กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 886.2 ปิ่นเต๋า
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันได หยิบเอาตราประทับเปล่าสองชิ้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ปีนั้นร่วมมือทำการค้ากับเยี่ยนจั๋วที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาจึงเก็บวัสดุหินเอาไว้ไม่น้อย
จากนั้นก็เรียกไฮเหลย กระบี่บินจำลองของเซียนกระบี่ที่มาจากภูเขาชังกระบี่ออกมา
ส่วนกระบี่บินจำลองซงเจินที่จำแลงมาจาก ‘กู่ชุ่ย’ เล่มนั้น ได้ถูกเผยหมิ่นใช้สองนิ้วบีบแตกไปแล้ว
เฉินผิงอันถือไฮเหลยไว้ในมือต่างมีดแกะสลัก เริ่มแกะสลักริมขอบก่อน ก็คือเนื้อหาของ ‘เทียบชุดเขียวหยวนเจีย’ สุดท้ายถึงได้แกะสลักลงตรงก้นตราประทับเป็นสองคำว่า ‘เซียนกระบี่’
ส่วนตราประทับที่สองที่ด้านใต้เป็นคำว่า ‘ผู้เล่นระดับแคว้น’ ตรงริมขอบกลับเป็นคำสั่งสอนของสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ตรงใจเฉินผิงอันมากที่สุด คือประโยคที่บอกว่าบรรยากาศทั้งสดชื่นทั้งปลอดโปร่ง ความรู้ทั้งลึกซึ้งทั้งยาวไกล ตั้งตนด้วยความแข็งแกร่งและจริงใจ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยนและหนักแน่น
ตราประทับสองชิ้นนี้ ตรงช่วงท้ายของอักษรริมขอบแยกกันแกะสลักคำว่า ‘เฉินสืออี’ และ ‘เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว’
ใช้เวลาของเฉินผิงอันไปเกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ
หากอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เนื่องจากมีตราประทับน้อยชิ้นที่จะมีตัวอักษรริมขอบ คาดว่าป่านนี้คงแกะสลักตราประทับเสร็จไปยี่สิบอันแล้ว
เก็บกระบี่บินไฮเหลยลงไป สองมือของเฉินผิงอันถือตราประทับไว้ชิ้นละมือ ก้มหน้าเป่าลมใส่เบาๆ เป่าให้เศษผงที่อยู่ระหว่างร่องตัวอักษรของตราประทับปลิวหายไป ครั้นจึงเงยหน้ายิ้มกล่าว “นี่เรียกว่าไม่มีค่าสักหนึ่งอีแปะ ทองหมื่นชั่งก็ไม่ขาย”
เสี่ยวโม่กล่าว “คุณชายถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
เก็บตราประทับสองชิ้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เฉินผิงอันหยิบหลิงจือหยกขาวชิ้นหนึ่งออกมา เห็นว่าเสี่ยวโม่มองประเมินตัวอักษรสองแถวอย่างใคร่รู้ก็มอบมันให้กับเสี่ยวโม่เสียเลย เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า “ร่างอาคมที่ข้าร่ายใช้ตอนเดินทางมาโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ก็เรียนรู้มาจากอดีตเจ้าของของหลิงจือหยกขาวชิ้นนี้”
เสี่ยวโม่เห็นว่าความหมายแฝงของตัวอักษรที่แกะสลักอยู่ดีเยี่ยมก็ออกปากชมไม่หยุด
คนผู้ส่องประกายแสงใสกระจ่างไร้ตำหนิพันปี ตระกูลที่ส่งกลิ่นหอมของดอกหลันจือนานร้อยปี
