กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 889.6 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด
หนึ่งในนั้นคือการเลือกของสุยโย่วเปียนที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เพราะเป็นฝ่ายเลือกเจ้าอ้วนน้อยที่ชอบทำกับข้าวอย่างเฉิงเฉาลู่ กลายเป็นอาจารย์และศิษย์ก่อนใครคู่แรก แค่รอให้เจ้าขุนเขากลับมาที่บ้านเกิดก็จะเพิ่มชื่อลงไปบนทำเนียบของศาลบรรพจารย์แล้ว
ตอนนั้นเฉิงเฉาลู่อึ้งตะลึง ไม่รู้ว่าเหตุใดสุยโย่วเปียนถึงรับตนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ผลคืออาจารย์ในอนาคตแค่เอ่ยประโยคเดียว ซึ่งเป็นประโยคที่ตรงใจของเด็กชาย
‘อายุไม่มาก ออกหมัดอำมหิตมากพอ วันหน้าได้ทั้งฝึกกระบี่และฝึกวรยุทธ’
เฉิงเฉาลู่พลันรู้สึกว่าตนต้องรับคนผู้นี้เป็นอาจารย์จริงๆ
ชมเขาว่าอะไรล้วนไม่มีความหมาย ถึงอย่างไรตนเป็นอย่างไรจะยังไม่รู้ตัวเองอีกหรือ? แต่ชมเขาว่ามีคุณสมบัติในการฝึกวรยุทธ เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร?
ดังนั้นทุกวันนี้เฉิงเฉาลู่จึงออกจากหอบูชากระบี่ติดตามสุยโย่วเปียนโดยสารเรือเฟิงยวนเดินทางไปที่ใบถงทวีปแล้ว
ต่อมาก็เป็นผู้คุมกฎฉางมิ่งที่ถูกใจเจ้าตัวน้อยโลภมากอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ย ทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันอย่างมาก
ชุยตงซานตั้งใจให้หมี่อวี้รับเหอกูเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ผลกลายเป็นว่าเซียนกระบี่ใหญ่หมี่กับเจ้าเด็กตัวเท่าก้นผู้นี้ต่างก็ไม่ชอบขี้หน้ากัน
แต่เมื่อเทียบกับว่าที่อาจารย์และศิษย์อย่างชุยเหวยและอวี๋เสียหุยที่ชุยตงซาน ‘ชี้ขาด’ เลือกจับคู่ให้แล้วกลับยังดีกว่าหลายส่วน เพราะให้ตายอวี๋เสียหุยก็ไม่ยอมติดตามชุยเหวยจากไป
อันที่จริงชุยเหวยที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด เวทกระบี่ไม่ถือว่าต่ำ สุยโย่วเปียนก็เพิ่งจะเป็นก่อกำเนิดไม่ใช่หรือ? อีกทั้งเวทกระบี่ของชุยเหวยยังซับซ้อนหลากหลาย พลังพิฆาตไม่อ่อนด้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเชี่ยวชาญการอำพรางกายด้วย
แต่อวี๋เสียหุยกลับดูแคลนผู้ฝึกกระบี่ที่พอข้าศึกบุกประชิดเมืองกลับหนีออกจากบ้านเกิดผู้นี้ จะให้กราบเขาเป็นอาจารย์ขอเรียนวิชา? ข้าไม่อยากขายหน้าหรอกนะ
คนทั้งกลุ่มมาที่หอบูชากระบี่ เฉินผิงอันเก็บเรือยันต์ กุมหมัดเอ่ยขออภัยอวี๋เยว่ “ให้ผู้ถวายงานอวี๋รอนานแล้ว”
รอนาน?
อวี๋เยว่มึนงงไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่วันเองกระมัง แต่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ยังกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “ที่ไหนกัน ภูเขาแห่งนี้กว้างใหญ่งดงาม ข้าเริ่มตัดใจจากไปไม่ได้แล้วน่ะสิ”
เฉินผิงอันเพิ่งจะรู้สึกตัวอย่างเชื่องช้าว่าตัวเองพูดผิดไป
เป็นเพราะว่าหลายวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากเกินไปจริงๆ ตนถึงได้รู้สึกเหมือนภาพลวงตาเช่นนี้
หมี่อวี้หัวเราะร่า “ตัดใจจากไปไม่ได้ก็อยู่ต่อซะสิ ใครกล้าไล่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าอวี๋ไป ดูสิว่าข้าจะตอบตกลงด้วยหรือไม่?”
