กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 882.2 สายตา
แต่เฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง อย่างมากก็แค่ยังมีสถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว จะเชี่ยวชาญยันต์เวทอสนีได้อย่างไร ประเด็นสำคัญคือยังเรียนรู้วิชากักวิญญาณชั้นสูงมาด้วยอีกบทหนึ่ง?
ใช้ฉากสายฟ้าสร้างเตาหลอมขึ้นมา ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่รู้ถึงความร้ายกาจที่แท้จริง คนที่ไม่รู้ย่อมไร้ความหวาดกลัว แต่สำนักหยินหยางที่รู้เรื่องวงในอย่างลึกซึ้งกลับหวาดเกรงอย่างถึงที่สุด เพราะฉากสายฟ้ามีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘กรงสวรรค์’!
และที่ยิ่งทำให้ลู่เหว่ยรู้สึกเดือดดาลเจ็บแค้น ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นความเย็นเยียบในหัวใจ ยังคงเป็นตราประทับอาคมอักษรฟ้าชิ้นนั้นที่ถึงกับใช้การแกะสลักตราประทับแบบย้อนกลับซึ่งหาได้ยากยิ่ง แกะสลักเป็นคำว่า ‘สั่ง คำ เฉิน ลู่’ สี่อักษร!
ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านยันต์ย่อมไม่กล้าทำเรื่องอย่างการพลิกกลับแบบนี้แน่นอน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นฝีมือของลู่เฉินบรรพบุรุษบ้านตนแน่!
ลู่เหว่ยยังคงไม่กล้าเชื่อ เฉินผิงอันที่เพิ่งจะฝึกตนได้แค่สามสิบปีกลับสามารถอาศัยพรสวรรค์ด้านสายยันต์ของตัวเองมาแกะสลักอักขระยันต์แบบย้อนกลับได้แล้ว!
แล้วนับประสาอะไรกับที่ระดับของตราประคับอาคมชิ้นนี้สูงถึงเพียงนี้ ทั้งยังดำรงอยู่บนโลกมานานถึงเพียงนี้
หากไม่เป็นเพราะแน่ใจในตัวตนของบุรุษชุดเขียวตรงหน้า ลู่เหว่ยคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อบางคนของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์แล้ว
เฉินผิงอันตะโกนเรียก “เสี่ยวโม่”
หนันจานรีบหันหน้าหนียกมือป้องแสงยันต์ที่แผ่ไปทั่วฟ้าซึ่งเกิดจากยันต์ที่แหลกสลายพวกนั้น
โชคดีที่เป็นยันต์พิฆาตศพซึ่งใช้แลกชีวิตอีกชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่ว่าร่างจริงของลู่เหว่ยกลับยังคงถูกเสี่ยวโม่ใช้มือข้างหนึ่งกดเอาไว้แน่น
สองนิ้วของเสี่ยวโม่ประกบกันตบลงบนไหล่ของลู่เหว่ยเบาๆ ตีให้ ‘ลู่เหว่ย’ แหลกสลายเป็นเศษชิ้นส่วนอีกครั้ง
ยันต์พิฆาตศพสามแผ่นล้วนใช้มาหมดแล้ว
หนันจานมีสีหน้าอึ้งค้าง
นี่ถือว่าเจรจาไม่สำเร็จแล้วหรือ?
ตนยังไม่ทันได้เปิดปากพูดอะไรเลยนะ
ในเมื่อเฉินผิงอันคิดจะฉีกหน้าแตกหักกับคนทั้งสกุลลู่แผ่นดินกลางแล้ว ลู่เจี้ยงคนเดียวจะนับเป็นอะไรได้?
ดูเหมือนลู่เหว่ยจะรู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน จึงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้รังแกกันมากเกินไป จะฆ่าก็ฆ่า ไยต้องหมิ่นเกียรติกันด้วย”
เสี่ยวโม่ผู้นั้นจงใจไม่มาแตะต้องร่างจริงของตนร่างนี้
ส่วนคนหนุ่มที่กลอุบายลึกล้ำกลับเหมือนจะแน่ใจแล้วว่าตนจะต้องใช้ยันต์ร่างจริงอีกสองแผ่นที่เหลือ เขาก็เลยนั่งชมงิ้วอยู่เฉยๆ?
