กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 897.4 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 897.4 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
เจินเหรินผู้เฒ่าลูบหนวดพยักหน้า “ใช่แล้ว ถูกต้อง”
เจินเหรินผู้เฒ่าเตรียมจะกลับอารามที่แคว้นเหลียงแล้ว ก่อนจะจากไปยังเอ่ยอีกว่า “ร่วมด้วยช่วยกัน”
พูดถึงเรื่องของการซ่อมแซมบำรุงแม่น้ำขุนเขาเก่าของใบถงทวีป ตัวของเจินเหรินผู้เฒ่าเองยังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายปี วันหน้าโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะได้คบค้าสมาคมกันย่อมมีไม่น้อย
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ร่วมด้วยช่วยกัน”
สุดท้ายผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกศาลเทพภูเขา เพื่อหยั่งเชิงความตื้นลึกของจิตแห่งมรรคาเจ้า จำเป็นต้องพูดจาส่งเดช เจ้าหนูเจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ อย่าได้ขัดเคืองใจเลย”
คนหนุ่มเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เจินเหรินโปรดวางใจได้ ผู้เยาว์ไม่ใช่คนชอบอาฆาตแค้นที่สุดแล้ว!”
กลับไปที่ร้านน้ำชา เฉินผิงอันถึงได้สังเกตเห็นว่าเหล้าหมักข้าวเหนียวสองกาของบ้านเกิดอุ่นร้อนกำลังเหมาะ เพียงแต่ว่าเจินเหรินผู้เฒ่ายังไม่ได้ดื่มก็จากไปก่อนแล้ว จึงหยิบขึ้นมา แบ่งให้ทุกคนได้ดื่ม ทั้งหญิงชราและเด็กสาวต่างก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
หญิงชราคลี่ยิ้มอย่างยินดี บอกว่านางดีใจอย่างมาก คอยนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างกระถางไฟ ได้พบเจอเฉินผิงอัน ได้ดื่มเหล้าหมักข้าวเหนียวถ้วยนั้น และยิ่งเรียกว่าเฉินผิงอันเป็นผู้มีพระคุณไม่ขาดปาก
เด็กสาวที่อยู่ด้านข้างกลับเบิกตากว้าง ยกถ้วยเหล้าแต่กลับไม่ดื่ม เพียงแค่มองเซียนกระบี่ชุดเขียวด้วยความสงสัยใคร่รู้เป็นที่สุด
ดูเหมือนว่าทัศนียภาพในสายตาของนางจะน่าดื่มกว่าสุรา
เย่อวิ๋นอวิ๋นผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก แม้จะยังไม่อาจหาหลักฐานที่แน่ชัดมาจากแม่น้ำชื่อหลินเพื่อให้นางนำไปใช้ถามหมัดกับตู้หันหลิงได้
แต่บนร่างของเซวียไหวผู้เป็นลูกศิษย์หมดหายนะประหลาดที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายภายในของผูซานแล้ว จึงทำให้เย่อวิ๋นอวิ๋นที่มีสีหน้าเย็นชาอยู่เป็นนิตย์คลี่ยิ้มดังบุปผาผลิบาน
ตอนที่เฉินผิงอันลุกขึ้นกล่าวลา หญิงชราก็ลุกขึ้นตามมาติดๆ นางยอบกายคารวะ เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “เซียนกระบี่เฉิน ครั้งนี้หลุดพ้นพันธนาการมาได้ ได้รับอิสระอีกครั้ง ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน พระคุณยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณ…”
เฉินผิงอันคิดในใจ ในเมื่อเจ้าก็พูดแล้วว่าพระคุณยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณ แล้วข้ายังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
เดิมทีเขาอยากถามหญิงชราเกี่ยวกับหินสวยงามในแม่น้ำที่เสี่ยวโม่บอกว่ามีจำนวนมากน่าดูชม อยากถามว่าสองฝ่ายจะสามารถทำการค้าบนภูเขาที่ราคาเป็นธรรมกันได้หรือไม่?
