กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 891.1 สำนักเบื้องล่าง
ท่าเรือหนิวเจี่ยว สายน้ำใสไหลไปทางทิศตะวันออก ห่านโบยบินในฤดูใบไม้ร่วง
เรือข้ามฟากขนาดมหึมาลำหนึ่งจอดเทียบท่าช้าๆ พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ปราณวิญญาณมหาศาลแผ่กระเพื่อมพร้อมกับนำพาลมภูเขาโชยมาเป็นระลอก เมื่อเทียบกับท่าเรือตระกูลเซียนทั่วไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ ประหนึ่งเจียวหลงที่บางครั้งผลุบจากน้ำขึ้นมาเกยหาดน้ำตื้น ก็คือเรือข้ามฟากเฟิงยวนที่เรื่องของการซ่อมแซม ทางภูเขาลั่วพั่วไม่ต้องออกเงินแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดงนั่นเอง
มีเพียงจ้งชิวกับชุยเหวยที่ติดตามเรือลำนี้กลับมาที่อาณาเขตของหลงโจว การเดินเรือข้ามทวีปครั้งแรกของเฟิงยวนลำนี้สำเร็จลงด้วยดี
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “ลำบากแล้ว”
พอเจ้าขุนเขาเปิดฉากเช่นนี้ ผู้คนกลุ่มใหญ่ก็พากันกุมหมัดขอบคุณพร้อมเอ่ยว่าลำบากแล้ว ลำบากแล้ว
จ้งชิวอดไม่ไหวหลุดขำ ประสานมือคารวะกลับคืนทุกคน แต่ชุยเหวยกลับปรับตัวไม่ได้อยู่บ้างเล็กน้อย ได้แต่กุมหมัดคารวะกลับคืน
เฉินผิงอันอ่อนใจเป็นที่สุด เดิมทีรู้สึกเกรงใจคนอื่นจากใจจริง ผลกลับดีนัก ถูกเจ้าพวกคนที่เหลือพาออกนอกเรื่องจนกลายเป็นเหมือนคำสัพยอกเสียอย่างนั้น
ออกจากบ้านมาครั้งนี้ จำนวนคนของภูเขาลั่วพั่วที่จะติดตามเฉินผิงอันเดินทางไกลมีอยู่ไม่น้อย
เจ้าขุนเขานำพาลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาด้วยกลุ่มหนึ่ง เผยเฉียนผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ผู้ฝึกกระบี่กวอจู๋จิ่ว จ้าวซู่เซี่ยผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า จ้าวหลวนผู้ฝึกลมปราณ
ผู้ถวายงานเสี่ยวโม่ สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว สะพายหีบหนังสือถือไม้เท้าเดินป่า เหมือนกับบัณฑิตอ่อนแอที่ออกไปทัศนศึกษามากกว่า
และยังมีหมี่อวี้ที่กำลังจะไปรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง อวี๋เสียหุยที่ออกจากหอบูชากระบี่แล้วต้องออกเดินทางไกลอีกครั้ง
เด็กชายเห็นชุยเหวยแล้วก็ฝืนนิสัยเอ่ยเรียกว่าอาจารย์อย่างอึดอัด คงเป็นเพราะรู้สึกว่าน่าขายหน้าเกินไป เด็กชายจึงยังไม่ลืมแค่นเสียงหึในลำคออีกที
แม้ชุยเหวยจะประหลาดใจ แต่ก็ยังพยักหน้ารับเงียบๆ ในดวงตามีรอยยิ้ม ทุกเรื่องล้วนยากที่การเริ่มต้น ขอแค่อวี๋เสียหุยยินดีเรียกเขาว่าอาจารย์ ชุยเหวยก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมที่จะทำให้เด็กชายไม่ต้องรู้สึกว่ารับตนเป็นอาจารย์อย่างเสียเปล่า
ฉางมิ่งผู้คุมกฎแห่งภูเขาลั่วพั่วพาน่าหลันอวี้เตี๋ยลูกศิษย์ที่นางเพิ่งรับมาใหม่มาด้วย
ตนมิอาจสอนเวทกระบี่เลิศล้ำอะไรได้ แต่ยังจะมอบเงินให้นางไม่ได้อีกหรือ?
ภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกกระบี่อยู่มากขนาดนั้น ทั้งเจียงซ่างเจิน หมี่อวี้ ชุยเหวย สุ่ยโย่วเปียน...แค่ซื้อตำราลับเวทกระบี่เล่มสองเล่มมาจากพวกเขาก็ได้แล้ว
ทุกวันนี้ผู้คุมกฎฉางมิ่งควบตำแหน่งผู้ดูแลใหญ่ของเรือข้ามฟากเฟิงยวนด้วย หลังจากที่ชุยตงซานรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง ในจดหมายลับที่ส่งมายังเมืองหลวงต้าหลีก็เขียนระบุไว้ชัดเจนว่าอาจารย์ต้องตอบตกลงกับเรื่องนี้ ต่อให้ผู้คุมกฎฉางมิ่งจะไม่ใคร่ยินดีก็ต้องรบกวนให้อาจารย์ช่วยโน้มน้าวนางให้ได้
ส่วนสาเหตุก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว เพราะผู้คุมกฎของสำนักท่านนี้ก็คืออ่างรวมสมบัตินั่นเอง
เนื่องจากการแบ่งส่วนแบ่งของเรือเฟิงยวนลำนี้ สำนักเบื้องบนและสำนักเบื้องล่างแบ่งเป็นเจ็ดต่อสาม
ดังนั้นเรื่องอย่างการขุดมุมกำแพง เจ้าสำนักเบื้องล่างอย่างชุยตงซานก็เรียกได้ว่าไม่เก็บออมแรงเอาไว้เลยจริงๆ
ชุยตงซานอยากจะแบ่งหกต่อสี่ แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ตอบตกลง ลูกศิษย์คนนี้คิดถึงเงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไร
นอกจากนี้ยังมีเจี่ยเฉิงเถ้าแก่ร้านฉ่าวโถวตรอกฉีหลงและเฉินหลิงจวินที่แค่มาร่วมวงความครึกครื้นอย่างเดียวเท่านั้น
ผู้ดูแลอันดับรองของเรือข้ามฟากลำนี้ก็คือนักพรตเฒ่าตาบอดเจี่ยเฉิง เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรท่านนี้ ในอนาคตจะต้องรับผิดชอบเรื่องการสานสัมพันธ์กับท่าเรือแต่ละแห่งที่เรือข้ามฟากผ่านทาง รวมไปถึงพรรคตระกูลเซียนทั้งหลาย การไปมาหาสู่ระหว่างผู้คนคือความรู้ใหญ่วิชาหนึ่ง
บนภูเขามีสี่ผีใหญ่ตอแยยากซึ่งรวมผู้ฝึกกระบี่เป็นหนึ่งในนั้น แต่ตามความเห็นของเจี่ยเฉิงแล้วยังมีคนอีกสองประเภทที่คบค้าสมาคมด้วยได้ยากที่สุด เพราะยากมากที่จะอยู่ร่วมกับพวกเขาได้นานโดยไร้ความเบื่อหน่าย หนึ่งคือปัญญาชนของสถานที่เล็กๆ นอกจากนี้ก็คือเซียนซือทำเนียบที่อยู่กึ่งกลางภูเขา
โชคดีที่เจี่ยเฉิงคิดว่าตัวเองพอจะมีประสบการณ์ในยุทธภพอยู่บ้าง
ตอนนั้นเจ้าขุนเขามาเยือนตรอกฉีหลงด้วยตัวเอง แล้วเป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้กับเขาที่เป็นตัวแทนเถ้าแก่มานานหลายปี
เทพเซียนผู้เฒ่าตื่นเต้นจนแทบมิอาจควบคุมตัวเองได้ ได้แต่พึมพำซ้ำๆ ด้วยประโยคว่า ‘ข้ามีความสามารถใดถึงได้คู่ควรกับตำแหน่งนี้’
