กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 885.4 หนึ่งคำในใต้หล้า
เสี่ยวโม่มีนิสัยตรงไปตรงมาจึงใช้เสียงในใจพูดถึงเรื่องนี้ทันที
เฉินผิงอันไม่ต้องใช้ความคิดเท่าไรด้วยซ้ำ หลุดปากตอบไปโดยตรงว่า “สามารถเรียกว่าหอเหลี่ยงหมางหรานได้”
เสี่ยวโม่พลิกเปิดบทรวมกวีที่มีชื่อเสียงร้อยกว่าเล่มในทะเลสาบหัวใจอยู่ชั่วขณะก็พลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “ยอดเยี่ยม!”
เป็นผู้ฝึกกระบี่ เก็บสะสมตำราเป็นงานอดิเรก
บทกวีโบราณเคยกล่าวไว้ว่า ทั้งพกตำราทั้งพกกระบี่เดินไปบนเส้นทางที่กว้างใหญ่ (เหลี่ยงหมางหมาง)
ตำราและกระบี่ สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่มิอาจประมาณการณ์ (เหลี่ยงหมางหมาง) ถูกต้องแล้ว (หรานเหย่) หอเหลี่ยงหมางหราน!
เฉินผิงอันพูดง่ายๆ ว่า “แน่นอนว่าจะใช้ชื่อนี้หรือไม่ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง”
เสี่ยวโม่พูดด้วยสีหน้าสดใส “คุณชาย ใช้ชื่อนี้ตั้งหอตำราดีมากเลยจริงๆ เสี่ยวโม่ตัดใจปาวประกาศให้คนอื่นรู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ผลคือคุณชายเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เหล่ตามองมา
เสี่ยวโม่รีบพูดอย่างรู้กาลเทศะทันใด “ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เถอะ มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขกันถ้วนหน้า”
ท่ามกลางม่านราตรี เหลาสุราสองฝากฝั่งของลำคลองชางพูบ้างสูงบ้างต่ำ ทอดยาวเรียงรายเป็นสายไปตลอดทาง
โคมไฟแสงสี ครึกครื้นจอแจ เสียงการละเล่นในวงสุราดังขึ้นๆ ลงๆ ราวกับว่าเสียงทายหมัดดังลอดทะลุหน้าต่างออกมา ทั้งยังมีเสียงขับร้องอ่อนหวานดังคลอลอยมาตามสายลม
เล่าลือกันว่าบางคนที่ชอบดื่มเหล้าทั้งยังไม่ขาดเงิน สามารถอยู่ที่ลำคลองชางผูแห่งนี้ตั้งแต่สายัณห์จนถึงเช้าตรู่ของอีกวันได้เลย เพียงแค่ขยับเท้าเล็กน้อยก็สามารถดื่มเหล้าได้ถึงสี่ห้ามื้อ
วันนี้ลูกหลานสกุลกวนอี้โจวคนหนึ่งที่น้อยครั้งจะมาดื่มเหล้าที่นี่ได้จัดงานเลี้ยงสุราส่วนตัวอย่างหาได้ยาก
เขาลากตัวจิ่งควนที่เป็นเพื่อนร่วมงานแต่ไม่ใช่สหายออกมาจากที่ว่าการด้วยกัน จากนั้นคนทั้งสองก็ตรงดิ่งมาที่ลำคลองชางผู
กวนอี้หรานกับจิ่งควน ชาติกำเนิดของคนทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สามารถพูดได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ทุกวันนี้ตำแหน่งขุนนางกลับเหมือนกัน
แม้ว่าคุณความชอบด้านการสู้รบของกวนอี้หรานจะมีมากพอ ประสบการณ์ในวงการขุนนางก็ดีมาก เป็นตัวสำรองรองเจ้ากรมได้อย่างไม่ต้องกังขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จิ่งควนที่มีชาติกำเนิดยากจน สามารถรับหน้าที่เป็นหลางจงในกองชิงลี่บางฝ่ายทั้งที่อายุแค่สามสิบต้นๆ กลายเป็นหนึ่งในขุนนางหลักของสิบแปดฝ่ายในกองชิงลี่กรมคลังได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเส้นทางการเลื่อนขั้นขุนนางของวงการขุนนางต้าหลีนั้นกว้างขวางเพียงใด
ก่อนหน้านี้มีคนลูบหัวแล้วเงยหน้าร้องด่าอย่างเดือดดาล ที่แท้ก็เจอคนถล่มเสลดหล่นลงมาจากฟ้า
จิ่งควนเอ่ยเสียงเบา “อี้หราน ข้าค่อนข้างตื่นเต้น ได้เจอกับเซียนกระบี่เฉินท่านนั้นแล้วควรจะพูดอะไร บรรยากาศถึงจะไม่เย็นชาเกินไป?”
