กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 897.2 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 897.2 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างลองถามใจตัวเองแล้ว อย่างมากสุดนางก็คงจะแค่คิดถึงเรื่องการตามหาสำเนาได้มากกว่าหวงอีอวิ๋นเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นยังเป็นเพราะอยากจะขนสมบัติไปให้หมดเกลี้ยง อย่างเรื่องที่แม่น้ำลำคลองเปลี่ยนกระแสน้ำ เผยเฉียนย่อมไม่มีทางคิดถึงแน่นอน
ส่วนเซวียไหวนั้นได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง สมดังคำกล่าวโบราณที่บอกว่าของเปรียบของมีโยนทิ้ง คนเปรียบกับคนชวนให้คนโมโหตายจริงๆ เรือนอวิ๋นฉ่าวยังคงขาดเสาคานที่แท้จริงไปคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ให้อาจารย์เป็นคนค้ำยันหน้าตาของสำนักไว้คนเดียว ทุกด้านล้วนมีอาจารย์เป็นผู้ตัดสินใจ ย่อมเกิดช่องโหว่อย่างเลี่ยงไม่ได้ หากผูซานบ้านตนมีเซียนกระบี่หนุ่มที่จิตใจละเอียดอ่อนราวกับเส้นผมเช่นนี้มานั่งบัญชาการณ์อยู่บนภูเขา คาดว่าคงนอนหนุนหมอนสูงอย่างไร้กังวลได้แล้วจริงๆ
เซวียไหวแอบมองอาจารย์ของตนอย่างไม่กระโตกกระตาก จากนั้นเหลือบมองไปยังเซียนกระบี่ชุดเขียวที่พกดาบ หืม? อาจารย์จะมีโอกาสให้ตนได้เรียกคนบางคนว่า…อาจารย์พ่อบ้างหรือไม่นะ?
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่เฉินมีคนรักบนภูเขาแล้วหรือยัง แต่คิดดูแล้วด้วยขอบเขต สถานะและรูปโฉมบุคลิกของเฉินผิงอัน สาวงามคนรู้ใจทั้งบนและล่างภูเขาต้องมีไม่น้อยแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางเป็นสหายรักกับเจียงซ่างเจินได้
เฉินผิงอันหรือจะรู้ว่าอาจารย์เซวียคิดอะไรอยู่ เพียงแค่หันหน้ามายิ้มชวนคุยว่า “ก่อนจะไปถึงผูซาน ได้อ่านนิยายเล่มหนึ่ง ในตำรานอกจากจะมีความรักความแค้นระหว่างตงไห่ฟู่กับชิงหงจวินแล้ว ยังเขียนถึงประสบการณ์การเดินทางของเจินเหรินจากภูเขามังกรพยัคฆ์คนหนึ่งด้วย เนื้อหาในตำรามีจริงเท็จกี่ส่วนกัน?”
เซวียไหวส่ายหน้า “จริงเท็จยากแยกแยะ ไม่มีหลักฐานให้ตามหาแล้ว ในอดีตได้แค่อาศัยข่าวลือเล็กๆ มาจับลมคว้าเงา พยายามตามหาร่องรอยเซียนพวกนั้น น่าเสียดายที่เป็นดั่งการหาม้าตามลายแทง (ค้นหาม้าดีตามลักษณะแบบอย่างหรือรูปภาพที่กำหนดไว้ เปรียบเปรยว่ากระทำสิ่งใดยึดถือข้อความตัวหนังสือ ทำตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์โดยไม่รู้จักพลิกแพลง) ไร้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ”