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ความรู้ในใต้หล้าช่างทำให้คนลำบากใจ ในเมื่อบอกว่าเป็นคนควรไว้หน้ากันบ้าง จุดใดที่ยอมลงให้กันได้ก็ควรยอมลงให้ แต่ก็ยังสอนให้พวกเราตัดรากถอนโคน ไม่ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายแว้งกลับมาทำร้าย”
ภาพที่เกิดขึ้นต่อมายิ่งทำให้จิตแห่งมรรคาของลู่เหว่ยไม่มั่นคง
บนฝ่ามือของคนชุดเขียวมีบ่อสายฟ้าเกิดขึ้น!
เวทอสนีน่าครั่นคร้าม จิตแห่งมรรคาบริสุทธิ์
ลู่เหว่ยยิ่งตกใจจนหน้าเผือดสี ทิ้งตัวมาด้านหลังตามจิตใต้สำนัก ผลคือถูกเสี่ยวโม่ที่ปรากฏตัวลับๆ ล่อๆ โผล่มาที่ด้านหลังอีกครั้ง ยื่นมือมากดไหล่ของลู่เหว่ย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ยื่นหัวมาก็ต้องโดนตัดหัว หดหัวเข้าก็ไปก็ต้องโดนตัดหัวอยู่ดี จะหลบเลี่ยงทำไม แบบนี้ไม่องอาจเอาเสียเลย”
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้หนันจานมึนงงราวกับตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก “ตอนนั้นอาจารย์ฉีอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูสามารถทำให้ลู่เหว่ยทรมานจนอยากตายได้ แน่นอนว่าข้ายังห่างชั้นไกลนัก ได้แต่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าอยากตายเป็นเรื่องง่าย แต่อยากรอดกลับยากสักเล็กน้อย”
“ลู่เหว่ย วันหน้าเมื่อเจ้าจุดตะเกียงต่อชะตาในศาลบรรพชนแล้วก็จงจำเรื่องหนึ่งเอาไว้ วันหน้าไม่ว่าอยู่ที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ขอแค่ได้พบเจอข้าก็จงหลบทางไปแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นหากสบตากันก็จะถือว่าเป็นการถามกระบี่”
ลู่เหว่ยไม่เหลือมาดของยอดฝีมือนอกโลกผู้หลุดพ้นฝุ่นผงในโลกีย์อีกต่อไป รีบร้อนเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน เรื่องของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต บอกตามตรงว่าข้ามิอาจตัดสินใจได้เองโดยพลการ แต่ข้าสามารถให้กระบี่บินแจ้งข่าวไปที่สกุลลู่แผ่นดินกลางในทันที ขอร้องให้เจ้าประมุขตอบจดหมายกลับมา จะต้องให้คำตอบที่แน่ชัดแก่เจ้าให้ได้!”
แน่นอนว่าลู่เหว่ยไม่ยินดีจะกลายไปเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยซึ่งจิตวิญญาณถูกแยกออกจากกันนับแต่นี้
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยี ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขยับเส้นสายตาไปด้านข้างเล็กน้อย “เสี่ยวโม่อ่า กำลังคุยกันดีๆ ไม่ได้บอกให้เจ้าลงมือเสียหน่อย ไยต้องขุ่นเคืองใจกับผู้อาวุโสลู่ด้วย”
เสี่ยวโม่รีบพยักหน้าทันที “เป็นเสี่ยวโม่ที่วู่วามแล้ว”
จากนั้นเสี่ยวโม่ก็ตบไหล่ลู่เหว่ย คล้ายกำลังปัดฝุ่นให้เขา “ผู้อาวุโสลู่ อย่าได้ถือสากันเลยนะ หากถือสาจริงๆ เสี่ยวโม่ก็ไม่ขัดขวาง แต่ต้องจำไว้ว่าจะต้องเก็บซ่อนความคิดในใจไว้ให้ดี ข้าคนนี้ใจคอคับแคบ ไม่ได้ใจกว้างเช่นคุณชาย ดังนั้นขอแค่ข้าสังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติ หรือสีหน้าที่แสดงความดุร้าย ข้าก็จะฆ่าเจ้าให้ตาย”
