กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 895.4 ใต้หล้าล้วนรับรู้
เฉินผิงอันสะบัดชุดกว้าตัวยาว ยกขานั่งไขว่ห้างแล้วเริ่มพ่นควันขโมง ขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบด้าน ครานั้นท้ายที่สุดแล้วเฉินผิงอันก็หาจดหมายลับฉบับหนึ่งที่เฝ่ยหรานแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนซ่อนไว้ในห้องหนังสือแห่งนี้เจอ นอกจากจะทำให้แผนการของเฝ่ยหรานและหลิวเม่าต้องคว้าน้ำเหลว ‘ผลตอบแทน’ ที่เพิ่มเติมมาก็คือได้รับตราประทับส่วนตัวของโจวมี่มหาสมุทรความรู้มา หลังจากเฉินผิงอันนำไปมอบต่อให้ชุยตงซาน สุดท้ายก็ถูกนำไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
และราคาที่ต้องจ่ายในการอ่านจดหมายก็คือถูกผู้ดูแลเฒ่าแห่งจวนเซินกั๋วกงที่เป็นเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ปลอมตัวมาถามกระบี่ไปรอบหนึ่ง ตอนนั้นมีด้ามร่มท่อนหนึ่งประหนึ่งกระบี่บินที่พุ่งจากวัดเทียนกงนอกเมืองหลวงมาถึงอารามหวงฮวาท่ามกลางสายฝน แทงทะลุหน้าท้องของเฉินผิงอัน
หนึ่งในสามสุดยอดของไพศาล เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่
เคยเป็นอาจารย์สอนเวทกระบี่ครึ่งตัวของป๋ายเหย่ และยิ่งเป็นหนึ่งในสองผู้ถ่ายทอดมรรคาของลู่ไถ
หลิวเม่ามองเจ้าคนที่นั่งสูบยาแล้วถามว่า “คราวหน้าเซียนกระบี่เฉินจะมาเยือนนครเซิ่นจิ่งอีกเมื่อไหร่?”
ไม่ถามแล้วว่าคืนนี้มาเยี่ยมเยือนเพราะต้องการสิ่งใด
เฉินผิงอันสำลักเพราะคำถามนี้จึงไอไม่หยุด เจ้าอารามหวงฮวาตัวดี ช่างปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจเหลือเกิน
อันที่จริงการที่หลิวเม่าเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกร อีกทั้งดูจากท่าทางแล้วน่าจะมุ่งไปยังโอสถทอง ก็คือการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งต่อสกุลเหยาต้าเฉวียน สกุลหลิวต้าเฉวียนไม่มีเชื้อพระวงศ์หลิวเม่าอะไรอีกแล้ว มีแค่นักพรตหลงโจวที่จะตั้งใจฝึกตนเป็นเทพเซียนเจ้าอารามเท่านั้น
เฉินผิงอันถาม “เซินกั๋วกงท่านนั้น?”
หลิวเม่าส่ายหน้า “ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้า หยิบพู่กันด้ามหนึ่งออกมาจากกระบอกไม้ไผ่เหลือง
หลิวเม่าสูดลมหายใจเข้าลึก
โชคดีที่หลังจากเจ้าหมอนั่นหมุนด้ามพู่กัน พินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็วางมันกลับใส่ลงในกระบอกอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งว่าไม่ต้องไปส่งแล้วเก็บกระบอกยาสูบมา โบกชายแขนเสื้อสลายควันที่ลอยอวลอยู่ในห้อง ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าประตู แล้วจู่ๆ ก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาโยนให้กับหลิวเม่า “คืนให้เจ้า”
คือ ‘ภาพปรากฎการณ์ฟ้าเรียงดวงดาว’ ที่มาถึงอย่างเชื่องช้าเล่มนั้น
ไม่เหมือนกับตำราศาสตร์การคำนวณทั้งหลาย ‘ภาพปรากฎการณ์ฟ้าเรียงดวงดาว’ เล่มนี้คือตำราต้องห้ามของทางราชสำนัก ต่อให้เป็นขุนนางก็มิอาจเก็บไว้เป็นการส่วนตัวได้ มิเช่นนั้นจะทำกับว่าคิดก่อกบฏ โทษทัณฑ์รุนแรงกว่าชาวบ้านมีอาวุธในการครอบครองเสียอีก
หลิวเม่ายื่นมือไปรับหนังสือ รู้สึกยินดีระคนแปลกใจที่ตำราเล่มนี้ไม่ถูกเซียนกระบี่เฉินสับเปลี่ยน
