กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 891.3 สำนักเบื้องล่าง
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “เริ่มวาดฝันถึงอนาคตแล้ว”
เรือข้ามฟากเฟิงยวนจอดเทียบท่าที่ท่าเรือตระกูลเซียนชื่อว่าขู่หูหลูแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับขุนเขากลาง เนื่องจากมีทะเลสาบน้อยใหญ่เชื่อมโยงต่อกัน ลักษณะคล้ายน้ำเต้า (หูหลู) จึงตั้งชื่อเช่นนี้
อันที่จริงน้ำของทะเลสาบใสมาก ส่วนเหตุใดถึงมีคำว่าขู่ที่แปลว่าขมอยู่ในชื่อ บนภูเขากลับไม่มีคำกล่าวที่ชัดเจน
ทางฝั่งของท่าเรือ จิ้นชิงซานจวินกับปัญญาชนชุดเขียวที่ปราณบุ๋นเข้มข้นคนหนึ่งยืนเคียงไหล่กัน
นอกจากนี้ยังมีหลูป๋ายเซี่ยงและลูกศิษย์สองคนอย่างหยวนเป่าหยวนไหลที่รอคอยเรือข้ามฟากเฟิงยวนอยู่ตรงนี้ด้วย เพียงแต่ว่าท่าเรือหูหลูมีผู้คนมากมายหูตาเยอะ อาจารย์และศิษย์สามคนจึงขึ้นเรือกันไปอย่างเงียบเชียบแล้ว
ทุกวันนี้หลูป๋ายเซี่ยงคือผู้ถวายงานของภูเขาทายาทแห่งหนึ่งของมหาบรรพตกลาง หยวนไหลผู้เป็นลูกศิษย์ยังเคยได้รับโชควาสเซียนอย่างหนึ่งจากภูเขาแห่งนี้
มีหมี่ลี่น้อยอยู่ด้วย จึงไม่มีข่าวเล็กๆ ข่าวใดที่เฉินผิงอันไม่ล่วงรู้
ดังนั้นครั้งนี้หยวนเป่าไปที่ใบถงทวีป ถึงเวลานั้นครั้งแรกที่นางได้พบหน้าเฉาฉิงหล่าง เฉินผิงอันจึงตั้งใจว่าจะสังเกตให้มากหน่อย ดูสิว่าข่าวลือมีมูลความจริงหรือไม่
แม้จะบอกว่าสุดท้ายแล้วหยวนป๋ายหนึ่งในหยกคู่บนวิถีกระบี่ของจูอิ๋งเก่าก็ยังไม่อาจหลุดพ้นไปจากภูเขาตะวันเที่ยง ติดตามจิ้นชิงมาฝึกตนที่ขุนเขากลางได้ แต่ต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงตั้งชื่อว่าภูเขาหวงซาน รับผิดชอบเรื่องการสร้างสำนักเบื้องล่างของภูเขาตะวันเที่ยง หากตัดคำว่าตัวสำรองออก หยวนป๋ายก็จะกลายเป็นเจ้าสำนัก เพียงแต่ว่าขอบเขตของหยวนป๋าย เกินครึ่งคงต้องหยุดอยู่ที่ก่อกำเนิดมิอาจขยับเดินหน้าได้แล้ว และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ภูเขาตะวันเที่ยงวางใจให้หยวนป๋ายมาดูแลกิจธุระในการสร้างสำนักเบื้องล่าง
ทว่าจิ้นซานจวินก็ยังคงเห็นแก่น้ำใจส่วนนี้ของเจ้าขุนเขาเฉิน ดังนั้นจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็วว่า วันหน้าค่าใช้จ่ายเมื่อเรือเฟิงยวนของภูเขาลั่วพั่วมาจอดเทียบท่าที่นี่ทุกครั้งจะลดให้ห้าส่วน
อันที่จริงคราวก่อนที่ชุยตงซานนั่งบัญชาการณ์เรือข้ามฟากเดินทางลงใต้ไปยังใบถงทวีป ระหว่างทางก็ได้มาจอดพักที่ท่าเรือขู่หูหลู ตอนนั้นบนเรือยังมีผู้ฝึกกระบี่ที่ใช้นามแฝงว่าเส้าพอเซียนอยู่ด้วย ทว่าตอนที่จิ้นชิงขึ้นเรือมากลับไม่ได้ไปเจอเขา
ทว่ารอกระทั่งซานจวินใหญ่ท่านนี้ลงจากเรือกลับไปที่ศาลแล้วก็ไปยืนที่หน้าประตู คารวะอำลาไกลๆ ให้กับเรือข้ามฟากที่ผลุบหายเข้าไปในเมฆขาวอย่างนอบน้อม
