กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 889.5 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด
หลิวจ้งรุ่นประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดจู่ๆ ถึงใจกล้าขึ้นมากะทันหัน หลายปีมาแล้วที่ภูตน้ำน้อยน่ารักซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ภูเขาฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วคนนี้อยู่บนภูเขาลั่วพั่วตลอด อย่างมากสุดก็แค่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูอยู่ที่หน้าประตูภูเขา จะไม่ออกจากบ้านไปข้างนอกเด็ดขาด
อย่างวันนี้ที่มาภูเขาหนิวเจี่ยว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นข้อยกเว้นมากแล้ว
แต่หลิวจ้งรุ่นก็ยังยิ้มตอบตกลง
นางทะยานลมไปจากท่าเรือ
ปีนั้นไปงมเรือมังกรออกมาพร้อมกับตำหนักวารี เรือมังกรได้ถูกภูเขาลั่วพั่วยกให้กับกองทัพชายแดนต้าหลียืมโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า รอกระทั่งราชสำนักมอบเรือมังกรกลับคืนมาแล้ว สภาพก็ผุพังแทบไม่เหลือดี ส่วนเงินค่าซ่อมแซมที่ชวนให้คนอ้าปากค้างก้อนนั้นก็ถึงกับสูงกว่าราคาของตัวเรือมังกร ‘ฟ่านโม่’ ไปอีก ตอนที่ทั้งสองฝ่ายมารับเรือข้ามฟาก จูเหลี่ยนของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ภายหลังเรือมังกรได้ถูกชุยตงซานย้ายไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัว ซ่อมแซมจนกลับมาเป็นเหมือนใหม่
หลิวจ้งรุ่นรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลเรือมังกรฟานโม่มาตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าหน้าที่ชั่วคราวนี้ของนางจะทำมานานหลายปีแล้ว
การออกจากบ้านไปหาประสบการณ์ของลูกศิษย์บางส่วน อันที่จริงก็ล้วนอยู่บนเรือข้ามฟากลำนั้นทั้งสิ้น แต่ภูเขาลั่วพั่วก็ถือว่าทำอะไรมีคุณธรรม เพราะมีส่วนแบ่งให้ทุกปี
มอบผลหลีตอบแทนผลท้อ ภูเขาลั่วพั่วเป็นฝ่ายยกพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มีชะตาน้ำเข้มข้นสองแห่งในพื้นที่มงคลรากบัวซึ่งเลื่อนระดับไปถึงคอขวดพื้นที่มงคลระดับสูงมาให้ ให้ผู้ฝึกตนหญิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของเกาะจูไชห้าคนที่อยู่ที่นั่นใช้ฝึกตน หรือไม่ก็ปิดด่าน ต่างตนต่างหาโชควาสนาในการฝ่าทะลุขอบเขตกันเอาเอง สถานที่แห่งหนึ่งคือตำหนักวารีหนันซวินส่วนหนึ่งที่เสิ่นหลินหลิงหยวนกงแห่งลำน้ำจี๋ตู๋ของอุตรกุรุทวีปมอบให้กับภูเขาลั่วพั่ว และยังมีธารน้ำอีกเส้นหนึ่งที่หลี่หยวนหลงถิงโหวเป็นผู้มอบให้
ในอดีตหลังจากที่เกาะจูไชย้ายออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้ครอบครองภูเขาลูกหนึ่งของที่แห่งนี้ แม้จะบอกว่าเช่าจากภูเขาลั่วพั่ว อาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ามาพึ่งอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น แต่ก็ยังดีที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะสงบสุขปลอดภัย ปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำเปี่ยมล้น แล้วก็ไม่มีความขัดแย้งจากการปัดแข้งปัดขากันระหว่างเพื่อนบ้านบนภูเขา เป็นชีวิตที่สงบมั่นคงอย่างมาก แค่ต้องแบ่งส่วนแบ่งให้กับภูเขาลั่วพั่วก็พอ ผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไชแค่ตั้งใจฝึกตนอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเรื่องเดียวที่หลิวจ้งรุ่นต้องใส่ใจก็คือ พยายามป้องกัน ‘อวี๋หมี่’ ในอดีต หมี่อวี้ในภายหลังผู้นั้นให้ดี
ก่อนหน้านี้อวี๋หมี่ติดตามหน่วนซู่เอาของขวัญวันปีใหม่มาให้ที่ภูเขาหลังอ๋าว อีกทั้งตัวเขาเองยังเคยโดยสารเรือมังกรอยู่หลายครั้ง
ที่น่าโมโหที่สุดล้วนไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นอวี๋หมี่คนนั้นที่จงใจห่างเหินกับผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไช แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าอวี๋หมี่ไร้ใจ ทว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ของหลิวจ้งรุ่นกลับมีเจตนา แต่ละคนละเมอเพ้อฝันถึงหมี่อวี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวตนที่แท้จริงของหมี่อวี้เป็นดั่งน้ำลดหินผุด ถึงกับเป็นเซียนกระบี่ที่ฉายประกายเจิดจ้าในสนามรบของนครมังกรเฒ่า ฆ่าศัตรูราวกับผักปลา อีกทั้งกุญแจสำคัญก็คือ หมี่อวี้ถึงกับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าแห่งนั้น!
