กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 897.6 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 897.6 ตะวันจันทราล้วนเป็นดั่งจอกแหนที่ลอยบนน้ำ
สตรีที่หลุดจากการจัดอันดับหลักอย่างน่าสงสาร คาดว่าตัวเองคงไม่ได้คิดอะไร กลับกลายเป็นบุรุษที่ชื่นชอบพวกนางที่ต้องทุ่มเงินกันอย่างเต็มที่เพื่อให้สตรีที่รักช่วงชิงอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับรองมาให้ได้
ยกตัวอย่างเช่นในรายงานข่าวฉบับหนึ่งได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไว้โดยเฉพาะ บอกว่ามีราชวงศ์แห่งใหม่ที่ทำการกอบกู้แคว้นอย่างถูกต้องชอบธรรม ขุนนางหนุ่มคนหนึ่งที่รับตำแหน่งอยู่ในกรมคลังไม่ใช่ขวัญกล้าเทียมฟ้าธรรมดาเท่านั้น ขุนนางขั้นห้าชั้นโทตัวเล็กๆ กลับกล้ายักยอกเงินในท้องพระคลังมากถึงสามล้านตำลึงเงิน ถูกเขาเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินเทพเซียน ทุ่มให้กับภูเขาฮวาเสินในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสุกลเจียง!
ไม่เพียงแต่ต้องสูญเสียตำแหน่งขุนนางด้วยเหตุนี้ ยังเกือบจะต้องหัวหลุดจากบ่า การที่ใช้คำว่าเกือบก็เพราะตระกูลของเขาทุบหม้อขายเหล็ก บิดาที่ได้บุตรตอนอายุมากซึ่งเป็นเจ้ากรมอยู่ในกรมอาญาได้ไปยืมเงินจากสหาย เชื่อเงินจากโรงจำนำ สรุปก็คือใช้ทุกวิธีที่มี แม้แต่ติดค้างน้ำใจคนอื่นก็ยอม ถึงได้ชดเชยความเสียหายไปได้เกินครึ่ง
คนหนุ่มกลับดีนัก พาผู้ติดตามสองสามคนนั่งรถม้าคันหนึ่งไปด้วยกัน ตรงเอวห้อยตราประทับที่แกะสลักเองชิ้นหนึ่ง ตรงก้นของตราประทับแกะสลักเป็นสามคำว่า โหวแห่งวงศ์ตระกูล
สถานที่แห่งนี้ไม่รับนายท่าน ย่อมต้องมีสถานที่ที่รับนายท่านเอาไว้ ข้าผู้อาวุโสออกไปเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำก็แล้วกัน
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินขึ้นยอดเขาชิงผิงด้วยกัน ชุยตงซานยังเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องนี้ให้อาจารย์ฟัง แล้วยังบอกด้วยว่าตัวเองแอบปลีกตัวจากงานที่ยุ่งไปชมเรื่องสนุกที่นั่นมารอบหนึ่ง
ที่แท้บิดาของคนหนุ่มที่ห้ามให้ตายอย่างไรก็ห้ามอีกฝ่ายไม่ได้ โกรธจนหน้าเขียว ริมฝีปากสั่นระริก ขว้างถ้วยชาแตกอยู่ในห้องหนังสือ ด่าคำแล้วคำเล่าว่าเจ้าลูกไม่รักดี เจ้าลูกทรพี เจ้าลูกอกตัญญู!