อวี๋เยว่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย
อย่าเห็นว่าในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ บารมีอำนาจของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่…ไม่ค่อยสูงเท่าใดนัก
ทว่าผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นหลายคนต่างก็เคยเจอกับความยากลำบากไม่น้อยด้วยน้ำมือของหมี่อวี้
หนึ่งในนั้นก็มีผูเหอสหายเฒ่าของอวี๋เยว่ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยแย่ๆ ที่ปากเต็มไปด้วยอาจมของตาเฒ่าผูจะยินดีเอ่ยคำพูดที่คล้ายกับคำพูดดีๆ แทนหมี่อวี้บนโต๊ะเหล้าว่า ‘หมี่ผ่าเอวพลังพิฆาตไม่เบา’ หรือ? แม้ว่าอวี๋เยว่จะไม่รู้เรื่องวงในที่แน่ชัด แต่แค่ใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่าตาเฒ่าผูต้องเคยถูกหมี่อวี้ฟันมาก่อนแน่นอน
ใต้เท้าอิ่นกวานเหล่ตามองเซียนกระบี่ใหญ่หมี่
หมี่อวี้รีบคลี่ยิ้มให้อวี๋เยว่ทันใด “ผู้ถวายงานอวี๋ คนครอบครัวเดียวไม่พูดจาเป็นอื่น อย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลยนะ”
อวี๋เยว่ยิ้มเอ่ยอย่างสง่างาม “ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกัน เซียนกระบี่หมี่คิดมากแล้ว”
หมี่อวี้นินทาในใจไม่หยุด เจ้าน่ะสิถึงจะเป็นเซียนกระบี่ บ้านเจ้าทั้งบ้านนั่นแหละที่เป็นเซียนกระบี่
ไม่ใช่ว่าหมี่อวี้ชอบจดจำความแค้นชอบจดบัญชี แต่เป็นเพราะอวี๋เยว่ผู้นี้ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันจะต้องเรียกเซียนกระบี่ อดทนกับเขามาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว
ที่บ้านเกิด คนที่คู่ควรกับคำเรียกขานว่าเซียนกระบี่มีไม่มาก อีกทั้งเซียนกระบี่อย่างหมี่ฮู่ เยว่ชิงก็ไม่ชอบให้คนอื่นเรียกว่าเซียนกระบี่เหมือนกัน ไม่สู้เรียกชื่อตรงๆ ยังดีเสียกว่า
ขอแค่ทนการทุบตี ทนการโดนซ้อมได้ เจอเฉินซีบนถนนหนทาง เรียกเขาว่าเหล่าเฉิน หรือเรียกต่งซานเกิงว่าตาเฒ่าต่ง หรืออาจถึงขั้นเรียกว่าเสี่ยวตงก็ยังไม่มีปัญหา
อวี๋เยว่บอกเฉินผิงอันเรื่องที่จะรับอวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กำลังจะบอกว่าในเมื่อพวกเขายินดี ตนก็ไม่มีความเห็นต่างอะไรแล้ว
เพียงแต่หนิงเหยากลับมองไปยังเด็กสองคนนั้นและเปิดปากถามขึ้นมาก่อน “เหตุผล”
เด็กสองคนหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หมี่อวี้ถอนหายใจ
เจอใครไม่เจอ ดันมาเจอหนิงเหยา สมควรแล้วที่เด็กสองคนนี้จะใจฝ่อขลาดกลัว
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รบกวนการสนทนาระหว่างหนิงเหยากับผู้ฝึกกระบี่ร่วมบ้านเกิดคู่นี้
นอกจากเจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่ที่ไปใบถงทวีปแล้ว เด็กคนอื่นอีกแปดคนต่างก็มากันครบแล้ว เป็นอย่างที่ป๋ายเสวียนคาดการณ์ไว้ แม่นางน้อยสองคนอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ยกับเหยาเสี่ยวเหยียนแทบจะเสียสติกันเลยจริงๆ
โดยเฉพาะซุนชุนหวังผู้นั้น พอได้พบหนิงเหยา แม่นางน้อยที่ไม่เคยมีสีหน้า หรือถึงขั้นที่ไม่เคยแสดงออกทางแววตาใดๆ กลับใบหน้าแดงก่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สองมือกำเป็นหมัดแน่น อยากจะพูดอะไรบางอย่างอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าเปิดปาก
เด็กพวกนี้ได้เห็นหนิงเหยาก็เหมือน...ได้กลับไปยังบ้านเกิด
ไม่ว่าเฉินผิงอันจะถูกมองเป็นคนบ้านเดียวกันแค่ไหน จะเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไร แต่เมื่อเทียบกับหนิงเหยาแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นต่อให้จะเป็นถ้อยคำแบบเดียวกัน เป็นหลักการเหตุผลแบบเดียวกัน แต่พูดออกมาจากปากของหนิงเหยากับเฉินผิงอันเป็นคนพูด กลับกลายเป็นเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน
เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที พาพวกอวี๋เยว่ขยับเท้าเดินห่างออกไปด้วยกัน
เซียนเว่ยถอนหายใจ กลัดกลุ้มยิ่งนัก เจ้าตัวดี เจ้าขุนเขาเฉินมีภูเขาที่ใหญ่แค่นี้เองหรือ?