ไปๆ มาๆ พวกคนลุ่มหลงในรักของเกาะจูไชจึงมีมากกว่าเดิม พอพูดถึงเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ สองตาก็ฉายประกายเจิดจ้า มักจะต้องหาโอกาสไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วให้จงได้ ทำเอาหลิวจ้งรุ่นโมโหไม่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาทำงานอยู่บนเรือข้ามฟากอย่างเรือมังกร พวกนางจะไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจได้หรือ?
หมี่ลี่น้อยกลับไปที่ราวรั้วต่ออีกครั้ง รอคอยเรือข้ามฟากลำนั้นตาปริบๆ
แล้วทันใดนั้นก็พลันเห็นเรือข้ามฟากขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาอยู่ตรงขอบฟ้า
ใบหน้าของหมี่ลี่น้อยเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี ตะโกนอย่างลิงโลด “จิ่งชิง จิ่งชิง ศักดิ์สิทธิ์แล้วๆ!”
อันที่จริงนี่อยู่ห่างจากตอนที่เฉินหลิงจวินร่ายคาถาเซียนมานานพักใหญ่แล้ว
เฉินหลิงจวินนั่งอยู่บนราวรั้ว แต่กลับไม่รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะแม้แต่น้อย กลับกันยังหัวเราะฮ่าๆ
เฉินผิงอันร่ายร่างวารีเมฆาออกมาจากเรือข้ามฟากก่อน พริบตาเดียวก็มาถึงที่ราวรั้วของท่าเรือ ยื่นมือมากดศีรษะของเด็กชายชุดเขียว ยิ้มถาม “มีเรื่องอะไรน่าขำขนาดนี้?”
เฉินหลิงจวินยกมือเช็ดหน้า “ในที่สุดนายท่านก็กลับบ้านแล้ว ข้าดีใจจนเกือบจะน้ำตาไหลเลยนะ”
ป๋ายเสวียนที่หัวโนกลอกตามองบนต่ออีกครั้ง
คิดถึงเรื่องเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ป๋ายเสวียนก็กระโดดลงจากราวรั้วแล้วเริ่มฟ้อง อยู่ข้างนอกไม่สะดวกจะเรียกอีกฝ่ายว่าใต้เท้าอิ่นกวานจึงใช้คำเรียกขานว่าเจ้าขุนเขาแทน “เจ้าขุนเขา หากท่านยังไม่มาอีก พวกเราคงต้องถูกหลอกเอาตัวไปหมดแล้ว เจ้าขุนเขาท่านไม่รู้อะไร ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋ผู้นั้นทำเกินกว่าเหตุยิ่งนัก จะต้องไปเยือนที่หอบูชากระบี่ทุกวัน ทำหน้าหนาพูดจาเสียไพเราะว่าต้องการชี้แนะเวทกระบี่ให้กับพวกเราเก้าคน โดยเฉพาะสายตาที่เขามองข้า อย่าว่าแต่ลูกศิษย์ที่ยังไม่รับเข้าสำนักเลย แทบไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ ที่พลัดพรากจากเขาไปนานหลายปีแล้ว มองจนข้าขนลุกไปหมด เจ้าขุนเขา พูดจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าข้านินทาคนอื่นลับหลัง แต่ตบะน้อยนิดของตาเฒ่าอวี๋ผู้นั้นมิอาจเป็นอาจารย์ของข้าได้จริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่สายตาสูงที่สุด แต่ขอบเขตล่ะสูงด้วยไหม?”