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่ลงจากเรือ ยิ้มก้าวเดินเร็วๆ เดินไปข้างหน้า กุมหมัดคารวะ “คารวะเว่ยซานจวิน เจ้าเมืองอู๋”
ปัญญาชนชุดเขียวก็คือคนคุ้นเคยของบ้านเกิดแล้ว ก็คืออู๋ยวนนั่นเอง ปีนั้นต้องไปชนตออยู่ที่อำเภอไหวหวงหลงโจว เส้นทางที่เจริญก้าวหน้าของการเป็นขุนนางปูเต็มไปด้วยตะปูอ่อนที่พวกแซ่สกุลใหญ่ของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่โยนทิ้งเอาไว้ สุดท้ายได้แต่ไปจากหลงโจวอย่างหม่นหมอง เท่ากับว่าถูกลดระดับขั้นให้ไปดำรงตำแหน่งในเขตการปกครองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตีนเขาของขุนเขากลาง ทุกวันนี้กลายเป็นขุนนางที่อยู่ชายแดนห่างไกลของต้าหลี สถานะยังคงเป็นเจ้าเมือง ในฐานะลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของราชครูชุยฉาน อีกทั้งยังเป็นนายอำเภอคนแรกของอำเภอไหวหวงหลงโจว เรื่องของการเลื่อนขั้นก็เรียกได้ว่าเริ่มต้นสูงเดินลงสู่ที่ต่ำจนต่ำไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ในวงการขุนนางท้องถิ่น เจ้าเมืองอู๋อย่างมากสุดก็ได้แค่ไปคว้าตำแหน่งว่างงานในที่ว่าการเก้ามนตรีเล็กของเมืองหลวงสำรองแล้วใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นั่นเท่านั้น สมญานามที่ถูกอวยยศให้ย้อนหลัง? ฝันไปเถอะ
แต่เฉินผิงอันรู้ว่าอีกไม่นานอู๋ยวนจะถูกโยกย้ายกลับไป ได้รับการยกเว้นให้เลื่อนขั้นเป็นผู้ว่า ‘คนใหม่’ ของจังหวัดฉู่โจวแห่งใหม่หรืออดีตหลงโจวเก่านั่นเอง
จิ้นชิงกุมหมัด พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
อู๋ยวนประสานมือคารวะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อู๋ยวนคารวะอาจารย์อาน้อยเฉิน”
ถูกอู๋ยวนเรียกว่าอาจารย์อาน้อย เฉินผิงอันก็ถึงกับหลุดหัวเราะพรืด
เฉินผิงอันมาในวันนี้ก็เพื่อปรึกษาสามเรื่องอย่างเรื่องการขุดหิน ตัดต้นไม้และซื้อกรวดทรายแม่น้ำกับซานจวินขุนเขากลาง แน่นอนว่าไม่ใช่หินหรือไม้ธรรมดาอะไร พูดถึงแค่ไม้ถานมู่โบราณที่มีเฉพาะบนภูเขาทายาทลูกหนึ่งของขุนเขากลาง ในแจกันสมบัติทวีปชื่อเสียงก็เป็นรองแค่ไม้ใหญ่อวี้จางเท่านั้น เป็นตัวเลือกแรกในการนำไปทำเสาคานในตำหนักต่างๆ และใช้ในงานพิธีสำคัญทั้งหลายของแต่ละแคว้นในภาคกลาง ราชวงศ์จูอิ๋งยังสร้างสำนักจัดซื้อขึ้นมาที่ตีนเขาโดยเฉพาะ ซึ่งถูกวังหลวงของฝ่ายเชื้อพระวงศ์ผูกขาดการตัดและเก็บมาโดยตลอด ไม่ได้มีการขายเป็นต้นด้วยซ้ำ แต่ขายด้วยการชั่งน้ำหนัก ไม้ถานมู่หนึ่งชุ่นเท่าทองหนึ่งชุ่น
ก่อนหน้านี้ชุยตงซานคุยเรื่องทิศทางกับจิ้นชิงไว้คร่าวๆ แล้ว แต่กลับยังเจรจากันเรื่องราคาไม่สำเร็จ จึงได้แต่ให้อาจารย์แสดงฝีมือเองแล้ว
ใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ ทุกหนทุกแห่งแทบจะมีแต่ซากปรัก แต่ละแคว้นทยอยกันกอบกู้ฟื้นคืน จึงมีความต้องการมหาศาลต่อไม้ใหญ่และกรวดหินของตระกูลเซียนบนภูเขา แน่นอนว่าในพื้นที่ของใบถงทวีปซึ่งแผ่นดินกว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ก็ต้องมีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าหนึ่งการขุดค้นไม่ใช่เรื่องง่าย สองจวนตระกูลเซียนแต่ละแห่งก็ต้องการซ่อมแซมศาลบรรพจารย์เช่นเดียวกัน ย่อมต้องสร้างจวนเซียนของตัวเองขึ้นมาใหม่ก่อน บวกกับที่ทั้งบนและล่างภูเขาของใบถงทวีป เรื่องของการแข่งขันได้ค่อยๆ กลายมาเป็นประเพณีนิยม แข่งกันเป็นคนมือเติบ ต่อให้ต้องรัดเข็มขัดกางเกงแน่น หรือจะต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น ก็ยังต้องสร้างตำหนักในพระราชวัง หรือไม่ก็นครตามสถานที่ต่างๆ ให้ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งกว่าตอนก่อนเกิดสงคราม
เสี่ยวโม่มองคุณชายอยู่ด้านข้างเงียบๆ คุณชายหัวเราะพูดคุยกับซานจวินและเจ้าเมืองอย่างผ่อนคลาย เรื่องของราคาไม่มีคำว่าเรื่องดีเต็มไปด้วยอุปสรรคอะไรด้วยซ้ำ ราวกับว่าจิ้นชิงซานจวินก็แค่รอให้คุณชายของตนปรากฏตัวเท่านั้น
สามเรื่องอย่างการทำเหมืองหิน ตัดต้นไม้และขุดกรวดทรายจากท้องน้ำ ไม่จำเป็นต้องให้ภูเขาลั่วพั่วส่งคนงานมาด้วยซ้ำ จิ้นชิงบอกให้เจ้าขุนเขาเฉินวางใจได้ การค้าที่เป็นดั่งสายน้ำเส้นเล็กไหลยาว ไม่จำเป็นต้องให้ขุนเขากลางบ้านตนขายหน้าด้วยเงินเทพเซียนแค่ไม่กี่เหรียญนั้น
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับเอ่ยว่าตกลง
อยู่ดีๆ ก็อดนึกไปถึงจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่บางทีตอนออกจากบ้านอาจไม่เปิดปฏิทินดูให้ดีขึ้นมา กว่าจะย้ายจากอาณาเขตขุนเขาเหนือของเว่ยป้อมาอยู่ขุนเขากลางได้ ผลคือกลับเจอจิ้นชิงซานจวินจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งใหญ่ขึ้นมาอีก
ช่างเป็นเรื่องน่าตกตะลึงระคนยินดีที่มากพอจะให้คนน้ำตาคลอได้เลย…
เรือเฟิงยวนออกเดินทางลงใต้ต่ออีกครั้ง
จ้งชิวและหลูป๋ายเซี่ยง คนบ้านเดียวกันที่มาจากพื้นที่มงคลแห่งเดียวกันได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน จึงประชันหมากล้อมกันไปหลายตา
เสี่ยวโม่ชมศึกอยู่ด้านข้าง เป็นวิญญูชนที่ไม่พูดจายามดูคนเล่นหมากล้อม
หยุดนิ่งเนิ่นนาน พลันได้ยินเสียงเม็ดหมากวางแผ่วเบา
ในห้อง อวี๋เสียหุยนั่งขัดสมาธิกำลังเข้าฌานหลอมกระบี่ ชุยเหวยนั่งสังเกตดูการไหลเวียนลมปราณของลูกศิษย์อยู่ด้านข้าง คอยมองหาช่องโหว่ในจุดที่เล็กละเอียด
เผยเฉียนอยู่ตรงท้ายเรือ กำลังสอนหมัดให้กับจ้าวซู่เซี่ย
มีความหมายเหมือนการถ่ายทอดวิชาแทนอาจารย์อยู่บ้าง
จ้าวซู่เซี่ยฝึกหมัดอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจจริงจังเฉพาะกับวิชาหมัดเขย่าขุนเขาเท่านั้น ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตห้าแล้ว
