กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 888.2 ชุนซาน
เสี่ยวโม่กับเซียนเว่ยไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงาน พวกเขาหาตรอกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง เสี่ยวโม่ยืนพิงผนัง เซียนเว่ยนั่งยองอยู่ด้านข้าง หยิบเหล้าออกมาหนึ่งกา เป็นเหล้าที่ควักเงินจ่ายเอง ช่วยไม่ได้ ไม่มีเงินใส่ซองก็ไปขอเหล้ามงคลดื่มเปล่าๆ ไม่ได้ เลยได้แต่พึ่งตัวเองเท่านั้น
ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรวันหน้าตนก็จะได้เป็นผู้ฝึกตนที่มีกลิ่นอายเซียนล่องลอยแล้ว ในกระเป๋าล้วนมีแต่เงินเทพเซียน วัตถุที่เป็นสีขาวสีทองอย่างเงินและทองล่างภูเขาจะนับเป็นอะไรได้ ธรรมดาสามัญเกินไป ทำลายกลิ่นอายแห่งเซียนเสียเปล่าๆ
เซียนเว่ยมองไปยังรถม้าที่สวนกันขวักไขว่นอกประตูบ้านตระกูลเปียน จุ๊ปากเอ่ย “กวงลู่ซื่อเฉิง ตำแหน่งขุนนางไม่เล็กเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็นขุนนางในเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าหลีด้วย หากอิงตามกฎของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ ขุนนางในท้องถิ่นของต้าหลีจะมีระดับขั้นสูงกว่าขุนนางบุ๋นบู๊ของแคว้นใต้อาณัติหนึ่งระดับ ขุนนางเมืองหลวงก็สูงกว่าอีกระดับ หากเอาไปวางไว้ในแคว้นเล็กใต้อาณัติทางทิศใต้ทั้งหลายจะไม่เป็นอันดับหนึ่งในที่ว่าการเก้ามนตรีใหญ่เลยหรือ อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะได้เป็นท่านรองเจ้ากรมของหกกรมเลยกระมัง ไม่เสียแรงที่เฉาเซียนซือคือเทพเซียนบนภูเขา สหายที่รู้จักหากไม่ใช่คนรวยก็เป็นคนสูงศักดิ์ คนที่คบค้าสมาคมด้วยไม่มีใครที่ความรู้ต่ำเลย”
เสี่ยวโม่มองเซียนเว่ยที่แหงนหน้าดื่มเหล้าเหมือนวัวสูบน้ำแล้วอดไม่ไหวถามว่า “เจ้าชอบดื่มเหล้าขนาดนี้เลยหรือ?”
เซียนเว่ยวางกาเหล้าลง ส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ตบท้องลูบปาก “ไม่ได้ชอบสักเท่าไรหรอก”
จากนั้นเซียนเว่ยก็ยกกาเหล้าในมือขึ้น ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ข้าดื่มเหล้าหรือ ดื่มเงินอยู่ต่างหาก”
หลายปีมานี้ต้องใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจร ระหกระเหินไม่มีที่อยู่เป็นที่ทาง ทั้งหิวโหยอดอยากจนเคยชิน กินอิ่มหนึ่งมื้อหิวสามมื้อ ประเด็นสำคัญคือยังต้องอาศัยการต้มตุ๋นหลอกเอาเงินจากคนอื่นอีกด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องไปเป็นขอทานจริงๆ แล้ว ทุกครั้งที่ลงมือยังต้องคอยหวาดหวั่น เพราะถึงอย่างไรข้าวแดงในคุกก็ไม่อร่อย ทุกวันนี้ติดตามเฉาเซียนซือ ไม่เพียงแต่มีที่ให้หลับนอน ตอนหิวยังได้กินแผ่นแป้งย่าง ยามกระหายก็มีเหล้าให้ดื่ม แค่นี้ก็ทำให้เซียนเว่ยมีความสุขจนแทบน้ำตาไหลแล้ว
เซียนเว่ยนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “เสี่ยวโม่ เจ้าบอกกับข้ามาตามตรงเถอะว่าทำไมเจินเหรินผู้เฒ่าในที่ว่าการเต้าเจิ้งเมืองหลวงคนนั้นถึงได้เรียกเฉาเซียนซือว่า ‘เจ้าขุนเขาเฉิน’?”
