กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 898.2 สิบสองตำแหน่งสูง
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “คนธรรมดาบนโลกมนุษย์มองฟ้าเห็นท้องนภาสีครามเหมือนกระจก ผู้ฝึกตนอยู่บนภูเขาก้มหน้าหลุบตาลงต่ำมองขุนเขาสายน้ำบนพื้นดิน อันที่จริงก็เป็นกระจกบานหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเทียบกันแล้วมีหลุมมีบ่อเยอะกว่าก็เท่านั้น”
หากไม่ทันระวัง ผู้ฝึกตนก็จะเหมือนอยู่บนภูเขาแล้วมองเห็นเหวลึก เกิดเป็นความคิดเห็นของใครของมัน
ชุยตงซานพยักหน้า รู้ว่าอาจารย์กำลังเตือนตนว่าอย่าได้เล่นสนุกกับจิตใจของผู้อื่น
ตรงตีนเขามีลำธารที่กระแสน้ำไหลรินริกๆ น้ำในลำธารเป็นสีออกแดง ประหนึ่งชาดที่ตระกูลเซียนหลอมขึ้นอย่างตั้งใจ ปริมาณน้ำหนักของกระแสน้ำไหลหนักมากกว่าธรรมดาทั่วไป
ที่ถ้ำสวรรค์หลีจูอันเป็นบ้านเกิด ปีนั้นการที่หร่วนฉงตั้งร้านตีเหล็กและเตาหลอมกระบี่ไว้ที่ริมลำคลองก็เพราะถูกใจในความหนักและเย็นของน้ำในลำคลองหลงซวีซึ่งเหมาะจะเอามาหลอมเป็นกระบี่
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมน้ำ วักน้ำมาไว้ในมือ ประกายสีสันสวยงามเหมือนหยก
ชุยตงซานนั่งยองอยู่ด้านข้าง อธิบายว่า “การที่น้ำในลำธารมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติเช่นนี้ก็เพราะเกี่ยวพันกับการเจริญงอกงามหรือแห้งเหี่ยวของต้นสนโบราณที่มีอายุอยู่มายาวนานหลายพันปีต้นนั้นกับพืชพรรณบุปผามากมายของตระกูลเซียนบนภูเขา น้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงปีแล้วปีเล่าช่วยเพิ่มความหนักแน่นมั่นคงให้กับอักษรคำว่า ‘ชื่อ’ (แปลว่าสีแดง/สีชาด ภูเขาชื่อซงคือภูเขาต้นสนแดงหรือต้นสนสีชาด) นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นวัสดุยันต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง วันหน้าพวกเราสามารถอาศัยสิ่งนี้มาทำการค้ากับตาเฒ่าอวี๋หรือไม่ก็ภูเขามังกรพยัคฆ์ได้ ตามการประเมินของข้า น้ำหนักที่แน่นอนในการดึงน้ำมาของแต่ละปีจะอยู่ที่สามพันจิน ไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานมหามรรคาของถ้ำสวรรค์อย่างแน่นอน”
แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดภายในเวลาหกสิบปี ชุยตงซานไม่คิดจะอาศัยถ้ำสวรรค์แห่งนี้มาหาเงินแม้แต่เหรียญเดียว เพราะมันมีประโยชน์มากกว่านั้น
ในภูเขาชื่อซง พวกพืชพรรณหายากอย่างพวกหลิงจือ โสม หรือโป่งรากสนล้วนถูกชุยตงซานระบุพิกัดออกมาทั้งหมดแล้วจดลงบันทึกเอาไว้
ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขา เฉินผิงอันก็ถามชวนคุยว่า “มีสมุดบัญชีไหม?”