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้าขุนเขา เห็นดีในกระดูกแก่ๆ อย่างตน ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า ม้าแก่แต่กายใจหมายพันลี้ ภาระหนักหน่วงใหญ่เทียมฟ้าหล่นลงมาบนบ่า มิอาจผลักภาระหน้าที่ได้ ก็ได้แต่ทุ่มสุดชีวิตเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ชุยตงซานเคยพูดกระทบกระเทียบเทพเซียนผู้เฒ่า เขาจึงถอดชุดคลุมเต๋าที่สะดุดตาออกไป ในเมื่อทุกวันนี้สถานะมีการเปลี่ยนแปลง ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว จะปล่อยให้เซียนซือของแต่ละฝ่ายดูแคลนภูเขาบ้านตนก็คงไม่ได้ เทพเซียนผู้เฒ่าจึงเอาชุดคลุมเต๋าที่เก็บไว้ก้นกรุซึ่งไม่ได้เอามาสวมบนร่างนานมากแล้วตัวนั้นออกมา อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า สีหน้าท่าทางสดชื่นปลอดโปร่ง ยิ่งมีกลิ่นอายของเซียนมากกว่าเดิม
เซียนเว่ยไม่ยอมย้ายไปไหน บอกว่าให้ข้าได้พักหายใจหายคอก่อน
เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหัวเรือ โบกมือให้กับกลุ่มคนที่มาส่งตรงท่าเรือ
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไปถามป๋ายเสวียนแล้วว่ายินดีจะติดตามเสี่ยวโม่ฝึกกระบี่หรือไม่ รากฐานมหามรรคา ตบะขอบเขตของเสี่ยวโม่ เขาล้วนบอกให้เด็กชายฟังตามตรง
ป๋ายเสวียนส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวกับที่เสี่ยวโม่มีชาติกำเนิดจากเผ่าปีศาจ เพราะถึงอย่างไรตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาเขาก็นอนหลับอยู่ตลอด ไม่มีความแค้นใดๆ กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาก็แค่ยังไม่อยากมีอาจารย์
มีประโยคหนึ่งที่เด็กชายไม่ได้พูดออกจากปาก
เขามีอาจารย์อยู่แล้ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันลูบศีรษะของเด็กชาย บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ฝืนใจเจ้าแล้ว วันหน้าก็ตั้งใจฝึกกระบี่ให้มากหน่อย อย่าเอาแต่พูดอย่างเดียว มิอาจย่ำยีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่ให้สิ้นเปลืองไปได้ อย่าให้อาจารย์ของเจ้าต้องผิดหวัง
และยังมีอาจารย์และศิษย์อีกคู่หนึ่งที่ถูกบันทึกลงบนทำเนียบของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วแล้ว ซึ่งเป็นคู่ที่ค่อนข้างรื่นเริงยินดี
เหยาเสี่ยวเหยียน ฮ่าๆๆ เด็กชายผมขาว หึหึหึ
อาจารย์และศิษย์รับกันและกัน ไม่มีเหตุการณ์พลิกผันหักมุมอะไร ตอนนั้นภาพเหตุการณ์ก็ประมาณนี้
จางเจียเจินที่ติดตามเหวยเหวินหลงดีดลูกคิดอยู่บนภูเขาลั่วพั่วมานานหลายปี หลังจากวันนี้จะมาฝึกประสบการณ์อยู่บนเรือข้ามฟาก เฟิงยวนได้จัดเตรียมห้องบัญชีไว้ให้เขาโดยเฉพาะห้องหนึ่งแล้ว
และนี่ยังเป็นความต้องการของชุยตงซานด้วย
