กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 883.3 ดอกและผล
เยี่ยนเจี่ยวหรานยื่นนิ้วโป้งมาเช็ดมุมปาก เพราะอดไม่ไหวจึงหลุดหัวเราะปากกว้าง “ผลคือผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูยังไม่ทันไปรายงานก็ประทานคำหนึ่งมาให้ข้าโดยตรง แม่นางหัน?”
หันโจ้วจิ่นเงยหน้าขึ้น แข็งใจตอบว่า “คำว่า ‘ไสหัวไป’ หรือ?”
เยี่ยนเจี่ยวหรานกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นข้ายังเด็กนี่นะ เจ้าอารมณ์ ก็เลยอยากจะวางมวยกับตาแก่นั่นสักตั้ง คิดไม่ถึงว่าคนเฝ้าประตูแก่ๆ ที่เดินแทบไม่ตรงทางกลับเป็นถึงเซียนกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง”
เยี่ยนเจี่ยวหรานยื่นนิ้วข้างหนึ่งจิ้มมาที่หน้าผากของตัวเอง “กระบี่บินเล่มหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงนี้ ทำเอาข้าเหงื่อตกขนตั้งเลยทีเดียว”
“อืม ไม่ถึงขั้นฉี่ราดกางเกง แม้จะบอกว่าตอนนั้นยังเด็ก ขอบเขตไม่สูง แต่ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยฆ่าคนมาก่อน”
“แต่ความรู้สึกที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นนั้นทำให้ข้าจดจำได้อย่างลึกซึ้งมาจนถึงวันนี้ ไม่ใช่บอกว่าเกือบถูกคนฆ่าทำให้ข้าปล่อยวางไม่ลง แต่ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้นช่างทำให้คนอัดอั้นยิ่งนัก เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้แข็งแกร่งปานนั้น ไยตนถึงได้อ่อนแอ ทั้งยังโง่เขลาปานนั้น”
“ข้าว่าพวกเจ้าเก้าคน ดูเหมือนจะโง่กว่าข้าเสียอีก”
“หึหึ ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ถูกเลือกมาจากขุนเขาสายน้ำของทวีปแห่งหนึ่ง มีตบะขอบเขตและสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินเสียเปล่า จิตใจกลับไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้”
“ก่อนหน้านี้ข้ายังประหลาดใจว่าเหตุใดใต้เท้าราชครูที่เชี่ยวชาญการขัดเกลาจิตใจคนที่สุดถึงได้ทิ้งพวกเจ้าไว้ที่นั่น ปล่อยให้พวกเจ้านั่งปากบ่อมองดูฟ้า แต่ละคนดวงตางอกอยู่บนหน้าผาก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านราชครูมีแผนการอยู่ก่อนตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ด้วย”
เยี่ยนเจี่ยวหรานพูดไปพูดมาก็เหมือนว่าจะออกนอกประเด็นไปอีก เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าก่อนที่สงครามครานั้นจะปิดฉากลง เซียนกระบี่เยี่ยนท่านนั้นไปนั่งดีดลูกคิดอยู่ในห้องบัญชีแห่งหนึ่งของเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวอยู่ตลอด”
“ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าข้าอยากพบอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นมากเพียงใด อยากถามเขากับปากตัวเองว่าสรุปแล้วเซียนกระบี่เยี่ยนที่แม้แขนทั้งสองข้างจะขาดแต่ก็ยังไปที่หัวกำแพง เวทกระบี่เป็นอย่างไร สังหารปีศาจได้อย่างไร”
“เพียงแต่เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่สงสัยจึงพบไม่ได้ ถามไม่ได้ ดังนั้นครั้งนี้เรียกเจ้ามาก็เพราะมีเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้เจ้าช่วยถามแทน”
ผู้ฝึกตนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวของใต้หล้าไพศาล เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือกองทัพชายแดนของแต่ละแคว้นในแจกันสมบัติทวีปยุคหลังที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี
บางทีอาจมีความรู้สึกเช่นเดียวกับเยี่ยนเจี่ยวหรานในอดีตที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่คนเฝ้าประตูคนนั้น
อีกไม่นานเยี่ยนเจี่ยวหรานก็จะต้องติดตามทูตผู้ตรวจการเฉาผิงมุ่งหน้าไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
วัดสร้างอยู่ที่ตีนเขา หลังจากหันโจ้วจิ่นจากไป เยี่ยนเจี่ยวหรานก็เอนกายพิงประตูห้อง มองไปยังภูเขาเขียวที่อยู่ในจุดสูง
ภูเขาว่างเปล่าไร้ผู้คน สายน้ำไหลบุปผาเบ่งบาน
อย่าได้สงสัยนักพรตที่นั่งเข้าฌานนิ่ง วีรบุรุษที่เก็บกระบี่ก็คือเทพเซียน
หม่าหยวนเจ้าประมุขสกุลหม่าโผหยางมีเรือนกายใหญ่โตเทอะทะ บนใบหน้ามีแต่กล้ามเนื้อ ทว่ากลับเขียนตัวอักษรบรรจงเล็กจานฮวาได้อย่างงดงาม เชี่ยวชาญศาสตร์การคำนวณ อีกทั้งยามพูดคุยกับผู้อื่นมักจะใช้น้ำเสียงเล็กแผ่วเบา
หม่าหยวนมีอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี สำหรับขุนนางเมืองหลวงที่อยู่ในใจกลางราชสำนักคนหนึ่งแล้ว สามารถพูดได้ว่ากำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ของวงการขุนนาง
แต่หม่าหยวนไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธบนสนามรบ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตน ทุกวันนี้กลับเป็นคนที่ดูแลถุงเงินของต้าหลี
หากจะพูดถึงคนที่ปีนป่ายในวงการขุนนางต้าหลีได้อย่างว่องไวก็ต้องเป็นหม่าหยวนแห่งเมืองหลวงทางเหนือ และหลิ่วชิงเฟิงแห่งเมืองหลวงสำรองทางใต้
แน่นอนว่าก็เป็นคนที่โดนด่ามากที่สุดด้วย
เพราะหม่าหยวนในทุกวันนี้มีตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นถึงเจ้ากรมคลังแล้ว
จี้เซียงของหนึ่งแคว้น
วันนี้ขุนนางหลักกองชิงลี่กรมคลังที่มีอำนาจสูงกลุ่มหนึ่งถูกใต้เท้าเจ้ากรมเรียกมาในห้อง แต่ละคนไม่กล้าหายใจดัง
นอกจากกวนอี้หรานที่เป็นข้อยกเว้น
แล้วก็เพราะว่าตอนนี้มีคนอยู่เยอะ ขอแค่ปิดประตูแล้วคนกลุ่มนี้พูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานเสร็จ ก็กล้าที่จะคล้องคอกอดไหล่ใต้เท้าเจ้ากรมกันทั้งนั้น