เก็บมันใส่ไว้ในชั้นหนังสือ ของกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม หลิวเม่าเกิดความคิดกะทันหันจึงหยิบออกมาอีกครั้ง เปิดหนังสือออกถึงได้สังเกตเห็นว่าหน้ารองปกมีตราประทับสองตราประทับเรียงกันอยู่ หน้าท้ายของตำราก็เป็นเช่นเดียวกัน มีตราประทับสองอันประทับเรียงกัน
‘ความคิดไร้ขีดจำกัด’ ‘ถอยไปคิดหนึ่งก้าว’
‘รู้จักพอ’ ‘รู้ไม่มากพอ’
หลิวเม่าเดินถือตำราเล่มนี้ไปที่หน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก หันกลับมามองแสงตะเกียงบนโต๊ะแวบหนึ่ง
แสงจันทร์สาดส่องหิมะขาวโพลน แสงตะเกียงเล็กจ้อยดุจแสงหิ่งห้อย เป่าแสงดับตัวอักษรกลับชัดเจนยิ่งกว่า
กลับไปถึงหอวั่งซิ่งฮวาแล้วเผยเฉียนก็กลับไปพักที่ห้องของตัวเอง แต่เฉาฉิงหล่างกลับออกจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนไปเพียงลำพัง ไปชมหิมะตก
เฉินผิงอันหยิบสมุดสองเล่มของหลี่ไหว รวมถึงพู่กันและหมึกออกมา เริ่มทำการวิเคราะห์และอธิบายเสริมให้กับข้อสงสัยที่อยู่บนสมุดไปทีละข้อ
เสี่ยวโม่อ่านนิยายเรื่องเล่าประหลาดที่ความรักหักมุมเล่มหนึ่ง อ่านด้วยความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันพลันเก็บสมุด เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ ช่วยปกป้องมรรคาให้สักครู่”
เสี่ยวโม่พยักหน้ารับเงียบๆ เดินออกไปนอกห้อง ปิดประตูลงเบาๆ ยืนอยู่ในระเบียง
เฉินผิงอันเรียกนกในกรงออกมา จากนั้นโคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ ขณะเดียวกันก็เรียกปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณทั้งห้ามาแล้วเริ่มเพ่งสมาธิพิศมองขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่ง
ถึงกับเป็นขุนเขาสายน้ำพันลี้ที่อยู่ในอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่
ตอนที่อยู่ในอาณาเขตภูเขาทัวเยว่ ระหว่างที่คุมเชิงอยู่กับหยวนซง อันที่จริงเฉินผิงอันเคยปล่อยดวงจิตออกไปเงียบๆ ครั้งหนึ่ง
หนึ่งเพราะพยายามจะทำความเข้าใจกับซากปรักหอบินทะยานแห่งนั้นให้มากขึ้น และยังกังวลว่าโจวมี่หรือไม่ก็เฝ่ยหรานอาจจะมีทางหนีทีไล่อย่างอื่นซ่อนอยู่ สุดท้ายจึงถือโอกาสนั้นเลือกสถานที่และเป้าหมายที่จะเลือกปล่อยกระบี่
เพียงแต่ว่าไม่นานลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ก็เป็นฝ่ายเรียกร้องว่าจะจับคู่เข่นฆ่า ถามกระบี่กับเขา
เวลานี้ด้านในนกในกรง เฉินผิงอันลอยตัวอยู่กลางอากาศ ยืนอยู่ในฟ้าดินที่เป็นดั่งห้องมายา
อันดับแรกก็เป็นภูเขาทัวเยว่ จากนั้นก็เป็นหนึ่งภูเขาหนึ่งสายน้ำ หนึ่งดอกไม้หนึ่งต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงซึ่งทยอยกันถือกำเนิดขึ้น เฉินผิงอันใช้จิตธรรมจำแลงออกมาเป็นมหามรรคา จากนั้นค่อยสร้างฟ้าดินขึ้นมา
เพียงแต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันรวบรวมดวงจิต คล้ายคนเดินทางที่ปักหลักยืนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อมองดอกไม้ดอกหนึ่งในฟ้าดิน ขณะที่เขากำลังจะรอให้ดอกไม้ดอกนี้เบ่งบานด้วยตัวเอง ทันใดนั้นฟ้าดินจิตธรรมก็พลันแหลกสลาย ประหนึ่งเครื่องกระเบื้องที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เป็นเหตุให้ฟ้าดินเล็กนกในกรงเกิดช่องโหว่ขึ้นมาหลายจุด
เสี่ยวโม่เอ่ยเตือนเสียงเบา “คุณชาย สามารถขยับอาณาเขตให้เล็กลง ขณะเดียวกันก็ลดจำนวนวัตถุและเรื่องราวให้น้อยลงได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