เสี่ยวโม่กล่าว “เฉาโม่เป็นนามแฝงที่คุณชายใช้ยามท่องยุทธภพ”
“เสี่ยวโม่อ่า”
เซียนเว่ยดื่มเหล้าหนึ่งอึก พูดเลียนแบบน้ำเสียงของเฉาโม่ “ข้าอยากถามเจ้าว่าคำเรียกว่า ‘เจ้าขุนเขา’ นี้หมายถึงอะไร?”
เพราะว่ามีภูเขาตระกูลเซียนที่มีถ้ำสถิตเทพเซียน มีเจียวหลงขดตัวนอน สัตว์เซียนส่งเสียงร้อง ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยพืชพรรณแปลกตา สามารถพบเจอวัตถุดิบแห่งฟ้าดินได้ทุกเมื่อหรือ?
ในเมื่อเฉาโม่เป็นผู้ฝึกตนที่เป็นวิชาคาถาของตระกูลเซียน อีกทั้งยังสามารถเข้าออกที่ว่าการของนักพรตเต๋าและหน่วยแปลคัมภีร์ในเมืองหลวงได้ตามใจชอบ อีกทั้งยังเป็น ‘เจ้าขุนเขา’ คิดดูแล้วก็คงไม่แย่สักเท่าไร
จำต้องประเมินดูว่าขาใหญ่ที่ตนกอดอยู่ตอนนี้หนาเท่าไรกันแน่? ภูเขาหนุนหลังที่ตนอาศัยความสามารถตามหามานี้สูงเท่าไรกันแน่?
เสี่ยวโม่ก้มหน้ามองเซียนเว่ยแวบหนึ่ง เนื่องจากสามารถสัมผัสได้ถึงเส้นเอ็นหัวใจของอีกฝ่ายอย่างเฉียบไว ในหัวเจ้าหมอนี่บรรจุอะไรอยู่ ถึงได้มีความคิดบรรเจิดขนาดนี้
เสี่ยวโม่อธิบาย “คุณชายซื้อภูเขาไว้หลายลูกที่บ้านเกิด”
เซียนเว่ยซักถาม “ภูเขา? ใหญ่แค่ไหน?”
เสี่ยวโม่กล่าว “ข้าก็ไม่เคยไปบ้านเกิดของคุณชายมาก่อน ครั้งนี้ออกไปจากเมืองหลวง อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นภูเขากับตาตัวเองแล้ว”
เซียนเว่ยร้องอ้อหนึ่งที
เสี่ยวโม่ถาม “วันหน้าติดตามคุณชายบ้านข้าขึ้นเขาไปฝึกตน มีอะไรที่อยากทำไหม?”
“ต้องมีแน่อยู่แล้ว จะไม่มีได้อย่างไร”
เซียนเว่ยพูดอย่างหนักแน่น “จะต้องจับภูตจิ้งจอกผีสาวงดงามมา พาเทพสาวเข้าสู่ความฝัน ร่วมเดินทางท่องไปในแดนเซียนด้วยกัน…”
เสี่ยวโม่เริ่มเสียใจภายหลังแล้วที่ถามคำถามนี้ ฟังเซียนเว่ยพูดจ้อไม่หยุด ถึงกับถูกเจ้าหมอนี่สรุปรวม ‘สามสิบเรื่องที่หลังจากฝึกตนเป็นเซียนสำเร็จแล้วต้องทำให้จงได้’ เสี่ยวโม่ทนฟังต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงอดเตือนไม่ได้ “เซียนเว่ย เคยได้ยินคำว่าคนสูงศักดิ์มักพูดได้ช้าหรือไม่? หากดอกไม้พูดได้จะสร้างเรื่องก่อราวมากขึ้น ส่วนก้อนหินที่แม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็ทำให้คนชื่นชอบ”
เซียนเว่ยหยุดพูดอย่างขุ่นเคือง หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “ภูเขาของเฉาเซียนซืออยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ทางที่ดีที่สุดอย่าอยู่ใกล้ภูเขาพีอวิ๋นเด็ดขาดเชียว!”
