจะขัดแย้งกันเองอยู่เสมอ”
“ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของอดีตฮ่องเต้ต้าหลี ตามความเห็นข้า ลูกหลานสกุลลู่ที่มาจากสายรองของปีนั้นลงมือเร่งร้อนเกินไป และการที่คนผู้นี้เปลี่ยนสะพานหินโค้งเป็นสะพานแบบคานก็ยิ่งผิดต่อหลักเกณฑ์สวรรค์ ผิดต่อหลักทำนองคลองธรรม”
ตอนนั้นผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ภายนอกคือช่วยเหลือราชวงศ์ต้าหลีสร้างป๋ายอวี้จิงจำลองเหมือนกับสายแยกของสำนักโม่ที่สวี่รั่วอยู่
อดีตฮ่องเต้แอบฝึกตน ผิดต่อกฎที่ทางศาลบุ๋นตั้งไว้ เลื่อนขั้นเป็นเซียนดิน เกือบจะกลายไปเป็นหุ่นเชิด รอกระทั่งเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางคนนั้นพยายามจะหลบหนีไปไกล แต่กลับถูกซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองฆ่าตายอยู่ในเมืองหลวง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดูเหมือนว่าจะขาดประโยค ‘เรื่องมาถึงขั้นนี้’? แตงสุกย่อมหลุดจากขั้ว ก็ควรจะบรรจุลงตะกร้า ไม่อย่างนั้นจะเละอยู่กับพื้น? ดังนั้นเวรกรรมจึงเป็นคนผู้นี้ที่ก่อกรรมทำเข็ญด้วยตัวเอง พวกเจ้าคือคนที่ช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะ ถึงอย่างไรก็เป็นการทำความดีชดใช้ความผิด คือหลักการข้อนี้ ถูกไหม? วิธีขีดเส้นความสัมพันธ์อย่างชัดเจนเช่นนี้ ทำให้ข้าได้เรียนรู้แล้ว”
ยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ นิ้วมือข้างหนึ่งดันตะเกียบไผ่เขียวด้ามหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ ผลักให้มันกลิ้งไปที่ริมขอบโต๊ะเบาๆ ตะเกียบด้ามนั้นหลุดพ้นโต๊ะไปลอยอยู่กลางอากาศเล็กน้อย เฉินผิงอันถึงได้หยุดการกระทำลง หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ตอนนั้นเรื่องที่ทำลงไปล้วนเป็นเรื่องผิด หลังจบเรื่องย้อนนึกดูกลับมีเหตุผลให้ตัวเองเสมอ คนสกุลลู่แผ่นดินกลางอย่างพวกเจ้าเชี่ยวชาญการเลือกผักขนาดนี้ ทำไมไม่ไปเป็นพ่อครัวเสียเลยเล่า”
ลู่เหว่ยเหลือบตามองตะเกียบด้ามนั้น หนังตากระตุกเล็กน้อย
พริบตานั้น เพียงแค่การกระทำนี้ก็ทำให้เส้นเอ็นหัวใจของลู่เหว่ยขมวดตึงขึ้นมา
นี่ต้องไม่ใช่ภาพบรรยากาศที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งสมควรมีแน่นอน
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าตามคำกล่าวในจดหมายลับของตระกูลเฟิง เฉินผิงอันได้มอบมรรคกถาขอบเขตสิบสี่กลับคืนไปแล้ว อีกทั้งหลังจากออกเดินทางกลับมายังหัวกำแพงเมือง ดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บไม่เบาด้วย
หนันจานทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่เสียแรงที่เป็นลู่เจี้ยง
ลู่เหว่ยถอนหายใจ “เรื่องของเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต ลู่เจี้ยงสามารถถอยให้อีกหนึ่งก้าว ขอแค่เจ้าขุนเขาเฉินตอบตกลงในเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง หนันจานก็จะมอบเศษกระเบื้องชิ้นนั้นไปให้ ให้ของได้กลับคืนสู่เจ้าของ”
เฉินผิงอันมองหนันจานที่ฝีมือการแสดงยังไม่ดีมากพอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นค่อยปรายตามองลู่เหว่ย พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ฟังจากน้ำเสียงแล้ว วันนี้เจ้าคงคิดจะเหมาทุกเรื่องมาไว้เองหมดสินะ?”