คนใต้อาณัติของเฉาเซียนซือมีแค่เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งเนี่ยนะ?
แปดเก้าในสิบส่วน ตนคงขึ้นเรือโจรมาแล้วเป็นแน่
แต่ไหนแต่ไรมาหนิงเหยาก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาอ้อมค้อม มีอะไรนางก็พูดอย่างนั้น จึงพูดคุยกับพวกเด็กๆ เสร็จอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันเพิ่งเคยเห็นเด็กๆ ที่มีนิสัยประหลาดกลุ่มนั้นว่านอนสอนง่ายเหมือนกันหมดเช่นนี้เป็นครั้งแรก
ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่จะพาเด็กสองคนที่เป็นลูกศิษย์ในนามออกจากภูเขาลั่วพั่ว ข้ามทวีปเดินทางไกลไปด้วยกันในไม่ช้า
ซุนชุนหวังกลายมาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของหนิงเหยา แต่ต้องอยู่ฝึกตนที่ใต้หล้าไพศาล จะไม่ติดตามหนิงเหยาไปที่นครบินทะยานด้วย
ส่วนนายท่านใหญ่ป๋ายเสวียน ในที่สุดวันนี้ก็ว่าง่ายแล้ว พูดจากับใต้เท้าอิ่นกวานอย่างหนักแน่นน่าเชื่อถือว่าช่วงนี้จะไม่ไปตั้งโต๊ะที่ศาลาแล้ว จะอยู่ที่หอบูชากระบี่ ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี
จากนั้นเฉินผิงอันก็พานางไปจุดธูปคารวะที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ
เสี่ยวโม่กับเซียนเว่ยต่างก็ยังไม่ถูกรับเข้าทำเนียบอย่างเป็นทางการ วันนี้ก็ให้ผ่านไปก่อนแล้วกัน
เซียนเว่ยจะไม่ได้รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานเหมือนเสี่ยวโม่ จะเป็นแค่เค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น
เพราะถึงอย่างไรต่อให้เฉินผิงอันใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้กับเซียนเว่ย
หากทำเช่นนี้จริง คาดว่าอาจถูกฟ้าผ่าได้ง่ายๆ
การกระทำโดยไม่เจตนาของมนุษย์ธรรมดา กับการกระทำโดยตั้งใจของผู้ฝึกตน เป็นความต่างราวฟ้ากับเหว
กุญแจของศาลบรรพจารย์อยู่ที่หน่วนซู่น้อย
คนทั้งกลุ่มจึงมารอกันอยู่ที่หน้าประตู เฉินหลิงจวินไปบอกข่าวให้เรียบร้อยแล้ว
จูเหลี่ยนกับหน่วนซู่น้อยรีบรุดมาที่ยอดเขาจี้เซ่อ
หลังจากที่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหยุดเดินแล้วก็คลี่ยิ้มกว้างสดใส ยอบกายคารวะทุกคน
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ยอดเขาลวี่กุ้ยของภูเขาเมฆาเรือง ได้ขอซื้อหินรากเมฆส่วนหนึ่งมาจากไช่จินเจี่ยน วันหน้าจะเอาไปหล่อหลอมแล้ววางไว้ที่รากภูเขาของยอดเขาไฉ่อวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าว จากนั้นจะถามหน่วนซู่น้อยว่าจะเลือกภูเขาลูกใดเป็นสถานที่ฝึกตน ช่วยให้นางได้บุกเบิกจวนเป็นของตัวเอง หน่วนซู่น้อยไม่ใช่ขอบเขตโอสถทองแล้วอย่างไร วันหน้าเมื่อมีการประชุมในศาลบรรพจารย์ก็อยากเห็นนักว่าใครที่กล้าไม่เห็นด้วย
จุดธูปคารวะภาพเหมือนของคนทั้งสามในศาลบรรพจารย์เสร็จสิ้น เฉินผิงอันกับหนิงเหยาก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ หน่วนซู่น้อยลงกลอนใส่กุญแจอย่างคล่องแคล่ว
เซียนเว่ยรู้สึกโล่งอก ยังดีๆ เจ้าขุนเขาเฉินมีภูเขาเพิ่มมาอีกลูกหนึ่งแล้ว ศาลบรรพจารย์บนภูเขาในตำนานแห่งนี้ มองดูแล้วมีมาดองอาจอยู่มาก
เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วอย่างจูเหลี่ยน คุยธุระเรื่องต่างๆ กัน