ทำงานอยู่ในที่ว่าการ ไม่กล้าดื่มเหล้า แต่ดื่มชาย่อมไม่มีใครขัดขวาง กวนอี้หรานมาถึงที่นี่ คุยธุระเสร็จแล้วก็ไปกวาดค้นหาใบชามาจากทั่วทิศ
ใครใช้ให้อาจารย์คุมสอบเคอจวี่ของหม่าหยวนก็คือท่านปู่ทวดของกวนอี้หรานกันเล่า
ใครใช้ให้การประเมินขุนนางประจำเมืองหลวงในแต่ละปีตอนเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง หรือการทดสอบขุนนางของราชสำนักตอนไปเป็นขุนนางอยู่ต่างถิ่น หม่าหยวนล้วนได้อันดับหนึ่งทุกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัยกันเล่า
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าการทดสอบประเมินขุนนางประจำเมืองหลวงที่จะจัดขึ้นสามปีครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนเป็นถิ่นของเจ้ากรมผู้เฒ่ากวนแห่งกรมขุนนาง ต่อให้จะมีขุนนางของที่ว่าการแห่งอื่นมาคอยให้ความช่วยเหลือ อีกทั้งหมวกขุนนางของแต่ละคนก็ไม่เล็ก แต่นายท่านผู้เฒ่ากวนนั้นขึ้นชื่อว่าพูดคำไหนคำนั้น ยึดอำนาจเผด็จการอยู่คนเดียว
หม่าหยวนด่าพวกขุนนางกรมการคลังเสียจนไม่เหลือชิ้นดี ไล่ด่าไปทีละคน ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น
หลังจากสั่งสอนพวกขุนนางเหมือนลูกหลานตัวเองเสร็จ หม่าหยวนก็รั้งตัวกวนอี้หรานไว้คนเดียว มองลูกน้องที่อายุก็ไม่น้อยแล้วคนนี้ ความรู้สึกนับร้อยพลันประดังประเดเข้าหาหม่าหยวน อยู่ดีๆ ก็นึกถึงท่านปู่ทวดของเจ้าหมอนี่ขึ้นมา
‘หม่าหยวน ขั้นสามชั้นโทแล้ว ข่าวดี เจ้าหนูเจ้าได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ส่วนข่าวร้ายก็คือวันหน้าการประเมินของเจ้าก็ต้องดูที่พระประสงค์ของฮ่องเต้แล้ว’
‘แต่เจ้าวางใจเถอะ ทางฝั่งของฮ่องเต้และราชครู ข้ายังพอจะพูดได้สักสองสามประโยค’
หลายปีที่หม่าหยวนเลื่อนขั้นทีละก้าวจากกรมขุนนางจนได้เป็นรองเจ้ากรม ค่อนข้างจะลำบากอยู่มากจริงๆ
ไม่ใช่ว่าเป็นขุนนางนั้นยากเพียงใด แต่การวางตัวเป็นคนต่างหากที่ยาก
การปกป้องคุ้มครองในทุกด้านที่ขุนนางใหญ่แห่งกรมขุนนางมีให้อย่างไม่คิดปิดบัง ทำให้ลูกหลานของเสาค้ำยันแคว้นคนหนึ่งต้องทนรับคำซุบซิบนินทาไม่น้อย
สามปีเลื่อนขั้นเจ็ดครั้งในกรมขุนนาง ต่อให้หม่าหยวนจะมีชาติกำเนิดมาจากสกุลหม่าโผหยาง แต่ใครบ้างจะไม่อิจฉาตาร้อน?
ภายหลังถูกโยกย้ายให้มารับหน้าที่ในกรมคลังด้วยตำแหน่งเท่ากัน มีครั้งหนึ่งหม่าหยวนประชุมกับขุนนางกลุ่มใหญ่อยู่ในห้องหนังสือของเจ้ากรม เขาโมโหจนตบโต๊ะดังปัง หลุดวลีเด็ดซึ่งเป็นคำพูดติดปากของคนในวงการขุนนางออกมา
‘มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสยอมรับว่าตัวเองคือบุตรชายนอกสมรสของนายท่านผู้เฒ่ากวน พอใจกันแล้วกระมัง?!’
