กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 898.4 สิบสองตำแหน่งสูง
เผยเฉียนเริ่มพลิกค้นความทรงจำ จากนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ น่าจะถือว่าใช่กระมัง ตอนเด็กเหมือนจะเคยฝัน ได้เจอกับคนประหลาดที่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร พาข้า…ไม่ได้พาข้าขึ้นเขาไปด้วยกัน แต่ลงจากภูเขา อีกฝ่ายถามข้าว่าเรียนหมัดไปทำไม ตอนนั้นข้ายังเด็ก ไม่รู้ความจึงตอบความคิดในใจของตัวเองตอนนั้นไปโดยตรง”
เห็นได้ชัดว่าเริ่มทำการปูพื้นมาแล้ว
ตอนนั้นยังอายุน้อยไม่รู้ประสา ชอบพูดจาเหลวไหล อาจารย์พ่อท่านอย่าได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ห้ามคิดบัญชีย้อนหลังเชียวนะ
เฉินผิงอันเงียบรอฟังประโยคถัดไป
เผยเฉียนยิ่งรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ แต่ก็ไม่กล้าปิดบังอะไร เล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้อาจารย์พ่อฟังอย่างละเอียด
ที่แท้ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกว่าถึงอย่างไรตนก็กำลังฝันอยู่ ยังต้องกลัวกะผีอะไรเล่า ด้านหนึ่งก็พูดอย่างใจลอยว่าเรียนหมัดกะผีอะไร ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของอาจารย์พ่อก็ต้องเรียนอะไรดีๆ จากอาจารย์พ่อมาบ้าง ไม่อย่างนั้นฝึกหมัดน่าอนาถขนาดนั้น ไยต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัวด้วย ตอนนั้นระหว่างที่ลงจากภูเขา ถ่านดำน้อยกระโดดโลดเต้นร้องฮื่อฮ่าเลียนแบบห่านขาวใหญ่ พลางปล่อยหมัดใส่เจ้าคนที่ตัวสูงมากข้างกายไปด้วย ถามอีกฝ่ายว่ากลัวหรือไม่ กลัวหรือไม่
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็อดยกมือนวดคลึงหว่างคิ้วไม่ได้
ก็ไม่แปลก นี่เป็นคำพูดที่ถ่านดำน้อยจะพูด และเป็นเรื่องที่นางทำได้จริงๆ
จากนั้นประโยคถัดมาของเผยเฉียนก็ทำให้เฉินผิงอันทั้งขำทั้งฉุน อดไม่ไหวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
‘ไม่กลัวใช่ไหม งั้นเจ้ารอดูไปเถอะ รอให้อาจารย์พ่อของข้ามา เจ้าต้องคุกเข่าโขกหัวดังตึงๆ แล้ว เชื่อหรือไม่ เจ้าเชื่อหรือไม่?’
เฉินผิงอันยังคงยิ้มบางๆ กระดิกฝ่ามือ “มานี่ อาจารย์พ่อรับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างเจ้ามา ช่างโชคดีจริงๆ”
มา มากินให้อิ่ม รับรองว่ามีมะเหงกเพียงพอ
เผยเฉียนยิ้มกระอักกระอ่วน เอ่ยประโยคหนึ่งว่าอาจารย์พ่อข้าเก็บถ้วยกับตะเกียบก่อนล่ะ แล้วก็เผ่นหนีเพื่อความปลอดภัย
ในวันที่อากาศมีฝนและหิมะตกลงมาพร้อมกัน เฉินผิงอันถือร่มเดินเล่นอยู่เพียงลำพัง เดินเลียบไปตามเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว มุ่งหน้าไปยังกระท่อมเรียบง่ายของชุยตงซาน ปรึกษาเรื่องตัวเลือกคนที่จะให้มาเข้าร่วมงานพิธี
น่าเสียดายที่ยังไม่อาจขัดกลึงหน้าผาแกะสลักตัวอักษรได้ อันที่จริงหากว่าสำนักเบื้องล่างตัดใจทำหน้าหนาได้จริงๆ ยินดีให้จูเหลี่ยนหยิบมีดขึ้นมา ก็มากพอที่จะใช้ของปลอมสวมรอยเป็นของจริง คาดว่าเวลาแค่ไม่กี่วันก็จะมีตัวอักษรแกะสลักบนหน้าผาจากฝีมือผู้มีชื่อเสียงนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา แน่นอนว่าตัวชุยตงซานเองก็ทำได้เหมือนกัน