สกุลลู่แผ่นดินกลางดีดลูกคิดไว้อย่างไร เฉินผิงอันรู้ชัดเจนดี ก่อนหน้านี้อยู่ในเมืองหลวงก็เห็นอย่างชัดเจนเหมือนมองแสงไฟในถ้ำมืดอยู่แล้ว
อย่าลืมว่าเฉินผิงอันยืมมรรคกถามาจากใคร สิ่งที่สวมอยู่บนศีรษะนั้นก็คือกวานดอกบัวของลู่เฉิน
เจ้าลู่เหว่ยก็คิดจะเอาอย่างโจวจื่อเหมือนกันหรือ?
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เหมาเอาเรื่องต่างๆ มาแบกไว้ด้วยบ่าข้างเดียว เจ้าลู่เหว่ยแบกไหวหรือ? กินไม่หมดแล้วยังต้องห่อกลับบ้าน (เปรียบเปรยว่าทำอะไรไว้แล้วต้องรับผลที่ตามมา) สกุลลู่แผ่นดินกลางของพวกเจ้าแบกรับได้ไหวหรือ?”
ต่อให้ความสามารถในการฝึกฝนตัวเองของลู่เหว่ยจะดีแค่ไหน ฟังมาถึงตรงนี้สีหน้าก็ยังเปลี่ยนมาเป็นไม่ธรรมชาติอยู่หลายส่วน
หลักๆ แล้วก็เพราะว่าประโยคนี้ไปจี้จุดหนึ่งในโรคทางใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของลู่เหว่ย อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู เขาเคยถูกบัณฑิตคนหนึ่งบีบคั้นจนอยากจะตายไปให้พ้นๆ
เห็นได้ชัดว่าลู่เหว่ยยังไม่ถอดใจ “ไม่ว่าราชวงศ์ต้าหลีหรือแจกันสมบัติทวีป ข้าผู้แซ่ลู่ก็ถือว่าเป็นคนนอก เป็นแค่แขกที่ผ่านทางมา เจ้าขุนเขาเฉินกลับไม่เหมือนกัน”
“หากแค่เพราะเรื่องเล็กที่เดิมทีสามารถได้ประโยชน์กันทั้งสองทาง ก่อให้เกิดความขัดแย้งจากการใช้อารมณ์ซึ่งไม่จำเป็นเลย อาละวาดสร้างเรื่องใหญ่โต ทำให้เกิดการต่อสู้นองเลือด ขุนเขาสายน้ำปริแตก สรรพชีวิตมอดม้วย? แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้สงครามของสองใต้หล้าอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากสถานการณ์ของต้าหลีแปรเปลี่ยน แจกันสมบัติทวีปก็จะเปลี่ยนไปด้วย และถ้าแจกันสมบัติทวีปเกิดเรื่องไม่คาดฝันก็จะเป็นการกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง วัตถุมีรูปลักษณ์ของวัตถุ คนมีภาษาของคน สกุลลู่ของพวกเรามีตำราคันฉ่องปฐพีอยู่เล่มหนึ่ง ใบไม้ผลิเกิดน้ำท่วม ปลาเดินบนเส้นทางของคน ฤดูใบไม้ร่วงเกิดสงครามแบ่งแยกแว่นแคว้น คนเดินบนเส้นทางของนก ผลลัพธ์ที่ตามมาเลวร้ายจนคาดไม่ถึง หรือเจ้าขุนเขาเฉินอยากจะให้แจกันสมบัติทวีปที่ไม่มีภัยร้ายใดๆ แล้วกลายมาเป็นใบถงทวีปแห่งที่สอง?”
ลู่เหว่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ผู้ที่พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อค้ำประคองแผ่นฟ้าของแจกันสมบัติทวีปที่กำลังจะถล่มลงมา คือศิษย์พี่สองคนของเจ้าขุนเขาเฉิน”
จ้องเขม็งไปที่คนหนุ่มตรงหน้า แล้วลู่เหว่ยก็พูดเสียงหนักว่า “ผู้ที่สืบทอดควันธูปต่อให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือเฉินผิงอันอิ่นกวานคนสุดท้าย!”