เล่าลือกันว่าเมื่อหลายพันปีก่อนมีเทพเซียนของภูเขามังกรพยัคฆ์คนหนึ่ง ตอนที่ลงจากภูเขาเดินทางมาท่องเที่ยวใบถงทวีปได้เจอกับกากเดนมังกรหลายสิบตัวที่หลงเหลืออยู่บนพสุธาซึ่งมีถ้ำอยู่ข้างวังมังกรเก่าแก่ของลำน้ำใหญ่ พวกมันออกอาละวาดอย่างกำเริบเสิบสาน ทำให้เกิดอุทกภัยไร้ที่สิ้นสุด ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือที่ตอนนั้นยังไม่ได้พิสูจน์มรรคาท่านนี้ประลองปัญญาและความกล้าหาญกับเจียวหลงที่สร้างหายนะให้กับพื้นที่หนึ่ง เขาทำการแบ่งแยกพวกมันออกจากกันแล้วปกครอง สังหารเจียวหลงไปเกินครึ่ง ใช้กระบี่ไม้ท้อปักตรึงเจียวตัวหนึ่งไว้บนหน้าผา ตัดหางเจียวนำมาหลอมเป็นกระบี่ไผ่เขียว หลอมรากฐานภูเขาเป็นโซ่ตรวนมังกร ออกคำสั่งเทียนซือกับมันว่า ภายในพันปีห้ามออกจากภูเขาลูกนี้แม้แต่ครึ่งก้าว นอกจากนี้มีเจียวตัวหนึ่งที่เผ่นหนีไปทั่วทิศ ทว่าเจอแต่ทางตัน สุดท้ายถูกเทียนซือขับไล่ให้เข้าไปอยู่ในอารามเต๋าในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง จำต้องแปลงร่างกลายเป็นห่วงเคาะประตู รับปากเทียนซือว่าจะปกป้องอารามเต๋านานสามร้อยปี
สุดท้ายเทียนซือก็เจาะบ่อโบราณบ่อหนึ่งขึ้นด้วยตัวเอง หลอมต้นไม้เหล็กไว้ด้านข้าง สยบกักขังมังกรชั่วที่เป็นผู้นำไว้ภายใน
จากนั้นเทียนซือถึงได้ไปเยือนวังมังกรลำน้ำใหญ่ ซักไซ้เอาโทษมังกรเฒ่าที่มิอาจควบคุมเจียวหลงทั้งหลายให้ดี บกพร่องต่อหน้าที่ของตัวเอง
มังกรเฒ่าโอดครวญไม่หยุด จำต้องขอร้องหลงจวินที่ดูแลน่านน้ำตลอดทั้งทะเลทักษิณ ว่ากันว่าสุดท้ายแล้วขุนนางของขุนเขาสายน้ำกลุ่มนี้ก็ตีกันไปถึงศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
นิยายล่างภูเขาของไพศาลมีหัวข้อมากมาย บรรยายถึงความอัศจรรย์พันลึกไว้หลากหลาย คดีประหลาด ภูตจิ้งจอกงดงาม งานแต่งผีเรื่องเล่าเทพ ท่องเที่ยวแดนเซียนพบเจอโฉมสะคราญ…
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในอนาคตหากอาจารย์เซวียมีโอกาสก็สามารถไปลองเสี่ยงดวงที่ราชวงศ์ต้าเฉวียนดูได้ ลองเริ่มที่คลังเก็บเอกสารของวังหลวงหรือไม่ก็กรมพิธีการ ดูว่าจะสามารถขอยืมอ่านเอกสารคดีได้หรือไม่”
เซวียไหวพยักหน้า “จะทำตามที่เจ้าขุนเขาเฉินบอก หากว่ามีเบาะแสจริงๆ แล้วข้าไม่ทันระวังหาที่ตั้งเก่าของวังมังกรลำน้ำใหญ่แห่งนั้นเจอ ข้าจะต้องแจ้งให้เจ้าขุนเขาเฉินทราบทันที ถึงเวลานั้นเข้าวังมังกรไปหาสมบัติด้วยกัน ผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด ภูเขาลั่วพั่วกับผูซานก็แบ่งกันสี่ต่อหก”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เซวียไหว เจ้าฝันหวานอะไรอยู่ วันนี้ไม่เหมือนในวันวาน ทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลมีสุ่ยจวินของสี่มหาสมุทรคนใหม่แล้ว ต่อให้ซากปรักพวกนี้โชคดีได้กลับมาพบเจอแสงตะวันอีกครั้งก็ต้องตกเป็นของมังกรที่แท้จริงที่อยู่แจกันสมบัติทวีปตัวนั้นอย่างสมเหตุสมผล เจ้ากล้าละโมบอยากได้สมบัติหนักของวังมังกร ไม่กลัวว่านางจะขึ้นฝั่งมาที่ทะเลทักษิณแล้วเอาผิดเจ้าหรือไร ถึงเวลานั้นพูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็บันดาลให้น้ำท่วมทับผูซานแล้ว?”
