กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 887.1 มีเรื่องขอให้ช่วย
เสี่ยวโม่พาเซียนเว่ยเดินไปที่แผงดูดวงด้วยกัน ในสายตาของเซียนเว่ย แผงนี้ค่อนข้างจะโกโรโกโสไปสักหน่อย มีแค่โต๊ะหนึ่งตัวกับกระบอกเซียมซีหนึ่งใบ ไม่มีธงผ้าสักผืนเขียนว่าปากเหล็กทำนายดุจเทพอะไรด้วยซ้ำ แม้ว่าเฉาโม่ผู้นี้จะเป็นเซียนซือ แต่หากจะพูดถึงประสบการณ์ในยุทธภพก็ไม่โชกโชนมากพอสักเท่าไร ช่างเถิดๆ ในเมื่อทุกวันนี้ตนต้องมาติดตามอยู่ข้างกายเฉาโม่ ถ้าอย่างนั้นก็จะยอมสอนสุดยอดเคล็ดวิชาให้เขาแบบเปล่าๆ สักวิชาก็แล้วกัน
เพียงแต่เว่ยเซียนก็รู้สึกคลางแคลงขึ้นมาอีก จึงอดไม่ไหวถามว่า “เสี่ยวโม่ สุดท้ายทำไมเฉาโม่ถึงไม่รับเงินเทพเซียนเหรียญนั้นเอาไว้? หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ นั่นเป็นเงินเกล็ดหิมะที่พวกเซียนบนภูเขาใช้อย่างที่เล่าลือกันเลยนะ”
เทพเซียนบนภูเขาไม่เห็นเงินเป็นเงินขนาดนี้เชียวหรือ?
เสี่ยวโม่กล่าว “รักเงินยากสละ คนที่สามารถสละเงินทองได้จึงจะเป็นผู้สูงส่ง”
เซียนเว่ยฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป หลักการเหตุผลในตำราที่ไม่มีประโยชน์กะผายลมพวกนี้ หากตอนเอามาเรียบเรียงเป็นเล่มคงบรรจุได้หลายกระบุงโกยทีเดียว ทว่าเงินในกระเป๋าก็ยังเกลี้ยงเกลากว่าหนังหน้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เห็นว่าเฉาโม่ทำท่าจะเก็บกระบอกเซียมซีบนโต๊ะ เซียนเว่ยก็ร้อนใจขึ้นมาทันใด จะเก็บแผงแล้วหรือ? เรื่องของการหาเงินจะทำอย่างลวกๆ แบบนี้ได้อย่างไร!
เซียนเว่ยนั่งแปะลงไปบนม้านั่งยาว รับกระบอกเซียมซีมาจากมือของเฉินผิงอันแล้วเขย่ากระบอกไม้ไผ่อย่างแรงจนเซียมซีชิ้นหนึ่งร่วงลงมา เพ่งสายตามองไป พึมพำกับตัวเองพักหนึ่ง มองดูเหมือนกำลังพูดคุยกับท่านเซียนที่สวมชุดเต๋าสีเขียว สีหน้าของเซียนเว่ยเดี๋ยวตะลึงเดี๋ยวตกใจ เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็พยักหน้า บางครั้งยังเอ่ยถามหนึ่งประโยค จากนั้นก็พลันหน้าแดงก่ำ ตะเบ็งเสียงดังเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่าท่านเซียน เซียมซีใบนี้แม่นยิ่งนัก เทพในร่างมนุษย์ ท่านเซียนเหมือนเทพในร่างมนุษย์จริงๆ! เซียนเว่ยลุกขึ้นยืน ก้มหัวคารวะตามขนบของลัทธิเต๋าอย่างเข้าท่าเข้าที จากนั้นก็ควักทองหยวนเป่าออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะหนักๆ ขอให้ท่านเซียนช่วยสอนวิธีคลี่คลายแก้ไข…
เสี่ยวโม่ที่ยืนอยู่ด้านข้างมองเจ้าทึ่มผู้นี้ทำตัวขายหน้าแล้วก็จนคำพูด ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนผู้นี้