เสี่ยวโม่ถาม “ทำไมล่ะ?”
“ภูเขาพีอวิ๋นมีเกียรติหยิ่งในศักดิ์ศรี เว่ยซานจวินชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็นอย่างไรล่ะ!”
เซียนเว่ยใช้กาเหล้าทุบฝ่ามือหนักๆ เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “เสี่ยวโม่ เรื่องนี้เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ? ขนาดข้ายังเคยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของเว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นเลยนะ ว่ากันว่าหนึ่งปีเขาจะต้องจัดงานเลี้ยงท่องราตรีตั้งหลายครั้ง เป็นเหตุให้พวกเซียนซือบนภูเขาเอย เทพอธิบาลเมืองเอย แล้วก็ยังมีพวกเทพวารีเทพภูเขาที่อยู่ในอาณาเขตขุนเขาเหนือต้องทุบหม้อขายเหล็ก ใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดกันแน่น ลำบากขมขื่นจนพูดไม่ออกเลยล่ะ แล้วยังมีคำบอกด้วยนะว่าหากมีแม่ไก่ตัวใหญ่เดินผ่านภูเขาพีอวิ๋นก็ต้องออกไข่อย่างน้อยฟองสองฟองก่อนถึงจะจากไปได้…”
หลายปีมานี้เซียนเว่ยเดินทางขึ้นเหนืออย่างยากลำบาก ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบนภูเขาแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง ไม่เคยไปเยือนท่าเรือตระกูลเซียนสักแห่ง ส่วนจวนเซียนบนภูเขาที่มีเมฆหมอกล้อมวนทั้งหลายก็ยิ่งไม่ต้องคิดถึง เซียนเว่ยแค่คบค้าสมาคมกับภูเขาแห้งแล้งสายน้ำแห้งขอดมาตลอดทางเท่านั้น นี่หมายความว่าคำพูดที่เขาเอ่ยมานี้ได้แต่ฟังมาจากข่าวลือในยุทธภพล่างภูเขาเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเว่ยป้อและภูเขาพีอวิ๋นจะมี ‘ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่และชื่อเสียงที่ดี’ มากแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู้ได้แล้ว
เสี่ยวโม่ได้ยินแล้วก็ค่อนข้างตกตะลึง ต่อให้คำกล่าวที่เซียนเว่ยฟังมาจากคนอื่นอีกทีนี้จะฟังดูเกินจริงไปบ้าง น่าจะมีน้ำมากกว่าเนื้อ แต่ต่อให้หักลบกันแล้วก็ยัง…ดังนั้นเสี่ยวโม่ที่ครุ่นคิดแล้วจึงรู้สึกว่าเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ตนควรต้องเตรียมของขวัญไว้แต่เนิ่นๆ แล้วล่ะ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเว่ยซานจวินวิจารณ์ว่าเป็นพวก ‘ตระหนี่ถี่เหนียว’
ช่างน่าสงสารคุณชายบ้านตนยิ่งนักที่ต้องมาเจอเพื่อนบ้านที่รับมือได้ไม่ง่ายเช่นนี้
เซียนเว่ยมองไปยังมุมหนึ่งบนถนน เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ เจ้าดูสารถีคนนั้นสิ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ฝึกยุทธที่แม้จะแก่แต่ก็ยังแข็งแรง ดูกล้ามเนื้อที่ปูดนูนอยู่บนแขนสองข้างนั่นสิ ข้าว่าหากปล่อยหมัดต่อยออกไปคงต่อยให้โต๊ะทะลุได้เลย ต่อยลงบนร่างคนแล้วจะไม่…กระอักเลือดสดได้เต็มกาเหล้ากาหนึ่งเลยหรอกหรือ? เสี่ยวโม่ แม้ว่าเจ้าจะเป็นเซียนซืออย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เดินท่องยุทธภพมาจนเคยชินอย่างข้า วันหน้าเจอกับคนประเภทนี้ต้องระวังแล้วระวังอีกเลยนะ หากเดินอ้อมหลีกทางไปได้ย่อมดีที่สุด”
