กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 895.2 ใต้หล้าล้วนรับรู้
เซียนซือเฒ่าลูบหนวดไม่พูดไม่จา สุดท้ายเป็นเพราะปฏิเสธไม่ได้จริงๆ จึงขี่เมฆทะยานหมอกร่ายสมบัติแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นออกมา ใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน ประกายแสงแวววาวไหลริน แสงศักดิ์สิทธิ์สาดสะท้อนไปครึ่งสนามรบ เทพเซียนผู้เฒ่าร่ายวิชาเซียน เพียงไม่นานก็ช่วงชิงเอาคุณความชอบที่ไม่เล็กครั้งหนึ่งมาได้ เวทคาถาหล่นลงพื้น ผู้ฝึกตนเฒ่าคิดดูแล้วรู้สึกว่าปราณวิญญาณยังเหลือค่อนข้างมากจึงเตรียมจะเรียกวิชาอภินิหารก้นกรุอีกอย่างหนึ่งออกมาแล้วถอยออกจากสนามรบ คิดไม่ถึงว่าจะโดนลูกธนูที่ผลิตด้วยกรรมวิธีลับจากบนภูเขาของกองทัพศัตรูระดมยิงเข้าใส่ ทำลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำของสมบัติหนักที่สามารถป้องกันได้ชิ้นนั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าหมายจะถอยออกไปก่อนล่วงหน้า แต่กลับถูกผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลคนหนึ่งง้างคันธนูใหญ่ยักษ์ ใช้การยิงลูกธนูติดต่อกันเป็นสายฆ่าเขาให้ตายคาที่ ลูกธนูที่แกะสลักอักขระยันต์ลายเมฆสิบกว่าดอกนั้นถึงกับวาดเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งเงาตามติดตัว ผู้ฝึกตนเฒ่าที่หลบไม่พ้น ตรงหน้าอกถูกลูกธนูแทงทะลุจนมีขนาดใหญ่เท่าเงินเหรียญทองแดง
ภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่นอกสนามรบ
เผยเฉียนเห็นภาพนั้นแล้วก็เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนพาตัวเข้าสู่สนามรบ คิดจะช่วงชิงคุณความชอบมาไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากคิดอยากจะอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวมาตัดสินแพ้ชนะบนสนามรบ สังหารทหารล่างภูเขาในกองทัพใหญ่อย่างกำเริบเสิบสานกลับทำได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น มิอาจทำซ้ำได้”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์
แต่เสี่ยวโม่กลับใจลอย
ยามที่หิมะตก ตรงริมสะพานโบราณแห่งหนึ่ง ต้นเหมยเก่าแก่หลายต้นกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งเหมยทั้งหิมะต่างก็สะอาดสดชื่น
ปลายด้านหนึ่งของสะพานยาวคล้ายว่าจะมีอาจารย์ผู้เฒ่าจากสำนักศึกษาคนหนึ่งนำพาบัณฑิตกลุ่มหนึ่งออกทัศนาจร มาปักหลักชมทัศนียภาพอยู่ที่นี่