ร่างของลู่เหว่ยขึงเกร็ง ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
หนันจานกลับอยากจะข่วนใบหน้าเปื้อนยิ้มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะให้ลายพร้อย
เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้า หยิบตะเกียบด้ามนั้นกลับมาอีกครั้ง มือซ้ายถือกระบี่ ชี้ไปยังลู่เหว่ยที่ถูกเสี่ยวโม่กักตัวให้อยู่ที่เดิมอยู่ตลอดเวลา “แค่ให้ข้าทำเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียว? กระเพาะของเจ้ากับของสกุลลู่แผ่นดินกลางใหญ่กว่าหนันจานมากนัก”
ทุกครั้งที่แกว่งเบาๆ ก็จะต้องทำให้จิตแห่งมรรคาของหนันจานสั่นสะท้านไปด้วย
ส่วนลู่เหว่ยที่ถูกชี้ใส่จะรู้สึกอย่างไร มิทราบได้ แต่ต้องไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ดีอย่างแน่นอน
ลู่เหว่ยเอ่ยอย่างสงสัย “ไยเจ้าขุนเขาเฉินถึงต้องพูดเช่นนี้ เข้าใจผิดอะไรหรือไม่? แม้แต่เรื่องเล็กนั่นคืออะไรข้าก็ยังไม่ได้พูดเลยนะ”
เฉินผิงอันจ้องลู่เหว่ย จากนั้นก็ถอนใจ สีหน้าเลื่อนลอยไปเล็กน้อย พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ยังคงเห็นข้าเป็นต้นหญ้าไป้จื่อ (พืชชนิดหนึ่ง ใบคล้ายใบข้าว ผลคล้ายข้าวโพด มักจะเกิดแทรกกับข้าวในนาขัดขวางการเจริญเติบโตของต้นข้าว) ต่ำต้อยที่ขึ้นอยู่ริมคันนาจริงๆ เสียด้วย”
ต้นไป้จื่อมักจะเกิดขึ้นตามป่า ระยะเวลาของการเติบโตคือหนึ่งปี ชอบอยู่ใกล้น้ำ ด้านข้างคันนามีร่องน้ำ จึงมักจะงอกใกล้นา ดังนั้นชาวนาจึงมักจะคอยตามหาต้นไป้จื่อแล้วแยกออกจากต้นกล้าของข้าว เจอเมื่อไหร่จะต้องถอนทิ้งเมื่อนั้น
เฉินผิงอันมองลู่เหว่ยแล้วส่ายหน้า “แต่ทุกวันนี้ข้าได้อ่านตำรามาไม่น้อยแล้ว ไม่ใช่ลูกศิษย์เตาเผาที่แม้แต่ตำราหมัดก็ยังอ่านไม่ออกคนนั้นอีกแล้ว”
ในมือเฉินผิงอันถือตะเกียบ ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะไปช้าๆ เหลือบตามองไปที่โต๊ะ เป็นทั้งกระดานหมากของตน แล้วก็เป็นทั้งวิธีการลึกลับอำพรางที่สกุลลู่พยายามจะใช้หลักปรากฎการณ์ฟ้าดินมาทำเป็นกระดานหมากที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
ไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้ที่เจิ้งจวีจงไม่ยอมให้ตนเลือกที่ตั้งเป็นใบถงทวีป นอกจากจะเพื่อให้ตนรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเป็นทบทวีแล้ว ยังมีความหมายลึกล้ำบางอย่างซ่อนอยู่ด้วย?
ถึงขั้นที่ว่าเป็นการบอกเป็นนัยอย่างหนึ่งที่ต้องให้ตนสืบสาวราวเรื่องให้ถึงแก่น? ปริศนานั้นเกี่ยวข้องกับสกุลลู่สำนักหยินหยาง?
ยกตัวอย่างเช่นหนันจานและลู่เหว่ยสองคนที่วันนี้มารับรองแขก หนึ่งชายหนึ่งหญิงได้เกี่ยวพันกับการคุมเชิงระหว่างสองกว้าของหยินหยาง ถ้าอย่างนั้นหลักการเดียวกัน ภูเขาลั่วพั่วสำนักเบื้องบนของแจกันสมบัติทวีปกับสำนักเบื้องล่างในอนาคตที่อยู่ในใบถงทวีปก็ย่อมต้องมีการโยงใยที่คล้ายคลึงกับขั้วอำนาจบนภูเขาอย่างหนึ่ง อันที่จริงในสายตาของเฉินผิงอัน คำว่าสถานการณ์ใหญ่สายน้ำภูเขาอิงแอบ ก็ไม่ได้พูดถึงเก้าทวีปกับสี่สมุทรหรอกหรือ?