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ เวลานี้เขามองใบหน้าของเซียนเว่ยแล้วก้มลงมองทองหยวนเป่าที่อยู่บนโต๊ะ แล้วเฉินผิงอันก็คลึงขมับ ปวดหัวนัก
ที่นี่ไม่ใช่ตรอกซอกซอยในตลาด แต่เป็นท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้ากับการแสดงที่ฝีมือห่วยแตกเช่นนี้ หลอกใครไม่ได้จริงๆ
จะดีจะชั่วเจ้าเซียนเว่ยก็เป็นผู้ฝึกลมปราณอย่างครึ่งๆ กลางๆ ผลกลับกลายเป็นว่าตลอดทางที่ขึ้นเหนือมานี้ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายมาโดยตลอด ได้กินเนื้อและสุรามื้อหนึ่งก็ราวกับได้กินอาหารวันปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น ทว่าถึงท้ายที่สุดกลับเก็บสะสมเงินได้เป็นทองหยวนเป่าแค่ก้อนเดียว โทษคนอื่นไม่ได้เลยจริงๆ
ตัวโตขนาดนี้แล้ว หากจะพูดถึงการกะแรงไฟ ฝีมือยังสู้เผยเฉียนตอนเล็กๆ ไม่ได้เลย
แล้วยังเดือดร้อนให้ตนถูกมองเป็นพวกนักต้มตุ๋นไปด้วย
แล้วก็จริงดังคาด คนเดินเท้าที่เดินอยู่ใกล้กับแผงดูดวง หากไม่ใช่เซียนซือทำเนียบก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา หรือไม่ก็เป็นพวกคนในยุทธภพที่ประสบการณ์โชกโชน ทุกคนต่างก็ใช้สายตามองคนโง่มองมายังเซียนเว่ย
เจ้านักต้มตุ๋นสองคนนี้ต้องขาดเงินแค่ไหนถึงได้แสร้งมาทำหลอกผีหลอกเจ้าอยู่ที่ท่าเรือก่าวซู่แห่งนี้ เกินครึ่งคงจะยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแล้วถึงได้ทำทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการเช่นนี้? ก็เหมือนการไปตั้งแผงดูดวงที่หน้าประตูจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ เล่นหมากล้อมบนเมฆหลากสีที่นครจักรพรรดิขาวนั่นแหละ จะได้เงินสักกี่แดงกัน?
เฉินผิงอันผงกปลายคาง เซียนเว่ยก็สังเกตเห็นว่าพวกคนเดินเท้าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ขยับออกห่างจากแผงดูดวงคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา จึงได้แต่เก็บทองหยวนเป่าก้อนนั้นไปอย่างขุ่นเคือง ไม่กล้าเก็บไว้ในห้องพักพร้อมกับห่อสัมภาระ เพราะกลัวจะโดนขโมย ถึงเวลานั้นคงไม่มีที่ให้ไปร้องทุกข์ ต้องพกไว้ติดตัวถึงจะสบายใจ เฉินผิงอันเก็บกระบอกเซียมซีที่ทำขึ้นมาเมื่อคืนวานเก็บใส่ไว้ในชายเสื้อ จากนั้นเอ่ยเตือนเซียนเว่ยว่าลุกขึ้นได้แล้ว เฉินผิงอันยื่นมือไปตบผิวโต๊ะหนึ่งที โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ทั้งโต๊ะทั้งม้านั่งก็หายวับไป ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีก
เซียนเว่ยมองด้วยอาการตาค้าง นี่ก็คือเวทคาถาตระกูลเซียนที่สร้างให้มีจากไม่มีหรือ? ถ้าอย่างนั้นตนจะสามารถเรียนจากเฉาโม่เสกหินให้กลายเป็นทองได้หรือไม่?