อันที่จริงคือผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งที่มีอายุประมาณเจ็ดสิบปี เขากำลังเล่าเรื่องตระกูลเซียนที่ล่องลอยดุจภาพมายาให้กับลูกศิษย์ในสำนักฟัง พูดถึงวิชาคาถา คู่ครอง สมบัติ สภาพแวดล้อม สี่อย่างในการฝึกตน บอกว่าคนที่เป็นเซียนดินสามารถเป็นเด็กที่มีอายุพันปี ฝีเท้าแผ่วเบา ก้าวเดินประหนึ่งโบยบิน เป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย เข้าออกพื้นที่สวรรค์ถ้ำมงคล ก้าวข้ามห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร สยบห้าบรรพตหมื่นภูเขา
คำพูดประโยคนี้พูดเสียจนพวกลูกศิษย์ที่เพิ่งขึ้นเขาได้แค่ไม่กี่ปีสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา รู้สึกเลื่อมใสถึงขีดสุด
ผู้ฝึกตนเฒ่ายื่นมือมาปัดหิมะที่ทับถมอยู่บนสะพานเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เส้นทางบนภูเขามีมากมาย ทว่านับแต่โบราณมาวิชามากมายนับร้อยพัน เหล่าลูกศิษย์ล้วนสามารถเรียกร้องอยากเรียนรู้ได้ มีเพียงสายของเซียนกระบี่เท่านั้นที่แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่อาจารย์รับลูกศิษย์ ไม่เคยมีลูกศิษย์ที่เป็นฝ่ายไปตามหาอาจารย์แล้วร่ำเรียนได้สำเร็จ เซียนกระบี่รับลูกศิษย์ล้วนมีธรณีประตูที่สูงเทียมฟ้าเสมอ ยอมให้การสืบทอดสาบสูญ แต่ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ …”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งพยักหน้า “มิน่าเล่าใต้หล้าถึงมีเซียนกระบี่น้อยขนาดนี้”
เด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างถลึงตาใส่ “เจ้าอย่าพูดแทรกท่านอาจารย์”
ผู้ฝึกตนเฒ่าใช้หลังมือปัดกองหิมะ หิมะจึงหล่นลงไปบนพื้นน้ำแข็งที่อยู่ด้านล่าง “มีการเล่าลือมาแต่โบราณว่า เซียนกระบี่ที่แท้จริง บนร่างจะต้องมีเวทกระบี่ชั้นสูง ได้รับวาสนาจากฟ้าดิน เป็นเหตุให้ดูแคลนที่จะใช้ศาสตราวุธเทพมาโดยตลอด ขอแค่หลอมเม็ดกระบี่เม็ดหนึ่งออกมาได้ก็จะมีความมหัศจรรย์ดั่งการจำแลงของมังกรเทพ มีจิตแห่งมรรคาที่สงบบริสุทธิ์เป็นกล่องกระบี่ ห้องว่างเปล่าสีขาวดุจดวงตะวันจันทรา สามารถตัดหัวคนได้ไกลพันลี้…”
ลูกศิษย์ทั้งกลุ่มฟังด้วยความเคลิบเคลิ้มเหมือนได้ดื่มเหล้า อืม เว้นจากเด็กหนุ่มที่ชอบพูดขัดจังหวะ เขาอดไม่ไหวเปิดปากอีกครั้งว่า “อาจารย์อา คราวก่อนที่พวกเราเจอสหายบนภูเขาของท่าน ขอร้องเขาอยู่ตั้งนาน อีกฝ่ายก็ยังตัดใจมอบรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับนั้นให้ท่านไม่ได้ ไหนเขาบอกว่าใต้หล้านี้มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่หรือ? ในรายงานก็บอกแล้วว่าสถานที่แห่งนั้นไม่ใหญ่ แต่ทุกคนล้วนเป็นเซียนกระบี่ ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเซียนกระบี่ผู้อาวุโสถึงรับเซียนกระบี่ใหม่มาเป็นลูกศิษย์ล่ะ?”