โดนด่าไม่ได้เจ็บหูเสียหน่อย คนหนุ่มจึงยังคงออกจากบ้านออกไปจากเมืองหลวง ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางไปหาเทพธิดาที่รักคนนั้น ไม่ต้องแม้แต่จะเจอหน้ากัน
เรื่องของการทุ่มเงิน เขาทำไปเพื่อความเป็นธรรมเท่านั้น นี่จึงจะถือว่าเป็นปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงและสง่างาม
หากต้องการแค่ความบันเทิงเริงใจอย่างเดียวก็เป็นคนชั้นต่ำแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษผู้มีเสน่ห์สง่างามอย่างเราๆ จะทำเด็ดขาด
อีกอย่างรูปโฉมของตนก็เหมือนบิดาไม่เหมือนมารดา จึงอัปลักษณ์ไปสักหน่อย คาดว่าถ้าไปขอพบเทพธิดาถึงบ้านก็คงต้องกินน้ำแกงประตูปิด แล้วจะต้องหาเรื่องให้ตัวเองลำบากทำไม ไม่สู้เก็บความทรงจำดีๆ ไว้กับตัวเองยังดีเสียกว่า
ผลคือเพิ่งออกจากเมืองหลวงได้ไม่นานก็วิ่งตุปัดตุเป๋กลับมา ทั้งร่ำรวย เติมท้องพระคลังที่ว่างเปล่าได้จนเต็ม ทั้งได้เลื่อนขั้นตำแหน่งขุนนาง กลายเป็นรองเจ้ากรมโยธา
ที่แท้ระหว่างทางได้เจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันที่ถูกชะตากันมาก อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองแซ่โจว เป็นคนต่างถิ่นที่มาจากแจกันสมบัติทวีป เป็นแค่ผู้ฝึกตนครึ่งๆ กลางๆ คนหนึ่งที่ขอบเขตไม่มีค่าพอให้พูดถึง ฉายาคือเปิงเลอะเจินจวิน บอกว่าตนเพิ่งมาถึงใบถงทวีปได้ไม่นาน คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนอวดอ้างบารมีใส่ ตีแสกหน้าจนเขาเวียนหัวตาลายหาทางไม่ถูก ไม่คิดว่าจะได้พบเห็นวีรกรรมของเขาเข้าพอดี ความประทับใจที่มีต่อใบถงทวีปจึงเปลี่ยนแปลงไปทันที สุดท้ายทิ้งเงินเทพเซียนสามเหรียญที่คนหนุ่มไม่เคยเห็นมาก่อน พอคนหนุ่มกลับเมืองหลวงแล้วไปลองสืบความดูถึงได้รู้ว่านั่นคือเงินฝนธัญพืชที่มีค่ามากที่สุดในตำนาน!
พี่โจวคนนั้นยังทิ้งจดหมายไว้ให้ฉบับหนึ่ง ถ้อยคำจริงใจกระตือรือร้น หากไม่ใช่สหายย่อมพูดจาทำนองนี้ไม่ได้แน่ บอกว่าในเวลายี่สิบปี ต้องเป็นคนที่ตาไม่มีแววแค่ไหน เห็นเขาเป็นคนโง่มากแค่ไหนถึงชมว่าเขารูปโฉมหล่อเหลา? แต่จดหมายฉบับนี้กลับไม่เหมือนกัน บอกให้เขาตั้งใจเป็นขุนนางให้ดี แสดงฝีไม้ลายมือบนเส้นทางอนาคตอันรุ่งโรจน์ให้ดี สรุปก็คือห้ามละโมบในเงินทองแบบนี้อีก เป็นขุนนางน้ำใสเป็นขุนนางที่ดีดีกว่า คอยนอนเสวยสุขอยู่บนบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมมา ใครเล่าจะทำไม่ได้บ้าง ขอแค่ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดี เรื่องอย่างการเสวยสุขยังต้องเรียนรู้อีกหรือ? ยังต้องให้คนอื่นสอนว่าควรจะใช้เงินกองโตอย่างไรด้วยหรือ? กลับเป็นเรื่องอย่างการอดทนต่อความยากลำบากต่างหากที่หากเจ้าทำสำเร็จ ถึงจะถือว่าเป็นคุณชายเสเพลอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริง…
คนหนุ่มอ่านแล้วเข้าหัวทันที เทียบกับคำพร่ำบ่นของบิดาแก่ๆ ในบ้านตนตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ยังใช้ได้ผลมากกว่าเสียอีก
เป็นรองเจ้ากรมพิธีการที่สถานะสูงศักดิ์ไม่ทำเรื่องเป็นการเป็นงานจะสามารถสร้างความผาสุกให้กับชาวประชาในพื้นที่หนึ่งได้อย่างไร จะต้องเป็นหลางจงในกรมโยธาเท่านั้น ดังนั้นบิดาแก่ๆ ของตนจึงเริ่มด่าเขาว่าเจ้าลูกทรพี เจ้าลูกอกตัญญูอีกครั้ง