คนทั้งสามออกไปจากท่าเรือ เดินไปบนทางหลวงที่กว้างขวางเส้นหนึ่งกลับเข้าเมืองหลวง เซียนเว่ยทอดถอนใจไปตลอดทาง เดินเท้าอีกแล้ว
เฉินผิงอันเหลือบมองปิ่นปักผมของเซียนเว่ยที่อยู่ข้างกาย ใช้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ เจ้าคิดว่าเซียนเว่ยตรงหน้าผู้นี้ ทุกวันนี้มีสภาพการณ์เป็นอย่างไร?”
สมมติว่านักพรตตัวปลอมที่ชื่อเหนียนจิ่ง นามเซียนเว่ยผู้นี้ก็คือ ‘นักพรต’ อันดับหนึ่งของโลกมนุษย์คนนั้น ถ้าอย่างนั้นหากอิงตามเอกสารลับที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน ‘นักพรต’ ที่แบกโชคชะตามหาศาลไว้บนร่างได้ตายดับไปท่ามกลางสงครามเดินขึ้นสวรรค์ครั้งนั้นนานแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย เนื่องจากตอนที่เฉินผิงอันหวนกลับมายังไพศาลอีกครั้งได้เคยถามหลี่เซิ่ง และหลี่เซิ่งก็พูดเองว่าผู้อาวุโสท่านนี้กายดับมรรคาสลายไปแล้วจริงๆ
หลังจากที่นักพรตซึ่งมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อโลกมนุษย์ผู้นี้รบตายไป เป็นเหตุให้ปิ่นเต๋าชิ้นนั้นหล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์ สุดท้ายถูกบรรพจารย์เปิดขุนเขาหญิงของนครเซียนจานอย่างกุยหลิงเซียงเก็บได้บนพื้นดินของโลกมนุษย์ นับจากนั้นมานางก็เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน นางได้ครอบครองพื้นที่มงคลเหยากวง แต่กลับมุ่งมั่นตั้งใจสร้างนครเซียนจานให้สูงเทียมฟ้าขึ้นมา
โดยทั่วไปแล้วนักพรตผู้นี้น่าจะคล้ายคลึงกับการสละร่างกลับมาเกิดใหม่ และเซียนเว่ยที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันในเวลานี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเศษซากจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของนักพรตท่านนั้น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสรวงสวรรค์เก่ากลับชาติมาเกิดใหม่ สามารถอาศัยความเป็นเทพที่บริสุทธิ์ ‘ร่างจริง’ ก็เหมือนอยู่ในสภาวะจำศีลอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะไปอยู่ในร่างของเผ่ามนุษย์หรือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ เนื้อหนังมังสามารถเสื่อมโทรมตายดับได้ และความเป็นเทพก็สามารถไม่ลดไม่เพิ่มได้ แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเซียนเว่ยเป็นผู้ฝึกตน ไม่ใช่เทพ ตามหลักแล้วหากเริ่มต้นนับที่การ ‘สละร่างใต้คมอาวุธ’ ของเมื่อหมื่นปีก่อน ทุกครั้งที่มีการจุติกลับมาเกิดใหม่ จะยังคงมีจิตวิญญาณที่กระจัดกระจายหายไปอย่างต่อเนื่อง แล้วก็มีการเสริมจิตวิญญาณส่วนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เวลานานวันเข้าก็จะยิ่งมีความเสียหายมากขึ้น มีแต่จะทำให้เซียนเว่ยในยุคหลังไม่เหมือนนักพรตคนนั้นในช่วงแรกเริ่มสุดเข้าไปทุกที
เว้นเสียจาก
เว้นเสียจากว่าหมื่นปีที่ผ่านมานี้ แท้จริงแล้วนักพรตคนนั้นเพียงแค่สละร่างกลับมาจุติใหม่ไม่กี่ครั้ง หรืออาจถึงขั้นที่ว่ามาเกิดใหม่แค่ครั้งเดียว?!