ผู้ฝึกตนเฒ่ายังคงยิ้มเป็นปกติ แต่ในใจกลับเอ่ยนินทาไม่หยุด เหตุใดศิษย์พี่ถึงได้รับคนอย่างนี้มาเป็นลูกศิษย์กันนะ เจ้าเด็กนี่เวลาปกติอยู่ที่บ้านชอบช่วยคนสร้างบ้านหรืออย่างไร ถึงได้ชอบรื้อเวที (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบพูดขัดคอ ขัดจังหวะผู้อื่น) คนอื่นอย่างนี้
อันที่จริงตัวผู้เฒ่าเองก็เพิ่งจะรู้ว่ามีสถานที่ที่ชื่อว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จากรายงานขุนเขาสายน้ำของสหายรักเช่นเดียวกัน
ห่างไปไกลบนฝั่งตรงข้าม คนกลุ่มหนึ่งเดินย่ำหิมะขึ้นมาบนสะพาน ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงดังแสกสาก
ผู้ฝึกตนเฒ่าหันหน้าไปมอง ท่ามกลางลมหิมะ คนชุดเขียวคนหนึ่งเดินนำมาด้านหน้าสุด มือสองข้างปั้นลูกหิมะลูกหนึ่ง ข้างกายเขามีคนติดตามมาสามคน ดูท่าแล้วน่าจะอายุไม่มากนัก
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์อา ท่านรีบร่ายเวทคาถาเร็วเข้า คาถาพวกเปิดตาทิพย์อะไรนั่นน่ะ ช่วยข้าดูหน่อยว่าในกลุ่มคนมีเซียนกระบี่ที่ต้องการลูกศิษย์อยู่บ้างหรือไม่”
ผู้ฝึกตนเฒ่าเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “เจ้าก็ไปถามเอาเองสิ!”
บนสะพานโบราณแห่งหนึ่ง คนสองกลุ่มเดินสวนไหล่ผ่านกันไป
ผู้ฝึกตนเฒ่าเป็นฝ่ายผงกศีรษะยิ้มทักทายก่อน บุรุษชุดเขียวที่ตรงเอวพกดาบคู่ยิ้มผงกศีรษะทักทายกลับคืน
พอคนกลุ่มนั้นจากไปไกลแล้วเด็กหนุ่มก็เอ่ยว่า “อาจารย์อา คาดว่าน่าจะไม่มีเซียนกระบี่หรอก ขนาดเดินยังมีเสียงเลย ไม่ใช่ว่าย่ำหิมะไร้ร่องรอยสักนิด”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคร้านจะสนใจเด็กหนุ่มคนนี้ เล่าเรื่องราวประหลาดน่าสนใจและเรื่องราวของเทพเซียนบนภูเขาต่อไป อันที่จริงเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล่าที่ผู้เฒ่าฟังคนอื่นเล่ามาอีกที
นครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน หลังจากที่หิมะตกลงมาจะเหมือนดินแดนเซียนแก้วใส งดงามเกินคำบรรยาย แยกไม่ออกว่าเป็นบนสวรรค์หรือโลกมนุษย์
คนต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งออกเดินทางไกลกันต่อ ส่งมอบเอกสารผ่านด่านให้ที่หน้าประตูเมือง
เฉาโม่ เจิ้งเฉียน
ส่วนเฉาฉิงหล่างกับเสี่ยวโม่นั้นใช้สถานะของคนสำมะโนครัวราชวงศ์ต้าหลี
รอให้สำนักเบื้องล่างก่อสร้างเสร็จ เฉาฉิงหล่างก็จะมีสถานะทำเนียบหยกทองของผู้ฝึกตนใบถงทวีปเพิ่มมาอีกสถานะหนึ่ง
หลังเดินออกมาจากกรอบประตูแล้ว เสี่ยวโม่ก็เอ่ยว่า “คุณชาย ในใต้หล้าไพศาล สตรีตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ มีให้เห็นไม่บ่อยกระมัง?”