ขอบเขตไม่ต่ำ แต่ก็ไม่สูง
ไม่ต่ำก็เพราะเทียบกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทั่วไป ไม่สูงเมื่อเทียบกับภูเขาลั่วพั่วของอาจารย์
ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสจูเหลี่ยน จ้งชิว หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน และยังมีเผยเฉียน เฉินยวนจี พวกหยวนไหลหยวนเป่าที่เป็นคนรุ่นเดียวกัน เส้นทางการเรียนวรยุทธตลอดหลายปีมานี้ของจ้าวซู่เซี่ย เห็นได้ชัดว่าธรรมดาอย่างมาก ไม่มีพื้นฐานในด้านคุณสมบัติพรสวรรค์ใดๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับเผยเฉียนปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์เช่นเดียวกัน จ้าวซู่เซี่ยจึงอดรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อยู่บ้าง
สอนหมัดไม่ป้อนหมัดก็เท่ากับว่าเปลืองแรงเปล่า
ประลองกันไปหนึ่งครั้ง แต่เผยเฉียนออกหมัดอย่างรู้หนักเบา ไม่ว่าจะเป็นหมัด หรือศอกถอง เท้าเตะ ล้วนหยุดแต่พอสมควร มองดูเหมือนคล้ายกบกระโดดแตะผิวน้ำ ทว่าต่อให้เผยเฉียนจะกดขอบเขตไว้แค่ไหนก็ยังทำให้จ้าวซู่เซี่ยต้องเผชิญความลำบากอยู่ไม่น้อย
รอกระทั่งเผยเฉียนเก็บหมัดหยุดยืนนิ่ง จ้าวซู่เซี่ยก็หน้าซีดขาวน้อยๆ แขนสั่นระริก ร่างโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่
ทั้งสองฝ่ายต่างถอยไปคนละก้าว กุมหมัดคารวะกัน
เผยเฉียนพูดเสียงเบา “ศิษย์น้องจ้าว หมัดเท้าของเจ้าค่อนข้างตายตัว คนปล่อยหมัดกล้าตาย แต่ปณิธานหมัดไร้ชีวิต ถึงอย่างไรก็ยังขาดความหมายบางอย่างอยู่”
ถึงอย่างไรก็เป็นคนสำนักเดียวกัน ดังนั้นเผยเฉียนจึงยั้งคำพูดไว้มากแล้ว เลือกใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงไม่ให้ทำร้ายความภาคภูมิใจของศิษย์น้องคนนี้
จ้าวซู่เซี่ยไม่ใช่คนโง่ จึงรู้ถึงความหวังดีของศิษย์พี่หญิงเผยเป็นอย่างดี
เผยเฉียนป้อนหมัดให้เขาก็คือการทำให้นางเสียเวลาเปล่า
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ศิษย์น้องจ้าว ภาพบรรยากาศปณิธานหมัดของเจ้า อันที่จริงดีมากแล้ว ได้ความหมายของคำว่า ‘เที่ยงตรง’ พยายามให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย”
การเดินนิ่งหกก้าวของจ้าวซู่เซี่ยฝึกฝนจนเข้าขั้นชำนาญมานานมากแล้ว
แต่การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธ ถึงอย่างไรก็ไม่เท่ากับการประชันกันแค่ท่าหมัดเท่านั้น ดังนั้นต่อให้จ้าวซู่เซี่ยจะขึ้นเวทีประลองกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันก็อยู่ไกลเกินกว่าจะได้เปรียบใดๆ
ยิ่งเป็นการถามหมัดข้ามขอบเขตกับคนอื่นก็ยิ่งเป็นความเพ้อฝันแล้ว
แต่เผยเฉียนคิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมดูเหมือนอาจารย์พ่อคล้ายจะจงใจไม่ถ่ายทอดวิชาหมัดที่สูงส่งกว่านี้ให้กับจ้าวซู่เซี่ย?