สุดท้ายลู่เหว่ยส่ายหน้าอยู่กับตัวเอง “สถานการณ์ใหญ่อันดีงาม ไยต้องปล่อยให้ทุกสิ่งที่ทำมาต้องเสียเปล่า อนาคตอันดีงามที่รออยู่เบื้องหน้า ไยต้องปล่อยให้ย่อยยับเพียงชั่วข้ามคืน”
เฉินผิงอันถาม “ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนเจ้าจะเห็นตัวเองเป็นราชครูคนใหม่ของต้าหลีไปแล้ว”
ลู่เหว่ยหลุดหัวเราะพรืด “มิกล้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าตอบตกลงแล้วหรือ?”
ลู่เหว่ยพูดตอบโต้ไม่ถูก
กระทั่งบัดนี้ลู่เหว่ยถึงเพิ่งรู้สึกเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
คนชุดเขียวอายุน้อยๆ ตรงหน้าผู้นี้เหมือนกับเอาร่างของคนสองคนมาทับซ้อนไว้ในเวลาเดียวกัน
เสี่ยวโม่เอ่ยสนับสนุนทันใด “เทพเซียนผู้เฒ่าไม่เคยถามเรื่องนี้ คุณชายเองก็ไม่เคยตอบตกลง”
เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ถึงกับยื่นสองนิ้วออกไปดับธูปภูเขาที่ปักไว้บนโต๊ะโดยตรง
เป็นเหตุให้มีแสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งตรงลงมาในชั่วพริบตา
หนันจานหลับตาลงตามสัญชาตญาณ
รอจนนางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็มองเห็นว่าตรงตำแหน่งที่บรรพบุรุษสกุลลู่อยู่มียันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่ถูกตัดออกเป็นสองส่วนพลิ้วร่วงลงพื้น
ขณะเดียวกันหนันจานก็ค้นพบว่าบนโต๊ะข้างกายเฉินผิงอัน ตะเกียบไม้เขียวหายไปอันหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
เป็นหนึ่งในยันต์ใหญ่ที่สกุลลู่แผ่นดินกลางเป็นผู้คิดค้น มีชื่อว่า ‘ยันต์ร่างจริง’ หรืออีกชื่อว่า ‘ยันต์พิฆาตศพ’ เมื่อเทียบกับยันต์หุ่นเชิด ยันต์ตัวตายตัวแทนของสายยันต์บนภูเขาแล้วยังสูงกว่าหนึ่งระดับ เพราะผู้ฝึกตนที่เรียกใช้ยันต์นี้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากร่างจริง อาจจะแค่ขอบเขตถดถอยหนึ่งขั้นเท่านั้น
แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือจำนวนของยันต์จะไม่เกินสามแผ่นในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ก็คือร่างจริงของผู้ฝึกตนจะอยู่ห่างจากยันต์ไม่ไกลนัก ด้วยตบะขอบเขตเซียนเหรินของลู่เหว่ย เขาไม่มีทางอยู่ไปไกลมากได้แน่
เสี่ยวโม่เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งสะบัดข้อมือเบาๆ ใช้แสงกระบี่รวมตัวขึ้นเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ขณะที่กวาดตามองไปรอบด้านก็อดไม่ไหวเอ่ยชื่นชมจากใจจริงว่า “กระบี่นี้ของคุณชาย หลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ตายตัวของเวทกระบี่แล้ว ขยับเข้าไปใกล้มรรคามากขึ้นทุกขณะแล้ว”
ประโยคนี้เป็นประโยคที่มาจากใจจริงของเสี่ยวโม่
เวทคาถาทุกอย่างที่สามารถทำลายขีดกำจัดของขอบเขตได้ก็คือขยับเข้าใกล้มรรคาแล้ว
“เสี่ยวโม่ หาร่างจริงของลู่เหว่ยออกมา”
เฉินผิงอันยกมือหนึ่งขึ้นกวัก คว้ายันต์ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนมาไว้ในมือ เป็นยันต์ที่มาจากการหล่อหลอมเหรียญทองแดงแก่นทอง เลียนแบบวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบางอย่างของเทพบรรพกาล