มอบให้กับคุณชายบ้านตนก็เหมาะสมที่สุดจริงๆ
มอบของขวัญให้กันอย่างนี้ต่างหากจึงจะถือว่ามีขอบเขต
ดังนั้นในอนาคตหากมีโอกาสก็จะต้องไปพบเจอเซียนกระบี่ที่มือเติบคนนั้นสักหน่อย
เฉินผิงอันเรียนรู้ร่างเมฆาวารีมาจากอวิ๋นเหมี่ยวเซียนเหรินของหอเซียนจิ่วเจิน มรรคกถาบทนี้มีความหมายว่าไผ่แน่นแค่ไหนก็มิขัดขวางน้ำไหลผ่าน ฟ้าสูงแค่ไหนก็มิขัดขวางเมฆขาวโบยบิน (เปรียบเปรยว่าไม่ว่าเบื้องหน้าจะอันตรายมากแค่ไหนก็มิอาจเปลี่ยนแปลงปณิธานของตัวเองได้)
อวิ๋นเหมี่ยวยังมีวิชาอภินิหารก้นกรุอีกบทหนึ่งที่ได้รับคำเรียกขานอย่างไพเราะว่า ‘ขอบเขตแห่งแก่นน้ำ’ สามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ค่อนข้างจะไม่ธรรมดา
ตอนที่แบกรับตบะขอบเขตสิบสี่ของลู่เฉินเอาไว้ เฉินผิงอันที่ท่องเที่ยวไปทั่วทิศในแจกันสมบัติทวีปไม่ได้อยู่ว่างเลย พยายามใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือให้เต็มที่ ไม่ปล่อยให้สิ้นเปลืองสักนิด ตรวจสอบค้นหาภาพแห่งกาลเวลาตอนที่ประลองเวทกับอวิ๋นเหมี่ยวในทะเลสาบหัวใจ ใช้หินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกของตัวเอง อนุมานไปบนมหามรรคา จำแลงออกมาเป็นคาถาบทนี้ จึงมีความเหมือนขอบเขตแก่นน้ำที่อวิ๋นเหมี่ยวสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองด้านรูปร่างแล้วหลายส่วน เรื่องนี้เมื่อเทียบกับการอนุมานฉากสายฟ้าวิชาลับของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วถือว่าง่ายกว่ามาก
หลังจากการประลองบนลำคลองของเกาะยวนยาง เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวที่สงสัยผีสงสัยเทพ เนื่องจากได้รับจดหมายลับจากเฉินผิงอันไปหนึ่งฉบับ อวิ๋นเหมี่ยวจึงรีบส่งจดหมายฉบับหนึ่งตอบกลับมาอย่างนอบน้อม และได้ส่งมอบหลิงจือหยกขาวที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนไปให้ที่สวนกงเต๋อ
ในอนาคตเมื่อไปเที่ยวเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หากเฉินผิงอันเกิดความขัดแย้งกับใคร แล้วเอ่ยประโยคหนึ่งจากใจจริงว่าข้าไม่ใช่อวิ๋นเหมี่ยว คาดว่าคงไม่มีใครเชื่อ
เสี่ยวโม่คืนหลิงจือหยกขาวให้กับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถือหลิงจือหยกขาวไว้ในมือ เคาะลงกลางฝ่ามือเบาๆ
รอให้เรื่องการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างเสร็จสิ้น ปิดด่านฝึกตนช่วงระยะเวลาหนึ่ง พยายามหวนกลับไปสู่ขอบเขตหยกดิบและชั้นคืนความจริงของขอบเขตปลายทาง เฉินผิงอันก็คิดว่าจะลากเอาหลิวจิ่งหลงไปท่องเที่ยวในใต้หล้าไพศาลด้วยกัน เส้นทางจะเริ่มที่อุตรกุรุทวีปก่อน แล้วจึงเป็นธวัลทวีป ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ทักษินาตยทวีป จากนั้นจึงไปฝูเหยาทวีป เดินทางขึ้นเหนือต่อไปยังเกราะทองทวีป หลิวเสียทวีป