พูดมาถึงตรงนี้ เย่อวิ๋นอวิ๋นก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ได้ยินมาว่าสถานที่ฝึกตนของมังกรที่แท้จริงตัวนั้นก็ถือถ้ำสวรรค์หลีจูที่ตั้งภูเขาลั่วพั่วพวกท่าน หากพูดอย่างนี้ก็แสดงว่าท่านกับนางเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันในระยะประชิดเลยน่ะสิ?”
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตามสัตย์จริง “เป็นเพื่อนบ้านกัน”
เย่อวิ๋นอวิ๋นซักถาม “ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าสุ่ยจวินของทะเลทักษิณที่เลื่อนขั้นใหม่ท่านนี้ได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว เจ้าขุนเขาเฉินสนิทกับนางหรือไม่?”
เมื่อคืนจากลากันที่ศาลา นอกจากจะแอบโมโหแล้ว อันที่จริงเย่อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย นางรีบแก้ไขเรื่องของรายงานภูเขาสายน้ำ ถึงขั้นที่ว่ายังลงจากภูเขาไปเยือนจวนเทพวารีของโค่วเซวี่ยนฉวีรอบหนึ่ง และยังไปที่จวนของชิงหงสุ่ยจวินที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าทะเลด้วย ขอรายงานที่เกี่ยวข้องกับแจกันสมบัติทวีปโดยเฉพาะอย่างยิ่งของภูเขาลั่วพั่วมาปึกใหญ่ ไม่อ่านก็ไม่รู้ พอได้อ่านก็ตกใจสะดุ้งโหยง ถึงได้ค้นพบว่าที่แท้ถ้ำสวรรค์เล็กที่หลังจากปริแตกแล้วหล่นร่วงลงบนพื้นดินก็ได้ลดระดับขั้นกลายเป็นพื้นที่มงคลแห่งนั้น ถึงกับมี ‘ผู้มากพรสวรรค์รุ่นเยาว์’ มากมายขนาดนั้นปรากฏตัว นอกจากสตรีขอบเขตบินทะยานที่เป็นมังกรแท้จริงตัวสุดท้ายบนโลกแล้วยังมีเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว หลิวเสี้ยนหยางแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน หม่าขู่เสวียนหนึ่งในตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า และยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวที่มีนามทางการฝึกตนว่า ‘ช่านหราน’ ฉายา ‘คนวิกลจริต’ …
เฉินผิงอันจึงได้แต่เอ่ยว่า “เป็นเพื่อนบ้านที่บ้านอยู่ติดกัน”
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ต่อให้อยู่ไกลกันนับพันลี้ก็ถือว่า ‘บ้านอยู่ติดกัน’ เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันจึงเอ่ยอย่างจนใจว่า “ความหมายตามตัวอักษร”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเห็นว่าอีกฝ่ายคล้ายจะไม่ค่อยยินดีพูดถึงมังกรที่แท้จริงตัวนั้นสักเท่าไร นางจึงนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามชวนคุยว่า “เจ้าขุนเขาเฉินเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือของพวกท่านกี่ครั้งแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนยิ่งนัก “ไม่เคยเลยสักครั้ง”
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองจับผลัดจับผลูได้กอบกู้ศักดิ์ศรีทั้งหมดคืนมาแล้วนะ?