พิศมองฟ้าดินใหม่อีกรอบ ไม่ใช่ภูเขาทัวเยว่อีกต่อไป แต่เป็นสระน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ สุดท้ายมีเมล็ดดอกบัวสีม่วงทองเมล็ดหนึ่งเริ่มเติบโตช้าๆ อยู่ท่ามกลางน้ำใสสะอาด กิ่งใบโผล่พ้นน้ำ ตั้งตระหง่านโดดเด่น ใบบัวแผ่ปูไปบนผิวน้ำ ดอกตูมเต่งรอการเบ่งบาน สุดท้ายในขณะที่ดอกบัวดอกแรกกำลังจะบาน...เฉินผิงอันกลับเก็บดวงจิตกลับมาในทันที เป็นฝ่ายสลายภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทิ้งไปด้วยตัวเอง
เก็บนกในกรงลงไป เฉินผิงอันเดินไปที่หน้าต่าง ผลักหน้าต่างเปิดออก หิมะใหญ่ปลิวปรายลงมา
เฉินผิงอันหยิบแผ่นไม้ไผ่สองแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านบนแกะสลักสองประโยคจากสามพันถ้อยคำของมรรคาจารย์เต๋า หากข้าไร้อัตตาก็ย่อมไร้เภทภัย ประโยคนี้เข้าใจได้ง่ายมาก แต่บนแผ่นไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่งคือประโยคว่า สนใจดุจร่างกายตน จึงมอบใต้หล้าให้ดูแล ฝากใต้หล้าให้ดูแล อันที่จริงไม่เพียงแค่เฉินผิงอันเท่านั้นที่ไม่เคยเข้าใจความหมายลึกซึ้งของมัน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่คนในลัทธิเต๋าของใต้หล้าไพศาล หากเป็นสายเต๋าที่แตกต่างกัน สำหรับคำกล่าวนี้ก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันไป คาดว่าไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าพูดว่าความเห็นของตัวเองต้องถูกต้องเสมอไป ได้แค่ถือว่ารู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น
เพียงแต่ว่าตอนที่เฉินผิงอันยืมขอบเขตสิบสี่มาจากลู่เฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคราวก่อนที่ได้เจอ ‘นักพรตเด็ก’ ขี่วัว เขากลับจงใจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้
เก็บแผ่นไม้ไผ่สองแผ่นที่เก็บรักษาอย่างดีมานานหลายปีลงไป หันหน้ามาเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ เข้ามาได้แล้ว”
พอเสี่ยวโม่เข้ามาในห้องแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น เพียงแค่หยิบนิยายเล่มนั้นมาอ่านต่ออีกครั้ง
มิน่าเล่าทุกคนถึงยินดีจะเป็นบัณฑิต เพราะมักจะชอบหลงทาง จากนั้นเกินครึ่งก็จะได้เจอเรือนหลังใหญ่ ต่อมาหากไม่เจอกับเทพหญิงเซียนหญิงก็จะต้องเจอกับผีงามในภูเขา พูดคุยร่ำสุรากันอย่างเบิกบาน ร่ายบทกวีร้องเพลงร่วมกันสองสามบท…
ในวังหลวงของเมืองหลวง สตรีคนหนึ่งที่ประทินโฉมบางเบา รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุด นางขว้างฎีกาที่อยู่ในมือทิ้ง นวดคลึงหว่างคิ้ว หลับตาพักผ่อนชั่วครู่ก็หยิบฎีกาที่ส่งมาจากกรมคลังฉบับนั้นขึ้นมาใหม่
กว่าจะอ่านฎีกาทุกฉบับหมดก็ดึกมากแล้ว ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล สายตาเหม่อลอย
ตำหนักปี้โหยวจวนวารีลำคลองม่ายเหอ
ริมลำคลอง หลิ่วโหรวเหนียงเนียงเทพวารีนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางถือคันเบ็ดตกปลาด้วยมือข้างเดียวพลางนั่งหาวไปด้วย นั่งมาพักใหญ่แล้วก็ยังตกปลาไม่ได้สักตัว ด้านในข้องปลาว่างเปล่า
คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับมีปลาโง่งมตัวหนึ่งว่ายมาช้าๆ ที่ริมตลิ่ง ทำเอาเหนียงเนียงเทพวารีโมโหจนโยนคัดเบ็ดตกปลาทิ้ง ค้อมเอวหยิบก้อนหินริมฝั่งก้อนหนึ่งขึ้นมา ชูแขนขึ้นสูง ยื่นนิ้วชี้ไปที่ปลาตัวนั้น ถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล “เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้วนะ!”