ไม่มีลางบอกเหตุใดๆ เสี่ยวโม่ใช้สองนิ้วปาดคอของลู่เหว่ย ขณะเดียวกันก็ใช้ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างกายของฝ่ายหลังมาสยบกำราบเขาเอาไว้ ไม่ให้ไปแตะต้องวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นใดได้
ขณะเดียวกันนั้น เฉินผิงอันที่เพิ่งจะเดินวนรอบโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ครบไปรอบหนึ่งก็พลิกหมุนข้อมือ บังคับกลุ่มสายฟ้าให้กักวิญญาณของลู่เหว่ยไว้ภายใน
หนันจานกลืนน้ำลาย
เฉินผิงอันประคองลูกสายฝ่าไว้บนฝ่ามือ สาวเท้าเดินเล่นต่ออีกครั้ง ทว่าสายตากลับจับจ้องไปที่โต๊ะตัวนั้นตลอดเวลา
ส่วนเสี่ยวโม่ก็เอาหัววางกลับลงไปบนลำคอเบาๆ งอเข่าน้อยๆ เอียงซ้ายเอียงขวามองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะขยับเคลื่อนตำแหน่งของศีรษะเล็กน้อย ก่อนหน้านี้วางเอียงไปหน่อย
ตอนนี้ยังตายไม่ได้ จะดีจะชั่วก็เป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง
หนันจานสีหน้าซีดขาวประหนึ่งบิดาตาย
คนบ้า มีแต่คนบ้าเสียสติ
หนันจานรู้ว่าคนบ้าที่แท้จริงไม่ใช่คนที่สายตาฉายประกายดุร้าย สีหน้าเหี้ยมเกรียม แต่เป็นคนอย่างสองคนตรงหน้านี้ สีหน้าปกติ ทว่าบ่อโบราณในใจกลับไร้คลื่นใดๆ
ไม่พูดมาก แต่กลับลงมือทำไปไม่น้อย
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ก้มหน้าลงพิศมองจิตวิญญาณของเซียนเหรินที่อยู่ในลูกสายฟ้ากลางฝ่ามืออย่างละเอียด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอโทษด้วยผู้อาวุโส ฆ่าเซียนเหรินเช่นนี้เป็นการชนะอย่างไม่สมเกียรติของผู้เยาว์จริงๆ รอสักครู่ ข้ายังต้องเรียบเรียงแนวความคิดเสียใหม่ถึงจะสามารถดึงด้ายเส้นนั้นขึ้นมาได้”
ต้องยกคุณความชอบให้กับสถานที่เก็บตำราสามแห่งอย่างสวนกงเต๋อศาลบุ๋น หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นและกองโหราศาสตร์ของต้าหลี แล้วก็เพราะว่าเฉินผิงอัน ‘เลื่อมใส’ สกุลลู่แผ่นดินกลางมานาน เกี่ยวพันไปถึงศึกสิบสามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้น รวมไปถึงลู่ไถกับ ‘หลิวไฉ’ ที่โจวจื่อเอามาใช้เล่นงานตน ดังนั้นหลายปีมานี้เฉินผิงอันจึงแอบสืบเรื่องของสำนักหยินหยางและสกุลลู่แผ่นดินกลางอย่างลับๆ สามารถพูดได้ว่าสืบหาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
สกุลลู่แผ่นดินกลางที่หนึ่งแซ่เป็นความรู้ของหนึ่งสำนักแทบจะเท่ากับเป็นสำนักหยินหยางทั้งแห่งแล้ว สามารถมองสกุลลู่เป็นกองโหราศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไพศาลได้เลย ดุจทะเลรวมไว้ซึ่งแม่น้ำร้อยสาย เก็บสะสมตำราไว้มากมายอุดมสมบูรณ์