ด้านข้างรถม้าคันหนึ่งมีสารถีเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ ยืนงีบหลับสองแขนกอดอก สัมผัสได้ถึงสายตาที่มาจากปากตรอกแห่งนั้น สารถีเฒ่าก็ลืมตาขึ้น มองเจ้าคนที่นั่งยองดื่มเหล้า เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเส้นเอ็นหลิวคนหนึ่ง ทว่าผู้ฝึกตนที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวกลับเหมือนผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วที่เพิ่งจะได้รับการบันทึกชื่อลงในเอกสารของกรมอาญา กลายเป็นผู้ถวายงานอันดับที่สามของต้าหลี ฉายาว่าสี่จู๋ ชื่อว่าโม่เซิง? เอาเป็นว่าเป็นคนหน้าใหม่ไม่คุ้นเคย ก่อนหน้านี้ไปเยือนเมืองหลวงกับคนผู้หนึ่ง สร้างความเคลื่อนไหวที่ไม่เล็กอยู่ที่นั่น ขอบเขตก็ไม่น่าจะต่ำเกินไปนัก
สารถีเฒ่าคิดว่าจะใช้วิชาอภินิหารมองลมปราณตรวจสอบอีกฝ่ายให้รู้ชัด ดูสิว่าจะสามารถวิเคราะห์รากฐานคร่าวๆ และตบะตื้นลึกของอีกฝ่ายได้หรือไม่
สารถีเฒ่าแค่มองไปแวบเดียว อะไรกัน?
ไม่อยากให้คนอื่นมองก็อย่าออกจากบ้านสิ
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโสลอบมองลมปราณของคนอื่นโดยพลการ แบบนี้ไม่เหมาะกับกฎเกณฑ์สักเท่าไรกระมัง”
ในบรรดากรมใต้อาณัติของสรวงสวรรค์เก่า กองงานมากมายในกรมสายฟ้าบรรพกาลมีอำนาจอย่างมาก รับผิดชอบขับไล่มหาสมุทรย้ายขุนเขา ขับเคลื่อนสี่ฤดูกาล เพิ่มลดหยินหยาง ใช้ดุลพินิจตัดสินเรื่องการถือครองสิ่งของ มีอำนาจตัดสินเป็นตาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองพิฆาตกรมสายฟ้าที่ทำหน้าที่ลงทัณฑ์ ผู้ที่ได้รับโทษทัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ละเลยหน้าที่ เซียนดินที่ทำผิดกฎหรือพวกภูตอย่างเจียวหลงที่ล่วงเกินเบื้องสูง ล้วนจะต้องถูกพิฆาตความเป็นเทพทิ้งไปก่อน จากนั้นตรวจสอบเรือนกาย ทำให้อีกฝ่ายเหลือแต่โครงกระดูก แล้วโจมตีกระเทือนศพให้ทั้งดวงจิตและเรือนกายของอีกฝ่ายสลายสิ้น
สารถีผู้เฒ่าตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันอะไรจริงๆ ด้วย
ในเมื่ออีกฝ่ายมีการป้องกันอยู่ก่อนแล้ว สารถีเฒ่าจึงไม่ได้ร่ายวิชาอภินิหารต่อไป เพียงแค่ถามชวนคุยว่า “เป็นผู้ฝึกกระบี่หรือ? มาจากไหน เป็นผู้ปกป้องมรรคาที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจัดหามาให้เฉินผิงอัน? หรือเป็นสายของสิงกวานที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังของกำแพงเมืองปราณกระบี่?”