ท่ามกลางฝนเม็ดใหญ่ คนทั้งกลุ่มเดินตามแสงไฟสลัวรางนั้นไป ที่แท้ริมฝั่งก็มีเพิงน้ำชาตั้งอยู่แห่งหนึ่ง กิจการซบเซา ขนาดตอนนี้ก็ยังไม่มีลูกค้าที่เข้ามาหลบฝนสักคนเดียว ด้านในมีเพียงหญิงชราคนหนึ่งที่พาเด็กสาวซึ่งเป็นหลานสาวมานั่งล้อมกระถางไฟพลางคุยเล่น มองฝนกระหน่ำที่อยู่นอกร้านไปด้วยกัน ไฟในกระถางอบอุ่น กำลังอุ่นเหล้าเหลืองกาหนึ่งที่ใช้ขับไล่ความหนาวเย็น เด็กสาวมองดูแล้วอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี แม้จะสวมเสื้อผ้ามอซอ แต่ผิวพรรณกลับขาวนวลดุจหิมะใบหน้างดงาม ท่วงท่ากิริยาชดช้อย
เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าประตูร้านเผิงน้ำชา เขาหมุนตัวกลับ หันหลังให้เพิงน้ำชาก่อน เพื่อสะบัดเม็ดฝนให้หล่นอยู่ข้างนอก
คนทั้งกลุ่มต่างก็เก็บร่มกระดาษน้ำมันที่อยู่ในมือ
แต่เสี่ยวโม่หายไปคนหนึ่ง
เห็นว่ามีลูกค้ามาเยือน แม้จะประหลาดใจเป็นทบทวี หญิงชราก็ยังรีบลุกขึ้นยืนรับรองลูกค้า สอบถามว่าพวกลูกค้าต้องการชาร้อนๆ กี่ถ้วย
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มเอ่ยว่าเอามาคนละถ้วยก่อน รอกระทั่งแน่ใจแล้วว่ากิจการมาเยือนจริงๆ เด็กสาวถึงได้ลุกขึ้นยืน เดินออกไปสองสามก้าว ดวงตาเหลือบมองไปทางหนึ่ง ไม่รู้ว่าเห็นอะไรเข้าถึงได้หลุบตาลงยิ้มบางๆ
หญิงชรากับเด็กสาวช่วยกันยกถ้วยชามาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงไปข้างกระถางไฟอีกครั้ง หญิงชรายิ้มถาม “นี่เป็นเพราะปลาเฒ่าเป่าคลื่น พวกลูกค้าไม่ต้องตกอกตกใจไป”
กิจการของร้านน้ำชาดีหรือไม่ดีต้องดูที่สภาพอากาศ หากทางอำเภอมีงานวัดหรือเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน พวกชาวบ้านที่ไปร่วมงาน ระหว่างทางไปกลับ บางทีก็อาจมาพักเท้าดื่มน้ำชาที่นี่
เวลานี้หญิงชราพูดภาษาราชการของแคว้นที่ยังติดสำเนียงท้องถิ่นค่อนข้างมาก อีกทั้งยังไม่เหมือนกับแจกันสมบัติทวีปที่ภาษาราชการของต้าหลีก็คือภาษากลางของหนึ่งทวีป ออกจากบ้านไปท่องเที่ยว การพูดคุยสื่อสารจะราบรื่นอย่างมาก เว้นเสียจากว่าเป็นเขตหรืออำเภอที่กันดารในแคว้นเล็กบางแห่ง
และภาษากลางของใบถงทวีปก็สามารถถือว่าเป็นภาษากลางที่ไม่สมชื่อมากที่สุดในเก้าทวีปของไพศาล ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาษาทางการของแคว้นใครแคว้นมัน ต่างคนต่างพูดภาษาของตัวเอง หลังจากสงครามใหญ่ครั้งนั้นผ่านพ้นไปก็ยังมีแค่ราชวงศ์ต้าเฉวียนเท่านั้นที่สนับสนุนให้ภาษากลางของหนึ่งทวีปกลายเป็นภาษากลางของไพศาลร่วมกับของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างเต็มกำลัง อีกทั้งยังจัดให้เป็นหนึ่งในเนื้อหาการสอบประเมินขุนนางด้วย เบื้องบนปฏิบัติเบื้องล่างทำตาม อันที่จริงผ่านไปแค่ไม่กี่ปี นับตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงท้องถิ่น เมื่อมีขุนนางเป็นผู้นำพา ตลอดทั้งราชสำนักก็แทบจะคุ้นเคยกับภาษากลางสองชนิดอย่างรวดเร็วแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นจึงช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟัง
หญิงชรามองบุรุษชุดเขียวที่นั่งอยู่ข้างกายสตรีชุดเหลืองแล้วยิ้มถามว่า “ฮูหยินท่านนี้มาชมทัศนียภาพที่นี่ของพวกเราเป็นเพื่อนนายท่านของท่านหรือ?”