ก็เหมือนอย่างสกุลเจียงอวิ๋นหลินของแจกันสมบัติทวีป ก่อนที่จะย้ายออกไปจากแผ่นดินกลาง บรรพบุรุษเคยเป็นต้าจู้ในยุคบรรพกาลมาก่อน คอยช่วยเหลือหลี่เซิ่งแห่งศาลบุ๋น ต้าจู้รับผิดชอบกิจธุระด้านการเซ่นไหว้ขอพร ดูแลชุดการร่วมงานพิธีอย่างเสื้อเขียวชุดสีชาดและมงกฎเครื่องสวมศีรษะ พักอยู่ในศาลเป็นประจำ ดูแลเรื่องผีและเทพ คำประกาศในงานพิธี ขอพรให้เกิดความมงคล ฟ้าและคนอยู่ร่วมกัน
ส่วนบรรพบุรุษของสกุลลู่แผ่นดินกลาง ในประวัติศาสตร์ของไพศาลก็เคยเป็นไท่ปู่หนึ่งในหกขุนนางของศาลบุ๋นมาก่อน คำเรียกที่ว่าการหกกรมของราชสำนักล่างภูเขาในทุกวันนี้ อันที่จริงหากว่ากันในระดับใหญ่แล้วก็มีต้นกำเนิดมาจากหกขุนนางของศาลบุ๋นบรรพกาลนี่เอง และหน้าที่หนึ่งของไท่ปู่ก็คือรับผิดชอบดูแลคัมภีร์ที่มีประวัติความเป็นมาเล่มหนึ่ง ผู้นำของกลุ่มคัมภีร์ที่สามลัทธิร้อยสำนักในยุคหลังล้วนมีความเกี่ยวข้องเล่มนั้น เผยแพร่ไปในใต้หล้าไพศาลได้อย่างไร้ข้อห้ามใดๆ บัณฑิตอาจต้องจ่ายเงินแค่สิบกว่าอีแปะก็สามารถซื้อมาเล่มหนึ่งได้แล้ว แต่ก็ยังมีคัมภีร์ใหญ่อีกสองเล่มที่ถูกควบคุมอยู่ในหอสูงเท่านั้น เพราะเกี่ยวพันกับวิชาด้านการฝึกตนที่เป็นรูปธรรมและมีรายละเอียดเยอะเกินไป ฝ่ายแรกเป็นเหมือนภูเขาบรรพบุรุษ มหาบรรพต ส่วนอย่างหลังก็เหมือนภูเขาทายาทมากมาย คัมภีร์เสริมสองเล่ม เล่มหนึ่งในนั้นถูกเก็บไว้ในหอหลินไถของสวนกงเต๋อศาลบุ๋น อีกเล่มหนึ่งที่เป็นฉบับแรกของการพิมพ์ ดูเหมือนว่าจะซ่อนอยู่ในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าจือหลันสู่ของหอซือเทียนสกุลลู่
ไม่เหมือนกับทฤษฎีที่ขัดกันของห้าธาตุสำนักหยินหยางทั่วไป เล่าลือกันว่าตำราเล่มนี้เริ่มจากการทำนายที่จุดเกิ้น ความรู้เรื่องชะตาชีวิตเป็นเหมือนเทือกเขาที่ทอดยาว ก่อนหน้านี้ลู่เหว่ยพูดเองกับปากว่าสกุลลู่มีบทคันฉ่องปฐพีอยู่บทหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นสายแยกที่มาจากคัมภีร์ใหญ่เล่มนี้ สรุปก็คือคำว่าเรื่องเล็กที่เจ้าลู่เหว่ยหมายถึง ต้องหนีไม่พ้นชะตาชีวิตของตนและภูเขาลั่วพั่วอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่ว่าสกุลลู่ได้มีการวางแผนไว้ในอาณาเขตทางทิศเหนือของใบถงทวีปมานานแล้ว ยกตัวอย่างเช่นได้จัดหาสถานที่ที่ทิวทัศน์งดงามซึ่งมองดูคล้ายภาพปรากฎการณ์ที่มาจากสวรรค์ไว้ให้กับตน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นพิกัดของภูเขาสายน้ำบางอย่างที่สกุลลู่แผ่นดินกลางใช้ตรวจสอบสามหยวนเก้าชะตา (การแบ่งยุคในวิชาฮวงจุ้ย สามหยวนเก้าชะตาแบ่งเป็นภพใหญ่สามภพ แต่ละภพมียุคย่อยอีกสามรวมเป็นเก้า) และหกเจี่ยจื๋อฝู (มาจากศาสตร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ย เป็นการอาศัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการกำหนดตำแหน่ง และทิศทางดีร้ายในเวลานั้นๆ ซึ่งใน 1 รอบปี)