ผลคือพอเขาไปทำงานในกรมโยธาจริงๆ ถึงเพิ่งรู้ว่าหากไม่แอบเก็บค่าน้ำร้อนน้ำชาอย่างลับๆ ชีวิตก็ช่างขมขื่นนัก งานหนักรัดตัว บวกกับเขาเองก็หัวร้อน เป็นฝ่ายหอบงานมาไว้กับตัว ไปเยือนเขตการปกครองในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง นอนกลางดินกินกลางทราย ปากเต็มไปด้วยแผลร้อนใน มือเท้าก็ด้านเป็นไต ทุกวันเหนื่อยจนหัวถึงเหมือนก็หลับสนิททันที ยังจะมีเวลามาคิดถึงสตรีอะไรอีก? ข้าผู้อาวุโสเหนื่อยจนแม้แต่ฝันวสันต์ก็ยังไม่ฝันแล้ว คนหนุ่มรู้สึกแค่ว่าชีวิตดีๆ ยี่สิบกว่าปีล้วนถูกใช้คืนกลับไปให้ทั้งต้นทุนและกำไรแล้ว
ผลคือรอกระทั่งเขากลับเมืองหลวง บิดาแก่ๆ ของเขาคนนั้น ทั้งๆ ที่รอคอยเขาอยู่หน้าประตูตาปริบๆ เป็นนาน แต่พอรอจนลูกชายกลับจากที่ว่าการกรมโยธามาถึงบ้านจริงๆ ใต้เท้าเจ้ากรมเพิ่งจะมองเห็นรถม้าก็รีบกลับไปที่ห้องหนังสือทันที เขานั่งตัวตรงอย่างสงบ รอกระทั่งผู้เฒ่าได้เห็นหน้าบุตรชายที่ไม่เจอกันแค่เดือนกว่ากลับผอมลงไปหนึ่งรอบตัว เขาก็ไม่ได้ขว้างถ้วยน้ำชาอีก แต่เงียบงันไปนาน พอเปิดปากพูดก็ยังเรียกว่าเจ้าลูกทรพี เจ้าลูกอกตัญญูที่เป็นคำพูดติดปากอยู่ดี…
อันที่จริงในใจของคนหนุ่มรู้สึกทุกข์ทรมานถึงขีดสุด เดิมทีคิดว่ากลับเมืองหลวงครั้งนี้คิดจะลั่นกลองถอยทัพแล้ว จะไปอยู่กรมพิธีการหรือไม่ก็อาจจะกลับไปที่กรมคลังอีกครั้ง ต่อให้เป็นแค่หลางกวานก็ยังดี ตำแหน่งรองเจ้ากรมโยธาไม่ใช่งานที่คนคนเดียวจะทำได้จริงๆ
เพียงแต่รอกระทั่งการประชุมในท้องพระโรงของวันหนึ่งสิ้นสุดลง รองเจ้ากรมหนุ่มมองบิดาที่อยู่ห่างไปไกล ทั้งๆ ที่หลังโก่งงอเส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะแล้ว แต่กลับเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา หัวเราะพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเสียงดังกังวาน
รองเจ้ากรมหนุ่มจึงบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอดทนอยู่ในที่ว่าการของกรมโยธาให้ได้อีกสักปีครึ่งปี…
นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าสำนักชุยยุ่งก็ส่วนยุ่ง แต่ก็พอจะมีเวลาว่างอยู่บ้างเหมือนกัน
ตอนนั้นการที่เฉินผิงอันพูดความในใจกับเหลียงส่วงบอกว่า
‘ต้นอู๋ถงไม่ยอมให้กิ่งใบร่วงโรย ใบไม้ทั้งหลายจึงส่งเสียงรับลม’
นอกจากจะพูดถึงผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มนั้นของสำนักใบถงแล้ว ก็พูดถึงคนรุ่นเยาว์ของล่างภูเขาด้วย
ในเรือนแห่งหนึ่งที่คฤหาสน์เถาหยวน
มีคนที่ร้อนใจราวกับไฟลน
อีกฝ่ายไม่มาก็เหมือนมีกระบี่แขวนอยู่เหนือศีรษะ จะหล่นมิหล่นแหล่ แต่พออีกฝ่ายมาจริงๆ กลับยิ่งครั่นเนื้อครั่นตัว รู้สึกเพียงว่าหากแข่งกันเรื่องกลอุบายแล้ว ตนมิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้เลย
ได้แต่นั่งกระวนกระวายอยู่เพียงลำพัง ผู้ฝึกตนเฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด
เป็นวิธีการที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็นอีกแล้ว
มีคนมาโผล่ด้านหลังหลูอิง ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมากดไหล่ของก่อกำเนิดเฒ่าผู้นี้เบาๆ “หลูอันดับหนึ่ง ได้เจอกันอีกแล้วนะ”
ส่วนตรงหน้าประตูกลับมีหญิงสาวที่มวยผมทรงกลมกลางศีรษะ สองแขนกอดอก เอนตัวพิงกรอบประตู
คนที่อยู่ด้านหลังยิ้มบางๆ “หลูอันดับหนึ่งจิตใจไม่สงบเช่นนี้ คงไม่คิดจะเอาหัวของข้าไปแลกคุณความชอบจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางหรอกกระมัง?”