“ข้าเป็นผู้ฝึกกระบี่จริง ส่วนจะมาจากที่ไหน ในเมื่อตอนนี้ยังไม่สนิทกับผู้อาวุโส ยิ่งไม่ใช่สหายอะไรกัน ก็ไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่างหมดเปลือก คงไม่พูดคุยกับท่านมากไปกว่านี้แล้ว”
เสี่ยวโม่ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้า “แค่จะรบกวนให้ผู้อาวุโสมีความเคารพต่อคุณชายบ้านข้าสักหน่อย ทางที่ดีที่สุดอย่าได้เรียกชื่อเขาตรงๆ จะเรียกว่าอาจารย์เฉินหรือเจ้าขุนเขาเฉิน ล้วนไม่มีปัญหา”
สารถีเฒ่าถูกหยอกจนขำ พูดจาทำให้คนฟังเสียวฟันขนาดนี้ เป็นนิสัยแย่ๆ ที่เรียนรู้มาจากใครกัน ต่อให้เป็นเจ้าเด็กน้อยแซ่เฉินผู้นั้น เวลาที่พูดคุยกับตนก็ไม่ถึงขั้นใช้ถ้อยคำจริงจังขนาดนี้กระมัง
อีกทั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนต้องลดตัวลงมาถึงเพียงนี้? ทำอะไรไม่ทำ ดันวิ่งมาเป็นสุนัขรับใช้ให้กับคนหนุ่มที่เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ คนหนึ่ง?
แต่ทุกวันนี้สารถีเฒ่าจะพูดจาหรือทำอะไรก็ล้วนระมัดระวังมากขึ้นแล้ว จึงถามหยั่งเชิงว่า “คนที่พยากรณ์ได้ของสกุลลู่ผู้นั้น ถูกเจ้าฟันจนได้รับบาดเจ็บหรือ?”
เสี่ยวโม่ถาม “ฟังจากความหมายของผู้อาวุโส คงอยากจะสนิทสนมกับข้าสินะ?”
อยากจะสนิทสนมกับผู้ฝึกกระบี่ แน่นอนว่ามีเพียงถามกระบี่กับรับกระบี่เท่านั้น
สารถีเฒ่าเกือบจะควบคุมนิสัยเจ้าอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่
เจ้าคนที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวผู้นี้ มองดูเหมือนอบอุ่นอ่อนโยน พูดจาไม่ช้าไม่เร็ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดมักทำให้คนรู้สึกว่าคนผู้นี้กวนโอ้ยยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก
เพียงแต่พอนึกถึงตอนที่อยู่ซุ้มดอกไม้ในศาลเทพอัคคีก่อนหน้านี้ เพิ่งจะถูกซิ่วไฉเฒ่าจัดการไปรอบหนึ่ง สารถีเฒ่าก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่พูดอะไรอีก หลับตาทำสมาธิของตนต่ออีกครั้ง
เสี่ยวโม่ยิ้มถาม “นิสัยของผู้อาวุโสเปลี่ยนเป็นดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
สารถีเฒ่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เสี่ยวโม่ยื่นมือมาจับประคองหมวกสีเหลือง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในอดีตตอนที่อยู่กองพิฆาตของเรือนอวี้ซู สายฟ้าตัดสลับถักทอ เป็นภาพบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจถึงเพียงใด เสียงดังสะเทือนแก้วหู ใครเห็นก็จิตใจสั่นไหว”
สารถีเฒ่าพลันลืมตาขึ้นจ้องเขม็งไปยังผู้ฝึกกระบี่ ‘หนุ่ม’ ที่พลิกเปิดปฏิทินเหลืองคนนั้น ใช้เสียงในใจตวาดถามอีกฝ่ายดังประหนึ่งฟ้าคำรณ “พูดมา! เจ้าเป็นเทพเซียนมาจากที่ใด?!”