กระทืบเท้าหนึ่งที เหนียงเนียงเทพวารีก็โยนก้อนหินทิ้งไป โบกมือเป็นวงกว้าง “ช่างเถิด สองแคว้นทำสงครามไม่ฆ่าทูต”
หลิ่วโหรวเก็บคันเบ็ดตกปลามา นั่งลงบนเก้าอี้ต่อ ไม่ว่าจะนั่งยองหรือจะยืน จะอย่างไรก็ไม่มีปลามาติดเบ็ดเสียที
นางจึงได้แต่ขว้างคันเบ็ดไม้ไผ่ทิ้งไกลๆ ไปในน้ำ จากนั้นเตะข้องปลาที่ว่างเปล่าจนลอยกระเด็น เอาเถอะ กลับจวนดีกว่า เดี๋ยวค่อยบอกกับคนอื่นไปว่าปลาตัวใหญ่เกินไป ดึงรั้งให้คันเบ็ดหัก ปลาที่จับมาได้มีมากเกินไป พวกมันเลยลากเอาข้องปลาไปแล้ว
เหนียงเนียงเทพวารีเดินอาดๆ กลับไปที่ตำหนักปี้โหยว อยู่ห่างมาอีกไม่ไกล นางก็พลันเงยหน้าขึ้น เงาร่างมากมายพลิ้วกายลงหน้าประตูบ้าน ฮ่า อาจารย์เฉินมาเป็นแขกแล้ว
น่าเสียดาย น่าเสียดาย วันนี้ตนคงไม่มีเหล้าบุปผาน้ำกับบะหมี่ปลาไหลมาใช้รับรองแขกแล้ว
ช่วงนี้ทุกครั้งที่ประชุมกันในจวนวารี แรกเริ่มเหนียงเนียงเทพวารีก็นั่งตัวตรงอย่างสำรวมได้อยู่หรอก แต่จากนั้นก็จะเริ่มอดไม่ไหวเหล่มองไปที่มุมหนึ่ง บางครั้งยังแอบเช็ดปากด้วย
ไม่มีบะหมี่ปลาไหล แต่ใช้ปลาดำแทนก็ได้นะ
เสมียนจวนวารีที่มีชาติกำเนิดจากภูตปลาคนหนึ่งพรั่นผวาหวาดกลัวมากจริงๆ รู้สึกเพียงว่าหนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี ได้แต่ขอเข้าพบเหนียงเนียงเทพวารีเป็นการส่วนตัว บากหน้าเอ่ยถ้อยคำที่ถูกต้องชอบธรรม ความหมายคร่าวๆ ก็คือหากเหนียงเนียงท่านยังทำแบบนี้อยู่อีก ข้าจะลาออกแล้วนะ โชคดีที่การประชุมต่อจากนั้น เหนียงเนียงเทพวารีไม่ได้มองมันอีกตั้งแต่ต้นจนจบ
หลิ่วโหรวถามอย่างใคร่รู้ “อาจารย์เฉิน ไหนบอกว่าจะพาภรรยามาที่จวนปี้โหยวด้วยกันอย่างไรเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้แต่รอคราวหน้าแล้ว”
ไปถึงห้องโถงใหญ่ หลิ่วโหรวโบกมือหนึ่งครั้ง บอกให้คนเรียกพ่อครัวหลิวมา สามารถเริ่มงานได้แล้ว
เผยเฉียนรีบเอ่ยทันใดว่า “ส่วนของข้า ไม่ต้องเผ็ดนะ”
เฉินผิงอันพูดคล้อยตาม
เฉาฉิงหล่างกล่าว “ข้าสามารถกินเผ็ดได้เล็กน้อย”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “แขกตามใจเจ้าบ้าน”
หลิ่วโหรวตะโกนเอ่ย “เอา ‘ไม่ใช่เหล้าบุปผาน้ำ’ มาด้วยหลายๆ ไห”
นางหัวเราะฮ่าๆ “นายท่านขุนนางในนครเซิ่นจิ่ง แต่ละคนน่ารำคาญไม่แพ้กัน ผูกสัมพันธ์ผูกไปถึงน้องสาว น้องเขยข้าแล้ว จะต้องมาซื้อเหล้าบุปผาน้ำจากข้าให้ได้ สุราร้อยกว่าไหที่เก็บไว้ในห้องเก็บสุราเพิ่งจะหมักได้แค่กี่ปีเอง ไม่คู่ควรกับชื่อเรียกว่า ‘เหล้าบุปผาน้ำ’ หรอก เรื่องที่ทั้งไม่ได้กำไร ทั้งทำให้ชื่อเสียงเสียหายประเภทนี้ คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำ ข้าเกิดปฏิภาณในยามคับขัน เลยตั้งชื่อเหล้าที่เพิ่งหมักใหม่พวกนั้นว่า ‘ไม่ใช่เหล้าบุปผาน้ำ’ ได้มอบเหล้าให้คนอื่น ทั้งยังได้น้ำใจมาด้วย…”
