กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 890.3 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าได้ยินแล้ว เวลานี้ก็เหลือแค่ความสะทกสะท้อนใจเท่านั้น
ใต้เท้าอิ่นกวานร้ายกาจจริงๆ
หนิงเหยากุมหมัดเอ่ย “รบกวนอาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋แล้ว”
อวี๋เยว่รีบกุมหมัดคารวะกลับคืน “มิกล้า”
เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ออกมา ส่งอาจารย์และศิษย์สามคนไปที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว ทุกวันนี้แจกันสมบัติทวีปยังไม่มีเรือข้ามทวีปที่ตรงไปยังธวัลทวีป จึงต้องรอเรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปลำหนึ่งเสียก่อน
ที่ท่าเรือแห่งนั้น เรือข้ามฟากยังไม่ทันเข้ามาในอาณาเขตของหลงโจว คุยเล่นกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไปประมาณสองเค่อ เฉินผิงอันสอบถามเรื่องขนบธรรมเนียมของหลิวเสียทวีปและธวัลทวีป อวี๋เยว่ย่อมบอกทุกเรื่องที่ตนรู้อย่างไม่มีปิดบัง เล่าอย่างมีอารมณ์ขัน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ไปเป็นนักเล่านิทานก็ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
รอกระทั่งพวกอวี๋เยว่สามคนขึ้นไปบนเรือแล้ว เฉินผิงอันกับหนิงเหยาที่ยืนอยู่ใกล้กับราวรั้วก็โบกมืออำลา
เสี่ยวโม่ไปหาผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยน บอกว่าตัวเองต้องการสร้างหอหนังสือแห่งหนึ่ง
ผู้ถวายงานและเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่วจะมีเรือนพักเป็นของตัวเองในบริเวณใกล้เคียงกับเรือนไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหน้า แต่อันที่จริงตอนนี้เรือนที่เหลืออยู่มีไม่มากพอ ผู้ถวายงานเสี่ยวโม่มาได้จังหวะพอดี เขากับเค่อชิงเซียนเว่ยขึ้นเขามาพร้อมกันก็มีเรือนพักที่ว่างอยู่สองแห่งพอดี ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้แต่ย้ายไปอยู่ด้านหลังภูเขาจริงๆ แล้ว ด้วยขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วไม่มีทางแหกกฎด้วยเรื่องที่เสี่ยวโม่เป็นขอบเขตบินทะยาน เซียนเว่ยมีประวัติความเป็นมาใหญ่โตอย่างแน่นอน
ส่วนจวนเซียนที่ด้านหลังภูเขานั้นก็ปลูกเรียงรายติดกัน เรือนน้อยใหญ่สามสิบกว่าหลังล้วนเป็นโจวอันดับหนึ่งที่ทุ่มเงินมาให้ตั้งแต่แรก ในอนาคตจะเอามาไว้เป็นที่พักของลูกศิษย์ที่รับมาใหม่หรือไม่ก็ให้แขกมาเข้าพัก เพียงแต่ว่าทุกวันนี้จำนวนลูกศิษย์ทำเนียบของภูเขาลั่วพั่วยังมีน้อย เจ้าขุนเขาเองก็บอกแล้วด้วยว่าภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้จะทำเหมือนปิดภูเขายี่สิบปี ดังนั้นนอกจากคนสองคนที่เข้าพักในเรือนหลังหนึ่งแล้ว เรือนหลังอื่นๆ ที่เหลือล้วนยังว่างอยู่