ส่วนเจี่ยงชวี่ที่เป็นทั้งคนบ้านเดียวกันและเป็นทั้งคนวัยเดียวกัน กำลังเริ่มฝึกตนอยู่ที่ภูเขาฮุยเหมิงอย่างเป็นทางการ ตอนนี้เจี่ยงชวี่ยังไม่มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาที่ชัดเจน เขาถือว่าเป็นผู้ฝึกตนสายยันต์จริงแท้แน่นอนเพียงหนึ่งเดียวบนภูเขาลั่วพั่ว เจี่ยงชวี่มักจะส่งกระบี่บินไปสอบถามผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครเหนือเมฆอย่างหวนอวิ๋นเจินเหริน ขอความรู้เรื่องยันต์เป็นประจำ นอกจากนี้ตอนที่ใต้เท้าอิ่นกวานหวนคืนสู่บ้านเกิดยังได้มอบตำราลับวิชายันต์ที่คัดลอกเองกับมือให้เขาอีกหนึ่งเล่ม บนปกในเขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจงเป็นคำว่า ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ตรงช่วงท้ายยังมีตัวอักษรที่เล็กยิ่งกว่าเขียนคำว่า ‘บน’ ระบุไว้
จางซานเฟิงไม่ได้ติดตามเฉินผิงอันนั่งเรือไปที่ใบถงทวีป เขาคิดว่าจะอยู่เที่ยวในแจกันสมบัติทวีปเพียงลำพังก่อน จะกำจัดปีศาจปราบมารไปตลอดทาง สรุปก็คือจะไม่ให้ถ่วงการไปเข้าร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่วอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเองก็ไม่ขัดขวาง ถึงอย่างไรศิษย์พี่ของจางซานเฟิงก็เป็นหนึ่งในเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่วอยู่แล้ว อันที่จริงหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนคอยปกป้องมรรคาให้ศิษย์น้องอยู่ลับๆ ตลอดทาง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเขตการปกครองชิงหยวน เฉินผิงอันก็รู้เรื่องนี้แล้ว แล้วยังได้ไปดื่มเหล้ากับหยวนหลิงเตี้ยนมาแล้วด้วย พูดคุยกันแล้วถึงได้รู้ว่าเจินจวินท่านนี้มีโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขต แค่พาจางซานเฟิงกลับบ้านเกิดด้วยกัน หยวนหลิงเตี้ยนก็จะปิดด่านเตรียมฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นเซียนเหรินแล้ว
ระหว่างที่พูดคุย สำหรับเรื่องที่ครั้งนี้ตัวเองแย่งหน้าที่ผู้คุ้มกันมาจากมือของศิษย์พี่หลายคนได้ สีหน้าของหยวนเจินจวินเผยความภาคภูมิใจอย่างมาก
เหนือดาดฟ้าเรือข้ามฟากมีเรือนแค่สองชั้น มีห้องทั้งหมดสี่สิบกว่าห้อง
ด้านใต้ดาดฟ้ากลับมีห้องอีกสามชั้น เอาไว้เก็บสินค้า
สมาชิกบนเรือข้ามฟากไม่ซับซ้อน มีหุ่นเชิดยันต์และมัลละเกราะทองหกสิบกว่าตนที่ชุยตงซานสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ถูกตั้งชื่อโดยแบ่งออกเป็นอวี่กง จินซือ เทียวซานกง โมอวี๋เอ๋อร์ ฯลฯ เป็นชื่อที่เฉินผิงอันเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก พวกเขารับผิดชอบการซ่อมบำรุงทั่วไป รวมไปถึงการตรวจสอบสภาพภูมิศาสตร์บนเส้นทางการเดินเรืออย่างลับๆ ฟังจ้งชิวเล่าว่ายันต์หุ่นเชิดพวกนี้รวมกันแล้วมีเกือบร้อยตน ก็เหมือนอย่างยันต์จินซือที่คล้ายคลึงกับตี้ซือของสำนักหยินหยางที่ถูกชุยตงซานโยนไปไว้ตามภูเขาสายน้ำบนแผ่นดินของใบถงทวีปอย่างง่ายๆ เพื่อให้พวกมันค้นหาสมบัติจากทั่วสารทิศ
นอกจากนี้ยังมีผีเซียนดินอีกสองคนที่เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล ล้วนเป็นคนแปลกหน้า คาดว่าวันหน้าคงจะถูกสำนักเบื้องล่างรับเข้าไปอยู่ในทำเนียบศาลบรรพจารย์