เสี่ยวโม่พยักหน้า บิดหมุนข้อมือหนึ่งที กระบี่ยาวพลันกลายเป็นเส้นไยสีขาวหิมะนับพันหมื่น พริบตาเดียวก็พุ่งจากไป ราวกับหว่านแหไร้รูปลักษณ์ขนาดใหญ่ไปทั่วเมืองหลวงต้าหลี
หนันจานเห็นเพียงว่าองค์รักษ์หนุ่มที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้า เวลานี้คล้ายกำลังเงี่ยหูตั้งใจฟัง หลังจากสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง ‘เสี่ยวโม่’ ผู้นี้ยังผงกศีรษะให้นางอย่างมีมารยาทยิ่ง
ทำเอาหนันจานเสียวสันหลังวาบ ขนลุกขนชันไปทั้งร่าง
เฉินผิงอันประกบยันต์สองส่วนไว้บนโต๊ะ ฉวยโอกาสที่ปราณวิญญาณในแก่นกลางของยันต์ยังไม่สลายหายไปหมด ก้มหน้าพิศมองอย่างละเอียด ไม่ลืมเอ่ยเตือนไทเฮาต้าหลีว่า “ดื่มเหล้าสามารถปลุกความกล้าได้”
บริเวณโดยรอบเมืองหลวงของต้าหลีทยอยมีประกายแสงของยันต์ผุดสว่างวาบขึ้นมาแล้วหลบหนีไปไกลทั่วทิศทาง รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
มองดูเหมือนว่าจะเป็นยันต์ร่างจริงสามแผ่น ลำดับการเผยกายมีก่อนหลัง ระดับความเร็วในการหลบหนีก็มีช้าเร็ว ล้วนเป็นเวทอำพรางตาทั้งสิ้น
แต่เสี่ยวโม่กลับไม่ได้สนใจ กลับกันยังทรุดตัวลงนั่งยอง งอนิ้วมือเคาะลงบนพื้น ยิ้มเอ่ย “ออกมา”
ห้านิ้วงอเป็นตะขอแล้วพลันกระชากอย่างแรง บีบคอร่างจริงของลู่เหว่ยลากออกมาจากพื้นดิน
ผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางที่ทำตัวลึกลับพวกนี้ ความสามารถในการต่อยตีช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
เสียงเส้นเอ็นหัวใจดังสนั่นหวั่นไหว พอดังเข้าหูเสี่ยวโม่แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากเสียงฟ้าผ่า
ประเด็นสำคัญคือเจ้าหมอนี่ยังดันใช้วิชาดำดิน ล้อเล่นหรือไร
ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วกะพริบตาถึงจะหาร่างจริงของผู้อาวุโสลู่ผู้นี้เจอ
เสี่ยวโม่ลากตัวเซียนเหรินผู้เฒ่าออกมา เดินช้าๆ ไปยังตำแหน่งที่ฝ่ายหลังอยู่ก่อนหน้านี้ ปล่อยมือออกแล้ววางตัวผู้อาวุโสลงเบาๆ
ยืนอยู่ด้านหลังลู่เหว่ย สองมือของเสี่ยวโม่กดลงบนไหล่ของอีกฝ่าย พูดบ่นว่า “คุณชายบ้านข้าไม่ได้ให้เจ้าไป ผู้อาวุโสก็อย่าทำอะไรโดยพลการเลย ห้ามให้มีครั้งหน้าอีกนะ”
จากนั้นเสี่ยวโม่ก็ประกบสองนิ้วหมุนวนเบาๆ ยันต์สี่แผ่นที่หลบหนีไปไกลได้หลายพันลี้แล้วคล้ายถูกเสี่ยวโม่ลากดึงมา จึงพุ่งกลับมาอยู่ในมือของเขาทั้งหมด
มองคุณชายแวบหนึ่ง เฉินผิงอันปล่อยให้ยันต์บนโต๊ะแผ่นนั้นสลายหายไปด้วยตัวเอง เงยหน้าขึ้น ส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน ทั้งยังไม่ใช่ช่วงเทศกาล ไม่ต้องมอบของขวัญให้กันหรอก”
เสี่ยวโม่จึงได้แต่ก้มเอวไปหยิบแขนเสื้อข้างหนึ่งของเซียนเหรินผู้เฒ่า แล้วโยนยันต์สี่แผ่นเข้าไปไว้ข้างใน
หากคุณชายไม่ได้อยู่ด้วย เสี่ยวโม่จะให้ลู่เหว่ยกินเข้าไปทั้งหมด