คนชุดเขียวหมุนด้ามร่มเบาๆ ท่ามกลางฝนเม็ดเล็กขมุกขมัว
ในเมื่อกำหนดวันที่แน่นอนแล้ว งานพิธีเฉลิมฉลองการก่อตั้งสำนักเบื้องล่างคือวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ถ้าอย่างนั้นภูเขาลั่วพั่วที่เป็นสำนักเบื้องบน รวมไปถึงห้องกระบี่ที่สร้างขึ้นใหม่บนภูเขาเซียนตูก็ต้องเริ่มทำงานหนัก ส่งกระบี่บินไปเชิญแขกจากฝ่ายต่างๆ ที่จะมาร่วมงานพิธีมาได้แล้ว
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับงานพิธีเฉลิมฉลองก่อตั้งภูเขาลั่วพั่วเป็นสำนักแล้ว คนที่มาร่วมงานจะน้อยกว่าเล็กน้อย ถึงขั้นที่ว่าทางฝั่งภูเขาลั่วพั่วเองก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาร่วมงาน
ยกตัวอย่างเช่นทางฝ่ายของเฉินผิงอันจะเชิญแค่หลิวจิ่งหลง จงขุยและหวงถิงที่หนึ่งคนเท่ากับสองสำนัก
ในใต้หล้าห้าสีของทุกวันนี้ ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งสามารถก่อสำนักตั้งพรรคได้แล้ว ถึงอย่างไรศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ไม่คิดจะไปควบคุมอะไร
นอกจากนี้ยังจะเชิญลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียว เย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน หลิ่วโหรวเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอแห่งตำหนักปี้โหยวราชวงศ์ต้าเฉวียน รวมไปถึงคู่รักสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ เจิ้งซู่เทพภูเขาจวนจินหวงกับหลิ่วโย่วหรงสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบซงเจิน
ไม่ว่าจำนวนคนที่มาเข้าร่วมพิธีหรือขนาดของการเฉลิมฉลอง บางทีอาจยังสู้พิธีเปิดยอดเขาของโอสถทองคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันไปถึงหน้าประตูกระท่อมแล้วก็หุบร่มกระดาษน้ำมัน วางพิงไว้ที่ผนังนอกประตู เดินเข้าไปข้างใน โต๊ะหนังสือใหญ่ตัวหนึ่งวางกระดาษภาพร่างคร่าวๆ ที่ชุยตงซานเขียนด้วยมือตัวเองไว้จนเต็ม
ชุยตงซานวางพู่กันลง ถอยไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะอาจารย์โดยมีโต๊ะกั้นขวาง เฉินผิงอันโบกมือ บอกเป็นนัยให้เขาทำธุระของตัวเองต่อไป ส่วนตัวเองนั่งลงบนม้านั่งยาว หยิบร่างต้นฉบับที่เขียนถึงงานการก่อสร้างที่ยังมีกลิ่นหมึกจางๆ แผ่นหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ
สี่สมบัติในห้องหนังสือที่อยู่บนโต๊ะล้วนเรียบง่ายสามัญ กระบอกใส่พู่กันที่ตัดมาจากปล้องไผ่เขียวในภูเขาบ้านตน วางพู่กันจีจวี้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนไว้ปึกใหญ่ ส่วนของอื่นๆ อย่างกระดาษเซวียนจื่อและหมึกสนรมควัน ล้วนเป็นของที่หาซื้อมาจากตลาด
เฉินผิงอันวางกระดาษแผ่นนั้นลง เงยหน้าถามว่า “แม้ว่าจะให้หลินโส่วอียืมเงินฝนธัญพืชไปร้อยเหรียญ ทว่าในคลังเก็บสมบัติของภูเขาลั่วพั่วก็ยังมีกำไรเหลือเป็นเงินเทพเซียนอีกไม่น้อย เงินฝนธัญพืชห้าหกร้อยเหรียญ ไม่ว่าอย่างไรก็เอาออกมาได้ จะไม่ใช้จริงๆ หรือ?”