เนื่องจากเรือข้ามฟากเฟิงยวนเป็นเส้นทางการเดินเรือที่ใช้ทำการค้าโดยเฉพาะ ไม่หาเงินเทพเซียนจากพวกผู้ฝึกตนทำเนียบที่ออกเที่ยวตามขุนเขาสายน้ำ คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนเรือ ดังนั้นห้องว่างบนหอเรือนสองชั้นที่ขอแค่ไม่มีคนพัก ก็สามารถเอามาใช้เก็บของได้เช่นเดียวกัน
เฉินผิงอันตรงดิ่งไปที่ห้องคุมเรือ อยากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการโคจรของเรือเฟิงยวนให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากตรวจสอบแกนกลางค่ายกลทั้งหลายเหล่านั้น
จ้งชิวเดินนำทางอยู่ด้านหน้าสุด ยิ้มเอ่ยอธิบายว่า “เรือข้ามทวีปลำหนึ่งมีสามเรื่องที่สำคัญในสำคัญ ความเร็วในการทะยานลม ระดับความมั่นคง สุดท้ายก็คือทุกครั้งที่เดินเรือกินเงินไปกี่มากน้อย หรือก็คือเผาผลาญปราณวิญญาณไปมากหรือไม่มาก ทั้งสามอย่างนี้ร้อยเรียงติดต่อกัน ไม่ว่าขั้นตอนใดที่เปราะบางก็อาจจะนำพาเรื่องไม่คาดฝันและการขาดทุนมาให้ได้”
ชุยเหวยอดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เปิดปากเอ่ยว่า “อาจารย์จ้ง วิธีดำเนินการเรือข้ามทวีป อันที่จริงใต้เท้าอิ่นกวานคุ้นเคยมากมานานแล้ว”
ปีนั้นอยู่ในเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘โถงสาขาแยก’ ของคฤหาสน์หลบร้อน อิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เคยคบค้าสมาคมกับผู้ดูแลเรือข้ามทวีปไม่น้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่ไม่ค่อยเหมือนกัน ตอนนั้นส่วนใหญ่แล้วสัมผัสกับสมุดบัญชีมากกว่า แต่ความรู้ที่เกี่ยวพันกับตัวเรืออย่างแท้จริง ข้ากลับเข้าใจน้อยมาก วันนี้อาจารย์จ้งยิ่งพูดละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น”
ความเร็วในการเดินเรือ จวนเซียนและสำนักใหญ่แห่งต่างๆ ที่ได้ครอบครองเรือข้ามฟากจะมีวิธีการช่วยเหลือแบบต่างๆ เป็นของตัวเอง ก็เหมือนอย่างเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาที่มียันต์มัลละกลุ่มใหญ่ลากดึงเรืออยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ ประหนึ่งคนลากเรือให้พุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
จากนั้นเรือข้ามฟากลำหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือข้ามทวีปที่ตัวเรือจำเป็นต้องแข็งแกร่งทนทาน ต้านทานลมพัดฝนกระหน่ำ ฟ้าร้องฟ้าแลบได้ไหว สามารถแบกรับหายนะจากธรรมชาติและภัยพิบัติจากคนไว้ได้ นี่จำเป็นต้องใช้การสร้างและแกะสลักตราผนึกขุนเขาสายน้ำกับยันต์ค่ายกลจำนวนมาก ตอนนั้นเฉินผิงอันพาเด็กทั้งเก้าออกมาจากถ้ำแห่งโชควาสนาบนเกาะหลูฮวา ก่อนจะเจอกับเซียนหญิงชงเชี่ยน ก็ได้เจอเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่มุ่งตรงไปยังใบถงทวีปบนมหาสมุทรไกลๆ รอบเรือลำนั้นมีชุดสีสันสดใสพลิ้วไสว ชายกระโปรงปลิวสะบัด ประหนึ่งกลุ่มนางฟ้าเริงระบำ นั่นก็เพราะมียอดฝีมือสายยันต์วาดรูปธิดามังกร เซียนวารีไว้บนผนังของเรือข้ามฟาก