ตอนที่เสี่ยวโม่มาหาจูเหลี่ยน พ่อครัวเฒ่ากำลังถักตะกร้าสานอยู่ในลานบ้าน ได้ยินว่าเสี่ยวโม่ต้องการควักเงินสร้างหอหนังสือด้วยตัวเองก็ยิ้มเอ่ยว่าไม่มีปัญหา ช่างที่อยู่บนภูเขาฮุยเหมิงล้วนเป็นคนงานสำเร็จรูป ฝีมือไม่เลว สร้างหอหนังสือแค่หลังเดียวย่อมไม่เป็นปัญหา ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือบริเวณใกล้เคียงกับเรือนไม้ไผ่ไม่มีสถานที่แล้วจริงๆ ดังนั้นตอนนี้เสี่ยวโม่จึงมีสามทางเลือก สร้างอยู่ใกล้กับยอดเขาจี้เซ่อ หรือไม่ก็สร้างอยู่ด้านหลังภูเขา ไม่อย่างนั้นก็เลือกภูเขาใต้อาณัติลูกหนึ่งไว้เป็นที่ฝึกตนของตัวเอง บางทีอาจจะโปร่งโล่งสบายมากกว่า
เสี่ยวโม่บอกว่าไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น หากไม่ผิดกฎของบนภูเขาก็สามารถรื้อเรือนที่พักของตัวเองออกแล้วสร้างหอหนังสือไว้ตำแหน่งเดิมได้ เขาสามารถเอาหอหนังสือเป็นจวนที่ฝึกตน อีกทั้งหอหนังสือสูงแค่สองชั้นก็พอแล้ว
จูเหลี่ยนครุ่นคิดแล้วบอกว่าหากพี่เสี่ยวโม่เชื่อใจกัน ก็มอบให้เขาเป็นคนสร้างหอหนังสือแห่งนั้นเองก็แล้วกัน ก็แค่ต้องเสียเวลาเล็กน้อย ไม่ต้องเอาเงินไปมอบให้คนนอกแล้ว
เสี่ยวโม่ตกตะลึงระคนยินดี รีบลุกขึ้นยืน ประสานมือขอบคุณ
เพราะตอนที่คุณชายของตนพูดถึงภูเขาลั่วพั่วได้เล่าว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจูท่านนี้มากความรู้ความสามารถ ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาไม่เชี่ยวชาญ เรียกได้ว่าเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด คุณชายให้คำวิจารณ์ที่สูงจนสูงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ‘ไม่มีงานฝีมือใดที่จูเหลี่ยนทำไม่ได้ ต่อให้ตอนนี้ยังทำไม่ได้ อย่างมากให้เวลาจูเหลี่ยนสองสามปี เขาก็สามารถกลายเป็นปรมาจารย์ที่สมชื่อในงานด้านนี้ได้แล้ว จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ การที่ข้าออกเดินทางไกลได้อย่างสบายใจ ผู้ดูแลใหญ่อย่างจูเหลี่ยนนั้นมีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง’
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “เสี่ยวโม่ หอหนังสือมีชื่อแล้วหรือยัง?”
เสี่ยวโม่กล่าว “หอเหลี่ยงหมางหราน”
“ชื่อดี”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที “มีมาตรฐานในการตั้งชื่อของคุณชายพวกเราแล้ว”
เสี่ยวโม่ยิ้มตอบ “นี่ก็เป็นชื่อที่คุณชายช่วยตั้งให้”
จูเหลี่ยนร้องเอ๊ะหนึ่งที หันหน้ามาพูดกับเสี่ยวโม่ด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องของการตั้งชื่อ โดยทั่วไปแล้วคุณชายจะไม่ยอมลงมือง่ายๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น นี่มากพอจะแสดงให้เห็นว่าคุณชายโปรดปรานเสี่ยวโม่อย่างมาก”
เสี่ยวโม่ยิ้มจนตาหยี
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “อิจฉา อิจฉา อย่างหอหนังสือของข้า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยนะ เคยขอน้ำหมึกจากคุณชาย แต่กลับไม่เคยสำเร็จสักที”
เสี่ยวโม่อดรู้สึกกังขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ผู้เฒ่าจูกับคุณชายของตน เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า?