เสี่ยวโม่คลี่ยิ้ม “ก็แค่บุคคลเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น”
ก็แค่ว่าเคยถามกระบี่กับเทพที่เป็นขุนนางหลักของหนึ่งจวนสองเรือนในกรมสายฟ้าเท่านั้น
เซียนเว่ยลุกพรวดขึ้น วิ่งปรู๊ดเข้าไปในตรอก เพียงแต่ไม่ลืมหันมาเอ่ยเตือนด้วยว่า “เสี่ยวโม่ๆ ดูเหมือนสารถีอายุมากคนนั้นจะกำลังถลึงตาใส่เจ้า อย่าตีกันนะ ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกต้องหาเงินด้วยความปรองดอง”
สารถีเฒ่าถอนหายใจ หลับตาลงอีกครั้ง
ขยับปฏิทินเหลืองเก่าแก่นั่นไม่ไหวแล้ว
ทางห้องโถงใหญ่ที่จัดงานเลี้ยงวิวาห์ของตระกูลเปียน เฉินผิงอันรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ดูเหมือนวันนี้ตนจะถูกบีบให้เป็นเจ้าบ้านของที่นี่ เป็นคนเดินไปส่งสองสามีภรรยาที่สถานะสูงศักดิ์ที่สุดในราชวงศ์ต้าหลีออกไปนอกห้องโถงใหญ่
เพียงแต่เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูมาแล้วก็หยุดเดิน ไม่มีความจำเป็นต้องไปส่งถึงถนนนอกจวน
อวี๋เหมี่ยนเปิดปากยิ้มถาม “ขอถามอาจารย์เฉิน รองเท้าผ้าคู่นี้เป็นเซียนกระบี่หนิงที่เย็บให้เองกับมือหรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มอบอุ่น ส่ายหน้าตอบ “เป็นหมัวมัวเฒ่าคนหนึ่งมอบให้ข้า”
แม้จะมีรองเท้าผ้ายี่สิบกว่าคู่ แต่ก็ต้องสวมอย่างประหยัดหน่อย ความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือเวลาฝนตกยิ่งตัดใจใส่ไม่ลง
หลังจากนั้นคนแก่และเด็ก ชายและหญิงของสองบ้านซึ่งมีเปียนเหวินเม่าเป็นหนึ่งในนั้นก็พากันเดินตามไปด้วย
ฮ่องเต้ซ่งเหอคุยเล่นกับเปียนซื่อเฉิงแห่งศาลกวงลู่ไปตลอดทาง ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนที่สีหน้าอ่อนโยนกำลังเอ่ยแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่ใหม่
หลินโส่วอียืนอยู่หน้าประตูเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ยังเป็นเหมือนเดิมหรือ? เจอหน้าท่านพ่อเจ้าแล้วไม่มีเรื่องให้พูดคุยกัน?”
หลินโส่วอีพยักหน้า “ชินไปแล้วก็ดีเอง”
ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก
ทุกครั้งที่พ่อลูกเจอหน้ากัน ส่วนใหญ่แล้วจะคุยกันไม่เกินสามประโยคเท่านั้น
มีแค่ครั้งเดียวที่เป็นข้อยกเว้น คือตอนที่หลินโส่วอีกำลังจะไปเป็นคนเฝ้าศาลของลำน้ำใหญ่ บิดาที่ใช้เวลาเกินครึ่งชีวิตอยู่ในที่ว่าการคนนั้นถึงได้พูดมากหลายประโยคหน่อย
อันที่จริงเฉินผิงอันเลื่อมใสหลินโส่วอีมาโดยตลอด
ต่อให้จะเจอกับผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอย่างสมชื่อมามากมาย แต่ก็ยังรู้สึกว่าจิตแห่งมรรคาที่ใสสะอาดของหลินโส่วอีไม่แพ้ให้กับผู้ใด
ปีนั้นคนทั้งกลุ่มเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ เฉินผิงอันสวมรองเท้าสาน ตรงเอวห้อยมีดผ่าฟืน รับผิดชอบคอยเปิดทางและเฝ้ายามตอนกลางคืน
เป่าผิงน้อยไร้เดียงสาน่ารัก มีความคิดและจินตนาการประหลาดหลากหลาย
ชุยตงซานในเวลานั้นทำตัวพิลึกพิลั่นไร้แก่นสาร
หลินโส่วอีจริงจัง อวี๋ลู่ผ่อนคลาย เซี่ยเซี่ยยึดมั่นถือมั่น
ส่วนหลี่ไหว…ทำตัวสบายๆ ถึงอย่างไรก็เก่งแต่ในโปงผ้าห่มอยู่แล้ว
จูเหอมีนิสัยหนักแน่น จูลู่วางอำนาจเอาแต่ใจ
แน่นอนว่ายังมีอาเหลียงที่เฉินผิงอันในเวลานั้นเคยสงสัยว่าเขาจะ ‘เอาชนะจูเหอได้หรือไม่’ อยู่ด้วย
นี่ก็คือการออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งแรกของเฉินผิงอัน
ตอนที่หวนกลับมายังบ้านเกิด ข้างกายมีเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกับเด็กชายชุดเขียวเพิ่มมา อีกทั้งตอนที่อยู่บนสะพานไม้ริมหน้าผาท่ามกลางค่ำคืนของลมหิมะยังได้เจอกับป๋ายเจ๋อและชิงอิงภูตจิ้งจอกด้วย
สือเจียชุนเป็นคนแรกที่กลับมาที่นี่ นางยกชายกระโปรงวิ่งห้อกลับมา เขย่งปลายเท้าตบไหล่เฉินผิงอันอย่างแรง “มีชีวิตใช้ได้เลยนี่นา ร่ำรวยเก่งกาจใหญ่แล้ว!”