สตรีนั่งว่าราชการหลังม่าน กลับมีจำนวนอยู่ไม่น้อย
ฮ่องเต้แห่งต้าเฉวียน เหยาจิ้นจือ
เฉินผิงอันพยักหน้า “หายากมาก”
นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เฉินผิงอันก็เอ่ยกับเฉาฉิงหล่างว่า “ทุกวันนี้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็คือหลิวจงคนลับดาบของพื้นที่มงคลบ้านเกิดของพวกเจ้า คราวก่อนข้ากับเผยเฉียนได้พบหลิวจงที่นี่ เขายังเป็นคอขวดขอบเขตร่างทอง แต่นี่ก็เป็นเพราะความตั้งใจของเจ้าอารามผู้เฒ่า ทำให้การฝ่าทะลุขอบเขตของหลิวจงยากกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไปมาก”
เผยเฉียนเม้มริมฝีปาก
เฉาฉิงหล่างเหลือบมองมาทางนาง
เนื่องจากเมื่อก่อนเฝ้าหน้าประตูภูเขาเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อย ฟังหมี่ลี่น้อยเล่าว่า ปีนั้นเผยเฉียนเดินทางผ่านราชวงศ์ต้าเฉวียนเป็นเพื่อนเจ้าขุนเขาคนดีก็เกิดเรื่องมากมายเป็นกระบุงโกยเลยล่ะ
เผยเฉียนรีบเหล่ตามองมาทันที จะฟ้องอีกงั้นหรือ?
คนทั้งกลุ่มไปเข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของนครเซิ่นจิ่งก่อน มีชื่อว่าหอวั่งซิ่งฮวา (มองดอกซิ่ง) ทำเลดีเยี่ยม ท่ามกลางความวุ่นวายกลับมีความเงียบสงบ
นกมีทางของนก งูมีทางของงู ท่าเรือบนภูเขากับท่าเรือตระกูลเซียนส่วนใหญ่จะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่งที่ช่วยแนะนำโรงเตี๊ยมรายทางโดยเฉพาะ มอบให้แขกที่มาเยือนโดยไม่คิดเงิน เนื้อหาระบุไว้อย่างละเอียด หากชมเยอะหน่อย ส่วนใหญ่ทั้งสองฝ่ายมักจะมีความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่ตื้นเขินต่อกัน หากเขียนถึงอย่างลวกๆ ต้องเป็นเพราะโรงเตี๊ยมไม่ได้สนิทสนมกับท่าเรือหรือเรือข้ามฟากมากพอ
อันที่จริงโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็คือคฤหาสน์เถาหยวนที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือใบท้อ
ได้ยินว่าเป็นสถานที่แห่งแรกที่ผู้ฝึกตนหญิงในทวีปจะเลือกเข้าพัก ต่อให้ต้องเก็บรวบรวมเงินก็ต้องเข้าพักที่นั่นให้ได้
เข้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมไป สิ่งแรกที่ปรากฎเข้าสู่คลองจักษุก็คือกำแพงสูงที่เป็นผนังบังตาแห่งหนึ่ง สูงสามจั้ง เป็นลวดลายปลาจิ่นหลี่ (หรือปลาคาร์ฟ) กับดอกบัว ล้วนมีชีวิตชีวาสมจริง
เฉินผิงอันหยุดเดิน เงยหน้าชื่นชมอยู่พักหนึ่ง หากว่าโรงเตี๊ยมที่ไม่มีแม้แต่ชื่อเรียกในเมืองหลวงแห่งนั้นมีความคิดความตั้งใจเช่นนี้บ้างก็คงไม่ถึงขั้นกิจการเงียบเหงาซบเซาจนกางตาข่ายดักนกหน้าประตูได้เช่นนั้น
ขอห้องมาสี่ห้อง แล้วเฉินผิงอันยังขอรายงานขุนเขาสายน้ำช่วงล่าสุดจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วย พวกเสี่ยวโม่ต่างก็มาอยู่ที่ห้องนี้ นั่งล้อมโต๊ะกัน