เสี่ยวโม่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “เรื่องแบบนี้ เสี่ยวโม่ไม่กล้าพูดอะไรส่งเดช คุณชายถามข้าก็เหมือนถามทางกับคนตาบอดนั่นแหละ”
เกี่ยวพันกับการกลับชาติมาเกิดใหม่ของผู้ฝึกตน เสี่ยวโม่เป็นคนที่ไม่เชี่ยวชาญอย่างจริงแท้แน่นอน เพราะว่าเมื่อหมื่นปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ ความเป็นความตายก็แทบจะมีแค่ภพชาติเดียวเท่านั้น
เรื่องของเวทคาถา หมื่นปีให้หลังกับเมื่อหมื่นปีก่อน อันที่จริงระดับความสูงของก่อนหลังค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ความต่างไม่ถือว่ามีมากนัก
แต่หากจะพูดถึงประเภทของผู้ฝึกลมปราณที่มีมากมายและเส้นสายที่ซับซ้อนในทุกวันนี้ พูดถึงแค่จำนวนและระดับความกว้าง ไม่พูดถึงพลังพิฆาตอันบริสุทธิ์หรือมรรคกถาสูงส่งยาวไกล เมื่อเทียบกับเมื่อหมื่นปีก่อน เวทคาถาก็มีมากนับพันนับหมื่นอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันพยักหน้า ไม่เป็นไร วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราวก็แล้วกัน
จะให้ใช้วิธีอำมหิตโหดร้ายอย่างการกักขังจิตวิญญาณบางส่วนเพียงแค่เพื่อยืนยันตัวตนและขอบเขตของเซียนเว่ยก็คงไม่ได้ เฉินผิงอันทั้งไม่ยินดีแล้วก็ไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเซียนเว่ยมีความเกี่ยวข้องกับนักพรตผู้นั้นจริง หรือจงใจปิดบังอำพราง ยกตัวอย่างเช่นเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีให้นครเซียนจานที่ถูกเฉินผิงอันทำลาย ด้วยฝีมือของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ
แต่เฉินผิงอันเชื่อว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก เป็นการใช้ใจของคนถ่อยมาวัดใจของวิญญูชนแล้ว เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือผู้บรรลุมรรคาที่ยอมสละเรือนกายตัวเองเพื่อเปิดทางขึ้นสวรรค์ให้กับโลกมนุษย์อย่างไม่เสียดาย
หรือจะบอกว่าอีกฝ่ายใช้เวทลับที่น่าเหลือเชื่อบางอย่าง อาศัยการหลอกตัวเองมาหลอกลวงสวรรค์? ปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรมาหมื่นปีแล้ว?
นอกจากนี้เฉินผิงอันยังกังวลว่าจะเป็นแผนการของโจวจื่อผู้นั้นหรือไม่ หรือควรจะบอกว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจวจื่อ
หากแค่อิงตามคำกล่าวของตัวเซียนเว่ยเอง นั่นคือตอนอายุน้อยมีวาสนาบุญบารมีลึกล้ำ ภายใต้โชควาสนาที่อำนวย บวกกับบนหลุมศพของบรรพบุรุษมีควันเขียวผุดขึ้นมา เขาจึงเก็บตำราเซียนที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่งมาได้ จากนั้นก็สละเส้นทางสายบุ๋นหันมาฝึกตนเป็นเซียนแทน