แม้จะไม่รู้ว่าวันนี้ฮ่องเต้มาพูดคุยกับเฉินผิงอันด้วยเรื่องอะไร แต่สือเจียชุนฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่ยังไม่ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนก็สามารถดีดลูกคิดช่วยที่ร้านของทางบ้านคิดบัญชีได้แล้ว
ผู้ฝึกตนบนภูเขาคนหนึ่งที่สามารถทำให้ฮ่องเต้เป็นฝ่ายประสานมือคารวะได้
คนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายฮ่องเต้ต้าหลีแล้วยังกล้ายกขานั่งไขว่ห้าง
นี่เป็นเรื่องที่มิอาจจินตนาการได้แล้ว
ในบรรดาคนวัยเดียวกันของเมืองเล็ก คนที่เป็นเทพเซียนบนภูเขาก็มีหลินโส่วอี รวมไปถึงหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่ต่างก็ร้ายกาจกันอย่างมาก
คนที่เป็นขุนนางแล้วได้ดิบได้ดีที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นจ้าวเหยารองเจ้ากรมแห่งกรมอาญาผู้สูงศักดิ์
คนที่ทำการค้าต้องเป็นต่งสุ่ยจิ่ง ไม่อย่างนั้นจะทำการค้าไปพร้อมกับเป็นสหายกับลูกหลานของตระกูลเสาค้ำยันแคว้นอย่างเฉาเกิงซิน หยวนเจิ้งติ้งได้หรือ?
ก่อนหน้านี้สือเจียชุนแค่เห็นเฉินผิงอันเป็นเศรษฐีบ้านนอกบนภูเขาเท่านั้น อย่างมากสุดก็แค่พอๆ กับต่งสุ่ยจิ่ง
แต่ในเมื่อเป็นสหาย หากเขามีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองได้มากเท่าไรก็ย่อมดีมากเท่านั้น
เปียนเหวินเม่าตกใจอกสั่นขวัญผวากับการกระทำไร้ความเคารพของภรรยาตัวเองจนหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็แค่พอได้”
หลินโส่วอีพูดขัดคอ “แค่พอได้? เจ้าขุนเขาเฉินจะไม่ให้ข้ามีที่ยืนเลยหรือ?”
สือเจียชุนพูดอย่างผึ่งผายว่า “หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ ปีนั้นข้าน่าจะขึ้นราคาร้านสองร้านในตรอกฉีหลงของบ้านข้าอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว ขายถูกเกินไปแล้วจริงๆ”
เปียนเหวินเม่ากระตุกชายแขนเสื้อของภรรยา
อยู่กับอาจารย์เฉิน ไม่ควรไร้มารยาทเช่นนี้
เฉินผิงอันมองเปียนเหวินเม่า ยิ้มอธิบายว่า “เปียนซื่อเฉิง คราวก่อนที่สือเจียชุนกลับบ้านเกิด ข้าเดินทางอยู่ข้างนอกพอดี ไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิด จึงคลาดกับพวกเจ้าไป ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็เพิ่งได้มาเยือนเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ดังนั้นจนถึงวันนี้ถึงได้เพิ่งพบหน้ากัน ขออย่าได้ถือสา ปีนั้นข้าซื้อร้านยาสุ้ยและร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลงมาในราคาต่ำจริงๆ น้ำใจส่วนนี้นับว่าใหญ่หลวงมากแล้ว”