แต่ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าประโยคที่เด็กสาวซึ่งเป็นเถ้าแก่ร้านหมั้นหมายเอาอย่างคำพูดในตำราซึ่งชวนให้คนเข้าใจผิด จู่ๆ ก็เอ่ยว่า ‘พระคุณยิ่งใหญ่ของคุณชาย ข้าน้อยพร้อมใช้เรือนกายตอบแทน’ มากนัก
ในขณะที่เซียนกระบี่ชุดเขียวกำลังจะหมุนกายจากไป เด็กสาวพลันกะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูหมุนตัวกลับมาถลึงตาดุดันใส่เด็กสาวที่บิดหมุนข้อมือเบาๆ ใช้เสียงในใจพูดเตือนว่า “แม่นางผู้นี้ อย่าได้เอาความแค้นตอบแทนบุญคุณสิ!”
เด็กสาวทำสีหน้าไร้เดียงสา ส่งเสียงเรอเอิ้กหนึ่งที ปิดปากคลี่ยิ้ม
……
หลังจากเฉินผิงอันออกมาจากร้านน้ำชาแล้วก็ไม่ได้กลับไปที่ผูซานอีก แต่เกิดความคิดกะทันหัน ไม่ได้หวนกลับภูเขาเซียนตู อ้อมเส้นทางไปเล็กน้อย ไปเยือนอาณาเขตน่านน้ำที่มีชื่อว่า ‘ลำคลองหลินเหอ’ เพราะเรือข้ามฟากเฟิงยวนบ้านตนต้องข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำของสามทวีป ในใบถงทวีปแห่งนี้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ต้องทยอยผ่านภูเขาชิงจิ้งตำหนักพยัคฆ์เขียว ภูเขาเซียนตูบ้านตน ท่าเรือเหย่อวิ๋นของภูเขาหลิงปี้ ท่าเรือใบท้อราชวงศ์ต้าเฉวียน แม่น้ำยาวหมื่นลี้ที่มีสาขาแยกออกไปมากมาย จากนั้นถึงจะเป็นสำนักกุยหยกและท่าเรือชวีซานที่อยู่ทางทิศใต้สุด
บวกกับแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีป ท่าเรือมีไว้ให้เรือจอดเทียบท่าสถานที่ละห้าแห่ง รวมท่าเรือตระกูลเซียนทั้งสิ้นสิบเจ็ดแห่ง
คนทั้งกลุ่มทะยานลมหยุดอยู่ท่ามกลางเมฆขาว เฉินผิงอันมองแม่น้ำใหญ่ใต้ฝ่าเท้า บริเวณใกล้กับต้นกำเนิดสายน้ำ บนพื้นดินมีเค้าโครงของท่าเรือตระกูลเซียนปรากฎขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าเป็นท่าเรือของผู้อื่น
แม่น้ำใหญ่หมื่นลี้ที่เชื่อมต่อกับมหาสมุทรตะวันตกสายนี้มีกองกำลังของหลายฝ่ายพร้อมใจหมายตาพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลายเป็นอ่างเก็บสมบัติแห่งนี้โดยไม่ได้นัดหมายนานแล้ว เพราะอาณาเขตกว้างขวางที่อยู่ใกล้เคียง อย่าว่าแต่สำนักหรือตัวสำนักเลย แม้แต่ขอบเขตก่อกำเนิดที่มีชื่อเสียงสักคนก็ยังไม่มี มีแค่เซียนดินโอสถทองไม่กี่คนที่ยุ่งอยู่กับการเป็นผู้ถวายงาน เป็นราชครู หรือไม่ก็เปิดภูเขาตั้งพรรคของตัวเอง
ดังนั้นจึงมีกองกำลังตระกูลเซียนห้าหกแห่งที่อยู่ห่างจากภูเขาบ้านตัวเองมาค่อนข้างไกล หรือไม่ก็เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ล่างภูเขาที่เพิ่งจะกอบกู้แคว้นไม่ก็ก่อตั้งแคว้นขึ้นใหม่ รวมไปถึงแคว้นใต้อาณัติทั้งหลาย ฝ่ายหนึ่งออกเงิน ฝ่ายหนึ่งออกกำลังคนออกแรง บ้างก็เป็นตระกูลเซียนหลายแห่งที่มีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกัน ซึ่งเริ่มทยอยกันมาสร้างท่าเรืออยู่บนสองฝากฝั่ง จากนั้นค่อยเชิญให้ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญเวทน้ำออกจากภูเขามาช่วยเหลือ บ้างก็ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต บ้างก็จัดวางค่ายกลรวบรวมโชคชะตาน้ำของแม่น้ำยาวไม่ให้แหลกสลายหายไป จากนั้นค่อยช่วงชิงปราณวิญญาณฟ้าดินกับกองกำลังแห่งอื่นอีกที