ในเมื่อผลผลิตทุกอย่างในถ้ำสวรรค์ฉางชุนยังมิอาจแลกเปลี่ยนมาเป็นเงินเทพเซียนได้ชั่วคราว ก็ต้องหาหนทางอย่างอื่น
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วมีเส้นทางเดินเรือการค้าของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกและสวนน้ำค้างวสันต์ของอุตรกุรุทวีป ซึ่งแทบจะครอบคลุมสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินแถบเลียบมหาสมุทรตะวันตกเฉียงใต้ของทั้งทวีปมาไว้แล้ว ภายหลังยังรวมนครเหนือเมฆ ราชวงศ์ต้าหยวน และสำนักกระบี่ฝูผิงเข้าไปอีก จึงทำให้ตลอดหลายปีมานี้ภูเขาลั่วพั่วมีเงินไหลมาเทมา
ชุยตงซานส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “อาจารย์ ไม่ต้องสิ้นเปลืองจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ บอกถึงรายชื่อแขกกลุ่มที่ตัวเองจะเชิญมาร่วมงานพิธี ชุยตงซานอ่อนใจเล็กน้อย “ต่อให้อาจารย์จะไม่สนใจกิจธุระของสำนักเบื้องล่างแค่ไหน แต่ท่านก็ยังเป็นอาจารย์ของข้า ยิ่งเป็นเจ้าสำนักเบื้องบน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องมาปรึกษาข้าทำไม”
เฉินผิงอันค้นพบว่าบนโต๊ะยังมีตราประทับส่วนตัวอยู่อีกชิ้นหนึ่งจึงหยิบขึ้นมาดู ตัวอักษรที่แกะสลักไว้ริมขอบมีค่อนข้างเยอะ
ยามที่อากาศเยียบเย็น น้ำในบ่อแห้งขอด ใบบัวเหี่ยวร่วงโรย กิ่งก้านเหลืองเอนหัก ไม่มีใบบัวบานรองรับน้ำฝน ปลาจึงแหวกว่ายหายไปสิ้น…
เฉินผิงอันวางตราประทับกลับลงไปที่เดิมเบาๆ รู้ว่าชุยตงซานพูดถึงเหตุเปลี่ยนแปลงของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต
ตัวอักษรสีชาดด้านล่างแปดคำเป็นตัวอักษรฉงเหนี่ยว (ตัวอักษรที่เหมือนรูปนกรูปแมลง อ่านเข้าใจยาก) เหมือนอักษรสวรรค์ แกะสลักเป็นคำว่า ‘สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน กล่าวคำอธิบายอักษร’ (หรือซัวเหวินเจี่ยจื่อ เป็นพจนานุกรมจีนในสมัยโบราณ อธิบายที่มาของตัวอักษร)
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ปีนั้นไปเป็นแขกที่ภูเขาไฉ่จือภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ ข้ากับฉุนชิงแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ รู้สึกงุ่นง่านเลยเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา ความจำดีไม่สู้น้ำหมึกที่ซีดจาง จึงแกะสลักเอาไว้เอาอย่างอาจารย์ หากอาจารย์ชอบก็เอาไปเถอะ พอจะเอาไปทำเป็นตราประทับหนังสือได้อย่างถูไถ”
เฉินผิงอันส่ายหน้าปฏิเสธเรื่องนี้อย่างละมุนละม่อม “เรื่องของการย้ายภูเขาที่เหลืออีกสองลูก ต้องการให้ช่วยหรือไม่?”