ดังนั้นทุกวันนี้เซียนเว่ยจึงยังไม่รู้การแบ่งขอบเขตบนภูเขา ได้แต่อาศัยนิยายเรื่องเล่าประหลาดมาทำความเข้าใจกับทัศนียภาพของ ‘เทพเซียนพสุธา’ ได้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
เวลานี้เซียนเว่ยอยู่ในขอบเขตเส้นเอ็นหลิ่วของห้าขอบเขตล่าง หรือก็คือขอบเขตรั้งคน อีกทั้งคงเป็นเพราะไม่มีผู้ถ่ายทอดมรรคา ไม่มีวิสุทธิ์จารย์คอยช่วยชี้ทาง ไม่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตอะไร และเซียนเว่ยเองก็เข้าใจเรื่องการฝึกตนอย่างครึ่งๆ กลางๆ เรื่องของการบังคับปราณวิญญาณเพื่อร่ายเวทคาถาก็ยิ่งไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไร
เจ้าคนที่สวมรอยเป็นนักพรตหลอกคนมาตลอดทางผู้นี้เดินบนเส้นทางของยุทธภพมาจนปรุแล้ว เคยเจอเซียนกระโดด (ชื่อเรียกวิธีต้มตุ๋นอย่างหนึ่ง โดยมีผู้หญิงเป็นนกต่อหลอกล่อ แล้วให้ผู้ชายออกมาโวยวายเอาเรื่องทีหลัง เป็นสถานการณ์ที่ต่อให้เป็นเซียนตกหลุมพรางก็ยังกระโดดออกไปไม่ได้จึงได้ชื่อว่าเซียนกระโดด) มามากมาย เคยหลอกคน แล้วก็เคยถูกคนหลอกมาก่อน ครั้งที่อเนจอนาถที่สุดก็คือตอนที่เพิ่งออกจากบ้าน เหมือนซิ่วไฉไปเจอกับทหาร ตอนที่อยู่ในป่าชานเมืองดันไปเจอกับโจรภูเขาที่ดักปล้นกลางทางพอดี เนื่องจากเซียนเว่ยเคยเล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อน คำพูดคำจาจึงสุภาพมีความรู้ จึงถูกจับตัวไปเป็นกุนซือหัวสุนัขและนักบัญชีในรังโจรอยู่หลายเดือน ชีวิตไม่ได้ย่ำแย่สักเท่าไร ตอนที่เซียนเว่ยกระโดดลงจากภูเขา ที่ห้องโถงใหญ่ก็มีกรอบป้ายแผ่นหนึ่งเพิ่มมา เป็นลายมือของเซียนเหว่ยเอง เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้สี่คำ ‘สวรรค์ตอบแทนคนขยันหมั่นเพียร’
อันที่จริงเรื่องนี้ ปริศนานี้ คนที่สามารถไขข้อข้องใจให้ตนได้มากที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือเจ้านครจักรพรรดิขาวที่เคยมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่มรรคาจารย์เต๋าคนนั้น
บนยอดเขาของไพศาลเคยมีคำกล่าวอย่างหนึ่ง ตอนนั้นเจิ้งจวีจงยังไม่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ศิษย์พี่ชุยฉานก็ยังคงเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง ทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกันไปสิบตา
คุณสมบัติพรสวรรค์อ่อนด้อย อย่าได้เอาอย่างไหวเซียน
ไม่ได้ฉลาดเลิศล้ำ อย่าได้เรียนรู้เลียนแบบซิ่วหู่
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงคำกล่าวหนึ่งขึ้นมา จึงเอ่ยว่า “ชุยตงซานเคยยกตัวอย่างไว้ข้อหนึ่ง เกิดมาเป็นคน ประหนึ่งไม้ที่กลายเป็นเรือ การกลับชาติไปจุติใหม่ จิตวิญญาณแหลกสลาย รื้อกำแพงตะวันออกไปซ่อมกำแพงตะวันตก ปะชุนซ่อมแซม นานวันเข้าควรจะแบ่งแยกเรือเก่าเรือใหม่อย่างไร ทั้งสองอย่างนี้เหมือนกันหรือไม่?”