ยังคงมีเพียงเฉาฉิงหล่างที่ดื่มชา อีกสามคนที่เหลือต่างก็ดื่มเหล้า
เกี่ยวกับสำนักกุยหยก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กเท่าเมล็ดงาก็ล้วนกินพื้นที่ในรายงานไปไม่น้อย นี่ก็คือความร้ายกาจของผู้นำตระกูลเซียนของทวีปหนึ่งแล้ว
เมื่อก่อนเป็นเหนือใต้ที่คุมเชิงกัน เป็นสำนักใบถงที่กดข่มหัวของสำนักกุยหยกไว้อย่างมั่นคง ทว่าทุกวันนี้กลับไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำนักกุยหยกกลายเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ย้อนกลับมามองสำนักใบถงที่เหมือนถูกปิดภูเขา อยู่ในอาณาเขตของทวีปแห่งหนึ่งจึงเหมือนเรือที่ลอยคว้างอย่างโดดเดี่ยว
การประเมินแยนจือแห่งภูเขาฮวาเสินที่โจวอันดับหนึ่งจัดการด้วยตัวเอง รายงานแทบทุกฉบับต่างก็มีคำกล่าวที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะยอมรับในการจัดอันดับของเทพธิดาเหล่านั้นหรือไม่ ล้วนถือโอกาสด่าเจียงซ่างเจินไปรอบหนึ่ง
นอกจากนี้ก็คือเรื่องโอสถของตำหนักพยัคฆ์เขียว และยังมีการถามกระบี่ที่เสี่ยวหลงชิวครั้งนั้น
รวมไปถึงราชวงศ์จำนวนไม่น้อยล่างภูเขาที่หลังจากกอบกู้แคว้นก็ได้อาศัยรายงานมาสมัครหาผู้ถวายงาน ไม่ได้มีขีดจำกัดอยู่ที่ผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธ เอกสารราชการที่กรมพิธีการของแต่ละแคว้นแจกจ่ายไปคล้ายคลึงกับเทียบวีรบุรุษในยุทธภพอย่างมาก
ข่าวไม่น้อยที่เกี่ยวกับแจกันสมบัติทวีป ยกตัวอย่างเช่นการร่วมงานพิธีของภูเขาลั่วพั่วบ้านตน เอาเป็นว่าล้วนเขียนอย่างส่งเดชกันทั้งนั้น
เสี่ยวโม่หยิบรายงานฉบับหนึ่งมา เอ่ยว่า “สำนักใบถงแห่งนี้ดูเหมือนจะทำให้คนรังเกียจเสียแล้ว จะดีจะชั่วก็เป็นสำนักอักษรจงแห่งหนึ่ง ทว่าจุดจบกลับอนาถถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “กล่าวคำสรรเสริญชมเชยอย่างไม่ออมคำเพื่อนำไปสู่การฆ่า หรือใช้กระบองฟาดทีเดียวตาย อันที่จริงก็ดีแต่ไม่ได้ดีขนาดนั้น เลวร้ายแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เอาเป็นว่ามองคนอื่นแบกภาระย่อมไม่เปลืองแรงตัวเอง ก็แค่อยากเห็นเรื่องสนุกโดยไม่รังเกียจว่าเรื่องราวจะใหญ่โต แต่โจวอันดับหนึ่งของพวกเรามีประโยคหนึ่งที่พูดได้ดี”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “แม้ว่าจะยังไม่เคยพบโจวอันดับหนึ่ง แต่เสี่ยวโม่กลับรู้สึกนับถือจากใจจริงมานานแล้ว”
ในภูเขาลั่วพั่ว ชื่อเสียงของโจวอันดับหนึ่ง ทั้งบนและล่าง ทั้งในและนอก ล้วนมีคำกล่าวถึงเขาอย่างดีเยี่ยม