ป๋ายเสวียนยกสองแขนกอดอก “มีอะไรก็พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้พูดเหลวไหล เทียบกับเจ้าขุนเขาแล้วยังอยู่ห่างชั้นไกลนัก เทียบกับพวกเจ้าอ้วนเฉิงแล้วกลับมากพอเหลือแหล่ ผ่านไปอีกสามปีห้าปี ไม่พูดถึงนังหนูซุนชุนหวังผู้นั้น ข้าคนเดียวก็สามารถสู้กับคนเจ็ดคนได้เลยล่ะ”
รอกระทั่งป๋ายเสวียนได้เห็นหนิงเหยาก็ถึงกับขยี้ตา ไม่ได้ตาฝาด เป็นหนิงเหยาจริงๆ ด้วย!
ป๋ายเสวียนรีบหุบปากแต่โดยดี
เหยาเสี่ยวเหยียนกับน่าหลันอวี้เตี๋ย นังหนูสองคนนี้ คาดว่าต้องเป็นบ้ากันแน่
โดยเฉพาะซุนชุนหวังผู้นั้น เวลาปกติเจอใครก็ชอบทำหน้าเมื่อยแววตาเหมือนปลาตาย แต่เห็นหนิงเหยาจะไม่รีบโขกหัวขอกราบอาจารย์ทันทีเลยหรือ?
ป๋ายเสวียนรู้ว่านังหนูน้อยซุนชุนหวังเย่อหยิ่งอย่างมาก ต่อให้ถูกใต้เท้าอิ่นกวานพามาที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่ใจก็ยังอยากแต่จะไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ไปอยู่นครบินทะยานเท่านั้น อยากจะเรียนเวทกระบี่กับแค่หนิงเหยา ไม่อย่างนั้นแม่นางน้อยที่ดื้อดึงก็ยอมให้ไม่มีผู้ถ่ายทอดมรรคา ไม่มีอาจารย์อะไรเลยยังจะดีเสียกว่า
เฮ้อ ยังเป็นเพราะอายุน้อยไม่รู้ความนั่นแหละ
หนิงเหยาใช่คนที่จะรับลูกศิษย์ส่งเดชหรือ?
อีกอย่างเซียนกระบี่หนิงเป็นใคร? นางเป็นคนรักของใต้เท้าอิ่นกวานพวกเรานะ
เจ้ากับใต้เท้าอิ่นกวานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อาจารย์อย่างเซียนกระบี่หนิงจะหนีไปไหนได้อีก?
จะว่าไปแล้วก็เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นแม่นางน้อย สมองจึงไม่เฉียบไวมากพอ
หลังจากที่เรือข้ามฟากจอดเทียบท่า พวกหนิงเหยาก็เดินมาที่นี่
เซียนเว่ยเหลียวซ้ายแลขวา ไม่รู้ว่าภูเขาของเฉาเซียนซืออยู่ที่ไหน
“ฮูหยินเจ้าขุนเขา!”
หมี่ลี่น้อยเขินอายเล็กน้อย อยากจะมอบเมล็ดแตงให้ แต่ก็ไม่กล้ายื่นไป
จะเรียกพี่หญิงหนิงก็ไม่ได้ หากเผยเฉียนรู้เข้าต้องถูกจดลงสมุดบัญชีเล่มเล็กอีกแน่
หนิงเหยายิ้มพลางยื่นมือออกมา
หมี่ลี่น้อยอารมณ์ดีเหมือนมีบุปผาผลิบานในใจ รีบยื่นเมล็ดแตงกำหนึ่งส่งไปให้
เสี่ยวโม่หยิบถุงผ้าฝ้ายหนักอึ้งใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านในบรรจุเมล็ดแตงทองไว้จนเต็ม
เสี่ยวโม่ทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าชื่อเสี่ยวโม่ เป็นองค์รักษ์ของคุณชาย นี่คือของขวัญพบหน้า ของขวัญเบาไป ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่าได้รังเกียจ”
โจวหมี่ลี่อึ้งตะลึง คิ้วบางสีเหลืองอ่อนจางสองข้างขมวดเข้าหากัน แค่พบหน้าก็มอบของขวัญให้แล้วหรือ?
นางรีบเงยหน้ามองเจ้าขุนเขาคนดี
เฉินผิงอันพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “รับไว้เถอะ ไม่ต้องเกรงใจเสี่ยวโม่ เขาน่ะคือกุมารแจกทรัพย์”
จากนั้นเฉินผิงอันก็กระซิบเบาๆ ว่า “เป็นเมล็ดแตงทองหนึ่งถุง เมล็ดแตงทองที่ทำมาจากทองน่ะ”
อะไรนะ? เมล็ดแตงทอง? แล้วยังบอกว่าของขวัญเบาอีกหรือ?