วันที่สองหลังจากการประชุมเช้าสิ้นสุดลง นายท่านผู้เฒ่ากวนเรียกหม่าหยวนที่เดินเร็วราวกับบินเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่า ‘หม่าหยวน วันหน้าคำพูดแบบนี้อย่าได้พูดเหลวไหลอีก การประชุมที่ห้องทรงพระอักษรเมื่อวาน ฮ่องเต้และท่านราชครูต่างก็ได้ยินกันแล้ว ท่านราชครูยังตั้งใจพูดขึ้นมาด้วย สายตาที่ฝ่าบาททอดพระเนตรข้าในเวลานั้นไม่ปกติเอาเสียเลย’
หม่าหยวนพยักหน้า
ตนละเมิดข้อห้ามในวงการขุนนางจริงๆ
คิดไม่ถึงว่านายท่านผู้เฒ่ากวนจะตบป้าบเข้าที่ท้ายทอยของหม่าหยวน ‘โชคดีที่ท่านราชครูช่วยเอ่ยประโยคทวงความเป็นธรรมให้ บอกว่าข้าไม่มีทางให้กำเนิดลูกกระต่ายหน้าเหมือนแตงเบี้ยวพุทราแตกอย่างเจ้าได้หรอก’
ล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น
อันที่จริงหม่าหยวนรู้ชัดเจนดีว่าทำไมตัวเองถึงได้เจริญก้าวหน้าในวงการขุนนางมากนัก
เพราะว่าตนเชี่ยวชาญศาสตร์การคำนวณ มีความเฉียบไวต่อตัวเลขมาตั้งแต่เกิด
ตอนที่หม่าหยวนยังทำหน้าที่อยู่ในกรมคลังด้วยสถานะของจิ้นซื่อคนใหม่ ราชครูชุยเคยมอบตำราศาสตร์แห่งการคำนวณปึกใหญ่ให้กับหม่าหยวนเป็นการส่วนตัว แล้วยังมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งเพิ่มมา ด้านบนเขียนปัญหาข้อยากในด้านการคำนวณไว้สิบข้อ รวมไปถึงคำถามอีกสิบข้อที่คล้ายคลึงกับคำถามในการสอบเคอจวี่
หม่าหยวนถาม “อี้หราน เจ้าคิดว่าต้าหลียังต้องการราชครูคนใหม่หรือไม่?”
กวนอี้หรานหัวโตขึ้นมาทันใด “ท่านอาหม่า คำถามประเภทนี้ เอามาถามขุนนางตำแหน่งเล็กเท่าเมล็ดงาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เย็นๆ อย่างข้าทำไมกัน ท่านไม่ไปถามฮ่องเต้ดูเล่า”
แล้วก็ไม่เรียกใต้เท้าเจ้ากรมอะไรอีกแล้ว คนที่สามารถถามตอบคำถามข้อนี้ได้ก็มีแค่อาหลานต่างแซ่คู่นี้เท่านั้น
หม่าหยวนตีหน้าเคร่งเอ่ยสั่งสอนว่า “ผายลมเจ้าน่ะสิ ที่ว่าการหกกรม เก้ามนตรีน้อยใหญ่ ก็เป็นเก้าอี้ของกรมคลังพวกเรานี่แหละที่ไม่เย็นมากที่สุด”
กวนอี้หรานเริ่มรื้อค้นไปตามชั้นวางอีกครั้ง ทุกวันนี้ใต้เท้าเจ้ากรมเก็บซ่อนใบชาไว้มิดชิดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ด้านหนึ่งก็หา ด้านหนึ่งก็พูดชวนคุยไปด้วยว่า “ใครหมวกขุนนางใหญ่ คนนั้นก็เสียงดังได้”
ไม่เสียแรงที่เป็น ‘ลูกชายนอกสมรสของเจ้ากรมหม่า’ ถึงได้กล้าพูดจาไร้ยำเกรงเช่นนี้
หม่าหยวนนวดคลึงข้างแก้ม เจ้าตะพาบน้อยนี่กวนโอ้ยน่าเตะจริงๆ
ใต้เท้าเจ้ากรมเอนหลังพิงเก้าอี้ เอกสารราชการที่วางอยู่บนโต๊ะแบ่งแยกออกเป็นประเภท จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ตำราฎีกาทั้งหมดล้วนไม่มีรอยยับแม้แต่รอยเดียว