“วิถีโคจรในชีวิตของข้าเหมือนน้ำที่ไหลยาว กับภูเขาของข้าที่ไม่ขยับเขยื้อน สองสำนักบนล่างคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ ทั้งสองร่วมกันกลายเป็นเส้นรุ้งเส้นแวง? เพียงแต่ว่าการพิศมรรคาครั้งนี้ของสกุลลู่แผ่นดินกลางพวกเจ้ายังต้องมีจุดเริ่มต้นที่เส้นสายเส้นหนึ่ง นี่ก็คือเรื่องเล็กที่พวกเจ้าหวังจะให้ข้าตอบตกลง? ข้าเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องเล็กเรื่องนี้ในอนาคตจะต้องชักดึงเอาเส้นสายที่แฝงอยู่ออกมาอีกมากมาย”
“ทำไม เอาละครเรื่องเก่ามาย้อนเล่นใหม่ สกุลลู่ของพวกเจ้าเห็นข้าเป็นอดีตฮ่องเต้ต้าหลีอย่างนั้นรึ?”
“ลู่เหว่ย เจ้าลองว่ามาสิว่าตัวเจ้าเองสมควรตายหรือไม่?”
‘ศพ’ ของลู่เหว่ยนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม จิตวิญญาณทั้งหมดถูกกักอยู่ในลูกสายฟ้า ประหนึ่งร่วงลงสู่กระทะน้ำมันร้อนๆ ต้องเจอความทุกข์ทรมานจากทัณฑ์บ่อสายฟ้าอยู่ตลอดเวลา เจ็บปวดจนบรรยายไม่ถูก
ไม่ใช่ว่าคำพูดของเฉินผิงอันไปทิ่มแทงใจของบรรพบุรุษสกุลลู่ท่านนี้ แต่เป็นเพราะถ้อยคำไม่กี่คำคล้าย ‘ช่วย’ เปิดโปงความลับสวรรค์ให้กับลู่เหว่ย
เม็ดหมากที่ถูกทอดทิ้ง
เดิมทีตนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าหนันจานสักเท่าไร ล้วนเป็นหมากที่ถูกทอดทิ้งซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ในสายตาลู่เซิงเจ้าประมุขตระกูลผู้นั้น
เฉินผิงอันเหลือบมองจิตวิญญาณลู่เหว่ยที่ถูกกักอยู่ในฝ่ามือ จุ๊ปากเอ่ยว่า “ไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นแค่แมลงน่าสงสารที่ถูกปิดหูปิดตา ค่อนข้างทำให้คนผิดหวังแล้ว”
ประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน
ห้าอสนีรวมตัว
ประหนึ่งฟ้าและดินประกบปิด
เสียงร้องครวญครางที่ไม่มีเสียงเล็ดลอดซึ่งมาจากจิตวิญญาณของลู่เหว่ยทำให้หนันจานที่รู้สึกเหมือนเยื่อแก้วหูถูกแทงทะลุยกมือกุมหัว นางถึงเพิ่งจะค้นพบว่าที่แท้ที่มาของความเจ็บปวดก็มาจากแรงสั่นสะเทือนของจิตแห่งมรรคาและการพลิกตลบโหมซัดในทะเลสาบหัวใจ
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองไปทางหนันจาน
ใบหน้าหนันจานเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เปิดปากพูดอย่างยากลำบากว่า “ข้าได้แอบสั่งให้คนเอาเศษเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นกลับไปไว้ที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว อยู่ที่ไหน เจ้าไปหาเอาเอง ถึงอย่างไรก็อยู่ที่บ้านเกิดของเจ้า…เรื่องนี้บรรพบุรุษลู่เหว่ยไม่รู้เรื่องด้วย แน่นอนว่าข้าต้องเหลือทางถอยไว้ให้ตัวเองเส้นหนึ่ง แต่สรุปแล้วจะซ่อนไว้ที่ไหน เจ้าก็มาเอาไข่มุกหลิงซีบนข้อมือของข้าไปสืบหาเอาเองเถอะ…”