เสี่ยวโม่รีบเปิดตำราในทะเลสาบหัวใจตามความเคยชินทันที ถามว่า “คุณชาย นี่ถือเป็นศาสตร์การโต้เถียงของสำนักหมิงเจีย เกี่ยวพันไปถึง ‘ชื่อเรียกเรื่องราว’ หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “อย่างอาจารย์ของข้า แม้ว่าจะมีความรู้สึกที่ธรรมดาต่อสำนักหมิงเจีย รู้สึกว่าความรู้ของสำนักนี้ง่ายที่จะก่อให้เกิดการโต้เถียงอย่างข้างๆ คูๆ แต่เมื่อเห็นความเสื่อมโทรมของสำนักหมิงเจียในทุกวันนี้ อาจารย์กลับรู้สึกเสียดายอย่างมาก บอกว่าความรู้ของหมิงเจียมิอาจรุ่งโรจน์มากเกินไป แต่ก็มิอาจไม่มีหมิงเจียอยู่เลย”
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าไม่แนะนำให้คุณชายเก็บเซียนเว่ยไว้ข้างกาย ไม่สู้มอบคนผู้นี้ให้ศาลบุ๋นไปโดยตรงเลยดีกว่า”
เรื่องไม่คาดฝันมีเยอะเกินไป หากเกิดหนึ่งในหมื่นอะไรขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเลวร้ายจนมิอาจคาดคิด
มอบให้ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเป็นผู้จัดการ เห็นได้ชัดว่ามั่นคงมากกว่า
เฉินผิงอันอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “หนึ่งเพราะข้าเคยชินกับเรื่องทำนองนี้มานานแล้ว นอกจากนี้ความบันเทิงในการฝึกตนก็อยู่ที่ว่า นอกจากจะฝ่าทะลุขอบเขตเดินขึ้นสู่ที่สูงแล้ว ยังอยู่ที่การไม่รู้ อยู่ที่การไขปริศนา สุดท้าย แล้วก็เป็นกุญแจสำคัญที่สุด ข้าไม่คิดว่าผลักเซียนเว่ยออกไปจากข้างกายแล้วจะสามารถหลบอะไรได้พ้น มีความเป็นไปได้มากด้วยว่าจะได้ผลในทางตรงกันข้าม อยู่ไกลสุดขอบฟ้าก็มักจะอยู่ใกล้เพียงตรงหน้าเสมอ ทว่าอยู่ใกล้เพียงตรงหน้ากลับอาจจะอยู่ไกลสุดขอบฟ้าจริงๆ”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “เป็นข้าที่ใจแคบ มิอาจเทียบความใจกว้างของคุณชายได้ติด”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเหล้าให้มากหน่อย ฟ้าดินกว้างใหญ่ก็ไม่ใหญ่เกินถ้วยเหล้าใบหนึ่ง”
เซียนเว่ยยกฝ่ามือมาป้องตรงหว่างคิ้ว ทอดสายตามองไปไกล ดูเหมือนข้างทางจะมีร้านเหล้าที่แขวนป้ายปักธงเอาไว้ แมลงสุราในท้องจึงเริ่มอาละวาดแล้ว รีบถามว่า “เฉาเซียนซือ ท่านหิวหรือไม่?”