วันนี้ไฉอู๋ดื่มเหล้าไปสองชาม วางชามสีขาวสองใบทับซ้อนกันไว้บนโต๊ะ แม่นางน้อยส่งเสียงเรอดังเอิ้ก จากนั้นก็เริ่มฝึกตน หลอมกระบี่บินที่มีชื่อว่า ‘ซินฮว่อ’ เล่มนั้นต่ออีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เจ้าขุนเขาได้ถ่ายทอดวิชาเซียนหลอมวัตถุให้นางด้วยตัวเองบทหนึ่ง แต่ความรู้นั้นสูงส่งลึกล้ำเกินไป ตัวอักษรมีมากเกินไป อีกทั้งยังมีคำศัพท์มากมายที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน นางจึงเหมือนดื่มเหล้าจนเมา เวียนหัวไปหมด…
สุดท้ายเจ้าขุนเขาจึงให้อาจารย์เสี่ยวโม่ที่เป็นผู้มอบกระบี่บินให้นางมาพูดคุยกับนาง คุยกันพักหนึ่ง นางก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว แค่ต้องตั้งใจเล็กน้อย เอาลมปราณส่วนนั้นแผ่ออกไปเหมือนไยแมงมุม อย่างมากก็คือต้องแบ่งสมาธิไปเดินบนเส้นทางเจ็ดแปดเส้นในเวลาเดียวกันเท่านั้น แค่นี้ก็สำเร็จแล้ว ถึงอย่างไรเส้นทางพวกนั้น อาจารย์เสี่ยวโม่ก็พูดอย่างชัดเจน มีคนช่วยชี้ทางให้ ไฉอู๋แค่ทำตามก็พอแล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการเรียนพับกระดาษจากอาจารย์ผู้เฒ่าที่ร้านขายธูปเทียน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องของจางเจียเจิน
น่าหลันอวี้เตี๋ยก็มาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่ที่นี่ด้วย แม่นางน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้ โคลงศีรษะไปมา มือหนึ่งพลิกเปิดสมุดบัญชี อีกมือหนึ่งดีดลูกคิดดังป้อกๆ แป้กๆ
นับตั้งแต่เหวยเหวินหลง มาถึงจางเจียเจิน จนมาถึงน่าหลันอวี้เตี๋ย พูดถึงแค่นักบัญชี ภูเขาลั่วพั่วก็มีผู้มากพรสวรรค์ในด้านนี้อยู่จริงๆ ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลว่าจะชักหน้าไม่ถึงหลังอะไรอีกแล้ว
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว สีหน้าอ่อนใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ถ่ายทอดวิชาหลอมวัตถุให้แม่นางน้อย พูดคาถาซ้ำไปสองรอบ
หนึ่งถามหนึ่งตอบ
เข้าใจแล้วหรือยัง?