ไม่แน่เสมอไปว่าขุนนางบุ๋นบู๊ในวงการขุนนางต้าหลีจะต้องอยากเป็นขุนนางที่ดีตั้งแต่เกิด เป็นขุนนางผู้มีความสามารถได้เหมือนกันทุกคน
เพียงแต่ว่าเมื่อในราชสำนักมีคนคนหนึ่งคอยมองดูทุกคนด้วยสายตาเย็นชาดูดายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อีกทั้งไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ก็ไม่เหลือพื้นที่ให้พวกเจ้าไม่ทำตัวเป็นขุนนางที่ดีแล้ว
ทว่าคนผู้นั้นกลับพูดกับหม่าหยวนเป็นการส่วนตัวว่า วันใดที่เขาไม่อยู่ในวงการขุนนางแล้ว พวกเจ้ายังทำแบบนี้ได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศที่แท้จริง
ใต้หล้ามีคนรู้ใจสองสามคน ก็ไม่ต้องเคียดแค้นอะไรแล้ว
หม่าหยวนไม่กล้าพูดว่าราชครูคือคนรู้ใจของตน ยิ่งไม่กล้าใช้การเป็นคนรู้ใจของราชครูชุยฉานมาเป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง
ชีวิตนี้มีเรื่องที่พึงพอใจอย่างถึงที่สุด นับว่าไม่เสียชาติเกิด
ในฐานะจี้เซียงของหนึ่งแคว้น ข้าหม่าหยวนได้ทุ่มเทสุดกำลังอันน้อยนิดที่มีเพื่อราชสำนักต้าหลี ทำให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่บุกผ่านที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากองไม่เคยต้องขาดแคลนเงินทองด้านเสบียงทัพ หลังสงครามสิ้นสุดก็ไม่หักเงินทำขวัญแม้แต่ตำลึงเดียว
ถ้าอย่างนั้นหากข้าหม่าหยวนยังไม่ร้ายกาจ แล้วใครจะร้ายกาจ?
คิดมาถึงตรงนี้ใต้เท้าเจ้ากรมก็รู้สึกว่าท่าทางพลิกค้นชั้นวางหาของของเจ้าลูกกระต่ายผู้นั้นไม่ขัดหูขัดตาเหมือนเดิมแล้ว
หม่าหยวนเหลือบตามองไปยังแท่นฝนหมึกที่อยู่บนโต๊ะ เอ่ยว่า “แท่นฝนหมึกไม่มีตัวอักษรแกะสลัก คือความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ”
“ถือเสียว่าหยกงามไม่ผ่านการขัดเกลาก็แล้วกัน”
ในที่สุดกวนอี้หรานก็หากระปุกใบชาที่ทำจากดีบุกใบหนึ่งเจอ แกะสลักบทกวีเอาไว้ ตัวอักษรตรงก้นเป็นคำว่า ‘สือโหม่ว’ มาจากฝีมือของผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่ง ทว่าใบชาที่อยู่ในกระปุกกลับล้ำค่ามากยิ่งกว่า
หม่าหยวนเงียบไม่เอ่ยอะไร
กวนอี้หรานเก็บกระปุกดีบุกใบนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตบหัวตัวเอง บอกว่ามีงานด่วนให้ต้องไปจัดการ จึงเดินออกไปทางนอกประตูด้วยฝีเท้าเร่งร้อน
หม่าหยวนพลันเอ่ยว่า “อี้หราน แม้จะบอกว่าการเลือกคบหาสหายคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิต แต่ก็ยังต้องรักษาระยะห่างกะน้ำหนักให้ดี ไกลใกล้ต้องเหมาะสม ถึงจะรุกเข้าถอยออกได้อย่างพอดี”
กวนอี้หรานที่เพิ่งจะยกเท้าข้ามธรณีประตูหันหน้ามายิ้มเจิดจ้า “ทราบแล้วขอรับ ใต้เท้าเจ้ากรม”
หม่าหยวนยื่นมือออกมา “เอามา”
กวนอี้หรานแกล้งโง่ “อะไร?”