นอกจากอาณาเขตทางทิศเหนือแล้ว อันที่จริงพื้นที่อื่นๆ ของอุตรกุรุทวีป เฉินผิงอันล้วนคุ้นเคยดี ส่วนธวัลทวีป ตระกูลสกุลหลิวของเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ศาลเหลยกงของเพ่ยอาเซียง ล้วนจะต้องไปเป็นแขก
ส่วนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สถานที่ที่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนหรือไม่ก็แวะระหว่างที่ผ่านทางก็ยิ่งมีมากยิ่งกว่า จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ พื้นที่มงคลเหล่าเคิงของฝูลู่อวี๋เสวียน ภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ราชวงศ์ต้าตวนที่เฉาสืออยู่ ราชวงศ์เสวียนมี่ที่อวี้พ่านสุ่ยเป็นไท่ซ่างหวง…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่งดงามมีชื่อเสียงอีกมากมายที่บันทึกอยู่ใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ กับจารึกเสริมสองเล่มเลย
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป เห็นว่าบนม่านราตรีที่ห่างไปไม่ไกลมีประกายแสงเปล่งวาบหนึ่งที ก่อนจะมีผู้ฝึกตนคนหนึ่งซึ่งคล้ายทะยานลมเดินทางไกล จากนั้นก็มีแสงกระบี่เส้นหนึ่งตามอีกฝ่ายไปติดๆ พริบตาเดียวก็ลากเอาเส้นสีทองยาวร้อยจั้งที่เปล่งแสงวาบตามไป
ผู้ฝึกลมปราณเผ่นหนีอย่างฉุกละหุก เปลี่ยนแปลงเส้นทางอยู่หลายครั้ง แต่กระนั้นก็ยังถูกเชือกสีทองเส้นนั้นตามรัดพันข้อเท้าราวกับเงา จากนั้นก็กระชากเขาลงมาบนพื้นอย่างแรง ผู้ที่หนีและผู้ที่ไล่ตาม ต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนเซียนดิน
แสงกระบี่กับผู้ฝึกลมปราณร่วงลงไปยังจุดหนึ่งพร้อมกัน ห่างจากโรงเตี๊ยมไปประมาณหนึ่งลี้ เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำ ไปดูเรื่องสนุกกันดีกว่า”
ในเมืองหลวงต้าหลีที่กฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งนี้ ถึงกับมีผู้ฝึกลมปราณที่กล้าทะยานลมแหวกอากาศ ประชันเวทคาถากับผู้อื่นโดยพลการเชียวหรือ?
สามารถทะยานลมอยู่ที่นี่ได้ นอกจากผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของสกุลซ่งต้าหลีแล้วก็มีแค่เจ้าของป้ายสงบสุขที่มีบันทึกชื่ออยู่ในกรมอาญาต้าหลีเท่านั้นแล้ว
เหมือนอย่างเฉินผิงอันเอง ทุกครั้งที่เดินทางออกจากเมืองยังต้องหยิบป้ายสงบสุขปลายแถวของกรมอาญาแผ่นนั้นมาแขวนไว้ให้พอเป็นพิธี
ขยับเท้าไปพร้อมกับเสี่ยวโม่ หดย่อพื้นที่มาหยุดอยู่ตรงจุดที่แสงกระบี่ร่วงลงไป
เมืองหลวงต้าหลีกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมนี้ถือเป็นอาณาเขตที่ทั้งไม่ร่ำรวยและไม่สูงศักดิ์ เพียงแค่ว่าดีกว่าที่พักของโจวไห่จิ้งอยู่หลายส่วนเท่านั้น