เนื่องจากกวนอี้หรานออกจากเมืองหลวงเข้าร่วมกับกองทัพมาตั้งนานแล้ว อันที่จริงจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้พอๆ กับจิ่งควน ดังนั้นจึงต้องคอยถามทางกับคนอื่น พอได้ยินคำถามของอีกฝ่ายก็เพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
จิ่งควนกล่าวต่ออีกว่า “มีข้อห้ามอะไรบ้างเจ้าก็รีบบอกให้ข้ารู้หน่อยเถอะ อย่าแสร้งทำตัวเป็นคนใบ้อยู่เลย”
กวนอี้หรานเอ่ยสัพยอก “ข้อห้าม? แค่อย่างเดียว ถึงเวลานั้นหากเจ้าคอไม่แข็งพอ ทำให้เซียนกระบี่เฉินของพวกเราดื่มได้ไม่สาแก่ใจ กลายเป็นว่ามาด้วยความฮึกเหิมแต่ต้องกลับไปด้วยความห่อเหี่ยว วันหน้าเจ้าต้องถูกหมายหัวแน่”
จิ่งควนยังคงไม่ว่าใจ “ถึงอย่างไรก็เป็นเทพเซียนบนภูเขาคนหนึ่ง แล้วยังหนุ่มขนาดนั้น จะไม่เจ้าอารมณ์สักนิดเลยหรือ? หรือจะรอให้ข้าทำตัวขายหน้า เจ้าจะได้ชมเรื่องสนุก?”
สหายของสหาย อันที่จริงไม่ได้อยู่ร่วมด้วยได้ง่ายอย่างที่คิด
กวนอี้หรานกลอกตามองบน “ใต้เท้าหลางจง ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ เจ้าใช้วิธีของพวกขุนนางให้น้อยๆ หน่อยเถอะ หากงานเลี้ยงสุราพูดจาด้วยความเหมาะสมจนน้ำสักหยดก็ไหลผ่านไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปทำอะไรบนโต๊ะสุรากันอีก เหล้ามื้อนี้ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงสุราน้อยใหญ่ที่เจ้าเคยร่วมดื่มในอดีต หากเจ้าไม่เชื่อใจข้า อีกเดี๋ยวเจอเซียนกระบี่เฉินแล้ว เจ้าก็บอกว่าตัวเองไม่เคยดื่มเหล้า ได้แต่มองอย่างเดียวเท่านั้น”
เจ้าจิ่งควนผู้นี้อะไรก็ดีหมด ก็แค่ระมัดระวังตัวมากเกินไป ไม่รู้จักปล่อยตัวเปิดกว้าง ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเขาไปดื่มสุราเคล้านารีที่ ‘แนบเนื้อเล็กน้อย’ ที่อื่นกับเพื่อนร่วมงานกรมคลังคนหนึ่งซึ่งอายุพอๆ กัน จิ่งควนก็ยังนั่งหลังตรงอย่างสำรวม หากมีสตรีมาแนบชิดก็ทำท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
ต่อมาทั้งสองก็เจอคนคุ้นเคยคนหนึ่ง สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้า
เขายืนอยู่หน้าเหลาสุราแห่งหนึ่ง ดูท่าน่าจะกำลังรอพวกเขาอยู่
จิ่งควนจำอีกฝ่ายได้ในทันที คือคนต่างถิ่นที่ไปนั่งดื่มชาอยู่กับกวนอี้หรานในที่ว่าการกรมคลังก่อนหน้านี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ห่างจากคราวก่อนที่เจอหน้ากันในที่ว่าการไม่นานนัก อีกทั้งอีกฝ่ายก็ยังเป็นคนที่สามารถคุยเล่นกับกวนอี้หรานได้ตามสบายด้วย
ทำให้จิ่งควนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อที่ทางร้านให้มาคอยเรียกลูกค้าอยู่ข้างหน้า จึงมีแขกที่อยู่หน้าร้านถึงกับเริ่มสอบถามอะไรบางอย่างกับเขาแล้ว
และคนผู้นั้นก็ไม่หงุดหงิด ยังคลี่ยิ้มผายมือเชิญเข้าไปในเหลาสุรา คาดว่าคงจะช่วยบอกทางให้กับอีกฝ่าย
กวนอี้หรานเดินเร็วๆ ขึ้นหน้า เหลือบตามองป้ายร้านของเหลาสุรา “จุ๊ๆ รู้จักเลือกสถานที่จริงๆ ร้านเหล้าร้อยกว่าร้านก็เป็นร้านนี้ที่เหล้าธรรมดาที่สุดแล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ธรรมดาส่วนธรรมดา แต่ค่าใช้จ่ายของอาหารมื้อหนึ่งก็ไม่น้อยหรอกนะ”
กวนอี้หรานโบกมือเอ่ย “ไปร้านติดกัน ไปร้านติดกัน! ใต้เท้าจิ่งข้างกายข้าคนนี้ชอบกินคาวไม่ชอบกินเจ”