ในใต้หล้าไพศาล เรือข้ามฟากตระกูลเซียนจะสามารถต้านรับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของเซียนกระบี่เซียนดินหรือหยกดิบคนหนึ่งได้หรือไม่ ก็คือธรณีประตูสองชั้น คือหินฝนทอง
นอกจากนี้เรื่องที่เรือข้ามฟากกินเงินเผาผลาญปราณวิญญาณก็มีข้อพิถีพิถันอย่างมาก ก็เหมือนอย่างเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าที่แม้ความเร็วจะช้า แต่ก็ได้รับเงื่อนไขที่พิเศษในด้านนี้ เพราะมีกุ้ยฮูหยินนั่งบัญชาการณ์ ตรงใจกลางของเกาะมีต้นกุ้ยเผ่าพันธ์ตำหนักดวงจันทร์ที่แท้จริงอยู่ต้นหนึ่ง สามารถมองเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาคนหนึ่งได้ สามารถดูดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้ด้วยตัวเอง นี่จึงเป็นเหตุว่าแม้เกาะกุ้ยฮวาที่อยู่บนมหาสมุทรจะมีความเร็วไม่มากนัก แต่ก็เผาผลาญปราณวิญญาณไปน้อยมาก
ย้อนกลับมามองเรือข้ามทวีปที่งมออกมาจากคลังสมบัติลับของราชวงศ์เสวียนมี่ลำนี้ ความเร็วในการเดินเรือเร็วมาก ไม่อย่างนั้นก็ผิดต่อชื่อ ‘เฟิงยวน’ (ว่าว) แล้ว แต่แกนกลางค่ายกลที่ใช้ในการป้องกันสองแห่งถูกทำลายไปนานแล้ว ดังนั้นชุยตงซานจึงได้แต่ลงมือด้วยตัวเอง ฝังเลื่อมยันต์ม่วงทองลงไปไม่น้อย รากฐานเวทคาถานี้ของเขาเลียนแบบมาจากยันต์ชั้นแล้วชั้นเล่าบนประตูใหญ่ของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ถูกปลุกเสกอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลป้องกันของเฟิงยวน ทุกวันนี้ยังมีเพียงเค้าโครงเท่านั้น เพียงแต่ว่าการกระทำเช่นนี้ ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดก็คล้ายคลึงกับการทับซ้อนของค่ายกลที่ ‘ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด’
เมื่อครู่ฟังจ้งชิวเล่าว่า ชุยตงซานได้ลงมือวาดภาพค่ายกลต่อเนื่องเอาไว้แล้ว และยังจะเปลี่ยนแปลงเรือเฟิงยวนให้เป็นเรือกระบี่ที่คล้ายคลึงกับของกองทัพต้าหลีด้วย
นี่แสดงให้เห็นว่าภายในเวลาร้อยปี ชุยตงซานต้องการสร้างเรือข้ามฟากล้ำนี้ให้คล้ายสำนักแห่งหนึ่งบนภูเขาที่เคลื่อนย้ายไปได้ทั่วทุกหนแห่ง
และการทุ่มเทยันต์ล้ำค่าและสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินเหล่านี้ ชุยตงซานกลับไม่เคยขอจากคลังสมบัติของภูเขาลั่วพั่วแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว
มีเพียงในเรื่องของการเผาผลาญปราณวิญญาณนี้เท่านั้นที่เรือข้ามฟากเฟิงยวนเหนือกว่ามาตรฐานทั่วไปของเรือข้ามทวีป ตอนนี้เฉินผิงอันยังสงสัยว่าอวี้พ่านสุ่ยจงใจรอดูเรื่องตลกของตนหรือไม่