เห็นว่าทุกคนพากันเงียบกริบ ไม่มีใครเอ่ยสนับสนุน เหนียงเนียงเทพวารีก็ร้องฮ่าให้ตัวเองอีกหนึ่งที
เผยเฉียนเอ่ยยกยอว่า “นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวในตำราที่ว่าคนบนภูเขาย่อมมีแผนการอันยอดเยี่ยมของตัวเอง”
หลิ่วโหรวตบโต๊ะ “ใช่ ยังคงเป็นเผยเฉียนน้อยที่เข้าใจพูด คือเหตุผลข้อนี้แหละ”
บะหมี่ ‘ชามแล้วชามเล่า’ ถูกยกวางขึ้นโต๊ะ เฉินผิงอันกับเผยเฉียนต่างก็ชินเสียแล้ว
อาจารย์และศิษย์สองคนหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
เสี่ยวโม่ที่บอกว่า ‘ตามใจ’ บะหมี่ครึ่งชาม พริกแดงอีกครึ่งหนึ่ง
เฉาฉิงหล่างดีกว่าเล็กน้อย บะหมี่เกินครึ่งชาม อีกเกือบครึ่งชามที่เหลือคือพริกชี้ฟ้า
เฉินผิงอันม้วนบะหมี่เข้าปากหนึ่งคำ ไม่ลืมหันไปเอ่ยเตือนคนทั้งสองว่า “กินพริกกับเหล้า ยิ่งดื่มก็ยิ่งอร่อย เสี่ยวโม่ เฉาฉิงหล่าง หากพวกเจ้ากินชามหนึ่งไม่อิ่มก็ไม่ต้องเกรงใจเหนียงเนียงเทพวารีนะ”
เสี่ยวโม่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ไม่เกรงใจอยู่แล้ว”
เฉาฉิงหล่างหันหน้าไปมองเผยเฉียนช้าๆ
ใครบางคนเขียนไว้ในบันทึกขุนเขาสายน้ำบางเล่มอย่างชัดเจนว่าบะหมี่ปลาไหลของจวนวารีตำหนักปี้โหยวรสชาติสุดยอด ยังให้คำวิจารณ์ไว้สี่คำด้วยว่า ‘น่าเสียดายที่ไม่เผ็ด’
เวลานี้เฉาฉิงหล่างไม่ต้องขยับตะเกียบ กลิ่นเผ็ดก็โชยมาปะทะใบหน้าแล้ว แค่ได้กินก็ทำให้คนสำลัก
เฉินผิงอันดื่มเหล้ากินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย
ก่อนหน้านี้อยู่ในนครเซิ่นจิ่งเพิ่มอีกสองวัน ระหว่างนั้นยังตั้งใจไปที่ยอดเขาจ้าวผิงนอกนครกับแม่ทัพผู้เฒ่ามารอบหนึ่ง เดินขึ้นยอดเขาค้างคืนที่โรงเตี๊ยมบนยอดเขาด้วยกัน รอดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน
ครั้งแรกทั้งสองฝ่ายจากลากันที่ตีนเขาของยอดเขาจ้าวผิง ครั้งนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมต้องได้พบกันใหม่ครั้งหน้า
เพราะไม่ได้พบกับฮ่องเต้ท่านนั้น การค้าพู่กันจีจวี้ เฉินผิงอันจึงได้แต่ให้เหยาเซียนจือนำความไปบอกต่อ
หลิ่วโหรวได้ยินว่าภูเขาลั่วพั่วจะสร้างสำนักเบื้องล่างจึงบอกว่าก่อนจะถึงวันเริ่มฤดูใบไม้ผลิ ตนต้องไปถึงแล้วแน่นอน ถึงเวลานั้นไปเจอกันที่ภูเขาเซียนตู ตนจะต้องพาพ่อครัวหลิวไปด้วย!