เป็นหลักการที่ตื้นเขินอย่างยิ่ง กินข้าวร่วมชามบนโต๊ะตัวเดียวกัน ใครกินมากคนนั้นก็ได้น้อย ใครกินอิ่มคนนั้นก็ยิ่งท้องหิว
เฉินผิงอันเดินทางเลียบลำน้ำใหญ่ต่อไป มุ่งหน้าไปยังตอนกลางของกระแสน้ำ เพียงไม่นานก็ไปถึงจุดหมายของการเดินทางมาในครั้งนี้
ตามคำกล่าวของชุยตงซาน กองกำลังแต่ละฝ่ายปัดแข้งปัดขากันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ต่อยตีกันไปหลายรอบ สุดท้ายสองสถานที่อย่างต้นและปลายของแม่น้ำใหญ่ บวกกับแม่น้ำตอนกลางก็มีภูเขาเพียงสามแห่งเท่านั้นที่พอจะถือได้ว่าหยัดยืนได้อย่างมั่นคง กองกำลังแห่งอื่นต่างก็ทยอยกันละทิ้งซึ่งบ้างก็เป็นฝ่ายละทิ้งเอง บ้างก็เป็นฝ่ายถูกละทิ้ง
ผลคือตรงท่าเรือริมแม่น้ำแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างกลางทาง อะไรที่สามารถรื้อถอนเอาไปได้ล้วนขนย้ายไปจนเกลี้ยงหมดแล้ว แต่ยังเหลือเปลือกที่เป็นเค้าโครงของท่าเรือเอาไว้ เพียงแต่ว่ารากฐานของท่าเรือแห่งนั้นปูมาได้ดี อย่าดูแคลนเรื่องของการก่อสร้างบนดินประเภทนี้ ลำพังแค่เรื่องการกระทุ้งดินก็ต้องสิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพยากรไปอย่างมหาศาลแล้ว พูดถึงแค่แรงสั่นสะเทือนของรากภูเขาในวินาทีที่เรือข้ามฟากเทียบท่าสัมผัสกับพื้นดิน หากท่าเรือไม่แข็งแรงมากพอก็จะถูกกระแทกให้กลายเป็นหลุมใหญ่ที่อาจขยายกว้างออกไป ดังนั้นเจ้าของเก่าของท่าเรือแห่งนี้จึงถือว่าขาดทุนเงินเทพเซียนไปก้อนใหญ่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่อาจทำเงินได้ก็รีบหยุดมือถอนกำลังออกไปทันเวลา
เรื่องของการสร้างท่าเรือบนภูเขาก็คืองานที่ต้องใช้ภูเขาเงินภูเขาทองไปถมมหาสมุทรใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่งให้เต็ม มีอันตรายอย่างใหญ่หลวง สามารถมองเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ได้เลย
นอกจากการขุดดินก่อสร้างแล้ว การสร้างค่ายกลขุนเขาสายน้ำ สร้างท่าแต่ละแห่งให้เรือมาจอดเทียบ หลังจากนั้นยังต้องรวบรวมปราณวิญญาณภูเขาสายน้ำ ก็คือค่าใช้จ่ายก้อนยักษ์อีกก้อนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเรือข้ามฟากลำใดจะน้ำเข้าสมอง ยินดีจ่ายเงินจอดเรือเทียบท่าเพียงเพื่อชดเชยปราณวิญญาณ และหากท่าเรือสร้างขึ้นสำเร็จ ผลกลายเป็นว่ามีเรือแค่ไม่กี่ลำแวะเวียนมา รายรับไม่พอกับรายจ่าย ไม่เพียงแต่เงินเทพเซียนที่เหมือนไหลหายไปตามกระแสน้ำ ยังเดือดร้อนให้สำนักเหมือนถูกจับแขวนคอใต้ต้นไม้ด้วย สมบัติวิเศษสมบัติอาคมที่เป็นซี่โครงไก่ยังสามารถเปลี่ยนมือขายต่อได้ แต่ท่าเรือบนภูเขาที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายไปไหนเช่นนี้ ใครจะโง่รับช่วงไปทำต่อ?