บนถนนเหมือนจะมีคนจับกลุ่มตีกัน คนของสองพรรคใหญ่ที่รวมตัวกันจนพื้นที่แถบนั้นมืดทะมึนกำลังคุมเชิงกันอยู่ มองดูแล้วต่างก็เป็นคนในยุทธภพ ดูจากท่าทางแล้วไม่เหมือนว่าทิ้งถ้อยคำอาฆาตพยาบาทเสร็จแล้วจะไปดื่มเหล้าร่วมโต๊ะ แต่คล้ายว่าจะลงไม้ลงมือกันจริงๆ
คนสองกลุ่มรวมกัน ต่อให้ไม่นับพวกที่ไปแอบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนดู ก็ต้องมีถึงหนึ่งร้อยสี่สิบห้าสิบคนแล้ว
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนหัวกำแพงด้านนอกของเรือนหลังหนึ่ง ห่อไหล่สองข้างลง มือทั้งสองสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ คล้ายกับชาวนาที่กำลังนั่งมองผืนนา
เสี่ยวโม่นั่งอยู่ด้านข้าง สังเกตเห็นว่าคนที่มาร่วมวงเรื่องครึกครื้นใกล้กับตรอกแห่งนี้มีไม่น้อย แล้วก็ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ไม่ปิดประตูหลบเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้น กลับกันยังพากันกรูเข้ามา เนื่องจากผู้ฝึกลมปราณที่หลบหนีคนนั้นถูกแสงกระบี่ลากกลับลงมาบนพื้นดิน เสียงตอนหล่นกระแทกลงมาจึงไม่เบา บวกกับคนสองกลุ่มที่คุมเชิงกันอยู่บนถนนเฮโลกันเสียงดัง ในบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงจึงมีคนที่นอนหลับพักผ่อนแล้วถูกเสียงดังนี้ปลุกให้ตื่น
ใจกลางถนนใหญ่ คนที่เรียกกระบี่บินคือผู้เฒ่าสวมชุดแพรเรือนกายเล็กเตี้ยคนหนึ่ง เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง สองนิ้วทำมุทราโบกเบาๆ
กุมชัยชนะอยู่ในมือ เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ศีรษะของผู้เฒ่ามีเส้นผมบางตา คล้ายกับผืนนาแห้งขอดที่ไม่อาจแย่งน้ำเข้ามาในร่องคันนาได้ จึงมีเพียงต้นหญ้ารกชัฏไม่กี่ต้นที่ขึ้นหร็อมแหร็มอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับไร่นาหลังผ่านฤดูเก็บเกี่ยวแล้วกลับดีกว่าหลายส่วน
แต่หากอิงตามคำกล่าวของเสี่ยวโม่ ผู้อาวุโสที่รูปลักษณ์ไม่สะดุดตาผู้นี้ ดูท่าแล้วจะเป็นพวกหลงตัวเองอย่างรุนแรงเลยทีเดียว
เนื่องจากเซียนกระบี่ผู้เฒ่าไม่ได้เก็บกระบี่บิน ดังนั้นแสงสีทองที่จำแลงมาจากกระบี่บินเล่มนั้นจึงยังคงรัดข้อเท้าของอีกฝ่ายเอาไว้ เมื่อผู้เฒ่าประกบสองนิ้วแกว่ง ตรงข้อเท้าของผู้ฝึกตนหนุ่มที่ถูกแสงกระบี่พันธนาการไว้ก็มีปราณกระบี่ตวัดฉวัดเฉวียน ใบหน้าของคนหนุ่มเผยสีหน้าเจ็บปวด บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึม เพียงแต่ว่าเขาไม่อ้อนวอนขอร้อง แค่จับจ้องผู้เฒ่าคนนั้นเขม็ง
เสี่ยวโม่เหลือบตามองการคุมเชิงกันของคนสองกลุ่มบนถนน ถามว่า “คุณชาย ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังมาท้าตีท้าต่อยกันรบกวนชาวบ้าน ที่ว่าการของเมืองหลวงไม่จัดการหน่อยหรือ?”