ชุยตงซานกล่าว “ที่ข้ามีอยู่ ทางฝั่งของอาจารย์จ้งยังไม่มี พวกดอกไม้พืชพรรณหายากพวกนี้ ในภูเขามีจำนวนมากมาย ‘อายุ’ ร้อยปีถือว่าอยู่ในหลุมเล็ก มีจำนวนสองร้อยสิบหกต้น อายุสามร้อยปีคือหลุมกลาง หากเกินสามร้อยปีขึ้นไปมีอยู่เจ็ดสิบต้น อายุพันปีคือหลุมใหญ่ นี่คล้ายคลึงกับหายนะตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกตน ต้นไม้ที่ข้ามผ่านหายนะนี้มาได้มีอีกสิบหกต้น นอกจากนี้สนแดงที่มีเฉพาะบนภูเขาแห่งนี้ก็มีรวมทั้งหมดสามร้อยหกสิบต้น เมื่อเทียบกับพวกดอกไม้ต้นหญ้าแล้วอายุขัยยาวนานยิ่งกว่า ต้นไม้ที่มีอายุพันปีขึ้นไปโดยที่ยังไม่ตายมีหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าต้น อายุสามพันปีขึ้นไปมีสิบเก้าต้น สรุปก็คือจำนวนมากน่าดูชมเลยล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นภูเขาเงินภูเขาทองอย่างสมชื่อจริงๆ ด้วย”
นอกจากนี้ทางฝั่งของยอดเขายังมีจวนเซียนสีชาดอีกแห่งหนึ่งที่ถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างต้นสนโบราณที่แห้งเหี่ยวซึ่งล้มราบไปกับพื้น วงปีของมันเป็นเส้นเล็กบางอย่างมาก มองกวาดผ่านๆ น่าจะมีอายุประมาณสี่พันกว่าปีแล้ว เฉินผิงอันบิไขสนสีเหลืองอร่ามออกมาก้อนใหญ่ พอเข้ามาอยู่ในมือแล้วมีน้ำหนักมาก ไม่ว่าจะเอามาทำเป็นยาหรือนำมาหลอมเป็นหมึก ทำเป็นเครื่องหอมก็ล้วนยอดเยี่ยม เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ภูเขาแห่งนี้มีแต่เงินเทพเซียนอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งจริงๆ ขอแค่เดินขึ้นเขามาก็สามารถเก็บหาได้ตามรายทางง่ายๆ เลยทีเดียว
อยู่ดีๆ ก็อดนึกไปถึงการเข้าไปสำรวจสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่อุตรกุรุทวีปครั้งนั้นไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าลำบากกว่ามากนัก
ดังนั้นถึงได้บอกว่าภูเขาเซียนตูสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วที่ชุยตงซานสร้างขึ้นมากับมือตัวเอง แท้จริงแล้วไม่ได้ขาดเงิน ส่วนการขาดคนก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น
มิน่าล่ะเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างอย่างชุยตงซานถึงทำหน้าที่ได้อย่างฮึกเหิม แน่นอนว่าเรื่องอย่างการขุดมุมกำแพงของสำนักเบื้องบนก็ยิ่งไม่ออมแรงแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันไม่ได้เก็บไขสนใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แต่วางมันเอาไว้บนกิ่งต้นสนที่แห้งเหี่ยวไปแล้ว
เสี่ยวโม่สังเกตเห็นว่าเจ้าสำนักชุยที่อยู่ด้านข้างคล้ายจะชะเง้อคอมอง ดวงตาเต็มไปด้วยแววคาดหวัง รอกระทั่งเห็นว่าคุณชายบ้านตนวางไขสนกลับไปก็มีสีหน้าผิดหวังอยู่เล็กน้อย
เฉินผิงอันปัดมือ เดินขึ้นเขาต่ออีกครั้งพลางถามว่า “ถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยหายสาบสูญไปนานมากแล้ว แต่ไม่เคยถูกตัดชื่อออกเสียที ทุกวันนี้ยังคงเป็นหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์เล็ก ในเรื่องนี้มีคำอธิบายอะไรหรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้า “ถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยคือซากปรักที่สำคัญที่สุดของดินแดนสู่โบราณ ไม่มีหนึ่งใน เนื่องจากเล่าลือกันว่าเคยมีเซียนกระบี่บรรพกาลหลายท่านทิ้งคราบร่างไว้ที่นี่แล้วบินทะยาน ทิวากาลกลายเป็นเซียน จิตแห่งเซียนหลุดพ้น ทิ้งเนื้อหนังมังสาเหมือนจักจั่นลอกคราบ ซากปรักของวังมังกรที่อยู่แถวลำน้ำใหญ่ แม่น้ำทั้งหลายในโลกยุคหลังที่คล้ายคลึงกันนี้กลับมิอาจเปรียบเทียบได้เลย เนื่องจากท่วงทำนองที่หลงเหลืออยู่ในคราบร่างเซียนกระบี่ทุกร่าง บางทีอาจจะแบกรับวิถีกระบี่บรรพกาลหนึ่งชนิดหรือกระทั่งหลายชนิดเอาไว้”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ปีนั้นถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยหายไปจากแจกันสมบัติทวีปได้อย่างไร?