ศาลหงหลูที่เป็นเพื่อนบ้านกับที่ว่าการกรมคลัง ผู้เฒ่าคนหนึ่งมาเรียกสวินชวี่
สวินชวี่เป็นแค่สวี่ปันตัวเล็กๆ ขั้นเก้าชั้นโท ตามหลักแล้วระดับขั้นขุนนางยังอยู่ห่างจากใต้เท้าซื่อชิงของศาลหงหลูอีกหนึ่งแสนแปดพันลี้
ในฐานะที่ว่าการหนึ่งในเก้ามนตรีเล็กของราชสำนักต้าหลี เดิมทีหากพูดตามคำหยอกเย้าของที่ว่าการหกกรมก็คือสถานที่ที่เอาไว้แอบผายลม เพียงแต่ทุกวันนี้เมื่อราชสำนักต้าหลีเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ มีการไปมาหาสู่กับทวีปอื่นบ่อยขึ้น ฐานะของศาลหงหลูก็เหมือนเรือที่ลอยขึ้นตามกระแสน้ำ เดิมทีขุนนางอายุน้อยของต้าหลี หากถูกโยกย้ายให้มารับหน้าที่ในศาลหงหลูก็จะถูกมองเป็นการถูกลดตำแหน่ง ยากที่จะลืมตาอ้าปากในวงการขุนนางได้อีก ทว่าทุกวันนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว
ใต้เท้าซื่อชิงยิ้มถามด้วยสีหน้าเมตตา “สวินชวี่ เตรียมรายงานข่าวของฝ่ายต่างๆ ไปถึงไหนแล้ว?”
สวินชวี่ตอบอย่างนอบน้อม “นอกจากทางฝั่งของกรมกลาโหมที่ยังไม่ยอมรับปากแล้ว หน่วยงานอื่นๆ ล้วนพูดง่ายกันมาก ได้รายงานมาเพิ่มจากคราวก่อนอีกหกฉบับขอรับ”
ใต้เท้าซื่อชิงหัวเราะหึหึ “หญ้ายอดกำแพงหกต้น เอนล้มไปตามลม”
สวินชวี่ทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดนินทาของผู้เฒ่า
ใต้เท้าซื่อชิงแห่งศาลหงหลูท่านนี้มีชื่อว่าฉางซุนเม่า มีชาติกำเนิดมาจากชนชั้นสูงในท้องถิ่นของเมืองหลวง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าในวงการขุนนางที่เคยไปเฝ้ารอกวนอี้หรานอยู่หน้าประตูบ้านในเดือนหนึ่งแต่ไม่ได้พบจึงด่าคนหนุ่มว่าไม่รู้จักการวางตัวเป็นคน แต่ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือประสบการณ์ในวงการขุนนาง หรือกระทั่งหมวกขุนนาง ฉางซุนเม่าก็ล้วนด้อยกว่านายท่านผู้เฒ่ากวนแห่งกรมขุนนาง ‘หนึ่งรุ่น’
เรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นเด็กอัจฉริยะอายุสิบปี อายุยี่สิบเป็นผู้มีความสามารถ อายุสามสิบเป็นขุนนางผู้มีชื่อเสียง รอให้วันใดลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดยังต้องมีชีวิตอยู่อีกสักหลายๆ ปี ช่วงชิงคำเรียกขานว่าเป็นเทพเซียนมาสามสิบปี ถึงเวลานั้นก็ยังจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่ครึ่งชีวิตครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งความร่ำรวยและความสุขสงบในชีวิตบั้นปลาย