เฉินผิงอันติดตามจ้งชิวดูห้องสามชั้นและแกนกลางค่ายกลสองแห่งในนั้นจนครบถ้วนไม่มีที่ใดตกหล่น
มายังห้องแห่งหนึ่งที่กว้างขวาง ด้านในมีภาพแผนที่บนภูเขาที่ครอบคลุมถึงเส้นทางการเดินเรือของสามทวีป ภูเขาสูงต่ำที่เรือข้ามฟากต้องแล่นผ่านไป สายน้ำคดเคี้ยว ภูเขาจวนเซียนน้อยใหญ่ล้วนเห็นชัดเจนเพียงแค่มอง
เส้นทางการเดินเรือข้ามทวีปของเรือข้ามฟากเฟิงยวนหลักๆ แล้วถือว่าอยู่ในแนวเส้นใต้เหนือ พื้นดินของสามทวีป ท่าเรือทางทิศเหนือสุดคือของราชวงศ์ต้าหยวนที่ตั้งอยู่ภาคกลางลำน้ำจี๋ตู๋ของอุตรกุรุทวีป นอกจากนี้ยังมีนครเหนือเมฆ ชายหาดโครงกระดูก หลังจากข้ามมหาสมุทรแล้วก็คือท่าเรือเหิงเหลียงที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ตำหนักฉางชุนที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวงต้าหลี ภูเขาหนิวเจี่ยวบ้านตน ขุนเขากลาง ขุนเขาใต้ นครมังกรเฒ่า ทางฝั่งของใบถงทวีปก็มีตำหนักพยัคฆ์เขียว ราชวงศ์ต้าเฉวียนในภาคกลาง ขยับไปทางใต้อีกก็เป็นสำนักกุยหยก รวมไปถึงท่าเรือชวีซานทางทิศใต้สุดของทวีป…สิ่งเหล่านี้ล้วนยังเป็นแค่ท่าเรือบนภูเขาที่ค่อนข้างจะสำคัญ ตามพิกัดที่ระบุไว้บนแผนที่แผ่นนี้ ในอนาคตหากรวมท่าเรือบนภูเขาเข้าด้วยกันจะมีมากถึงสิบเจ็ดแห่ง แต่ทุกวันนี้ท่าเรือเกือบครึ่งหนึ่งหากไม่เป็นเพราะขนาดเล็กเกินไปก็เพราะเสื่อมโทรมไม่เหลือสภาพดี ยังไม่เหมาะที่จะให้เรือเฟิงยวนจอดเทียบท่าทำการค้าชั่วคราว
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ประคองภูเขาจิ๋วมายาที่มีชื่อว่าภูเขาไฉ่จือบนแผนที่ขึ้นมาเบาๆ เดิมทีมันมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดงา แต่ทันใดนั้นพื้นฐานของภูเขาทายาทมหาบรรพตทักษิณลูกนี้กลับใหญ่เท่าโต๊ะตัวหนึ่ง เฉินผิงอันเพ่งสายตามองอยู่ชั่วขณะ ทั้งเส้นทางเทพ ศาล หอเก๋ง ศาลาที่อยู่บนภูเขาล้วนปรากฏชัดเจน เอามือกดลงกลางอากาศเบาๆ หนึ่งครั้ง ภูเขาไฉ่จือก็พลันกลับคืนมามีสภาพเดิม โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ภูเขาไฉ่จือก็เหมือนลูกแสงที่ถูกปัดออกไปนอกแผนที่ ไปลอยอยู่ติดผนัง เฉินผิงอันกวักมืออีกครั้ง ภูเขาไฉ่จือกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม กำหมัดแล้วพลันกางออก เฉินผิงอันก็เหมือนเข้าไปอยู่ในศาลาลมริมหน้าผาแห่งหนึ่งของภูเขาไฉ่จือ ด้านข้างมีต้นสนที่หยั่งรากอยู่ระหว่างร่องหินหน้าผาก กิ่งตะปุ่มตะป่ำทอดขวางไปถึงกึ่งกลางหลังคาของศาลา ประหนึ่งปัญญาชนที่วาดขนคิ้วเข้มให้กับสาวงาม เมื่อมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาก็จะลอดทะลุกิ่งใบต้นสนโบราณ ในศาลาก็เหมือนปูแผ่เต็มไปด้วยเกล็ดปลาสีทองระยิบระยับ