ไม่เข้าใจ
จำเนื้อหาได้แล้วหรือยัง
จำไม่ได้
สุดท้ายเฉินผิงอันจึงได้แต่ขอกำลังเสริม เรียกเสี่ยวโม่ให้มาช่วยถ่ายทอดวิชาให้แก่แม่นางน้อย
เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านข้าง มองเสี่ยวโม่กับไฉอู๋ที่คนหนึ่งถามคำถาม คนหนึ่งพยักหน้า เจ้าขุนเขาก็ตกตะลึงจนต้องดื่มเหล้าระงับความตกใจอยู่กับตัวเองเงียบๆ
ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
มีเพียงผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนกับผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนเท่านั้นถึงจะคุยกันรู้เรื่อง
ก็เหมือนในอดีตตอนที่หนิงเหยาสอนวิชาหมัดให้แก่เฉินผิงอัน อยู่ในจุดยืนที่แตกต่างกัน หนิงเหยาเองก็ต้องอ่อนใจเหมือนกัน
น่าหลันอวี้เตี๋ยถามอย่างใคร่รู้ “ใต้เท้าอิ่นกวาน ไม้ถานมู่ที่ขุนเขากลางกินพื้นที่มากเลยนะ นี่ก็ยังไม่เท่าไร ถึงอย่างไรไม้ถานมู่ก็มีราคา แต่หินกรวดที่ได้จากเหมืองหินกับท้องน้ำ ทั้งหนักทั้งกินพื้นที่ ราคาก็ยากที่จะพุ่งสูงขึ้นได้อีก เฟิงยวนคือเรือข้ามทวีปนะ จากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปขนส่งไปถึงใบถงทวีป ต้นทุนสูงเกินไป พวกเราจะขาดทุนหรือไม่ ทำไมไม่ให้เรือข้ามฟากฟานโม่ที่ระยะทางค่อนข้างสั้นทำการค้านี้แทนล่ะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ หันหน้าไปมองจางเจียเจิน “เจียเจิน เจ้าช่วยอธิบายสาเหตุให้อวี้เตี๋ยฟังหน่อยเถอะ”
จางเจียเจินกล่าว “ทุกวันนี้แต่ละแคว้นในใบถงทวีปต่างก็รอการบูรณะฟื้นฟูจากความเสียหาย ไม่ว่าอะไรก็ขาดแคลน แต่เรื่องเร่งด่วนมากที่สุดต้องไม่ใช่ของประดับตกแต่ง ของโบราณภาพวาดหายากอะไรแน่นอน แต่เป็นการก่อสร้างที่ต้องใช้ดินใช้ไม้สำหรับเมืองหลวงของหนึ่งแคว้น ดังนั้นสิ่งที่พวกเราได้มาจึงไม่ใช่เงินในตอนนี้ แต่เป็นเงินจากในอนาคต นอกจากนี้หากพวกเราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าจักรพรรดิของที่นั่น ได้ทำการค้าในระยะยาว ปูพื้นฐานที่ดีเอาไว้ สำหรับเรือข้ามฟากเฟิงยวนแล้วก็ไม่ต้องกลุ้มว่าจะไม่มีโอกาสหาเงินก้อนใหญ่ อีกอย่างพวกเรายังถึงขั้นสามารถใช้ราคาที่ต่ำที่สุดไปกว้านซื้อ ‘ของไร้ประโยชน์’ จากมือของพวกขุนนางใหญ่ในแต่ละแคว้นมาแล้วเอาไปขายให้กับแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปที่ยินดีซื้อในราคาสูง นี่จึงทำให้เรือข้ามฟากเฟิงยวนได้รับความเอนเอียงจากทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้ อวี้เตี๋ย หากเจ้าคิดปัจจัยเหล่านี้เข้าไปด้วยก็จะค้นพบว่าการค้าที่ใต้เท้าอิ่นกวานและเจ้าสำนักชุยทำร่วมกับขุนเขากลางครั้งนี้ ไม่เพียงแต่คุ้มค่า ยังหาเงินได้มากอีกด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “ก็คือเหตุผลข้อนี้ เรื่องของการค้าขาย แน่นอนว่าเงินทองต้องสำคัญ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจหลักการข้อหนึ่งที่บอกว่ามองเห็นเงินก้อนใหญ่นอกสมุดบัญชีด้วย”
น่าหลันอวี้เตี๋ยฟังด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “ได้เรียนรู้แล้ว ได้เรียนรู้แล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นอกจากนี้ก็คือล่างภูเขาของใบถงทวีปขาดเงินทอง บนภูเขาขาดเงินเทพเซียน ดังนั้นสำนักเบื้องล่างจึงขาดเรื่องการยืมเงินและติดค้างน้ำใจคนไม่ได้”
น่าหลันอวี้เตี๋ยถาม “ปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูง? ใครกล้าไม่คืนเงินก็ให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ไปหาถึงบ้านแล้วฟันมือคนผู้นั้น?!”