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เดิมทีเป็นสถานที่พิสูจน์มรรคาของอาจารย์เจิ้งจวีจง เจ้าหมอนี่เวทกระบี่สูง นิสัยดุร้าย ปีนั้นถือเป็นคนต่างถิ่นที่ข้ามทวีปไปเที่ยวเยือนแจกันสมบัติทวีป ทว่าโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดนี้กลับเป็นเขาที่ได้ไปครอง แล้วก็เพราะอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กแห่งนี้ เขาถึงได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ภายหลังไม่รู้ว่าอย่างไรไอ้หมอนี่ถึงไปทำให้ฝูงชนเดือดดาล ถูกเซียนกระบี่ในท้องถิ่นและต่างทวีปหลายสิบท่านรุมซ้อม ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนภูเขาถล่มแผ่นดินแตกแยก คนบาดเจ็บล้มตายกันไปเยอะมาก ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนแปดคน ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดหกคน รวมแล้วคนสิบสี่คนต่างไม่มีใครที่หนีรอดไปได้ ล้วนถูกเจ้าหมอนั่นจัดการหมด เนื่องจากเป็นศึกของผู้ฝึกกระบี่ ก่อนที่สองฝ่ายจะปล่อยกระบี่ก็ได้ลงนามสัญญาเป็นตายไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งสนามรบยังอยู่ในถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ย เป็นเหตุให้ไม่มีคนบริสุทธิ์ล่างภูเขาเดือดร้อนติดร่างแหไปด้วย ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจึงไม่ได้สนใจสักเท่าไร”
เสี่ยวโม่จุ๊ปากอย่างชื่นชม มิน่าเล่าถึงกลายเป็นคนพิฆาตมังกรในภายหลังได้
ต่อให้ไม่พูดถึงเวทกระบี่สูงต่ำ พูดถึงแค่นิสัยใจคอก็ถูกใจเขายิ่งนัก
เฉินผิงอันกล่าว “โชคชะตาวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปเริ่มถดถอยลงในเวลานั้นหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้า “ในบรรดาเซียนกระบี่ที่รบตายไป เกินครึ่งล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของแจกันสมบัติทวีป ก็เหมือนตระกูลชนชั้นสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็ถูกค้นบ้านริบทรัพย์ภายในค่ำคืนเดียว สถานการณ์ย่อมดิ่งลงเหว ตระกูลจึงตกต่ำนับแต่นั้นมา เวลาถึงสามพันปีเต็มก็ยังเซื่องซึมมิอาจกระเตื้องขึ้นมาได้อีก บวกกับที่ภายหลังเถียนหว่านและป๋ายฉางร่วมมือกันก่อกวนอย่างลับๆ ดังนั้นจนกระทั่งพวกอาจารย์ท่านลุกผงาดขึ้นมา พลังต้นกำเนิดถึงฟื้นคืนกลับมาได้หลายส่วน”
“โรคร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากการถามกระบี่ครั้งนั้นใหญ่มาก สำหรับแจกันสมบัติทวีปแล้วไม่เพียงแต่เซียนกระบี่เหล่านั้นที่ตายดับอยู่ในถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยเท่านั้น ยังเดือดร้อนให้ตระกูลเซียนบนวิถีกระบี่มากมายต้องขาดการสืบทอดควันธูปไปด้วย โชคชะตาวิถีกระบี่ที่อยู่บนร่างของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนถูกปิดผนึกอยู่ในถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ย และยังมีเรื่องที่เป็นปัญหามากกว่านั้น ราวกับว่าวิถีกระบี่ในแจกันสมบัติทวีปเท่ากับว่าถูกผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่นคนหนึ่งสยบกำราบไว้อย่างสิ้นเชิงแล้ว”
สุดท้ายชุยตงซานยิ้มหน้าทะเล้นเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเจิ้งจวีจง ก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง”
เฉินผิงอันถาม “เหตุใดจนถึงทุกวันนี้ในป่าสนแดงก็ยังไม่มีภูตในภูเขาที่สติปัญญาถูกเปิดออกแล้วหลอมเรือนกายสำเร็จเลยสักตน?”