ของขวัญไม่เบา น้ำใจยิ่งหนักราวกับขุนเขา!
เหตุใดใต้หล้าถึงได้มีคนดีอย่างอาจารย์เสี่ยวโม่โผล่มากะทันหันได้นะ
อาจารย์เสี่ยวโม่ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรือ? ทำไมถึงได้รู้ว่าขนาดตอนฝันตนก็ยังต้องการเมล็ดแตงทองหนึ่งถุง?!
แม่นางน้อยชุดดำกอดคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวไว้ในอ้อมอก ประสานมือคารวะขอบคุณด้วยท่าทางชวนขัน จากนั้นค่อยใช้สองมือรับถุงมา หมี่ลี่น้อยงอเข่าลงทันใด หัวเราะฮ่าๆ “อาจารย์เสี่ยวโม่ ถุงนี้หนักจนน่าตกใจยิ่งนัก ข้าเกือบจะถือไม่ไหวทำหล่นลงพื้นแล้วนะ”
เสี่ยวโม่ยิ้มจนตาหยี สีหน้าอ่อนโยน รอกระทั่งหมี่ลี่น้อยรับถุงไปถึงได้ยืดตัวลุกขึ้นช้าๆ
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย “รีบเก็บไปเร็วเข้า”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างแรง กว่าจะเอาถุงใบนั้นใส่ไว้ในถุงผ้าฝ้ายที่รักได้เรียบร้อยไม่ใช่เรื่องง่าย
เสี่ยวโม่มอบชุดคลุมอาคมให้กับเฉินหลิงจวินและป๋ายเสวียนอีกคนละตัว
เฉินหลิงจวินพยักหน้า รับชุดคลุมอาคมตัวนั้นมา เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ ในใจคิดว่าพี่น้องเสี่ยวโม่คนนี้ค่อนข้างจะมีคุณธรรมแล้ว
ป๋ายเสวียนเอาอย่าง เสี่ยวโม่ผู้นี้ นับแต่บัดนี้ไปก็คือตัวเลือกตัวสำรองที่จะมาตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองกับตนแล้ว
ผลคือทั้งสองคนพบว่าเฉินผิงอันมองมา พวกเขาก็รีบกุมหมัดเขย่าหนักๆ คารวะเสี่ยวโม่เหมือนคนที่แค่พบหน้าก็ถูกชะตากันมานาน วันหน้าก็เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องได้แล้ว
หมี่ลี่น้อยมองนักพรตหนุ่มคนนั้นแล้วกะพริบตาปริบๆ นางกำลังรอให้เจ้าขุนเขาคนดีแนะนำอยู่นะ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยแนะนำ “เซียนเว่ย เซียนจากคำว่าเซียนเหริน เว่ยจากคำว่าตูเว่ย วันหน้าจะฝึกตนอยู่บนภูเขาของพวกเรา ถือว่าเป็นเค่อชิงคนหนึ่ง”
เดิมทีอยากบอกว่าเซียนเว่ยไม่ใช่นักพรตตัวจริง
เพียงแต่เฉินผิงอันตระหนักได้ทันทีว่าประโยคนี้ ไม่เหมาะสม
หากเขาไม่ใช่ ‘นักพรต’ ตัวจริง แล้วใครใช่?
เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ “นักพรตเซียนเว่ย บังเอิญยิ่งนัก ข้ารู้จักสหายที่เป็นนักพรตอยู่หลายคนเลยล่ะ”
มรรคาจารย์เต๋า! เจ้าอารามผู้เฒ่า! พี่ใหญ่เจี่ยที่ตรอกฉีหลง แล้วยังมี…จางซานเฟิงที่มาจากยอดเขาพาตี้ด้วย!