อีกอย่างไม่ว่าการปรากฏของท่าเรือใหม่แห่งใดก็ตาม สำหรับท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้เคียงแล้วก็คือการแย่งชิงเส้นทางทำเงินของผู้อื่น แทบไม่ต่างไปจากการช่วงชิงบนมหามรรคา
เนื่องจากจำนวนเพิ่มลดของท่าเรือมีจำนวนคร่าวๆ ที่แน่นอน การสร้างท่าเรือขึ้นใหม่จึงเป็นการแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่งไปจากหม้อใบเดียวกัน
เฉินผิงอันมองไปยังแม่น้ำใหญ่ใต้ฝ่าเท้า
นี่ก็คือท่าเรือตระกูลเซียนแห่งที่สามที่เป็นของภูเขาบ้านตนต่อจากท่าเรือหนิวเจี่ยวและท่าเรือเหย่อวิ๋นแล้ว
ในสายตาของคนนอก ‘ซากปรัก’ ท่าเรือที่แทบไม่ต่างจากของใหม่แห่งนี้ได้ถูกเซียนซือไม่ทราบนามคนหนึ่งของสำนักหน้าไม่อายบางแห่งเก็บเอาของสำเร็จรูปไปได้เปล่าๆ
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานมาตั้งแผงอยู่ที่นั่น ต้อนรับวีรบุรุษผู้กล้าจากฝ่ายต่างๆ โต๊ะตัวหนึ่งวางถ้วยเหล้าไว้สามใบ ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่า สามหมัด เวทคาถาในการโจมตีสามบท เซียนกระบี่น่ะหรือ แค่ส่งกระบี่สองทีก็พอ สามกระบี่ไหนเลยจะต้านทานได้ไหว
ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ไม่มีเงิน มีแต่ชีวิตห่วยๆ ชีวิตเดียวเท่านั้น
สามกระบวนท่าสองกระบี่ฆ่าข้าให้ตายได้ หากนับถึงสิบแล้วข้าผู้อาวุโสยังลุกขึ้นไม่ไหว ท่าเรือแห่งนี้ก็กลายเป็นของพวกเจ้าแล้ว
ดังนั้นท่าเรือที่อยู่ห่างไปแค่พันลี้จึงทุ่มเงินจ้างปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งมาออกหมัดที่นี่
เด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วทำเอาพวกผู้ฝึกตนทุกคนที่มาชมศึกตกใจสะดุ้งโหยง
ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มทำตัวเป็นหมูที่คิดจะกินเสือ หรือมีเวทคาถาเลิศล้ำค้ำฟ้าอะไร แต่เป็นเพราะหลังถูกคนถามหมัด โดนแค่หมัดเดียวก็กระเด็นไปไกลหลายสิบจั้ง กลิ้งตลบไปบนพื้นหลายรอบ เป็นนานก็ยังลุกไม่ขึ้น แล้วยังยกแขนสั่นๆ ข้างหนึ่งขึ้นมา คงจะหมายความว่ารอเดี๋ยว ขอข้าพักหายใจหายคอก่อน ข้าจะลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้แล้ว ข้าต้องทำได้แน่นอน...
หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองปล่อยหมัดออกไปก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมพักใหญ่ แล้วก็ไม่ได้ลงมือทันที ถามหมัดแน่นอนว่าเป็นของจริง เพราะถึงอย่างไรก็รับเงินมัดจำที่เป็นเงินเทพเซียนจากเซียนซือท่าเรือข้างๆ กันมาแล้ว แต่เขาไม่อยากให้มีคนตายจริงๆ เสียหน่อย ทุกวันนี้กฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาต้าฝูเข้มงวด ขอแค่มีข้อพิพาทล่างภูเขา ทำให้เซียนซือทำเนียบตายไปสักคนก็ต้องรายงานเรื่องให้สำนักศึกษาทราบทันที ชั่วชีวิตนี้เขาเกลียดการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าไม่อยากไปใช้หนี้อ่านหนังสือที่สำนักศึกษาต้าฝู
รอกระทั่งเด็กหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นยืนโงนเงนได้แล้วก็ตบอกตัวเอง เอ่ยว่ามาเลย ผลคือแค่พูดก็เลือดพุ่งออกจากปาก อีกนิดเดียวก็เกือบจะลงไปนอนพักอยู่บนพื้นต่อแล้ว
ดังนั้นหมัดที่สองของผู้ฝึกยุทธคนนั้นจึงได้แต่ออมแรงไว้เล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังต่อยให้เด็กหนุ่มชุดขาวกลิ้งตลบอยู่กลางอากาศ จากนั้นกระแทกลงพื้นหนักๆ
ผู้ฝึกยุทธอัดอั้นตันใจยิ่งนัก หมัดนี้ของตนแม้จะไม่ได้เบาหวิวอะไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ได้ปล่อยพายุหมัดรุนแรงออกไปเสียหน่อย
หมัดที่สามผู้ฝึกตนแทบจะแข็งใจเพิ่มน้ำหนักอีกเล็กน้อยแล้ว เพราะถึงอย่างไรเมื่อสามหมัดผ่านไป หากเด็กหนุ่มยังลุกขึ้นยืนได้ก็เท่ากับว่าตนมาเสียเที่ยว จะเสียเงินเทพเซียนครึ่งหนึ่งไป
หลังจากหมัดนี้ผ่านไป เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารใช้สองมือยันพื้นอยู่หลายครั้ง หมายจะลุกขึ้นมา แต่ก็กระอักเลือดอีกหลายที หน้าคว่ำกระแทกกับพื้น หายใจรวยริน สุดท้ายนอนหน้าแนบพื้น ยกมือสั่นๆ ข้างหนึ่งขึ้นชูนิ้วโป้ง คงจะอยากพูดว่า…หมัดดีกระมัง?
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้นจึงรู้สึกละอายใจนัก
สุดท้ายเด็กหนุ่มยังคงลุกขึ้นมานั่งได้ตอนที่ใกล้จะนับถึงเก้า ก่อนจะโซเซลุกขึ้นยืน
ผู้ฝึกยุทธรีบไปประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้น ประคองเขา หรือควรจะเรียกว่าลากเด็กหนุ่มไปที่โต๊ะเหล้าตัวนั้นด้วยกัน ผู้ฝึกยุทธเองดื่มเหล้าไปสามชาม สองมือกุมหมัดบอกลา บอกว่าล่วงเกินแล้ว ส่วนเงินเทพเซียนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งซึ่งต้องชนะถึงจะได้เข้ามาอยู่ในกระเป๋านั่น ผู้ฝึกยุทธร่างทองคนนี้ไม่คิดมากแม้แต่น้อย อยากจะทำอย่างไรก็ทำไป ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ไม่อาจลงมืออำมหิตได้จริงๆ
วันนั้นกองกำลังที่กำลังจะมาสร้างท่าเรือที่ต้นกำเนิดแม่น้ำหลินเหอก็รีบจ้างผู้ฝึกตนเฒ่าคอขวดโอสถทองคนหนึ่งมา วัตถุแห่งชะตาชีวิตสองชิ้น ร่วมมือกับเวทโจมตี มีพลังพิฆาตอย่างมาก
แทบจะพริบตาเดียวที่เวทคาถาสามบทพุ่งใส่ติดต่อกัน เด็กหนุ่มชุดขาวที่นอนอยู่ในหลุมใหญ่เสื้อผ้าขาดวิ่น น้ำลายฟูมปาก ชักกระตุกไม่หยุด
ผลคือไม่ทันรอให้นับถึงสิบ เขาก็ลุกขึ้นยืนได้อย่างยากลำบาก เดินไปทางโต๊ะเหล้าเหมือนคนเมา ผู้ฝึกตนเฒ่าลงมือไม่สำเร็จจึงได้แต่แค่นเสียงหยัน ไม่ดื่มเหล้าก็ทะยานลมจากไปทันที