มองดูแล้วเหมาะสมกันมาก
เย่อวิ๋นอวิ๋นจนใจเล็กน้อย จึงไม่ช่วยแปลให้ เพียงส่ายหน้าตอบว่า “ข้ากับเขาเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”
หญิงชรายิ้มเอ่ย “น่าเสียดายจริงๆ”
ได้รับคำเตือนจากเสียงในใจของเฉินผิงอัน เย่อวิ๋นอวิ๋นก็ได้แต่ยิ้มถามหญิงชราไปตามคำพูดประโยคเดิม “ท่านยาย ท่านรู้หรือไม่ว่าแม่น้ำชื่อหลินตอนล่างสายนี้ ในอดีตเคยมีลำคลองหรือลำธารที่ท้องน้ำแห้งขอดบ้างหรือไม่? ทุกวันนี้มีความประหลาดอะไรหรือไม่?”
หญิงชรายิ้มเอ่ย “ตอบฮูหยิน ไม่เคยได้ยินว่ามีลำคลองที่ไม่มีน้ำอะไร แต่แม่น้ำสายนี้มักจะมีผีออกอาละวาดเป็นประจำ ตอนกลางวันชอบหลอกคนลงน้ำเพื่อหาตัวตายตัวแทน อย่าว่าแต่คนในท้องถิ่นของพวกเราเลย ต่อให้เป็นพวกนายท่านเทพเซียนที่เดินทางผ่านมาก็ยังจนปัญญา ขุนนางที่อยู่ในที่ว่าการอำเภอจะต้องเชิญคนมาทำพิธีที่นี่แทบทุกปี เพิงน้ำชาของข้าร้านนี้เปิดมานานหลายปีแล้ว เคยเจอพวกนักพรตและภิกษุมาบ้าง ส่วนในบรรดาคนเหล่านั้นจะมีนายท่านเทพเซียนที่กล่าวถึงในตำนานหรือไม่ ข้าหรือจะกล้าถามมาก”
เสี่ยวโม่เดินเข้ามาในเพิงน้ำชา นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน เฉินผิงอันยื่นน้ำชาร้อนๆ ถ้วยหนึ่งที่เพิ่งสั่งเมื่อครู่นี้ให้กับเสี่ยวโม่
เสี่ยวโม่รับถ้วยชามาแล้วหยิบหินหลายก้อนออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะเบาๆ
เฉินผิงอันหยิบหินสีแดงก้อนหนึ่งในนั้นขึ้นมา ลวดลายเหมือนเกล็ดปลาสีแดงที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ จริงดังว่า
เผยเฉียนรวมเสียงให้เป็นเส้น ถามว่า “อาจารย์พ่อ หินใต้แม่น้ำพวกนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับหินดีงูของลำคลองหลงซวีหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คล้าย แต่ระดับขั้นต่ำกว่ามาก บางทีอาจจะมีลูกหลานของเจียวหลงแฝงตัวบำเพ็ญตนอยู่ที่นี่มานานจริงๆ จึงได้แปรเปลี่ยนปราณวิญญาณฟ้าดินส่วนหนึ่งไปเป็นปราณมังกรอย่างที่มองไม่เห็น ก้อนหินใต้แม่น้ำถูกปราณมังกรส่วนนั้นอาบย้อมมานานหลายร้อยหลายพันปี จึงเหมือนการสร้างโอสถของผู้ฝึกตน หรือไม่ก็…จงใจลอกเกล็ดเก่าบางส่วนทิ้งเอาไว้ จำแลงให้มันกลายเป็นหินงามสีชาดที่ถูกเซียนซือบนภูเขานำไปหลอมเป็นวัสดุเซียน ราวกับว่ากำลังบอกกล่าวกับใครบางคนอยู่ไกลๆ ว่า ‘อย่าลืมที่แห่งนี้’”