ส่วนการประลองเวทของเซียนซือครั้งนี้ย่อมผิดกฎอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่ไม่รู้ว่าหลังจบเรื่องทางฝั่งของที่ว่าการจะจัดการทั้งสองฝ่ายอย่างไร
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ขอแค่ไม่มีคนตายก็ไม่ถือเป็นการตะลุมบอนด้วยอาวุธอะไร ทั้งสองฝ่ายตีกันก็มีแค่มือเปล่าเท้าเปล่า เกินครึ่งทางฝั่งของที่ว่าการคงจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง เมืองหลวงของแคว้นหนึ่ง ส่วนใหญ่มักจะเป็นสถานที่ที่มีทั้งคนดีและคนเลวปนกันเสมอ พรรคในยุทธภพ สำนักคุ้มภัย ศูนย์ฝึกยุทธ โรงฝากเงิน พวกที่กินข้าวจากกการขนส่งทางเรือ การเดินทางด้วยรถม้า หรือแม้กระทั่งพวกโจรพวกขโมยตัวเล็กๆ ต่างฝ่ายต่างก็มีบรรพบุรุษของตระกูล มีพรรคบนภูเขา มีสาขาแยกเป็นของตัวเอง ก่อนหน้านี้ข้าได้ฟังเถ้าแก่หลิวเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง บอกว่าที่เมืองหลวงแห่งนี้มีคนผู้หนึ่งที่ในมือได้ครอบครองพื้นที่จัดการอาจม (เนื่องจากสมัยโบราณไม่มีโถส้วม การขับถ่ายจึงมักจะใส่ในกระโถนและจะมีคนมาขนเอาไปเก็บในพื้นที่สำหรับการจัดการกับสิ่งปฏิกูลโดยเฉพาะ เมื่อมีจำนวนมากเข้าก็จะขนย้ายไปให้พวกชาวไร่ชาวนาที่นอกเมืองเพื่อทำเป็นปุ๋ย อาชีพนี้ในสมัยโบราณจึงเป็นอาชีพที่ทำเงินได้มาก) สามสิบเจ็ดแห่ง เงินที่ได้มาจึงมากกว่าเหลาสุราที่เปิดอยู่ริมลำคลองชางผูเสียอีก”
แน่นอนว่าก็มีพวกคนหัวทึบที่เพิ่งได้ออกมาเผชิญโลกกว้าง เป็นพวกเด็กหนุ่มที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เหี้ยมหาญดุดัน มองเมินกฎเกณฑ์ของทางการมาจนเคยชิน ใช้จำนวนครั้งในการนอนคุกกินข้าวแดงเป็นประสบการณ์ในยุทธภพ
เฉินผิงอันกล่าว “เสี่ยวโม่ ช่วยข้าฟังเสียงในใจของเทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้นที”
เสี่ยวโม่พยักหน้ารับ
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นหน้าเขียวคล้ำ “ใส่ร้ายป้ายสี วิธีการต่ำช้า!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “หากได้รับความอยุติธรรม แล้วเจ้าจะหนีทำไม ที่ว่าการกรมอาญาจะยังใส่ร้ายเจ้าด้วยหรือ? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นวัวสันหลังหวะ”
ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “กลัวก็แต่เจ้าจะไม่หนีน่ะสิ หากไม่เป็นเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีวิธีจัดการเจ้าจริงๆ”
ผู้ฝึกตนเฒ่าส่ายหน้ากล่าว “ในฐานะผู้ฝึกตน ทะยานลมกลางอากาศเหนือเมืองหลวงโดยพลการ ถือเป็นการละเมิดกฎร้ายแรงอันดับหนึ่ง จะมาบอกว่าถูกใส่ร้ายได้อย่างไร? ใช่ว่านั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกันไม่ได้เสียหน่อย เจ้าประมุขฟ่านเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุดแล้ว”
ทว่าเสียงในใจกลับเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง “เจ้าตะพาบน้อย คืนนี้ข้าผู้อาวุโสจะรั้งตัวเจ้าไว้ ต่อให้หลังจบเรื่องทางกรมพิธีการกำหนดโทษ กรมอาญาซักไซ้เอาผิด เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าก็ยังดีกว่าไม่น้อย”
พูดจาเหลวไหลได้หน้าตาเฉย คนฉลาดพูดจาโง่เขลา