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ท่าเรือที่ตั้งอยู่ตรงทางแม่น้ำไหลเข้ามหาสมุทรก็ให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งออกหน้า ทะยานลมมาถึง
ผลคือการต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งตีกันอย่างน่าประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เหมือนเอาซาลาเปาไส้เนื้อขว้างหัวหมา ไม่รู้อย่างไร ดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นจะแค่พูดคุยด้วยเสียงในใจกับเด็กหนุ่มไม่กี่ประโยคก็เริ่มเปลี่ยนสีหน้าไม่จำคนเสียแล้ว หลังจากผู้ฝึกกระบี่รับเงินมัดจำมาก้อนใหญ่ เขาก็ไม่ได้เบี้ยวหนี้ แต่กลับไปเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาที่แม่น้ำใหญ่ แล้วฟันเข้าใส่ความว่างเปล่าสามที ปล่อยกระบี่เสร็จก็เก็บงานจบ
หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอว่า ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองชาติสุนัขผู้นั้นถึงกับมาเฝ้าแผงแทนเด็กหนุ่มชุดขาว แล้วยังป่าวประกาศไปแก่ภายนอกว่าเปลี่ยนกฎใหม่แล้ว ถามหมัดถามกระบี่ ประลองมรรคกถายังคงเดิม แต่เขาจะมอบกระบี่ตอบแทนกลับคืนสามครั้ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้ามาหาเรื่องซวยใส่ตัว?
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนี้อายุร้อยกว่าปีแล้ว เพิ่งจะเต็มร้อยแปดสิบปีพอดี มีชื่อว่าเถาหราน
คือผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของใบถงทวีป แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนอิสระมาโดยตลอด
ทุกวันนี้กำลังจับปลาอยู่ริมแม่น้ำ บางครั้งจับตะพาบเฒ่าได้ก็จะเอามาตุ๋นกิน ก่อนหน้านี้ตอนที่มาได้พกเอาเครื่องปรุงเจ็ดแปดชนิดมาด้วย ไม่ให้ตัวเองต้องลำบากแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงที่ริมตลิ่งนานแล้ว เดินเล่นมุ่งหน้าไปทางแผงเรียบง่ายแห่งนั้น
ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลกำลังลากเอาแหตกปลาเดินมาทางแผง มีปลาหลายตัวกำลังดีดดิ้นอยู่ในแห
เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝีมือการปรุงอาหารของเซียนกระบี่เป็นเช่นไร
การที่เฉินผิงอันมาที่นี่ อันที่จริงยังมีเรื่องลับอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือจะมีคนมาก่อตั้งแคว้นอยู่ใกล้กับท่าเรือแห่งนี้ เป็นการตั้งแคว้นใหม่ ไม่ใช่การกอบกู้แคว้น แต่หากจะพูดให้ถูกต้องก็พอจะถือว่าเป็นการกอบกู้แคว้นอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน
สำนักกระบี่ชิงผิงของภูเขาเซียนตู ผู้ฝึกตนทำเนียบศาลบรรพจารย์ในอนาคต เส้าพอเซียนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดจะช่วยให้สาวใช้ข้างกายอย่างเหมิงหลงได้ใช้แซ่ตู๋กู เปลี่ยนชื่อให้นางเป็นตู๋กูเหมิงหลง ส่วนตัวเขาจะหลบอยู่เบื้องหลังต่อไป ยืนยันให้แน่ใจว่าแซ่ตู๋กูของราชวงศ์จูอิ๋งเก่าของแจกันสมบัติทวีปซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีความหวังในการกอบกู้แคว้นอีก ได้%