เฉินผิงอันอดทนข่มกลั้น ในที่สุดก็ทนไม่ไหว หลุดหัวเราะส่งเสียงจนต้องรีบดื่มเหล้า จากนั้นเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เสี่ยวโม่มึนงงไม่เข้าใจ “หลังจากที่โจวอันดับหนึ่งของพวกเรากลับมาถึงบ้านเกิดต้องกลุ้มใจมากแน่นอน แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาก็ชอบใช้เงินอยู่แล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้พอได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแล้วเกิดใจเกียจคร้าน”
อันที่จริงเฉินผิงอันยังอยากจะหาเนื้อหาที่เกี่ยวกับราชวงศ์ต้าเฉวียนจากรายงานให้ได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นมีข่าวลืออย่างหนึ่งที่พูดจาน่าเชื่อถือ ทั้งยังเล่าได้อย่างน่าสนใจ
บอกว่าเหยาหลิ่งจือทำดาบเล่มหนึ่งหายไป
กรมอาญา สำนักอัยการนครหลวงและศาลต้าหลี่ ขุนนางหลักของกองซานฝ่า (หรือสามกฎหมาย แบ่งออกเป็นกรมอาญา สำนักอัยการนครหลวงและศาลต้าหลี่ คือสามฝ่ายที่มักจะพิจารณาคดีร่วมกัน) ต่างยุ่งจนหัวหูไหม้ แค่พบหน้ากันก็กลุ้มใจ ส่วนหลางกวานของกรมอาญา ผู้ตรวจการแต่ละฝ่ายของสำนักอัยการนครหลวงและซื่อเฉิงของศาลต้าหลีซึ่งถูกเรียกขานว่ากองซานฝ่าเล็ก ก็ยิ่งต้องเปิดการประชุมกันไม่รู้กี่ครั้ง ในที่ว่าการสามแห่งอลหม่านวุ่นวายกันมานานมากแล้ว แต่กลับไม่กล้าแพร่งพรายในภายนอกรู้แม้แต่น้อย
เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ก็แค่คดีขโมยดาบวิเศษที่มีระดับเป็นสมบัติอาคมเล่มหนึ่งเท่านั้น จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เพราะว่าดาบเล่มนี้เป็นสมบัติหนักของราชวงศ์ก่อน มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา
บนสนามรบเรื่องที่ยุ่งยากวุ่นวายมากที่สุดก็คือเรื่องทำนองนี้ เหมือนต้องคอยคาดเดาเจตนารมณ์สวรรค์ ดาบเล่มนั้นของเหยาจิ้นจือมีประวัติความเป็นมาใหญ่หลวง ก็คือสมบัติพิทักษ์แคว้นที่ถูกเก็บซ่อนเป็นความลับอยู่ในคลังสมบัติของราชวงศ์ต้าเฉวียนนานถึงสองร้อยกว่าปี มีชื่อว่า ‘หมิงเฉวียน’ และฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นสกุลหลิวแห่งต้าเฉวียนก็มีจุดเริ่มต้นค่อนข้างแย่ ถือเป็นแม่ทัพบู๊ที่มาชิงบัลลังก์ก่อตั้งแคว้น ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าได้ปกครองแคว้นอย่างไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นผู้นี้ปีนั้นยังใช้ดาบสังหารฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ก่อนอีกด้วย
คราวก่อนที่เฉินผิงอันมาเยือนนครเซิ่นจิ่งแห่งนี้ก็ได้เห็น ‘หมิงเฉวียน’ เล่มนั้นกับตาตัวเอง ถือว่าเป็นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งที่โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันประทานให้กับน้องสาวอย่างเหยาหลิ่งจือ เป็นดาบอาคมที่ระดับขั้นดีเยี่ยมเล่มหนึ่งจริงๆ ฝักดาบทำมาจากไม้แปะทับด้วยหนังปลาฉลามเขียว ตรงด้ามดาบฝังเลื่อมอัญมณีล้ำค่าไว้เต็มแน่น คู่ควรกับคำเรียกขานว่า ‘มูลค่าควรเมือง’ อย่างแท้จริง สยบกำราบภูตผีตัวประหลาดได้โดยธรรมชาติ