อยู่กับเสี่ยวโม่ เซียนเว่ยเรียกคำแล้วคำเล่าว่าเฉาโม่ เรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ อย่างไร้ยำเกรง
แต่พอมาอยู่กับเฉินผิงอัน เซียนเว่ยกลับรู้จักพิถีพิถัน ต้องสั่งอาหารให้ถูกปากคนนี่นะ
เฉินผิงอันมองร้านเหล้าขนาดเล็กที่กินอาณาบริเวณไม่กว้างร้านนั้น เนื้อหาที่เขียนบนธงกลับมีกลิ่นอายความเป็นเซียนอยู่หลายส่วน ‘ลงม้าหันกลับมา รสชาติเดียวนานพันปี โปรดหยุดก่อน’
อันที่จริงตอนที่มาก็สังเกตเห็นแล้ว เป็นสถานที่ที่ขายเหล้าปลอมแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ใจดำธรรมดา ขอแค่เป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงบนภูเขา ถึงกับมีขายที่ร้านนี้ทุกอย่าง อย่าว่าแต่เหล้าของตำหนักฉางชุนเลย เหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแม้แต่เหล้าดอกกุ้ยของนครมังกรเฒ่าก็ยังมี คงเป็นเพราะราคาของสุราถูกมาก จึงมีคนไม่น้อยมาซื้อเหล้าของที่นี่ดื่ม
ฝ่ายหนึ่งกล้าขาย ฝ่ายหนึ่งก็กล้าดื่มจริงๆ
เซียนเว่ยน้ำลายสออยากดื่มเหล้า บวกกับที่ถูกเสี่ยวโม่ลากให้เอายันต์ไปแปะที่บ้านหลังนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนนี้จึงหิวแล้ว เลยยุให้เฉาเซียนซือไปนั่งในร้านเหล้าอีกครั้ง บอกว่าท่าเรือที่มีคนดีคนเลวปะปนกันเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจได้เจอคนมหัศจรรย์คนใดก็ได้ หากเจอแล้วถูกชะตากันก็ถือว่าเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ เซียนเว่ยเดินพลางพร่ำพูดไปไม่หยุด แต่เฉินผิงอันกลับใช้แค่ประโยคเดียวสะบั้นความคิดของอีกฝ่าย บอกว่าดื่มเหล้ากินข้าวล้วนไม่มีปัญหา เจ้าเป็นคนเลี้ยง
เซียนเว่ยรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “เฉาเซียนซือ น้ำพุรสหวานน้ำเชื่อมสีทอง เหล้าหมักเทพเซียน ผลไม้เซียนบนภูเขาที่ในตำราบอกไว้ ล้วนเป็นเรื่องจริงหรือ? ยกตัวอย่างเช่นเจียวหลีพุทราไฟ แล้วยังมีหลิงจือพันปีคลุกข้าว โสมภูเขาหมื่นปีตุ๋นเป็ดแก่อะไรนั่นอีก เฉาเซียนซือเคยกินมาก่อนแล้วหรือ รสชาติเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าความโมโหผุดมาจากไหน ชีวิตนี้ตนออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นในยุทธภพหรือบนภูเขา ค่าใช้จ่ายในด้านการกินอยู่ก็น้อยครั้งนักที่จะใช้จ่ายอย่างมือเติบจริงๆ
เซียนเว่ยเห็นว่าสีหน้าของเฉาเซียนซือไม่สบอารมณ์ก็หยุดพูดทันใด เหลือบตามองป้ายร้านแล้วเอ่ยว่า “เขียนได้มีกลิ่นอายเซียนจริงๆ ปกติจะต้องมีเซียนเหรินมาดื่มเหล้าหมักเซียนแน่ๆ เดินสวนไหล่คลาดกันไปอย่างนี้ น่าเสียดายนัก”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เมื่อคืนหนิงเหยาบอกกับเฉินผิงอันที่อ่านตำราอยู่ในหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นว่า เรื่องของการปิดด่าน อีกเดี๋ยวก็จะสิ้นสุดแล้ว อย่างมากสุดก็อีกแค่สองวันเท่านั้น
เฉินผิงอันบอกนางว่าไม่ต้องรีบร้อน ช้าไปวันสองวันก็ไม่เป็นไร
ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งได้รับกระบี่บินส่งข่าวฉบับหนึ่งจากภูเขาลั่วพั่วพอดี พรุ่งนี้อาจจะต้องไปร่วมงานแต่งงานในเมืองหลวง
เสี่ยวโม่ตบไหล่เซียนเว่ย
เซียนเว่ยถามอย่างสงสัย “เสี่ยวโม่ มีอะไรหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เดินดีๆ พูดมากมันเหนื่อยนะ”
เซียนเว่ยถอนหายใจ คนยากจนปณิธานสั้น ถึงกับถูกผู้ติดตามคนหนึ่งสอนว่าควรวางตัวอย่างไรควรทำเรื่องอะไรเสียแล้ว