อันที่จริงรอกระทั่งชุยตงซานเป็นฝ่ายเสนอตัวว่าจะรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่าง ถ้าอย่างนั้นตัวเลือกของคนทั้งหมดที่จะไปอยู่สำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วก็ถือว่ากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว
อาจารย์จ้งรับหน้าที่เป็นนักบัญชีที่สำนักเบื้องล่างชั่วคราว คอยดูแลถุงเงิน รับผิดชอบเรื่องรายรับรายจ่ายในคลังสมบัติ
บอกตามตรง ในฐานะราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน ในอดีตถูกใต้หล้าขนานนามว่า ‘อริยะบุ๋น ปรมาจารย์บู๊’ ไม่ว่าจ้งชิวจะรับหน้าที่อะไรอยู่บนภูเขาก็ล้วนไม่เกินกว่าเหตุ
ผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวยรับหน้าที่เป็นผู้คุมกฎของสำนักเบื้องล่างชั่วคราว
ส่วนผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างจะให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ซึ่งเป็นผู้ถวายงานลำดับรองของภูเขาลั่วพั่วไปรับหน้าที่ ถือว่าเป็นการโยกย้ายให้ไปรับตำแหน่งเท่ากันกระมัง
สุยโย่วเปียนจะไม่มีตำแหน่งอะไร ต่อให้มอบตำแหน่งให้นาง คาดว่านางก็น่าจะไม่รับน้ำใจ
ทางฝั่งของภูเขาฮุยเหมิง คนของราชวงศ์จูอิ๋งเก่าที่ใช้นามแฝงว่าเส้าพอเซียน ชาวบ้านพลัดถิ่นแคว้นล่มสลาย องค์รัชทายาทของจูอิ๋งเก่าที่ได้ครอบครองแซ่ตูกู๋เพียงหนึ่งเดียว ข้างกายยังมีสาวใช้นามว่าเหมิงหลง
และยังมีชุนสุ่ยที่ใช้นามแฝงว่าสือชิว นางกับชิวสือผู้เป็นน้องสาวต่างก็เคยเป็นผู้ฝึกตนหญิงของภูเขาต่าเจี้ยวอุตรกุรุทวีป
พวกเขาสามคนก็ถูกชุยตงซานพาไปที่ใบถงทวีปด้วย
นอกจากนี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของหลูป๋ายเซี่ยง ดูเหมือนว่าในอนาคตก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักเบื้องล่าง
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “เจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างอย่างชุยตงซาน เหมือนจะถือจอบเตรียมขุดมุมกำแพงของภูเขาลั่วพั่วพวกเราที่เป็นสำนักเบื้องบนแล้วนะ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ตอนแรกก็ไม่คิด แต่พอคุณชายพูดอย่างนี้ ดูเหมือนว่าจะมีความหมายเช่นนี้จริงๆ ด้วย”
เฉินผิงอันเก็บเฉาจวิ้น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดมาได้เปล่าๆ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเป็นไปได้ที่เฉาจวิ้นจะฝ่าทะลุขอบเขตมีสูงมาก
เฉาจวิ้นผู้นี้ก็เป็นคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง ในเมื่อเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไม่ได้แล้วก็เลยเป็นฝ่ายขอตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับล่างสุดของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่วเสียเลย
จูเหลี่ยนกล่าว “ทุกวันนี้เผยเฉียนอยู่ที่วัดซินเซียง ข้าเลยไม่ได้เรียกนางมา”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ไปที่ห้องบัญชี เฉินผิงอันบอกกับเหวยเหวินหลงว่าตัวเองต้องการเงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญจากคลังสมบัติ
ต้องให้หลินโส่วอียืม