ตามคำกล่าวที่ไม่ประติดประต่อในรายงาน สุดท้ายยังคงเป็นใต้เท้าเจ้าเมืองเหยาเซียนจือที่จู่ๆ ก็พลันเปลี่ยนนิสัยใจคอ เปลี่ยนจากผีขี้เหล้ามาเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง เขาไปปรึกษากับฮ่องเต้ด้วยตัวเอง ถือว่ารับเอาเรื่องนี้ไปจัดการเอง ทำให้ที่ว่าการสามแห่งที่เปลี่ยนไปเป็นผู้ช่วยแทนพอจะหายใจหายคอได้บ้าง ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีใต้เท้าเจ้าเมืองช่วยแบกรับไว้ให้อยู่ อีกอย่างเรื่องของการโยกย้ายผู้ฝึกตนผู้ถวายงานหรือพวกมือปราบ ใต้เท้าเจ้าเมืองก็มีระเบียบข้อบังคับของตัวเอง เป็นเหตุให้เมืองหลวงตลอดทั้งในและนอกนครเซิ่นจิ่ง ด้านในเข้มงวดด้านนอกผ่อนคลาย ทั้งไม่รบกวนประชาชน และยังมีการโยกย้ายที่เป็นระบบระเบียบ นี่ถึงทำให้วงการขุนนางจดจำเรื่องหนึ่งพร้อมกันได้โดยไม่ได้นัดหมาย จวิ้นหวังขั้นหนึ่ง (เป็นตำแหน่งรองจากอ๋องหรือหวัง และเป็นตำแหน่งเริ่มต้นที่จักรพรรดิจะมอบให้กับพระโอรส ) ที่สวมหมวกเจ้าเมืองผู้นี้ยังคงเป็นลูกหลานสกุลเหยาที่ลงสนามรบตั้งแต่ตอนเป็นเด็กหนุ่ม การที่แขนขาดขาพิการก็เพราะผลลัพธ์จากการลงสู่สมรภูมิรบ
เสี่ยวโม่กล่าว “หากคุณชายสามารถวาดรูป ‘หมิงเฉวียน’ ออกมาได้ เสี่ยวโม่ก็สามารถลองช่วยหาดาบวิเศษให้กับเจ้าเมืองเหยาดูได้ หลังจากหาเจอแล้วจะนำไปมอบให้ที่ว่าการเจ้าเมืองลับๆ แล้วทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งอธิบายต้นสายปลายเหตุเอาไว้”
เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “เหมือนกับจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรมที่ทำเรื่องดีแล้วไม่ทิ้งนามเอาไว้”
เฉาฉิงหล่างวางรายงานในมือลง เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสสี่จู๋ เรื่องนี้ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ข้อหนึ่งที่ว่า เป็นการกระทำโดยตั้งใจของฮ่องเต้ต้าเฉวียน หากเป็นตอนที่ ‘ฮ่องเต้ไร้ค่าสกุลหลิว’ ดำรงตำแหน่งแล้วเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เพียงแต่ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็นสกุลเหยาที่ปกครองแคว้น สมบัติพิทักษ์แคว้นชิ้นหนึ่งที่เป็นของราชวงศ์ก่อนหายไป ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องร้าย ก็เหมือนอย่างที่เขียนไว้ในรายงาน ทางฝั่งของนครเซิ่นจิ่งแห่งนี้เริ่มมีบทเพลงแพร่หลายไปแล้ว บอกว่ามีคนตีฆ้องบอกเวลาคนหนึ่งเห็นเองกับตาว่าแสงดาบกลายเป็นมังกรชั่วร้ายหนีหายไปจากเมืองหลวง”
ไม่เหมือนกับเผยเฉียน นางจะเรียกอีกฝ่ายโดยตรงว่าเสี่ยวโม่ หรือไม่ก็อาจารย์เสี่ยวโม่ แต่เฉาฉิงหล่างกลับยังยืนกรานที่จะเรียกเสี่ยวโม่ด้วยความเคารพว่าผู้อาวุโสสี่จู๋