เฉินผิงอันยิ้มมองไปทางหลางจงกรมคลังที่อายุน้อยแต่มากความสามารถ ตามคำกล่าวของกวนอี้หราน คนผู้นี้ยังควบตำแหน่งดูแลภาพอวี่หลินในห้องเก็บเอกสารเหนือของกรมคลังด้วย
อันที่จริงคราวก่อนที่พบเจอกัน เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นแล้วว่าด้านหลังของขุนนางหนุ่มคนนี้มีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่เทพภูเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายแขวนไว้มากถึงหกดวง ด้านบนโคมล้วนเป็นตัวอักษรที่เขียนด้วยวิธีการลับของจวนหรือศาลบางแห่ง ดังนั้นในสายตาของนักมองลมปราณ ใต้เท้าหลางจงท่านนี้จึงมีโชคชะตาบุ๋นเข้มข้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันต่อให้คนผู้นี้ขึ้นเขาลงห้วย เดินท่องอยู่ในป่าลึกเพียงลำพัง เสนียดชั่วร้ายต่างๆ ย่อมหลีกหนี ภูตผีเกิดความขลาดกลัว เป็นฝ่ายหลีกทางอ้อมไปทางอื่นด้วยตัวเอง
จิ่งควนรีบเอ่ย “ที่นี่ก็ดีแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใต้เท้าหลางจง แน่ใจหรือว่าจะไม่เปลี่ยนร้าน? บอกไว้ก่อนนะว่า หากใต้เท้าหลางจงเกรงใจข้า ข้าจะไม่เกรงใจจริงๆ แล้วนะ”
เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ขยับเท้า ดูเหมือนบุรุษชุดเขียวจะรอให้ตนเปลี่ยนใจ จิ่งควนจึงได้แต่กดเสียงต่ำถามกวนอี้หรานอย่างสงสัยว่า “เซียนกระบี่เฉินท่านนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่?”
กวนอี้หรานกลั้นยิ้ม ชี้ไปที่เฉินผิงอัน “นักบัญชีเฉิน ใต้เท้าจิ่งของพวกเราถามเจ้าอยู่นะ เซียนกระบี่เฉินคนนั้นเมื่อไหร่จะมาถึง อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้าล่ะ อย่าให้จิ่งหลางจงของพวกเรารอนานนัก เขาเป็นถึงขุนนางหลักหนึ่งในสิบแปดฝ่ายของกองชิงลี่เชียวนะ ดูแลถุงเงินของสามทวีป ระวังไว้หน่อยล่ะ ต่อให้เป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาอย่างใต้เท้าผู้ว่า เจอกับใต้เท้าจิ่งในที่ว่าการกรมคลังก็ยังต้องก้มหัวให้เชียวนะ”
กองชิงลี่กรมคลังมีขุนนางอยู่มากที่สุดในบรรดาหกกรมของต้าหลี เพราะดูแลถุงเงินของราชสำนัก ฉายาในวงการขุนนางจึงมีมากที่สุด กรมคลังคือที่ว่าการหลาน ถ้าอย่างนั้นหน่วยงานของหลางจงก็คือสถานที่ที่ถูกคนด่า แล้วยังมีถังน้ำลายอะไรอยู่ด้วย
เฉินผิงอันยกเท้าขึ้น กวนอี้หรานกระโดดหลบ ชี้ไปที่เฉินผิงอัน หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าหลางจง อยู่ไกลสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า นักบัญชีเฉินคนนี้ของพวกเราก็คือคนผู้นั้นที่คืนนี้เจ้าจะดื่มเหล้าแล้วลงไปนอนกองบนพื้นร่วมกับเขาแล้ว”
จิ่งควนอึ้งตะลึง นึกอยากจะขุดรูหนีลงไปยิ่งนัก ได้แต่ประสานมือคารวะพร้อมกับพูดขออภัยเซียนกระบี่ท่านนั้น “เจ้าขุนเขาเฉิน ก่อนหน้านี้อยู่ในที่ว่าการ ล่วงเกินท่านแล้ว”
ก่อนหน้านี้อยู่ในห้องของเจ้าตะพาบกวนอี้หราน อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าเป็นน้องเล็กที่ใต้เท้ากวนรับมาไว้ในยุทธภพ เพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงก็รีบแวะมาเยี่ยมภูเขาของตัวเองทันที…
ที่แท้เซียนกระบี่เฉินท่านนี้ก็มีอารมณ์ขันด้วย
‘ข้าก็จะทำตัวมีความกล้าหาญสักครั้ง สู้ชนะเขาไม่ได้แล้วยังจะดื่มไม่ชนะเขาอีกหรือ?’