ศาลหงหลูคือหนึ่งในที่ว่าการเก่าแก่ที่ราชสำนักต้าหลีไม่ได้เปลี่ยนที่ตั้งใหม่ ดังนั้นอาณาบริเวณจึงกว้างใหญ่มากเป็นพิเศษ ตอนบนของลำคลองชางผูไหลผ่านที่แห่งนี้ ในที่ว่าการจึงมีสะพานเล็กๆ พาดผ่านสายน้ำไหล ทัศนียภาพงดงามอย่างยิ่ง ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา หนึ่งในคุณูปการของใต้เท้าซื่อชิงแต่ละรุ่นของศาลหงหลูก็คือทุกคนต่างต้องแบกรับแรงกดดัน จะไม่มีทางย้ายไปไหนเด็ดขาด ไม่ยอมลงให้ใครเด็ดขาด
ฉางซุนเม่านวดข้อมือเบาๆ พาสวี่ปันหนุ่มเดินเล่นไปบนสะพานที่พาดผ่านลำคลองด้วยกัน สองข้างฝั่งของลำคลองมีต้นสนและต้นป่ายพุ่มใบเขียวตลอดทั้งปี สีเขียวชอุ่มเข้มเทียมฟ้า ผู้เฒ่าเดินอยู่บนสะพาน ฝีเท้าเนิบช้า มองไปยังต้นไม้โบราณที่มีอายุพอๆ กับศาลหงหลูของต้าหลี อดไม่ไหวเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “มนุษย์เกิดมาก็เติบโต เติบโตไปตามปี สิ่งที่ไปแล้วไม่หวนกลับคือสายน้ำ สิ่งที่ไม่โรยราเพราะการแปรเปลี่ยนของฤดูกาลคือต้นสนและต้นป่าย”
ผู้เฒ่ากระทืบเท้า ยิ้มเอ่ย “ก่อนที่คนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าจะเข้ามาอยู่ในศาลหงหลู คงไม่รู้ว่าเป็นขุนนางอยู่ที่นี่ชวนให้คนอัดอั้นขัดเคืองมากเพียงใด ในอดีตราชวงศ์สกุลหลูแคว้นบรรพบุรุษแรกเริ่มสุด และยังมีขุนนางที่มาเป็นทูตจากต้าสุย พวกเขามาพูดจาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าหมวกขุนนางจะใหญ่หรือเล็ก เสียงก็จะสูงขึ้นหลายส่วน ราวกับกลัวว่าขุนนางศาลหงหลูของสกุลซ่งต้าหลีพวกเราหูหนวกกันทุกคน เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่?”
“ในที่ว่าการทั้งหมดในต้าหลี ก็เป็นศาลหงหลูแห่งนี้ที่ถูกเพิกเฉยมากที่สุด จำนวนครั้งที่ราชครูชุยจะมาเป็นแขกที่นี่มีน้อยจนนับนิ้วได้ น้อยจนนับนิ้วได้เลยนะ คราวก่อนที่ราชครูชุยมาเหยียบที่แห่งนี้ ก็คือช่วงปลายฤดูหนาวของรัชศกหยวนเจียปีที่ห้า ดังนั้นคนเฒ่าคนแก่ของศาลหงหลู ทุกครั้งที่ถูกที่ว่าการแห่งอื่นเอาเรื่องนี้มาพูดก็มักจะรู้สึกใจฝ่อ รู้สึกว่าโงหัวไม่ขึ้น ปลายฤดูหนาวของปีนั้น ขุนนางตัวเล็กๆ คนหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลูได้รับคำสั่งให้มาทำภารกิจที่เมืองหลวงต้าหลี ตอนนั้นข้าเพิ่งเป็นซื่อชิงศาลหงหลูที่ได้รับตำแหน่งใหม่ เดินเที่ยวเป็นเพื่อนพวกเขามาถึงที่นี่ เกือบจะถลกแขนเสื้อต่อยตีกับพวกเขาแล้ว…”
ผู้เฒ่าตบราวรั้วของสะพาน “หากจำไม่ผิดล่ะก็ น่าจะใกล้กับบริเวณนี้นี่แหละ”
ผู้เฒ่ายกมือชูขึ้นสูง สูงเหนือศีรษะ “ตอนนั้นขุนนางสกุลหลูก็มองพวกเราอย่างนี้ พูดกับพวกเราเช่นนี้”