ชุยตงซานถอนหายใจ “เจ้าของเดิมของที่แห่งนี้ต้องเป็นเซียนเหรินยุคบรรพกาลที่วิชาอภินิหารเลิศล้ำอย่างแน่นอน น่าจะเป็นคนบนภูเขาที่เก็บตัวสันโดษอย่างสมชื่อ จิตใจสะอาดผ่องใสไร้ความปรารถนา เกิดมาก็ไม่ชอบความครึกครื้น เป็นเหตุให้ใช้วิธี ‘ผนึกภูเขา’ ตามความหมายที่แท้จริงอย่างหนึ่ง ต่อให้จะผ่านไปอีกหลายพันปี สติปัญญาของพืชพรรณในภูเขาก็ยังไม่เปิดออก ต่อให้เขาจะออกไปจากที่แห่งนี้ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำนี่ออก”
เฉินผิงอันอดไม่ไหวทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “คนประหลาดและเรื่องพิลึกมหัศจรรย์”
ตอนนั้นตามคำกล่าวของเถียนหว่าน ถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยไม่ได้อยู่บนร่างของนาง
นางไม่ได้โกหก หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ขนาดตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
เป็นเพราะใช้ตราผนึกปิดภูเขาที่สูงส่งกว่าของหนันจานไทเฮาต้าหลี อีกทั้งยังต้องเป็นฝีมือของโจวจื่อศิษย์พี่ของเถียนหว่านแน่นอน ตอนนั้นชุยตงซานทำการ ‘ค้นภูเขา’ ตรวจสอบไปรอบหนึ่ง แค่ตามหาประตูภูเขาในจิตวิญญาณของเถียนหว่านเจอก็เกือบจะทำให้ชุยตงซานหลงกลติดกับ ทุกอย่างที่ทำมาสูญเปล่าไปเสียแล้ว
ทุกวันนี้บนร่างของเถียนหว่านมีกุญแจ ‘เปิดภูเขา’ อยู่แค่ดอกเดียว นางอนุมานว่าได้ถูกศิษย์พี่นำพาไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจู แต่ไม่ว่าหลังจบเรื่องชุยตงซานจะทำนายหรืออนุมานอย่างไรก็ไม่อาจหาเบาะแสได้พบ
ขยับเข้าใกล้ยอดเขา ชุยตงซานก็เอ่ยแนะนำเสียงเบาว่า “อาจารย์ ก่อนที่ท่านจะไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว สามารถตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นี่ได้นะขอรับ”
อาจารย์สามารถฝึกตนอยู่ในภูเขาแห่งนี้ ตั้งใจศึกษาเวทกระบี่ บำเพ็ญตนอยู่บนมหามรรคา นำวิชาความรู้และเวทคาถาทั้งหมดที่ร่ำเรียนมามาหลอมรวมกันไว้ในเตาเดียว สุดท้ายบรรลุมรรคากลายเป็นบินทะยาน
ขณะเดียวกันนี่ก็หมายความว่าอาจารย์สามารถปักหลักอยู่ในสำนักเบื้องล่างนานๆ ได้
ส่วนทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วที่เป็นสำนักเบื้องบน ถึงอย่างไรอาจารย์ก็ทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านมาจนชินแล้ว อีกทั้งยังมีพ่อครัวเฒ่าคอยจัดการกิจธุระต่างๆ ให้ พวกเจ้ายังมีโจวอันดับหนึ่งที่มือเติบใจป้ำอยู่อีกคน อาจารย์เสี่ยวโม่ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อ มีเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งเป็นลูกศิษย์นักการ…ยังจะกล้าแย่งอาจารย์กับข้าอีกหรือ?