ตนพูดจาไม่ใช่ว่ามีอารมณ์ขันยิ่งกว่าหรอกหรือ?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ล่วงเกินไม่ล่วงเกิน เป็นแค่คำพูดปากเปล่าไร้หลักฐาน อีกเดี๋ยวค่อยเจอกันบนโต๊ะเหล้า”
คนทั้งสามข้ามธรณีประตูเดินเข้าเหลาสุราไปด้วยกัน เซียนกระบี่เฉินนำทางด้วยตัวเอง ตอนที่ทยอยกันเดินขึ้นบันได จิ่งควนก็แอบถองกวนอี้หรานไปทีหนึ่ง กดเสียงต่ำพูดอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “กวนอี้หราน ทำไมเจ้าเลวอย่างนี้?!” (ประโยคนี้ภาษาจีนออกเสียงว่าเจี้ยนปู้เจี้ยน เจี้ยนที่แปลว่าเลวออกเสียงเหมือนกับเจี้ยนที่แปลว่ากระบี่)
กวนอี้หรานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พูดอะไรน่ะ คนข้างหน้าพวกเราต่างหากที่ถึงจะเป็นเซียนกระบี่”
ไปถึงห้องส่วนตัวชั้นบนสุด เฉินผิงอันเอาเหล้าของตัวเองมาด้วย
เหลาสุราน้อยใหญ่ที่ลำคลองชางผูแห่งนี้มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง ลูกค้าสามารถนำเหล้ามาได้ แต่ต้องจ่ายเงินก้อนหนึ่ง ราคาไม่เท่ากัน
อันที่จริงเป็นกฎที่ตั้งไว้เพื่อเทพเซียนบนภูเขาโดยเฉพาะ ถึงอย่างไรมาจัดงานเลี้ยงเลี้ยงเหล้าสหายอยู่ที่นี่ได้ก็ไม่ใช่พวกที่ขาดเงินทอง ไม่ใช่เงินเทพเซียนอะไรด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้คำว่า ‘ธรรมดา’ ที่กวนอี้หรานพูดถึง อันที่จริงก็เพราะในเหลาสุราแห่งนี้ไม่มีดรุณีน้อยที่ถูกเรียกว่า ‘หญิงขายสุรา’ คอยช่วยรินเหล้าอุ่นๆ ให้กับพวกลูกค้า แล้วก็ไม่มีพวกสตรีนักเล่นดนตรีมาคอยบรรเลงดนตรีเพิ่มความน่าสนใจ
ดังนั้นรสชาติของสุราที่นี่จึงขึ้นชื่อว่าจืดจางสำหรับในเมืองหลวง
กวนอี้หรานนั่งลงแล้วก็ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นักบัญชีเฉิน แท่นฝนหมึกที่มอบให้ข้าก่อนหน้านี้ ได้ยินว่ามาจากหลุมสุ่ยเสียนใช่หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมหากวนอี้หรานได้มอบแท่นฝนหมึกพกพาชิ้นหนึ่งไปให้ เฉินผิงอันรังแกที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจเรื่องวงในจึงบอกว่ามาจากหลุมเก่าของภูเขาเยี่ยนซานพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา แล้วยังตั้งชื่อส่งเดชว่า ‘หลุมสุ่ยเสียน’
หลอกข้ารึ? เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้ากังขา “ถ้าไม่อย่างนั้น?”