เพียงแต่ในตำราก็บอกไว้แล้วว่า เมื่อได้อยู่ในสถานการณ์ที่ลำพองใจ อย่าได้เล่าเรื่องลำพองใจกับคนที่ต้องผิดหวัง
ถึงอย่างไรเสี่ยวโม่ก็เพิ่งขึ้นเขามา จึงไม่รู้เรื่องวงในบางอย่าง ย่อมไม่รู้ถึงความลี้ลับของหอเก็บตำราแห่งนั้นชั่วคราว หากเฉินผิงอันช่วยตั้งชื่อให้ก็ผีหลอกแล้ว
ดังนั้นตอนนี้เสี่ยวโม่จึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยด้วยการถามว่า “หากข้าอยู่ที่นี่จะถ่วงเวลาการทำธุระของอาจารย์จูหรือไม่”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “ทำงานแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นธุระจริงจังอะไรหรอก เสี่ยวโม่หากเจ้าอยู่ต่อย่อมดีที่สุด ข้าจะได้มีเพื่อนคุย อยู่กับคนดีๆ ก็เหมือนได้ดื่มสุรารสกลมกล่อม”
เสี่ยวโม่หยิบตำรารวมถ้อยคำอันไพเราะเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วนั่งเปิดอ่านอยู่ด้านข้าง
จูเหลี่ยนเหลือบตามองเนื้อหาในตำรารวมเล่มถ้อยคำระหว่างจังหวะพักงานในมือ ก่อนจะยิ้มส่ายหน้า “ยามดอกไม้เบ่งบานคิดถึงท่านที่สุด ยามร้อยบุปผาร่วงโรยเกลียดแค้นท่านที่สุด?”
คำกล่าวนี้ผิดแล้ว ฟังแล้วธรรมดาสามัญอย่างมาก
“ควรจะเป็นยามร้อยบุปผาเบ่งบานขุ่นเคืองท่านที่สุด ยามร้อยบุปผาร่วงโรยคิดถึงท่านที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความคิดถึงหรือความขุ่นเคืองล้วนอยู่ตอนที่ร้อยบุปผาเบ่งบาน”
ถึงจะเรียกได้ว่ามีความรักลึกซึ้ง ความขุ่นเคืองยาวนาน มิกล้าเกลียด ได้แต่เคืองขุ่น บอกกล่าวให้รู้ถึงความทุกข์ระทมจากการคิดคำนึงถึงของสตรีได้ดีที่สุด
เสี่ยวโม่อึ้งงันไร้คำพูด จากนั้นก็รู้สึกชื่นชมยินดีจากใจจริง หมุนตัวกลับมากุมหมัดเอ่ย “อาจารย์จูมีคำพูดไพเราะร้อยเรียงติดต่อกัน ประหนึ่งสาวงามอรชรที่เดินเยื้องกรายออกมาจากภาพวาด ไม่มีบุปผาแต่กลับส่งกลิ่นหอมฟุ้งได้ด้วยตัวเอง”
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น “พี่เสี่ยวโม่ก็ไม่ด้อยกว่าเลยนะ”
จิตใจเสี่ยวโม่สงบลงได้หลายส่วน
เขากับภูเขาลั่วพั่วคล้ายจะมีความสอดคล้องทางจิตแห่งมรรคาตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้ตนจงใจเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามด้วยซ้ำ
“เสี่ยวโม่มาที่ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาลั่วพั่วมีเสี่ยวโม่ ล้วนถือเป็นเรื่องที่โชคดี”
จูเหลี่ยนถักตะกร้าไม้ไผ่ด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคย ปากก็ชวนคุยไปด้วย “ความหวังดีของผู้แข็งแกร่งก็คือลมวสันตฤดูที่อ่อนโยน”
เสี่ยวโม่ปิดตำราลง กำลังจะขยับปากพูดก็มีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งไปที่หน้าประตูภูเขาวิ่งเข้ามา ตะโกนพูดหน้าแดงก่ำ “เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ ร้ายกาจมาก ร้ายกาจมาก ที่แท้ที่นี่ก็คือภูเขาลั่วพั่ว!”