ทำเอาหลูอิงตกใจเด้งตัวพรวดขึ้นมา ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เฝ่ยหรานอย่าได้ข่มขู่ข้าอีกเลย ข้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ความใจกล้าสู้เซียนซือบนทำเนียบไม่ได้หรอก”
หลูอิงรู้ทันทีว่าตัวเองพูดผิดไปแล้วจึงตบบ้องหูตัวเองแรงๆ หนึ่งที ยิ้มประจบเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ “คารวะเฉาเค่อชิง”
เฉินผิงอันยกม้านั่งมานั่งลงตรงข้ามกับหลูอิง ยกฝ่ามือขึ้นกดลงบนความว่างเปล่าสองที ขยับขานั่งไขว่ห้าง หยิบกระบอกยาสูบและถุงยาสูบออกมาด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย เริ่มพ่นควันขโมง สะเก็ดไฟเปล่งประกายวาบๆ
หลูอิงถามอย่างระมัดระวัง “เฉาเค่อชิง ครั้งนี้เรียกข้าน้อยมาพบ มีเรื่องอะไรจะสั่งการหรือ?”
คราวก่อนที่พบเจอกัน เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ร่ายชื่อและสถานะของตัวเองยาวเหยียด อะไรที่บอกว่าเป็นผู้ถวายงานอันดับรองของสกุลเจียงถ้ำเมฆา เค่อชิงอันดับรองของยอดเขาจิ่วอี้สำนักกุยหยก แล้วยังเป็นเค่อชิงอันดับสามของศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนด้วย แต่กลับมีชื่อแค่ชื่อเดียว เฉาโม่
วันนี้ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง อีกฝ่ายนอกจากจะพกดาบแคบสองเล่มไว้ตรงเอวแล้ว ยังสูบยาอีกด้วย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ครั้งนี้ผู้ถวายงานหลูลงจากภูเขาออกเดินทางไกล คงออกมาจากประตูตอนเที่ยงวันกระมัง?”