เฉินผิงอันไม่ได้รวมเสียงให้เป็นเส้นหรือใช้เสียงในใจ “หากตำนานในหนังสือไม่ใช่เรื่องโกหก มีเจินเหรินของภูเขามังกรพยัคฆ์ผ่านมายังที่แห่งนี้จริงๆ แล้วยังเคยมีร่องรอยของการกำจัดปีศาจปราบมารมาก่อน คิดดูแล้วก็น่าจะเป็นเพราะพวกกากเดนเจียวหลงที่เหลืออยู่ในปีนั้นมีโทษไม่ถึงตาย จึงไถ่โทษด้วยการกักขังตัวเองไว้ที่นี่ ไม่กล้าข้ามดินแดนบ่อสายฟ้านี้ไปแม้แต่ครึ่งก้าว จำเป็นต้องหยุดอยู่ที่เดิมไม่ย้ายรังไปไหน ได้แต่รอคอยอย่างยากลำบากให้ร้อยปีพันปีให้หลังมีวันใดที่ได้รับคำสั่งจากเจินเหรินจวนเทียนซือ”
มองดูเหมือนไม่ได้เจตนา แต่เป็นการกระทำที่มีเป้าหมาย
หญิงชรามองมือดาบชุดเขียวแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันบังเอิญหันหน้ามายิ้มให้หญิงชราพอดี
หญิงชรากลับมองเย่อวิ๋นอวิ๋น ชี้ไปที่เหล้าเหลืองกานั้น ถามว่า “ฮูหยิน ต้องการดื่มเหล้าหรือไม่ เพียงแต่ว่าราคาไม่ถูก หนึ่งกายี่สิบอีแปะ”
เย่อวิ๋นอวิ๋นมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันที่ได้รับคำเตือนเสียงในใจจากเสี่ยวโม่จึงพยักหน้าให้เย่อวิ๋นอวิ๋น จากนั้นกำหินที่อยู่ในมือแน่น ลุกขึ้นเดินไปนั่งยองข้างกระถางไฟ โยนก้อนหินลงในกองไฟประหนึ่งเผาเผือก ขยับเข้ามาหาไออุ่นใกล้ๆ ก้มหน้าลง ถูมือยิ้มเอ่ย “ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ลมฟ้าลมฝนพัดกระหน่ำติดกันกลายเป็นคลื่นถาโถม ซ่อนตัวอยู่ในคลื่นยักษ์ ไม่หวาดเกรงทั้งยังไร้กังวล”
ที่แท้เมื่อครู่นี้พอเสี่ยวโม่เพ่งมองให้แน่ชัด บังเอิญนัก ถึงกับเป็นร้านหมั้นหมายร้านหนึ่ง
คนที่ลงมือไม่ใช่หญิงชรา แต่เป็นเด็กสาวที่อยู่ข้างกายหญิงชรา เมื่อครู่นี้นางที่เป็นคนใหม่ถึงกับกลับมาทำอาชีพเก่าอีกครั้ง จึงเผยพิรุธให้เสี่ยวโม่ได้เห็น ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นเงามืดใต้โคมไฟแล้วจริงๆ
ร้านหมั้นหมายในยุคบรรพกาลคอยดูแลเรื่องการมอบใบรับรองการแต่งงานในใต้หล้า ส่งให้ทางดวงจันทร์ตรวจสอบโดยดูจากชะตาชีวิตคู่ที่แตกต่างกัน ทำหน้าที่ผูกข้อเท้า ข้อมือและหัวใจชายหญิงเข้าด้วยกัน
ในสรวงสวรรค์เก่าเคยมีกองงานชะตาคู่อยู่แห่งหนึ่ง โดยเจ้านายหญิงของดวงจันทร์แต่ละท่านจะทำหน้าที่คอยดูแลในพื้นที่ของตัวเอง จำนวนร้านหมั้นหมายในอาณาเขตการปกครองจะมีไม่เท่ากัน
หมื่นปีให้หลังก่อนได้หวนกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ก่อนหน้านี้อย่าว่าแต่เสี่ยวโม่เคยเจอร้านหมั้นหมายทำนองเดียวกันนี้กับตาตัวเองมาก่อนเลย แม้แต่ในรายงานบนภูเขาหรือในหนังสือเบ็ดเตล็ดล่างภูเขาที่เขาเคยอ่านก็%E