เรือข้ามฟากลำนั้นค่อยๆ จากไปไกล ประหนึ่งนกที่บินโผไปกลางอากาศ
เด็กเก้าคนที่เฉินผิงอันพากลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างมีที่พักพิงเป็นของตัวเองแล้ว ไม่ต้องเอาแต่ก้มหน้าก้มตาฝึกกระบี่อยู่ที่หอบูชากระบี่อีกต่อไป ล้วนมีอนาคตอย่างแท้จริงกันแล้ว
พ่อครัวน้อยเฉิงเฉาลู่กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสุยโย่วเปียน คนโลภมากตัวน้อยอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ยก็กราบผู้คุมกฎฉางมิ่งเป็นอาจารย์
อวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงติดตามผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่เดินทางไกลข้ามทวีปไปแล้ว จะไปที่สกุลเซี่ยมี่อวิ๋นของธวัลทวีปก่อน จากนั้นจึงจะพาเด็กทั้งสองเดินทางไปท่องเที่ยวหลิวเสียทวีป ไปปล้นทรัพย์คนด้วยกัน
หากใช้คำพูดของอวี๋เยว่ก็คือสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นต้องยิ้มหน้าบานเพราะได้พึ่งใบบุญของตน เท่ากับว่าไม่ต้องใช้ความสัมพันธ์ควันธูปแม้แต่น้อยก็ได้แบ่งตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เงินเทพเซียนกับสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินจะน้อยได้หรือ?
สุดท้ายแล้วเหอกูก็รับหมี่อวี้เป็นอาจารย์
อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่แค่ต้องใช้คำพูดเดียวของหนิงเหยาเท่านั้น
เจ้ามีหน้าอะไรมาดูแคลนหมี่อวี้? เขาหมี่อวี้ตอนอยู่สองขอบเขตอย่างโอสถทองและก่อกำเนิด คุณความชอบในการสังหารปีศาจรวมกันแล้วก็อยู่สูงเป็นอันดับหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าเหนือกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
ตอนนั้นหมี่อวี้ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลกับเฉินผิงอัน แม้ว่าหนิงเหยาจะพูดเรื่องจริง แต่หมี่อวี้กลับยังกระดากอายอยู่มาก
หากจะบอกว่าแรกเริ่มเจ้าเด็กเหอกูผู้นี้ไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่ก็พอจะฝืนใจยอมรับหมี่อวี้เป็นอาจารย์ได้ ถ้าอย่างนั้นอวี๋เสียหุยให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมติดตาม ‘คนทรยศ’ อย่างชุยเหวยเรียนกระบี่แล้ว
ถึงขั้นที่ว่าตอนนั้นชุยเหวยอยากจะพาเด็กชายนั่งโดยสารเรือเฟิงยวนไปที่ใบถงทวีปด้วยกัน อวี๋เสียหุยไม่ยอมออกไปจากหอบูชากระบี่ เขาโมโหมาก ตอนนั้นจึงพูดจาแรงๆ กับชุยเหวยไปหลายประโยค เจ้าชุยเหวยยังจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ของน่าหลันเย่สิงได้อย่างไร อาจารย์ของเจ้าตายไปแล้ว คนมากมายขนาดนั้นล้วนตายไปแล้ว ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหลายคนที่สามารถจากมาได้ล้วนตายกันไปหมดแล้ว! มีเพียงเจ้าที่มาหลบอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่เคยออกกระบี่สักครั้ง มีชีวิตได้ดีที่สุด เจ้าไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ? หากเปลี่ยนเป็นข้า ไม่ตายอยู่ที่บ้านเกิดก็ต้องตายอยู่บนสนามรบอย่างนครมังกรเฒ่า ให้ข้ารับเจ้าเป็นอาจารย์? ให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่มีทางคิด! ต่อให้เปลี่ยนเป็นข้าที่ต้องเป็นอาจารย์ของเจ้า ข้ายังรังเกียจเลย
ตอนนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดอย่างชุยเหวยไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ไปจากหอบูชากระบี่เงียบๆ
เหตุผลของหนิงเหยาเรียบง่ายมาก นางไม่ได้บอกว่าการเลือกของชุยเหวยผิดหรือถูก แล้วก็ไม่ได้พูดว่าทิฐิของอวี๋เสียหุยดีหรือไม่ดี เพียงแค่ให้อวี๋เสียหุยไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง
เจ้าลองเรียนเวทกระบี่ของชุยเหวยดูก่อน วันหน้าไม่ต้องสนเรื่องการเป็นอาจารย์และศิษย์บนภูเขาอะไร ทั้งสองฝ่ายถามกระบี่กันครั้งหนึ่ง แบ่งแพ้ชนะกัน อาศัยความสามารถทำให้ชุยเหวยยอมรับผิดกับเจ้าในเรื่องนั้น
ซุนชุนหวังพูดคุยด้วยได้ง่ายที่สุด หนิงเหยาบอกกับเด็กหญิงว่ามากสุดหกสิบปี หากนางเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ก็จะได้กลายเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของตน
ส่วนป๋ายเสวียนก็โดนสั่งสอนไปรอบหนึ่ง
ตั้งใจฝึกตนให้มากหน่อย คุณสมบัติของเจ้าก็แค่เพราะอยู่ในใต้หล้าไพศาลเท่านั้นถึงจะถือว่าไม่เลว อยู่ที่บ้านเกิดอย่างมากสุดก็เป็นได้แค่หมี่อวี้ก่อนจะเป็นขอบเขตหยกดิบเท่านั้น ถึงกับมีหน้ามาพูดว่าตัวเองไม่ต้องฝึกกระบี่? คิดว่าตัวเองเป็นจงหยวนหรือเฉินซี? มีเพียงเหยาเสี่ยวเหยียนที่นิสัยอ่อนโยนเท่านั้นที่หนิงเหยาไม่ได้พูดจาแรงๆ ด้วย แค่บอกแม่นางน้อยว่าให้ใจกล้ากว่านี้หน่อย
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่หอบูชากระบี่ เด็กแปดคนเผชิญหน้ากับหนิงเหยา แต่ละคนเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว มือเท้าก็ไม่รู้จะวางไว้ที่ไหน
บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะความแข็งแกร่งของหนิงเหยา
นางไม่ต้องจงใจทำอะไร ยิ่งคร้านจะปะชุนใจคน
ทว่าเด็กๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เผชิญหน้ากับหนิงเหยา
อันที่จริงกลับเหมือนในอดีตยามที่เซียนกระบี่ใหญ่ในยุคหลังอย่างเยว่ชิง หมี่ฮู่ หลี่ทุ่ยมี่ยังเป็นเด็กต้องเผชิญหน้ากับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
ยากที่จะเปิดปาก ด่าแค่ไม่กี่คำ นับว่ายังพอเยียวยาได้ หมายความว่าคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ยังพอใช้ได้
จริงๆ แล้วแรกเริ่มหนิงเหยาเองก็ไม่ได้คิดจะพูดมากขนาดนี้
เพียงแต่ว่าพอไปถึงหอบูชากระบี่ก็ได้ยินว่าเด็กสองคนต้องการจะออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะไม่พอใจเฉินผิงอันอยู่มาก หนิงเหยาจึงไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในบรรดาเด็กทั้งเก้าจึงเหลือแค่ตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนที่ยังไม่มีการสืบทอดที่แน่ชัด
ป๋ายเสวียนและเหยาเสี่ยวเหยียน
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดจะถามเสี่ยวโม่ว่าถูกใจป๋ายเสวียนหรือไม่ ยินดีจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราวหรือไม่
จากนั้นก็จะถามเด็กชายผมขาวที่เปลี่ยนชื่อเป็นคงโหวว่ายินดีถ่ายทอดมรรคกถาเวทกระบี่ชั้นสูงบางอย่างให้กับเหยาเสี่ยวเหยียนหรือไม่
เพียงแต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนสามารถปล่อยผ่านไปอย่างถูไถได้ แต่คนรักกับอาจารย์และศิษย์กลับเลือกแค่พอถูไถไม่ได้
ตอนที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือ หนิงเหยาทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด น้อยครั้งนักที่นางจะลังเลตัดสินใจไม่ได้เช่นนี้
เฉินผิงอันยื่นมือออกมากุมมือทั้งสองข้างของหนิงเหยา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไปถึงนครบินทะยานแล้วฝากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของสหายสายคฤหาสน์หลบร้อนแทนข้าที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกวอจู๋จิ่วที่เรียกเจ้าว่าอาจารย์แม่ บอกนางว่าอาจารย์พ่อและศิษย์พี่หญิงใหญ่ของนางต่างก็คิดถึงนางมาก”