เฉินผิงอันรักษาสัญญา ให้พวกเด็กน้อยชุดเขียวที่มาจากจวนวารีในร่างตนได้อยู่ที่นี่ต่อ หลิ่วโหรวเองก็ไม่ปฏิเสธ วันหน้าพวกเจ้าตัวน้อยก็ติดตามตนมากินอยู่ให้สุขสบายก็แล้วกัน
หลังจากกลุ่มของเฉินผิงอันจากไป พ่อครัวหลิวก็เอ่ยว่า “เหนียง…เหนียงเนียง ทำไมถึงไม่บอกกับท่านอาจารย์น้อย…เรื่องสำนักศึกษานั่นล่ะขอรับ”
เหนียงเนียงเทพวารีบ้านตนปรึกษากับฮ่องเต้เรียบร้อยแล้วว่าจะสร้างสำนักศึกษากึ่งส่วนตัวกึ่งทางการแห่งหนึ่งขึ้นมาที่ริมลำคลองม่ายเหอ จะสอนแค่ความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเท่านั้น ส่วนเงินน่ะหรือ ถือว่าตำหนักปี้โหยวยืมจากราชสำนัก
หลิ่วโหรวยกสองแขนกอดอก หัวเราะหึหึ “เจ้าเข้าใจแต่เรื่องทำบะหมี่ปลาไหล คราวหน้ารอข้าไปร่วมงานเฉลิมฉลองที่สำนักเบื้องล่างจะเปิดปากขอตำแหน่งเค่อชิงอะไรพวกนั้น ขอแค่จัดการเรื่องนี้สำเร็จ ข้าค่อยเปิดปาก ถึงเวลานั้นอาจารย์น้อยเฉินจะยังกล้าปฏิเสธเรื่องที่จะมาสอนที่สำนักศึกษาอีกหรือ?”
หลังจากที่กลุ่มของเฉินผิงอันออกมาจากตำหนักปี้โหยวแล้วก็ตรงดิ่งไปที่เรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน
ในนครเซิ่นจิ่งต้าเฉวียน วันนี้ฮ่องเต้สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวหิมะ มองทัศนียภาพยามหิมะตก นางกลับเข้าไปในห้องทรงพระอักษร นางกำนัลผู้ถวายงานหญิงคนหนึ่งยื่นรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งมาให้ มาจากสำนักซานไห่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ว่ากันว่าเป็นรายงานบนภูเขาฉบับแรกที่บอกกล่าวชื่อแซ่ของคนบางคนออกมาอย่างชัดเจน
เนื้อหาในรายงาน ชวนให้ตะลึงขวัญผวา
อันที่จริงไม่ได้จงใจจะปลุกอารมณ์ให้คล้อยตามใดๆ ก็แค่ตัวอักษรเรียบง่ายที่บรรยายอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่ว่าเรื่องราวทั้งหลายที่คนผู้นั้นทำติดต่อกันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป
คนต่างถิ่นคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลังจากที่เซียวสวิ้นทรยศ ก็มารับหน้าที่เป็นอิ่นกวานต่อ รับผิดชอบบัญชาการณ์คฤหาสน์หลบร้อน แล้วยังเคยนำขบวนเซียนกระบี่สิบกว่าท่านไปนั่งอยู่ในเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถามเองตอบเองช่วงท้ายของรายงานที่ยิ่งทำให้คนอ่านจิตวิญญาณสะท้านไหว
บนโลกมนุษย์ไม่มีเฉินชิงตูแล้ว แล้วใครเล่าที่ใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่?
ผู้ที่แกะสลักตัวอักษรคนล่าสุดบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ อิ่นกวานคนสุดท้าย เฉินผิงอัน
สตรีอ่านรายงานถึงสองรอบ ก่อนจะยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกไปปาดลงบนตัวอักษรสามตัวบนหน้ากระดาษเบาๆ