เฉินผิงอันปฏิเสธเรื่องนี้อย่างละมุนละม่อม กลับกันยังแนะนำว่า “ข้าไม่ต้องหรอก ไม่สู้ให้เด็กๆ สามคนอย่างไฉอู๋ ป๋ายเสวียนและซุนชุนหวังมาฝึกตนที่นี่”
ทุกวันนี้เมื่อไฉอู๋ได้รับกระบี่ ‘ซินฮว่อ’ ที่เสี่ยวโม่มอบให้เล่มนั้นไป นางนำมันไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จแล้ว พอจะถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้อย่างถูไถ
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวลงใต้ เฉินผิงอันยังกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย ตอนที่อยู่ท่าเรือเหย่อวิ๋นของภูเขาหลิงปี้จึงได้ส่งกระบี่บินฉบับหนึ่งแจ้งข่าวไปที่ภูเขาเซียนตู นอกจากจะมอบภาพแผนที่ขุนเขาสายน้ำระหว่างทางที่ได้เห็นกับตาตัวเองและเขียนขึ้นด้วยตัวเองไปให้ชุยตงซานแผ่นหนึ่งแล้ว ในจดหมายก็ได้สอบถามถึงเรื่องการหลอมกระบี่ของไฉอู๋เป็นพิเศษ ได้รับจดหมายตอบกลับจากทางฝั่งนั้น บอกว่าเรื่องของการหลอมกระบี่ของแม่นางน้อย ราบรื่นอย่างมาก
ในพรรคบนภูเขาทั่วไป ต่อให้เป็นในสำนักใหญ่ ควรจะปฏิบัติต่อลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์กลุ่มน้อยที่คุณสมบัติคู่ควรกับสองคำว่า ‘น่าตะลึง’ อย่างไร อันที่จริงก็เป็นปัญหายากที่ไม่เล็กมาโดยตลอด
หากไม่ง่ายที่จะกลายเป็นว่าบ่มเพาะนิสัยเย่อหยิ่งทระนงตน ไม่อย่างนั้นก็จะคร่ำครึกับเรื่องการฝึกตนมากเกินไป รู้แต่การฝึกตน ไม่เข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมสังคมกับคนบนโลกแม้แต่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นหม่าหลินซื่อแห่งถ้ำสวรรค์มังกรขาว ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสวี่ชิงจู่เจ้าของถ้ำ ลำดับศักดิ์สูง คุณสมบัติดีเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นทายาทของคู่รักบนภูเขา รวบรวมความรักความเอ็นดูมหาศาลไว้ที่ตัวเขาคนเดียว
จนกระทั่งบัดนี้ ในเรื่องนี้ภูเขาลั่วพั่วต้องเรียกว่า ‘ได้บุกเบิกโฉมหน้าใหม่’ ไม่ค่อยเหมือนกับบนภูเขาทั่วไป เรียกได้ว่าขนบธรรมเนียมมหัศจรรย์น่าชื่นชม
มีขนบธรรมเนียมเช่นนี้ ทว่าไม่ใช่เฉินผิงอันคนเดียวที่จะสามารถทำสำเร็จได้ อย่างมากสุดเขาก็แค่ทยอยเลียนแบบมาจากหร่วนฉงและฮว่อหลงเจินเหรินอย่างเข้าท่าเข้าที แทบจะยกเอากฎระเบียบที่ไม่เป็นลายลักษณ์อะไรของสำนักกระบี่หลงเฉวียนและยอดเขาพาตี้มาเลยทีเดียว
ในบรรดาลูกศิษย์รุ่นที่สามของภูเขาลั่วพั่ว ไฉอู๋ ซุนชุนหวัง ป๋ายเสวียน
เด็กสามคนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นคนที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนดีเยี่ยมที่สุด เฉินผิงอันกับภูเขาลั่วพั่วย่อมไม่มีทางจงใจแสวงหาคำว่าตักน้ำเติมถ้วยให้เท่ากัน (เปรียบเปรยถึงการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ไม่เอนเอียงเข้าหาด้านในด้านหนึ่ง) กับพวกเขาแน่นอน