ช่างเถิด ยกให้เลยก็แล้วกัน
ยืมกะผายลมอะไรกันเล่า จ่ายเงินแล้วยังไม่ได้อะไรดีๆ กลับมา ไม่สู้ยกให้ไปเลยโดยตรง
คนที่สามารถหลอกเอาเงินจากเฉินผิงอันได้ มีไม่มาก
เหวยเหวินหลงยิ้มเอ่ยว่าทุกวันนี้บนสมุดบัญชีมีเงินฝนธัญพืชนอนอยู่ไม่น้อย เจ้าขุนเขาไม่ต้องกังวลว่าจะชักหน้าไม่ถึงหลัง
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เงินสามารถให้ยืมได้ อีกทั้งยังจำเป็นต้องให้ยืม เพียงแต่หลินโส่วสามารถแขวนชื่อเป็นเค่อชิงของสำนักเบื้องล่างได้นะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ดีเลยสิ”
เรื่องของรายงานข่าวและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาลั่วพั่วจะยกให้จูเหลี่ยนกับเฉินหลิงจวินเป็นผู้ดูแลชั่วคราว
นอกจากนี้ก็คือที่ร้านผ้าห่อบุญบนท่าเรือหนิวเจี่ยวขาดตัวเลือกที่เหมาะสมมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไปหาอาจารย์หงที่หอชิงฝู พยายามจะหลอกล่อชิงตัวเขามาอยู่ด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ
ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่ให้ผู้คุมกฎฉางมิ่งควบคุมสถานการณ์ใหญ่ไปก่อน แล้วค่อยให้พวกผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไชช่วยจัดการธุระที่เป็นรูปธรรม
ทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วได้ครอบครองเรือข้ามฟากสองลำ ผู้ดูแลชั่วคราวของเรือมังกรฟานโม่คือหลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะจูไชที่เช่าภูเขาหลังอ๋าวจากภูเขาลั่วพั่ว ทั้งสองฝ่ายไปมาหาสู่กันอย่างมีมารยาท หลายปีมานี้จึงสนิทสนมกันดี
ส่วนเฟิงยวนเรือข้ามทวีป เฉินผิงอันคิดว่าจะให้ฉางมิ่งดูแลควบรวมไปด้วย ส่วนบุคคลอันดับสองที่รับผิดชอบดุแลกิจธุระยิบย่อยอย่างแท้จริง สามารถให้เป็นนักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิง จากนั้นหากหมี่อวี้มีเวลาว่างก็ให้ไปนั่งบัญชาการณ์อยู่ที่นั่น ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะหน้าตาภายนอกหรือภายใน เรือเฟิงยวนก็ถือว่ามีครบถ้วนแล้ว
เฉินผิงอันพลันนึกถึงของสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนอยู่นครเถียวมู่บนเรือราตรีลำนั้น ตนได้ธนูโบราณที่มีชื่อว่า ‘อวิ๋นเมิ่งฉางซง’ จากร้านผ้าห่อบุญของคนเคราหยิกที่ใช้นามแฝงว่าจางซาน เป็นของจริงแท้แน่นอน ระดับขั้นยังไม่ได้กำหนด เฉินผิงอันมักรู้สึกว่าสมบัติวิเศษชิ้นนี้ค่อนข้างร้อนลวกมือ
บรรพจารย์สามลัทธิเคยจับมือกันมาเยือนเมืองเล็ก
ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าที่มาดื่มชาหน้าประตูภูเขาถึงมอบภาพเต๋าที่หายากภาพนั้นมาให้
ตอนนั้นหลังจากถูกชุยตงซานหล่อหลอม ภาพเหตุการณ์ผิดปกติก็พลันบังเกิด ไอม่วงลอยกรุ่นขึ้นมาทั่วภูเขา แผ่นฟ้าเหนือกลุ่มยอดเขาไร้ตะวันสองดวง ท่ามกลางหมู่มวลแมกไม้มีดวงจันทร์หนึ่งดวง ก่อกำเนิดกลายเป็นฟ้าดิน ตะวันจันทราลอยขึ้นร่วงลง