กวนอี้หรานหลุดหัวเราะพรืด “อย่าว่าแต่หลุมเก่าทั้งหลายในภูเขาเยี่ยนซานเลย ต่อให้เป็นหลุมใหม่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีชื่อสุ่ยเซียนอะไรทั้งนั้น นักบัญชีเฉิน มอบของขวัญให้ก็ต้องมีความรู้บ้างสิ”
“ทำไม เป็นเพราะเซียนกระบี่เฉินจ่ายเงินอย่างมือเติบ เหมาอาณาเขตแห่งหนึ่งบนภูเขาเยี่ยนซานมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาในราคาสูง ตั้งชื่อให้ว่า ‘หลุมสุ่ยเสียน’ คิดจะเอามาขายต่อให้แจกันสมบัติทวีปของพวกเราจะได้โก่งราคาได้สบายอย่างนั้นรึ?”
แท่นฝนหมึกแบบพกพาชิ้นนี้ อันที่จริงได้ถูกกวนอี้หรานใช้เงินของคนอื่นแลกเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง นำไปมอบต่อให้กับใต้เท้าเจ้ากรมในที่ว่าการตัวเองแล้ว
หากไม่เป็นเพราะบุตรสาวสองคนของเจ้ากรมหม่าหน้าตาเหมือนบิดาพวกนางเกินไป ใต้เท้าเจ้ากรมอะไรกัน ห่างเหินกันเกินไปแล้ว ทุกวันนี้กวนอี้หรานคงต้องเรียกอีกฝ่ายตรงๆ ว่าท่านพ่อตาไปแล้ว
กลับเป็นหลานสาวของฉางซุนเม่าซื่อชิงแห่งศาลหงหลู นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่างดงามหมดจด ดังนั้นคนหนุ่มของตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ที่พอจะมีความกล้าสักเล็กน้อย เจอกับซื่อชิงเฒ่าที่นิสัยดีอย่างถึงที่สุดจึงชอบทำหน้าหนาเรียกขานอีกฝ่ายว่าท่านพ่อตา
กวนอี้หรานยกสองแขนกอดอก “เซียนกระบี่เฉินคงจะลืมไปแล้วว่ากรมคลังของพวกเรายังมีหน่วยแท่นฝนหมึกที่อ้วนท้วนจนไขมันไหลได้เลย?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าคิดเอาจริงเอาจังด้วยหรือ เร็วเข้า ลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
กวนอี้หรานจุ๊ปาก “ไม่ยอมรับผิดแล้วยังชอบโยนความผิดให้คนอื่นอีกใช่ไหม?”
อาหารแต่ละจานถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะ กวนอี้หรานรับผิดชอบรินสุรา ส่วนใหญ่แล้วจะคุยเล่นเสียมากกว่า
จิ่งควนพูดไม่เยอะ แต่กลับดื่มเหล้าไม่น้อย
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงเป็นข้อเสนอที่ดี วันหน้าข้าจะลองปรึกษากับสกุลเจียงถ้ำเมฆาดูว่าจะสามารถซื้อผลผลิตของภูเขาเยี่ยนซานเป็นเวลาร้อยปีได้หรือไม่ กรมคลังของพวกเจ้ามีหน่วยแท่นฝนหมึกอยู่พอดีไม่ใช่หรือ?”