มีนายท่านอยู่ข้างกาย พูดจาเสียงแข็งได้มากกว่าปกติ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะมีความเป็นมาเช่นไร
เซียนเว่ยระมัดระวังตัวอยู่บ้าง เค้นรอยยิ้มที่ดูฝืดฝืนอย่างเห็นได้ชัดออกมา
มักรู้สึกว่าเด็กสองคนนี้ พูดจาเหมือนคนแก่ก็ยังไม่เท่าไร แต่ดูท่าแล้วสมองจะไม่ค่อย…สมประดีนัก
หมี่ลี่น้อยทำหน้าที่เป็นเทพรายงานข่าวอย่างเต็มความสามารถ พูดเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องน่าสนใจในอาณาเขตหลงโจวช่วงที่ผ่านมาให้เฉินผิงอันฟัง ยกตัวอย่างเช่นที่ภูเขาคุ่นลู่ ได้ยินมาว่ามียอดฝีมือที่ชอบเฝ้ามองกวางอยู่ใต้ร่มเงาต้นสนมาเพิ่มมากขึ้น พูดจาลี้ลับ อะไรที่บอกว่าโคมเขียวรวบผมเข้าตำหนักซ่างหยาง ผมขาวกลับมาเป็นคนเจินหยวนอีกครั้ง แล้วยังบอกด้วยว่ายากจนจนปีนี้ไร้แสงจันทร์ให้มอง อยู่ต่อที่ภูเขาแห่งนี้ไม่คิดกลับคืน
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง เพราะพอจะรู้รากฐานของอีกฝ่ายคร่าวๆ แล้ว ในความเป็นจริงแล้ววันนี้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตก เฉินผิงอันก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าเป็นมาอย่างไร
ราวกับว่ารอกระทั่งชื่อเสียงของภูเขาลั่วพั่วเลื่องลือขึ้นมา ภูเขาในบริเวณใกล้เคียงก็มียอดฝีมือนอกโลกที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเซียนเพิ่มมามากมายกะทันหัน
หมี่ลี่น้อยยังบอกอีกว่าอาหมานในทุกวันนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง กลายมาเป็นลูกพี่ใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงของตรอกฉีหลง ตีกับห่านขาวและแม่ไก่พร้อมกัน ทุกวันนี้ที่ร้านยาสุ้ยก็เลยมีลูกขนไก่ ลูกขนห่านเพิ่มมาอีกกองใหญ่
เฉินผิงอันไม่ได้ตรงไปที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่เรียกเรือยันต์ลำหนึ่งออกมา คิดจะไปที่หอบูชากระบี่ก่อน
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่ใช้นามแฝงว่าอวี๋เต้าเสวียน ทุกวันนี้เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเลือกตัวอ่อนเซียนกระบี่ไว้สองคนก็คือเฮ้อเซียงถิงและอวี๋ชิงจาง
อีกทั้งเด็กสองคนนี้ก็ตั้งใจจะออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว ติดตามอวี๋เยว่ออกไปฝึกตนข้างนอก
อันที่จริงอวี๋เยว่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดพวกเขาถึงปล่อยใต้เท้าอิ่นกวานไปไม่ยอมรับอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ ต่อให้รับเป็นอาจารย์ปู่ก็ยังดีกว่ามีอาจารย์เป็นตนกระมัง?
เพียงแต่ว่าขนมเปี๊ยะที่หล่นลงมาจากฟ้าก็ไม่ควรจะโยนไปไว้นอกประตู อีกอย่างอวี๋เยว่เองก็มีความมั่นใจอยู่ไม่มากก็น้อย จะดีจะชั่วตนก็เป็นถึงขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง คิดจะรับลูกศิษย์จริงๆ ก็ไม่ถึงขั้นเหยียบย่ำพรสวรรค์อันดีของตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งสองเป็นแน่ อวี๋เยว่ย่อมต้องตั้งใจถ่ายทอดมรรคา ทุ่มเทความรู้ด้านเวทกระบี่ทั้งหมดที่มีอย่างไม่มีกั๊กไว้
วันนี้อยู่ในกระท่อมแห่งหนึ่งที่หอบูชากระบี่ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ามองเด็กสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “หนึ่งเพราะสถานะอาจารย์และศิษย์ของพวกเราทั้งสามจะสำเร็จหรือไม่ ยังต้องดูที่ท่าทีของเจ้าขุนเขาเฉิน ต้องให้เขาเป็นคนพยักหน้าตอบตกลง สองเพราะต่อให้เจ้าขุนเขาเฉินจะยอมตอบตกลงไม่มีปัญหาอะไร ก่อนที่พวกเราจะออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว อย่างไรก็ควรต้องบอกกล่าวกันก่อนแล้วค่อยจากไป นี่คือมารยาท เชื่อว่าไม่ว่าขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่และของใต้หล้าไพศาลจะต่างกันอย่างไร หลักการเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ก็น่าจะเหมือนกัน เซียงถิง ชิงจาง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หากไปเจอผูเหอก็ถือว่ากอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