ลู่เหว่ยตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “อย่างมากสุดก็เป็นแค่เรื่องของตะเกียงต่อชะตาดวงหนึ่งในศาลบรรพชนสกุลลู่ นับจากวันนี้ไป หวังว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะรักษาตัวให้ดี”
อันที่จริงในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของบรรพบุรุษสกุลลู่มีปราณกระบี่นับพันนับหมื่นกลุ่มกำลังทำลายล้างอย่างกำเริบเสิบสาน
บนหน้าผากของหนันจานมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา
เฉินผิงอันหัวเราะ มือซ้ายหยิบตะเกียบที่เหลือเพียงอันเดียว จากนั้นก็ยื่นฝ่ามือข้างออกมา ใช้สองนิ้วกดลงบนผิวโต๊ะเบาๆ ครั้นพลันพลิกฝ่ามือ โต๊ะพลิกกลับกลางอากาศ ก่อนจะยื่นมือไปกดมันลงมาอีกครั้ง
ขนมในกล่องอาหารหล่นร่วงลงพื้น กาเหล้าแตกกระจาย สุรานองเต็มพื้น
การ ‘พลิกคว่ำโต๊ะ’ ของเฉินผิงอันทำเอาหนันจานตกใจสะดุ้งโหยง เวลานี้ดวงหน้างดงามของนางซีดเผือด ไม่ได้เป็นการเสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไป
เฉินผิงอันถาม “ภูเขาสายน้ำปริแตก? พวกเจ้าสองคนประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยหรือไม่?”
หันไปมองไทเฮาต้าหลีที่ในที่สุดก็ไม่แสดงละครอีกต่อไป เฉินผิงอันเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าไม่ได้ทุกข์ทรมานเลยแม้แต่น้อย คนที่ทุกข์ทรมานอย่างแท้จริงคือลูกชายสองคนที่ต้องเปลี่ยนชื่อกันของเจ้าต่างหาก”
ขยับสายตาไปมองลู่เหว่ย เฉินผิงอันถาม “อยากจะตายครั้งหนึ่งจริงๆ หรือ? ลองคิดดูให้ดีอีกครั้ง แต่อีกเดี๋ยวเมื่อเจ้าเปิดปากพูด จำไว้ว่าให้พูดให้ดีๆ”
หนันจานเงียบงัน
ลู่เหว่ยเองก็เช่นเดียวกัน
การที่วันนี้มีงานเลี้ยงสุราในครั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาได้ทำการอนุมานอย่างละเอียดรอบคอบมาก่อน สุดท้ายเรียบเรียงรายชื่อมาได้ยาวเป็นพรวน
ทูตผู้ตรวจการเฉาผิง กวนอี้หราน หลิวสวินเหม่ย หยวนฮว่าจิ้ง ลูกหลานสกุลหยวนและยิ่งเป็นผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดิน อวี๋เหมี่ยนลูกสะใภ้ของหนันจาน และยังมีแม่นางน้อยอวี๋อวี๋ที่ไร้หัวจิตหัวใจนั่นอีก
หลิวเจีย จ้าวตวนหมิง สกุลจ้าวเทียนสุ่ย
กองทัพต้าหลี บางทีอาจไม่ยอมรับลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งหรือเจ้าขุนเขาเซียนกระบี่แห่งภูเขาลั่วพั่วอะไร
แต่กลับยอมรับในยศ ‘อิ่นกวาน’ ยอมรับอย่างมาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นคนที่คลานออกมาจากกองคนตาย
และยังมีหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายยิ่งกว่านั้น ไม่มีการขัดขวางและถ่วงเวลาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะมีคนตายมากกว่าเดิม ต่อให้เอาไม้ใหญ่ของเขตอวี้จางทุกต้นมาทำเป็นโลงศพก็ยังไม่พอใช้