สีหน้าของหลูอิงประดักประเดิด
คราวก่อนเป็นสตรีที่อยู่ตรงหน้าประตูช่วยไขความลับสวรรค์ให้ หลูอิงถึงได้รู้ว่าที่แท้ในคำพูดแฝงคำพูด ไม่อย่างนั้น ‘สักวันหนึ่งต้องเกิดเรื่อง’ จริงๆ (ภาษาจีนคือประโยคจ่าวหว่านชูซื่อ จ่าวหมายถึงตอนเช้า หว่านหมายถึงตอนเย็น แต่รวมกันจะหมายถึงสักวันหนึ่ง หรือไม่ช้าก็เร็ว)
เฉินผิงอันถาม “ไม่ได้วาดงูเติมขากระมัง?”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดจาคลุมเครือ แต่หลูอิงกลับเข้าใจได้ในทันที ก่อกำเนิดเฒ่าไม่ได้จะโอ้อวดตัวเอง แต่หากจะพูดถึงนิสัยใจคอและความระมัดระวังยามลงมือทำเรื่องใดแล้ว ล้วนสูงกว่าขอบเขตก่อกำเนิดของเขาหลายส่วน แม้ว่าจะยืนอยู่ แต่เขากลับพยายามค้อมเอวให้ได้มากที่สุด ผู้ฝึกตนเฒ่าเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เฉาเค่อชิงวางใจร้อยดวงได้เลย ไม่มีการกระทำใดๆ ที่เกินความจำเป็นเด็ดขาด ตอนอยู่อารามจินติ่ง อะไรที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งสมควรมองก็ไม่เคยมองข้าม อะไรที่ไม่ควรพูดก็ไม่เคยเอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว”
เฉินผิงอันหัวเราะ “นั่งลงคุยกันเถอะ”
บอกความจริงบางอย่างให้คนฉลาดฟัง กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายสงสัยผีสงสัยเทพ ไม่สู้ทำให้คนฉลาดคนหนึ่งเข้าใจความจริงได้อย่างกระจ่างด้วยตัวเอง จะได้มั่นใจไม่คลางแคลงสิ่งใด
หลูอิงนั่งลงตามคำสั่ง เพียงแต่รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
เซียนดินที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ ต่อให้จะเป็นโอสถทองคนหนึ่งก็ยังเคยเห็นลมฝนมาจนเคยชินแล้ว ความหนักแน่นของจิตแห่งมรรคาและความไม่ธรรมดาของปณิธาน ไม่แน่ว่าอาจดียิ่งกว่าก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดจากเซียนซือทำเนียบด้วยซ้ำ
โชคดีที่อีกฝ่ายพูดเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว “เจ้าอารามตู้ของพวกเจ้าจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไหร่? หรือว่าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว?”
หลูอิงเอ่ยอย่างสงสัย “ตอบเฉาเค่อชิง ครั้งนี้ข้ากลับอารามจินติ่ง ตู้หันหลิงก็ไม่มีลางว่าจะปิดด่านเลย”
เลื่อนจากก่อกำเนิดเป็นหยกดิบ ความเคลื่อนไหวไม่มีทางเล็กเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่าเฝ่ยหรานผู้นั้นจะพยักหน้ารับโดยตรง “เกินครึ่งคงจะเป็นหยกดิบแล้ว”
หลูอิงใช้ความคิดเล็กน้อยก็ให้รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง สมกับเป็นเฝ่ยหราน ผู้ครองเปลี่ยวร้างที่ใจกล้าเดินบนเส้นทางอันตราย ทว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถูกศาลบุ๋นสาวตัวมาเจอ!
หลูอิงไม่มีเวลามาสนใจแรงสั่นสะเทือนในจิตใจ รีบเอ่ยเหมือนทำความดีชดใช้ความผิดทันใด “ก่อนจะลงจากเขาข้าได้ดื่มเหล้ากับอิ่นเมี่ยวเฟิงมามื้อหนึ่ง เขาไม่ได้หลุดปากพูดอะไร แต่ดูจากท่าทาง บวกกับเบาะแสจากทางคลังเก็บสมบัติของอาราม เส้ายวนหรานลูกศิษย์ของเขามีความเป็นไปได้สูงว่าจะปิดด่านทันที อีกทั้งความมั่นใจที่จะเลื่อนเป็นก่อกำเนิดก็มีไม่น้อย”
อาจารย์ของอวิ๋นเมี่ยวเฟิง คือคนที่มีฉายาว่า ‘นักพรตเป่าเจิน’
อาจารย์และศิษย์สองฝ่ายเคยเป็นผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ต้าเฉวียน รับผิดชอบคอยช่วยราชสำนักสกุลหลิวจับตามองดูกองทัพชายแดนสกุลเหยาในเวลานั้น
เฉินผิงอันพยักหน้า พลันหรี่ตาถามว่า “ไม่ได้วาดงูเติมขาจริงๆ หรือ? หลูอันดับหนึ่ง ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนว่าเจ้ากำลังวางแผนเล่นงานข้า?”
หลูอิงฝืนข่มกลั้นแรงกระเพื่อมขึ้นลงของจิตแห่งมรรคาลงไป มือหนึ่งที่หดอยู่ในชายแขนเสื้อกำหยกพกชิ้นหนึ่งแน่น ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิง หากเวลานี้ยังไม่รวบแห ยังจะรอเวลาใดอีก?!”