อันที่จริงจางเจียเจินก็คิดคำตอบไว้แล้ว เพราะทุกวันนี้มีกองกำลังจำนวนไม่น้อยของแคว้นอื่นที่ทำเรื่องประเภทนี้อยู่ในใบถงทวีป เป็นการค้าที่เรียกได้ว่าได้กำไรมหาศาลจริงๆ
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คนอื่นล้วนทำเช่นนี้ แต่พวกเราจะไม่ทำ”
น่าหลันอวี้เตี๋ยคิดแล้วก็เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “ต้นไม้ใหญ่เรียกลมนะ จะทำให้คนอื่นมองเป็นศัตรูแล้วถูกบีบให้ต้องโดดเดี่ยวหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ดังนั้นจึงต้องให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ไปคอยพิทักษ์สำนักเบื้องล่างอย่างไรล่ะ”
จางเจียเจินพลันลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วกุมหมัดคารวะใต้เท้าอิ่นกวานเงียบๆ
จักรพรรดิของหนึ่งแคว้นและเทพเซียนบนภูเขากู้เงินดอกเบี้ยสูงไป ถึงเวลานั้นจะใช้คืนอย่างไร? แน่นอนว่าต้องเฉลี่ยลงบนหัวประชาชน
เฉินผิงอันยื่นมือมากดลงความว่างเปล่าให้จางเจียเจินสองที จากนั้นก็เริ่มพลิกเปิดสมุดบัญชี “พวกเราทำงานของตัวเองกันต่อเถอะ”
ผลผลิตบางอย่างในพื้นที่มงคลรากบัวบ้านตน ยกตัวอย่างเช่นยันต์สาวงามของแคว้นหู เนื่องจากทุกวันนี้ระหว่างกองกำลังสามฝ่ายของแคว้นหูไม่มีการเข่นฆ่านองเลือดกันอีกแล้ว ล้วนเป็นพวกจิ้งจอกเฒ่าที่ชีวิตดับสิ้นไปในวัยชรากันหมดแล้ว คราบร่างที่ทิ้งไว้หลังสละร่างจากไปมีจำนวนน้อยมาก ทว่าระดับขั้นกลับสูงยิ่ง
อีกทั้งชุยตงซานยังเอ่ยถึงเรื่องหนึ่งในจดหมาย บอกว่าเพราะโชคช่วย เขาจึงไปเจอกับผู้ฝึกตนของหอซูอี๋จากอวี้จือก่างแห่งใบถงทวีปสามคน อายุไม่มาก ประมาณร้อยกว่าปี ตอนนั้นที่สำนักอวี้จือก่างถูกทำลายจนพินาศวอดวาย คนทั้งสามออกไปหาประสบการณ์อยู่ข้างนอกพอดีจึงโชคดีรอดพ้นหายนะครั้งนั้นไปได้ เป็นเหตุให้ยันต์สาวงามของหอซูอี๋ที่เป็นเลิศในหนึ่งแคว้นไม่ได้ควันธูปขาดสะบั้นไปนับแต่นั้น แม้จะบอกว่าฝีมือของลูกศิษย์สามคนนี้ เมื่อเทียบกับฝีมืออันเลิศล้ำของอาจารย์ที่เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันของหอซูอี๋แล้วจะด้อยกว่าไม่น้อย แต่ปัญหาก็ไม่มาก ลูกศิษย์ของหอซูอี๋ทั้งสามคนแค่ต้องวาดสาวงามขึ้นมาเท่านั้น เขาชุยตงซานและพ่อครัวเฒ่าล้วนสามารถ ‘จรดพู่กันแต้มนัยน์ตา’ ในขั้นตอนท้ายสุดให้สำเร็จลงได้