หนิงเหยาพยักหน้า
เฉินผิงอันในทุกวันนี้ขอบเขตถดถอยจนน่าอนาถ ทำให้นางเป็นห่วงจนวางใจไม่ลง
เวทกระบี่ของเสี่ยวโม่จะสูงแค่ไหน จะซื่อสัตย์ภักดีเท่าไร จะถูกชะตากับเฉินผิงอันแค่ไหน
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนยามที่ตนอยู่ข้างกายเขา
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหัวคิ้วของหนิงเหยาเบาๆ เอ่ยขออภัยว่า “อยู่ห่างจากการเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ไกลอีกแล้ว ห้ามรีบร้อนนะ”
หนิงเหยายังคงทำแค่พยักหน้า ไม่เอ่ยอะไร
“นครบินทะยานหยั่งรากอยู่ที่ใต้หล้าห้าสี ข้าที่เป็นอิ่นกวานกลับไม่ได้อยู่ด้วย แล้วก็ไม่ได้แสดงความยินดีด้วย ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”
เฉินผิงอันดึงมือกลับมา บิดหมุนข้อมือหนึ่งครั้งก็มีแส้ปัดฝุ่นที่ได้มาจากนครเซียนจานเพิ่มมา มีชื่อว่าฝูเฉิน
หนิงเหยาส่ายหน้า “เจ้าไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย แสดงความยินดีอะไรกัน”
เฉินผิงอันย่อมต้องมีเหตุผลของตัวเอง “ไม่เหมือนกัน นี่ข้าอุตส่าห์แย่งชิงมาจากนครเซียนจานอย่างยากลำบาก ความหมายไม่ค่อยเหมือนกับวัตถุธรรมดาทั่วไป เอาไปวางไว้ที่นครบินทะยานย่อมเหมาะสมที่สุด ใครใช้ให้นครบินทะยานกล้าเทียบเคียงความสูงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เล่า”
หนิงเหยาเอ่ย “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นครบินทะยาน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตกลง”
สตรีที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนตอนที่นางเป็นเด็กสาว แต่ถึงอย่างไรนางก็ดีที่สุด
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที “ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”
คนทั้งสองกลายร่างเป็นรุ้งยาวสีขาวเขียว ปราณกระบี่ทะยานสู่ชั้นเมฆ พริบตาเดียวก็ห่างจากท่าเรือไปไกล
อริยะปราชญ์ศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าของแจกันสมบัติทวีปเปิดประตูใหญ่ที่เชื่อมโยงกับใต้หล้าห้าสีให้
หากคิดจะเข้าไปเยือนใต้หล้าห้าสีจริงๆ หนิงเหยายังต้องเดินทางผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพียงแต่ว่าเส้นทางมั่นคงปลอดภัย เหมือนถนนทางหลวงของโลกมนุษย์
หลังจากประตูใหญ่ปิดลงแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าที่ยืนอยู่บนเมฆขาวก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อตัดใจไม่ได้ ทำไมถึงไม่รั้งเอาไว้เล่า”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร แค่ประสานมือคารวะอำลาอริยะปราชญ์ศาลบุ๋นท่านนี้
กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันได้แขวนกระบี่เย่โหยวเล่มนั้นไว้บนผนังของชั้นหนึ่งเรือนไม้ไผ่แล้ว ให้มันเป็นเพื่อนบ้านกับกลอนคู่
มองกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักบนผนัง
วิถีทางโลกเละเทะใจยากจะสงบ มังกรและงูบนผนังเคลื่อนขยับ
บนโต๊ะวางตำราตราประทับไว้สองเล่ม เป็นตำราต้นฉบับเล่มแรกอย่างสมชื่อแท้จริง
แบ่งออกเป็นตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่
ปีนั้นเจ้าอ้วนเยี่ยนอยากซื้อ แต่เขาไม่ขาย ราคาพูดคุยกันได้ อย่าได้หวัง
ทำเอาเยี่ยนจั๋วเกือบจะฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันเป็นใต้เท้าอิ่นกวานอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อนไปทำตัวเป็นวิญญูชนบนขื่อคานที่จวนหนิงเสียแล้ว