เสี่ยวโม่ที่นั่งอยู่ในลานบ้านหลุดขำอย่างอดไม่ไหว คุณชายบ้านตนเดาได้ถูกต้องจริงๆ คนผู้นี้ยังพอเยียวยาได้
สำหรับหลูอิงแล้ว หากเกิดช่องโหว่จนเรื่องราวถูกเปิดเผย ตนก็คือคนที่สมคบคิดกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเชียวนะ! อย่าว่าแต่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเลย วิธีการที่สำนักศึกษาสถานศึกษาใช้ในทุกวันนี้ก็ไม่เหมือนในอดีตอย่างมาก แค่ผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของใบถงทวีปรู้เรื่องนี้เข้า คงจะถลกหนังกินเขาทั้งเป็นเลยกระมัง
ดังนั้นก่อนจะมาที่ท่าเรือใบท้อ หลูอิงจึงตัดสินใจแล้วว่าจะปิดบังตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่ง ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งออกไปที่ท่าเรือตระกูลเซียน
รอแค่ให้เฝ่ยหรานพาตัวมาติดกับดักเท่านั้น
ถ้าโชคร้ายก็สามารถตัดขาดความสัมพันธ์กับเฝ่ยหรานและใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ หากโชคดี นั่นก็คือได้สร้างคุณความชอบใหญ่เทียมฟ้า! ไม่ว่าจะเฝ่ยหรานที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นร่างจำแลงของจิตหยิน หรือใช้วิธีการซับซ้อนวกวนอะไร ขอแค่ถูกศาลบุ๋นจับตัวได้ ไม่แน่ว่าตนอาจจะได้รับคำอนุญาตจากศาลบุ๋นให้ก่อสำนักตั้งพรรคได้เป็นกรณีพิเศษ
หากคราวก่อนที่จากลากันที่จวนสถานประกอบพิธีกรรมเปลือกหอยบนหาดหวงเฮ้อ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก อย่างมากข้าก็แค่เดินบนสะพานไม้ของข้า เฝ่ยหรานเจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างขวางของเจ้า เจ้าไม่มายุ่งกับข้าหลูอิง ข้าก็จะถือว่าไม่เคยพบเจอเจ้ามาก่อน ถึงอย่างไรข้าหลูอิงก็ไม่ได้ทำเรื่องห่าเหวอะไรทั้งนั้น ก็แค่พูดจาไร้สาระเรื่อยเปื่อยกับเจ้าในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ต่อให้สำนักศึกษาต้าฝูและศาลบุ๋นแผ่นดินกลางซักไซ้เอาผิดหลังจบเรื่อง อย่างมากก็แค่ถูกจับไปอยู่สวนกงเต๋อ อ่านตำราอริยะปราชญ์สี่ห้าปี ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้พบหน้าหลิวชาด้วยก็ได้
เพียงแต่ว่าป้ายหยกของสำนักศึกษาที่อยู่ในชายแขนเสื้อไม่มีความเคลื่อนไหวเสียที เสียงในใจของตนเหมือนวัวปั้นดินที่ร่วงจมลงสู่ทะเล
หลูอิงพลันรู้สึกเหมือนร่างหล่นลงไปในบ่อน้ำแข็ง
ซวยแล้ว!
ทางฝั่งของสำนักศึกษาต้าฝูและเฉิงหลงโจวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลยแม้แต่น้อย หรือว่าอีกฝ่ายข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน? คิดว่าจะให้ตนกับเฝ่ยหรานตีกันเองไปก่อน? ตีกันเองกะผีอะไรเล่า มีแต่ตายกับตายต่างหาก ก่อกำเนิดห่วยๆ อย่างข้าผู้อาวุโสจะทำร้ายอีกฝ่ายได้สักกะผีกหรือ?!
บัณฑิตชาติสุนัขอย่างพวกเจ้า ปากเต็มไปด้วยหลักการอริยะปราชญ์ แต่ในท้องกลับมีแต่ความคิดชั่วๆ ยังเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นหมาไร้เจ้าของได้แต่ขุดดินคุ้ยหาอา