บวกกับที่ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันเพิ่งมาถึงเมืองหลวง เคยออกจากเมืองไปนำพาวิญญาณวีรบุรุษบนสนามรบหวนกลับสู่บ้านเกิด กรมพิธีการและกรมอาญาของต้าหลี ต่อให้ปากจะไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับมีตาชั่งอยู่ เซียนกระบี่เฉินผู้นั้นแสร้งวางมาดภูมิฐาน เป็นวิญญูชนจอมปลอม? เพื่อใช้สิ่งนี้มาช่วงชิงความรู้สึกดีๆ จากสองกรมของต้าหลี? นับตั้งแต่วงการขุนนางจนถึงสนามรบของต้าหลีล้วนเลื่อมใสทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศจากใจจริง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีซานจวินเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือที่ราวกับสวมกางเกงตัวเดียวกับภูเขาลั่วพั่วนั่นอีก แม้กระทั่งฟ่านจวิ้นเม่าซานจวินขุนเขาใต้ ตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่า
หยวนเทียนเฟิงแห่งกองโหราศาสตร์ อันที่จริงได้ใช้วิธีการของตัวเอง ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการแสดงท่าทีแล้ว
ส่วนซื่อชิงแห่งศาลหงหลูที่มากแผนการและกลอุบายซึ่งเป็นสหายสนิทกับนายท่านผู้เฒ่ากวนแห่งกรมขุนนาง คนทั้งสองต่างก็เคยเป็นบัณฑิตที่ไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยาเก่าของต้าหลีมาก่อน
ขุนนางบู๊ของห้องเข้าเวรที่รับหน้าที่ขวางทางตรงหน้าประตูใหญ่ของวังหลวง มีชาติกำเนิดจากสกุลหม่าโผหยางเสาค้ำยันแคว้น แม้ว่าเขาจะไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่แห่งสกุลหม่าอะไร แต่ท่าทีที่เขามีต่อคนหนุ่มผู้นั้น ในระดับใหญ่แล้วก็คือท่าทีที่สกุลหม่าโผหยางมีต่อภูเขาลั่วพั่วนั่นเอง
อาจารย์ค่ายกลหญิงสายแผนภูมิดิน หันโจ้วจิ่น แม้ว่าจะมาจากพื้นที่มงคลชิงถานภายใต้การปกครองของสำนักโองการเทพ แต่ภูเขาเบื้องหลังหันโจ้วจิ่นกลับเป็นตระกูลเยี่ยนจื่อจ้าว ตระกูลเยี่ยนจื่อจ้าวได้ทุ่มเทความสัมพันธ์ควันธูปความสัมพันธ์ผู้คนและสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินไปไว้บนร่างของหันโจ้วจิ่นมากมหาศาล
นักพรตวัยกลางคนจากหน่วยฉงซวีเมืองหลวงต้าหลีมาจากอารามป๋ายอวิ๋นแคว้นชิงหลวน
หลิ่วชิงเฟิงเจ้ากรมพิธีการแห่งเมืองหลวงสำรอง เหวยเลี่ยง สำนักเจินจิ้งแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน หลิวเหล่าเฉิง หลิวจื้อเม่า หลี่ฝูฉวี ศาลลมหิมะ สวนลมฟ้า…
อันที่จริงยังมีบุคคลในราชสำนัก เซียนซือบนภูเขา แม่ทัพบู๊ในสนามรบจำนวนที่มากกว่านี้ที่ถูก ‘ตาข่ายใหญ่’ ซึ่งแผ่ลามออกมาจากภูเขาลั่วพั่วหอบหุ้มให้อยู่ภายใน
หากบวกกับทวีปอื่นเข้าไปด้วย รวมศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง รวมนครบินทะยานแห่งใต้หล้าห้าสี…ถ้าอย่างนั้นความกว้างใหญ่ของกระดานหมาก ความมากมายของเม็ดหมากก็มีแต่จะยิ่งเกินจริงมากกว่านี้
อันที่จริงโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าลู่เหว่ยและหนันจานตัวนี้ก็คือสถานการณ์หมากที่ตลอดทั้งสกุลซ่งต้าหลีถูกครอบคลุมรวมไว้ด้านใน
ผู้ที่วางเม็ดหมาก
คนชุดเขียวนั่งนิ่งอย่างสำรวม
นาทีนี้อยู่ดีๆ หนันจานก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา ราวกับว่าคนหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังพูดว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าก็คือราชครูของต้าหลีแล้ว