เป็นเหตุให้แม้แต่ซานจวินผู้ยิ่งใหญ่อย่างเว่ยป้อที่แม้จะอยู่ในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำใต้การปกครองของตัวเองก็ยังมิอาจเข้าออกภูเขาลั่วพั่วได้ ข้อด้อยเพียงหนึ่งเดียวก็คือการเปิดและประคับประคองค่ายกล ‘พิทักษ์ภูเขา’ ประเภทนี้สิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างยิ่ง ดังนั้นภูเขาลั่วพั่วจึงไม่อาจเปิดใช้ค่ายกลใหญ่นี้ได้ตลอดเวลา เพียงแต่เมื่อเทียบกับระดับความล้ำค่าของภาพเต๋านั้นแล้ว ข้อด้อยเพียงน้อยนิดแค่นี้ก็สามารถมองข้ามไปได้เลย
ไม่ว่าจะสำนักแห่งใดก็ตามของใต้หล้าไพศาลล้วนสามารถนำไปทำเป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาได้
ฟังจากความหมายที่ชุยตงซานว่าไว้ในจดหมายซึ่งส่งไปถึงเมืองหลวงฉบับนั้น เป็นหมี่ลี่น้อยที่รับรองแขกได้อย่างดีเยี่ยมถึงสร้างคุณูปการใหญ่เทียมฟ้านี้ได้
เฉินผิงอันไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นอะไร
บวกกับที่ในที่ตั้งเก่าของศาลเทพภูเขาบนยอดเขาของภูเขาลั่วพั่ว ชุยตงซานได้ร่ายค่ายกลบ่อสายฟ้าสีทองไว้ล้อมรอบ ด้านในยังตั้งบูชาภาพเซียนกระบี่ที่แรกเริ่มสุดมาจากหอจิ้งเจี้ยนของภูเขาห้อยหัวไว้ด้วย
ประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องล่างในอนาคตจะแขวนกลอนคู่ที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้ มันเองก็มีระดับสูงจนน่าตกใจเช่นกัน
หากนับรวมกระบี่บินสิบสองเล่มที่เฉินผิงอันได้มาจากนครอวี้ป่านราชวงศ์อวิ๋นเหวินเข้าไปด้วย บวกกับค่ายกลภูเขาไท่ผิงที่ต้องลำบากใจเหมือน ‘สตรีมีฝีมือแค่ไหน แต่ไร้วัตถุดิบก็ไม่อาจปรุงอาหารออกมาได้’ มาโดยตลอด ประสิทธิภาพของการโจมตีที่ได้ก็เรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่เลยทีเดียว
ถ้าอย่างนั้นค่ายกลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วและของสำนักเบื้องล่างก็จะมีครบทั้งป้องกันและโจมตีในระดับสูงสุดทั้งคู่
ส่วนการเดินทางไปเยือนเมืองหลวงครั้งนี้ก็ไม่ได้ไปเสียเที่ยวเช่นกัน
จากการอนุมานของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ เศษของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่พลัดอยู่ข้างนอก มากสุดคือหกชิ้น น้อยสุดคือสี่ชิ้น
ชิ้นที่ได้มาจากไทเฮาต้าหลี หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะซ่อนอยู่ในบ้านที่อยู่ติดกับบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอันในตรอกหนีผิง
นอกจากนี้สามีภรรยาตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวา สำนักฉงหลินแห่งอุตรกุรุทวีป จะต้องมีเก็บซ่อนเอาไว้แน่นอน เฉินผิงอันจะถามให้ชัดเจน ถามแบบพูดคุยกันต่อหน้า
เดินไปทางเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยกับหมี่ลี่น้อย “อีกเดี๋ยวข้าจะต้องไปที่อำเภอเซียนโหยวสักรอบ หลังกลับมาบ้านจะพาเจ้าไปเมืองหงจู๋นะ”
หยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูไปรับหน้าที่เป็นกงโหวของลำน้ำใหญ่ภาคกลางแล้ว
เพียงแต่ว่าตำแหน่งเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูองค์ใหม่ ทุกวันนี้ยังเว้นว่างไว้ไม่ได้ตัดสินใจ
ตามทำเนียบหยกทองที่ต้าหลีประกาศใหม่ล่าสุด แม่น้ำเถี่ยฝูอยู่ขั้นสามชั้นโท เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาคือขั้นสี่ เย่ชิงจู๋ของแม่น้ำอวี้เย่และหลี่จิ่นของแม่น้ำชงตั้นต่างก็เป็นแค่ขั้นห้า