รอกระทั่งสงครามครั้งนั้นสิ้นสุดลง ราชวงศ์ต้าหลีก็ยังควบคุมตระกูลเซียนบนภูเขาเข้มงวดเหมือนเดิม ทว่าทุกวันนี้ราชวงศ์สกุลซ่งกลับมีเมตตาต่อเรื่องราวในยุทธภพและคนในยุทธจักรมากเป็นพิเศษ ให้อภัยได้มากกว่าเก่า ขอแค่ไม่ก่อเรื่องที่เกินกว่าเหตุ ที่ว่าการน้อยใหญ่ในเมืองหลวงก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องในยุทธภพเท่าใดนัก ดังนั้นพรรคในยุทธภพของต้าหลีจึงเหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตก จอมยุทธพเนจรของแต่ละแคว้นที่อยู่ทางใต้ของเมืองหลวงสำรองต้าหลีหลายคนก็มักจะเดินทางขึ้นเหนือไปพร้อมกับขบวนพ่อค้า
สัมผัสได้ถึงสายตาสอบถามจากเสี่ยวโม่ที่หันหน้ามามอง เฉินผิงอันก็พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “คนดีคนเลวกับเรื่องราวที่ถูกหรือผิด ง่ายที่จะปะปนกัน กฎหมายของราชวงศ์ต้าหลีเหมาะกับเรื่องไม่เหมาะกับคนมาโดยตลอด”
ศูนย์ฝึกยุทธบริเวณใกล้เคียงแห่งหนึ่งมีบุรุษวัยฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งพากันออกมา กฎระเบียบของศูนย์ฝึกยุทธเข้มงวด มีการห้ามเข้าออกยามวิกาล อาจารย์ยังไม่อนุญาตให้พวกเขาไปก่อเรื่องข้างนอก จึงได้แต่แอบออกมาร่วมวงความครึกครื้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบนหัวกำแพงมีคนชิงตัดหน้ายึดพื้นที่ไปก่อนแล้ว ชายฉกรรจ์ที่ลักษณะเปี่ยมไปด้วยพละกำลังคนหนึ่งจึงถามขึ้นว่า “พี่น้อง ที่นี่?”
เฉินผิงอันขยับไปทางเสี่ยวโม่ เว้นที่วางให้อีกฝ่าย ยิ้มเอ่ยว่า “มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้น เชิญพวกเจ้าตามสบาย”
แต่ละคนจึงก้าวเร็วๆ มาทางหัวกำแพงแล้วกระโดดตัวขึ้นสูง ใช้สองมือคว้าจับหัวกำแพงไว้แล้วพลันออกแรงดึงตัวขึ้นไปบนหัวกำแพง
คือการทะเลาะวิวาทระหว่างพรรคในยุทธภพที่คลื่นลมก่อตัวมานานมากแล้ว เพียงแต่ว่าวกวนอ้อมค้อมไปมา ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไปดึงเทพเซียนบนภูเขาที่ทะยานเมฆขี่หมอกกลุ่มนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยได้ เหมือนเกี๊ยวที่ถูกจับโยนลงหม้อต่อเนื่อง โอกาสเช่นนี้หาได้ยากนัก
ชายผู้นั้นกดเสียงต่ำถาม “พี่น้องก็เป็นผู้ฝึกยุทธเหมือนกันหรือ?”
ลมหายใจหนักแน่น มีลมปราณขุมนั้นอยู่
แน่นอนว่าคนที่จะปีนกำแพงสูงขนาดนี้ได้ต้องไม่ใช่บัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่แน่นอน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เคยฝึกวิชาหมัดเท้าอยู่ไม่กี่วัน พอจะเป็นศาสตร์การต่อสู้อยู่บ้าง ที่บ้านทำการค้าเลยได้ขึ้นเหนือล่องใต้เป็นประจำ พอจะมีวิชาติดตัวบ้างเล็กน้อยให้ชีวิตพอสงบสุข”
อาจารย์ด้านวรยุทธวัยหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายชายผู้นั้นแอบกลอกตามองบน ยังเป็นศาสตร์การต่อสู้ด้วย ต้องเป็นคุณชายบ้านคนรวยที่อ่านหนังสือผุๆ มาหลายเล่มแน่นอน เพราะคนจนเรียนบุ๋นคนรวยเรียนบู๊นี่นะ
บุรุษถามต่ออีกว่า “พี่น้องท่านนี้เคยได้ยินชื่อศูนย์ฝึกยุทธหยางหย่วนของพวกเราหรือไม่ เจ้าศูนย์อู๋ของพวกเรา แม้ว่าจะอายุมาก แต่กลับเป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งยุทธภพในเมืองหลวงเชียวนะ”