หมี่อวี้ยกสองแขนกอดอก เอนพิงกรอบประตู มองมาด้วยสายตาเย็นชา
ในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนที่ใต้เท้าอิ่นกวานนำกลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ สองคนที่คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ ฐานกระดูกและนิสัยดีเยี่ยมที่สุดก็คือแม่นางน้อยซุนชุนหวังที่ไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุยและป๋ายเสวียนที่เพิ่งจะมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็ถามหมัดกับเผยเฉียนไปแล้วสองครั้ง
ต่อมาก็เป็นอวี๋ชิงจางแล้ว
ส่วนเด็กที่เหลืออีกหลายคน หากไม่พูดถึงระดับขั้นของกระบี่บินและจำนวนว่ามากหรือน้อย พูดถึงแค่คุณสมบัติในการฝึกกระบี่และนิสัยใจคอ อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร
เหยาเสี่ยวเหยียนอาจเป็นคนที่แย่ที่สุด นิสัยนุ่มนิ่มบอบบางเกินไป แต่ก็ต้านทานกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีจำนวนมากของแม่นางน้อยไม่อยู่ มากถึงสามเล่มเชียวนะ
แต่ในสายตาของหมี่อวี้ แม่หนูน้อยเหยาเสี่ยวเหยียนผู้นี้ก็ช่างโชคดีจริงๆ อีกทั้งยังไม่ได้โชคดีธรรมดาด้วย
เหตุผลก็เรียบง่ายมาก หากอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผ่านไปอีกไม่กี่สิบปี อย่างมากสุดคือยี่สิบปี เหยาเสี่ยวเหยียนก็จำเป็นต้องออกจากเมืองไปเข่นฆ่าศัตรูแล้ว
หมี่อวี้มั่นใจเลยว่า ผู้ฝึกกระบี่อย่างเหยาเสี่ยวเหยียน ไปถึงสนามรบแล้วต้องตายแน่นอน ไม่ใช่นางตายก็เป็นผู้ปกป้องมรรคาที่ถูกนางทำให้เดือดร้อนจนตายไป
ด้วยนิสัยใจคอของเหยาเสี่ยวเหยียน ต่อให้ตัวเองโชคดีรอดออกมาจากสนามรบได้หนึ่งครั้ง อย่างมากสุดคือสองครั้ง จิตแห่งกระบี่ของนางก็จะเกิดปัญหาใหญ่
ทว่ามาอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล เหยาเสี่ยวเหยียนสามารถฝึกตนอย่างมั่นคงไปตามลำดับขั้นตอน กลายเป็นห้าขอบเขตกลางก่อนแล้วค่อยเลื่อนเป็นเซียนดิน อย่างมากสุดก็รอให้ถึงขอบเขตก่อกำเนิดก่อนแล้วค่อยลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์
อันที่จริงเวลานี้หมี่อวี้รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
เดิมทีเด็กๆ พวกนี้ ชุยตงซานได้วางแผนไว้ให้พวกเขาแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเซียนกระบี่เฒ่าจากธวัลทวีปขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า
ยกตัวอย่างเช่นอวี๋ชิงจาง ชุยตงซานก็เคยคิดจะรับเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเอง เฮ้อเซียงถิงที่ชอบอ่านตำราจะมอบให้อาจารย์จ้งรับเป็นลูกศิษย์ แม้ว่าจ้งชิวจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่ใครบอกว่ามีเพียงเซียนกระบี่ถึงจะถ่ายทอดมรรคาได้เล่า?
แต่ก็เพราะเซียนกระบี่เฒ่าอวี๋ผู้นี้ที่ยื่นขามาแทรก มีความเป็นไปได้มากว่าจะพาอวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงไป เป็นเหตุให้แผนการอันยาวไกลที่ชุยตงซานวางไว้ถูกทำลายให้วุ่นวาย
หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่อวี๋เยว่เป็นผู้ถวายงานบ้านตน เวลาปกติไม่ว่าเจอใครในภูเขาลั่วพั่วก็ปรองดองเป็นมิตร ไม่ยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้ ไม่อย่างนั้นหมี่อวี้ต้องประลองฝีมือกับเซียนกระบี่เฒ่าผู้นี้สักครั้งแน่นอน