“แนะนำเจ้าว่าอย่าได้หาเงินก้อนนี้เลย ปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ ในหน่วยแท่นฝนหมึกแห่งนี้หนีไม่พ้นมีหลานเต่าอยู่ตัวหนึ่ง ยามที่หาเงินขึ้นมา จิตใจก็โหดเหี้ยมอย่างมาก”
กวนอี้หรานส่ายหน้า “หน่วยแท่นฝนหมึกนี้ ได้ยินมาว่าเป็นที่ว่าการน้ำใส อันที่จริงน้ำร้อนน้ำชามีมากล้นเลยล่ะ เอาเป็นว่าข้ากับจิ่งหลางจงล้วนอิจฉาตาร้อนกันมาก หากไม่เป็นเพราะเจ้าตะพาบผู้นั้นเป็นคนดูแลเรื่องต่างๆ ข้าก็อยากจะหาช่องทาง ลองดูว่าจะสามารถแบ่งน้ำแกงมาได้สักถ้วยหรือไม่จริงๆ”
จิ่งควนคลี่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
กวนอี้หรานยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้ คงเป็นเพราะกำลังพูดติดลม จู่ๆ ก็พลันด่ากราดขึ้นมา “ไอ้เด็กนี่ยังมีชื่อว่าหลงจวีด้วยนะ เขาน่ะมันลูกกระต่ายหัวหมูชัดๆ! คอยดูแลเรื่องการซื้อขายหินแท่นฝนหมึกจากภายนอก บนภูเขาล่างภูเขา ยืดคอออกไปยาวมาก กินอิ่มแค่ไหนก็ไม่ตาย เวลาปกติยังชอบพูดจาวางโต คิดว่าตัวเองเป็นแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นจริงๆ หรือไร ข้าผู้อาวุโสล่ะอัดอั้นนัก จะว่าไปแล้วบิดาของเขา หากนับขึ้นไปสองสามรุ่น เป็นขุนนางที่ขึ้นชื่อเรื่องความระมัดระวังตัวอย่างมาก ทำไมพอมาถึงเจ้าเด็กนี่ถึงได้ถูกน้ำมันหมูบดบังใจเสียได้ ยามที่หาเงินขึ้นมาก็ขึ้นชื่อว่าจิตใจอำมหิตวิธีการชั่วร้ายมากเลยล่ะ”
จิ่งควนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พอมาเจอเจ้า เขาก็นับว่ายังพูดจาเกรงใจอยู่มาก”
เมืองหลวงแห่งนี้ ต่อให้เป็นที่ว่าการที่ขนบธรรมเนียมดีแค่ไหนก็ต้องมีแมลงวันที่บินตอมอาจมอยู่สองสามตัว ทำอะไรไร้คุณธรรม เป็นคนไร้ความพิถีพิถัน
หากใช้คำพูดของคนกลุ่มของกวนอี้หรานก็คือหน้าไม่อาย
เมืองหลวงต้าหลี คุณชายขุนนางที่ตรอกอี้ฉือกับเมล็ดพันธ์แม่ทัพบนถนนฉือเอ๋อร์ คนระดับหนึ่ง หากไม่เป็นเหมือนอย่างกวนอี้หราน เฉาเกิงซิน หยวนเจิ้งติ้งที่ถูกทางตระกูลโยนให้ไปเป็นขุนนางในท้องถิ่น อาศัยร่มเงาบรรพบุรุษช่วงชิงตำแหน่งเริ่มต้นในวงการขุนนางมา แต่สามารถอาศัยความสามารถที่แท้จริงของตัวเองมาหยัดยืนอย่างมั่นคง เลื่อนขั้นสูงทีละก้าว อนาคตราวกับปูไว้ด้วยผ้าแพร
ไม่อย่างนั้นก็เป็นเหมือนหลิวสวินเหม่ยที่เข้าร่วมกองทัพแต่เนิ่นๆ ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในป่ามีดฝนกระบี่ ปีนป่ายอยู่ในกองคนตาย ผูกศีรษะไว้กับเข็มขัด อาศัยคุณความชอบทางการสู้รบที่เป็นของแท้แน่นอน
เหมือนอย่างกวนอี้หรานที่เข้าร่วมกับกองทัพ เคยรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพมานานหลายปี ทั้งยังโยกย้ายไปเป็นขุนนางผู้ตรวจการลำน้ำใหญ่ กลับเหมือนคนแปลกแยกในกลุ่มคนแปลกแยกอีกที ดังนั้นถึงได้มีผู้เฒ่าในวงการขุนนางมากมายที่รู้สึกอยุติธรรมต่อการที่ทุกวันนี้หมวกขุนนางของกวนอี้หรานเล็กเพียงนั้น
ส่วนระดับรองลงมาก็สามารถเป็นขุนนางได้ แต่ตำแหน่งไม่ใหญ่มากพอ อีกทั้งยังอยู่อาศัยในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะอาศัยการสอบเคอจวี่หรือบุญคุณจากทางตระกูล ทำให้สามารถหยัดยืนอยู่ในที่ว่าการได้อย่างมั่นคง
ระดับที่สาม ไม่ทำการทำงาน แต่กลับมีชีวิตปลอดภัยรักษาตัวรอดได้ดี อย่างน้อยก็ไม่สร้างเรื่องให้กับทางตระกูล ระดับล่างสุดก็คือเชี่ยวชาญด้านการกินดื่มการพนันและสตรี ขอแค่สามารถมีความเกี่ยวข้องกับพวกล้างผลาญได้ก็จะไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย เอ้อระเหยลอยชาย ชิงรักหักสวาทกับคนอื่น ไม่มีความสามารถกะผายลมอะไร แต่มาดกลับใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า