เสี่ยวโม่ยิ้มพลางพยักหน้าให้ ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
เฉาฉิงหล่างชูถ้วยขึ้น ใช้น้ำต่างสุรา
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะพาเสี่ยวโม่ไปที่จวนเหยาทันที เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง พวกเจ้าสองคนสามารถไปเดินเล่นที่นครเซิ่นจิ่งได้”
คราวก่อนที่ไปจวนเหยา เฉินผิงอันกับชุยตงซานทยอยกันเผาผลาญบุญกุศลของตัวเองเพื่อวาดยันต์ขึ้นมา แล้วแยกกันนำไปแปะไว้นอกห้อง เพื่อรับรองว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาจะสามารถนอนหลับโดยรักษาพลังชีวิตเอาไว้ได้ จากนั้นก็สามารถรอคอยโอสถต่ออายุขัยเม็ดหนึ่งจากเฉินผิงอันที่จะไปขอมาจากใครบางคน แต่ตอนนั้นชุยตงซานก็เคยบอกสองเรื่องกับสกุลเหยาอย่างตรงไปตรงมาว่า ต่อให้ขอโอสถบนภูเขามาได้จริงๆ อายุขัยของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาที่จะยืดต่อไปก็มีจำกัด นอกจากนี้ก็คือยาเม็ดนั้นตระกูลเหยาต้องเป็นคนออกเงิน อย่าว่าเงินเทพเซียนหนึ่งเหรียญเลย ต่อให้เป็นเงินเหรียญทองแดงหนึ่งอีแปะก็ขาดไปไม่ได้ นี่คือกฎ เงินค่าธูปที่ต้องจ่ายยามเข้าวัดจุดธูป ผู้มีจิตศรัทธาย่อมไม่อาจขอยืมจากคนอื่นได้ คือหลักการเหตุผลเดียวกัน
ครั้งนี้มาเยือน เฉินผิงอันยังเอายามาด้วยสองเม็ด
คือยาต่ออายุขัยที่เหมาะจะให้คนธรรมดาล่างภูเขาใช้มากที่สุดสองเม็ดซึ่งอาจารย์ของตนขอมาจากฝูลู่อวี๋เสวียนและจ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์
โดยทั่วไปแล้วซิ่วไฉเฒ่าจะไม่มีข้อพิถีพิถันกับคนมีเงิน แต่สำหรับเรื่องนี้เขากลับไม่ได้เป็นสิงโตอ้าปากกว้าง ไม่ใช่ว่าซิ่วไฉเฒ่าที่ได้สถานะเหวินเซิ่งกลับคืนมาผู้นี้ไม่อาจขอโอสถมาได้มากกว่านี้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะตาเฒ่าอวี๋และจวนเทียนซือไม่มียาเก็บไว้มากกว่านี้ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนในภูเขาแสวงหาความเป็นอมตะมีอายุขัยยืนยาว เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ผิดต่อหลักธรรมนองคลองธรรมอยู่แล้ว อาศัยโอสถมาต่อชีวิตก็มีข้อห้ามอยู่บ้างเหมือนกัน แต่กลับไม่มากนัก ทว่าหากคนธรรมดาล่างภูเขาที่เป็นตะเกียงน้ำมันแห้งขอดพยายามจะอาศัยวัตถุนอกกายมา ‘เติมน้ำมัน’ กลับมีข้อต้องห้ามมากมาย
หนึ่ง จิงชี่เสินของมนุษย์จะอยู่หรือไป ไม่ใช่อย่างผู้ฝึกตนที่เก็บสะสมปราณวิญญาณฟ้าดิน ใช้หมดแล้วก็สามารถชดเชยเพิ่มได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าที่อายุขัยกำลังจะหมดสิ้น จิงชี่เสินของทั้งร่างก็เหมือนสายน้ำไหลเชี่ยวกรากที่พัดลงสู่มหาสมุทร ไปแล้วไม่กลับคืนมา