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “แม่นางน้อยคอแข็งกับแม่นางน้อยตาปลาตาย คุณสมบัติดีเยี่ยมเกินไป ข้าจะต้องพามาอยู่ข้างกายทั้งคู่แน่นอน จะช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้พวกนางอย่างตั้งใจ แต่ว่าทุกวันนี้พวกนางต่างก็มีอาจารย์เป็นของตัวเองกันแล้ว ข้าก็ได้แต่ทำเรื่องปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น อย่างมากสุดก็แค่ช่วยสอนวิชานอกรีตให้พวกนางสองสามบท แล้วก็เวทกระบี่อีกเล็กน้อย”
“ยกตัวอย่างเช่นไฉอู๋ผู้นั้น ข้าจะพยายามทั้งไม่ช่วยดึงหญ้าเร่งให้เติบโต แล้วก็ไม่ให้สิ้นเปลืองคุณสมบัติในการฝึกตนของนาง ดูสิว่าจะสามารถช่วยให้นาง…เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว เลื่อนจากขอบเขตเส้นเอ็นหลิ่วเป็นขอบเขตหยกดิบได้หรือไม่ ดูจากตอนนี้แล้วก็พอจะมีความมั่นใจอยู่บ้างเล็กน้อย แน่นอนว่าเรื่องดวงก็ต้องมีด้วย สรุปก็คืออาจารย์สามารถรอคอยได้”
เฉินผิงอันได้ยินก็ได้แต่หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาดื่มระงับความตกใจ
เพียงแต่ว่าการดื่มเหล้าระงับความตกใจประเภทนี้ เฉินผิงอันไม่ถือสาหากจะต้องดื่มหลายครั้งหน่อย
หลิ่วชี โจวมี่
และยังมีผู้ฝึกตนหญิงผู้มีพรสวรรค์แห่งใต้หล้ามืดสลัวที่เลื่อนติดอันดับตัวสำรองคนรุ่นเยาว์สิบคน
รวมไปถึงการกลับชาติมาเกิดบางครั้งของหลี่หลิ่ว ล้วนเลื่อนจากขอบเขตเส้นเอ็นหลิวเป็นห้าขอบเขตบนโดยตรงทั้งสิ้น
ต่อให้จะมีตกหล่นอยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นจำนวนน้อยจนนับนิ้วได้อย่างแท้จริง บอกว่าพันปีจะพบเจอสักครั้งในใต้หล้าก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไฉอู๋สามคนจะมาฝึกตนที่นี่หรือไม่ อันที่จริงความต่างมีไม่มากนัก ต่อให้จะมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อน ดังนั้นข้าจึงยังยืนกรานในคำกล่าวก่อนหน้านี้ นั่นคือหวังว่าอาจารย์จะมาฝึกตนที่นี่เพียงลำพังได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะได้ให้ข้าปิดด่านอยู่ที่นี่เพื่อยึดครอง ‘หนึ่ง’ นี้ไปทั้งหมดน่ะหรือ?”
ถ้ำสวรรค์เล็กที่ปิดผนึกภูเขาแห่งหนึ่งสามารถประคับประคองผู้ฝึกตนคนหนึ่งให้เลื่อนขอบเขตเป็นบินทะยานอยู่ที่นี่ได้พอดี
เสี่ยวโม่กระจ่างแจ้งโดยพลัน มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้เจ้าสำนักชุยถึงได้รอคอยตาปริบๆ ให้คุณชายเก็บไขสนที่ไม่สะดุดตาชิ้นนั้นไป
ชุยตงซานทำท่าขัดใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “รอให้ข้าเดินทางท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพร้อมกับหลิวจิ่งหลงแล้วกลับมาที่นี่ก่อน ค่อยให้คำตอบที่แน่ชัดแก่เจ้า หากถึงเวลานั้นต้องปิดด่านอยู่ที่นี่จริงๆ เจ้าต้องตอบตกลงเงื่อนไขข้อหนึ่งกับข้า”
ชุยตงซานรับรู้ได้ทันที เขาพยักหน้าเอ่ย “ศิษย์จะปลดประจำการจากตำแหน่งเจ้าสำนักเบื้องล่างก่อนแล้วค่อยคิดตามอาจารย์เดินทางไปเที่ยวเยือนใต้หล้ามืดสลัวด้วยกัน”