ชุยตงซานกล่าว “ไม่ต้อง เทียบกับภูเขาเซียนตูลูกนี้แล้ว ภูเขาเสริมสองลูกเบากว่ามากนัก ไปกลับสองรอบ สามารถเดินทางได้เร็วกว่าหน่อย อย่างมากสุดก็แค่ครึ่งเดือน”
เฉินผิงอันเล่าเรื่องการเดินทางไปเยือนผูซานให้ฟังคร่าวๆ
ชุยตงซานกล่าว “อันที่จริงเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน หวงอีอวิ๋นควรจะมอบภาพเซียนภาพนั้นให้กับศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ไม่อย่างนั้นหากเก็บเอาไว้ที่ผูซานตลอด บางทีอาจกลายเป็นภัยแฝงที่ไม่เล็ก ยกตัวอย่างเช่น…ช่างเถอะ ไม่มีอะไรให้ยกตัวอย่างไม่ยกตัวอย่างอีกแล้ว”
ชุยตงซานกลัวว่าตัวเองจะปากอีกา พูดแล้วเกิดเรื่องตามที่เขาพูดเข้าจริงๆ สำหรับผูซานแล้วนั่นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสะท้านฟ้าดินที่ไม่เป็นรองให้กับหายนะที่ภูเขาไท่ผิงประสบในปีนั้นเลย ยกตัวอย่างเช่นว่าเดิมทีภาพเซียนก็เป็นค่ายกลที่ซ้อนกันหลายชั้น หากว่าเวลาใดถูกผู้บงการเบื้องหลังใช้วิธีการที่ลึกลับอำพรางเปิดค่ายกลอยู่ไกลๆ เล่นตุกติกบนจุดศูนย์กลางของค่ายกล ทำให้มันระเบิดออกในชั่วพริบตา อย่างน้อยที่สุดก็เท่ากับว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งทำลายโอสถทอง ทารกก่อกำเนิด เนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณของตัวเอง ความรุนแรงของพลานุภาพ ความสูงของพลังพิฆาต คาดว่าคงเท่ากับการออกกระบี่อย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ผูซานสามารถรักษาภูเขาครึ่งหนึ่งไว้ได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้ถึงความหนักเบาของเรื่องนี้ดี แล้วก็ปรึกษาพูดคุยได้ง่ายมาก ดังนั้นภาพเซียนของจริงจึงได้ถูกเสี่ยวโม่เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้ว ถือว่าช่วยเก็บรักษาไว้ให้แทนผูซานสองสามวัน ส่วนที่อยู่ในคลังลับของผูซานนั้นเป็นแค่ของปลอม เยว่อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้บอกเรื่องนี้แม้กระทั่งกับเซวียไหว ต่อจากนี้ก็มาลองดูว่าจะตกปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งด้วยกันได้หรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้า “บางทีเซวียไหวอาจเป็นแค่ภาพลวงตาชั้นแรก ทางผูซานไม่ทันระวังก็อาจมีทางหนีทีไล่อย่างอื่นซ่อนอยู่”
ด้วยนิสัยการลงมือทำเรื่องต่างๆ ของโจวมี่แล้ว ในเมื่อแผนการยาวไกลที่วางไว้ที่ผูซานคว้าน้ำเหลวไปแล้ว ย่อมไม่มีทางออมมืออีกแน่
เฉินผิงอันกล่าว “ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่คนนั้นของเย่อวิ๋นอวิ๋นที่หลังจากสงครามปิดฉากลงก็คอยวิ่งวุ่นอยู่นอกภูเขาตลอดหลายปี ไม่เคยอยู่ที่เรือนอวิ๋นฉ่าว”
ก็เหมือนอย่างครั้งนี้ที่เฉินผิงอันไปเยือนเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานก็ยังไม่ได้พบหน้าอีกฝ่าย
การใช้เจตนาที่ชั่วร้ายที่สุดมาอนุมานคนอื่น กับการยินดีมอบความหวังดีที่ใหญ่ที่สุดให้กับผู้อื่น ทั้งสองอย่างนี้มองดูเหมือนจะขัดแย้งกัน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เป็นขัดกันเลย
ฟังมาถึงช่วงหลังๆ พอได้ยินว่าเฉินผิงอันไปเยือนแม่น้ำชื่อหลิน ดวงตาชุยตงซานก็เป็นประกายวาบ ถามอย่างใคร่รู้ “ถึงกับเป็นร้านหมั้นหมายแห่งหนึ่งเชียวหรือ?”
นี่แสดงให้เห็นว่าชุยตงซานเคยได้ยินชื่อร้านหมั้นหมายมาก่อน แค่ยังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองเอง เขาถูมือเอ่ยว่า “อาจารย์ หญิงชรากับเด็กสาวที่เปิดร้านน้ำชาอยู่ริมแม่น้ำชื่อหลินยินดีมาเป็นผู้ถวายงานภูเขาเซียนตูพวกเราหรือไม่ ไม่เป็นผู้ถวายงาน เป็นเค่อชิงสองคนก็ดีเหมือนกันนะ จะบันทึกชื่อหรือไม่บันทึกชื่อก็ล้วนตามใจพวกนาง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เวลานี้เริ่มเรียกอาจารย์ เรียก ‘พวกเรา’ แล้วหรือ?”
เหลียงส่วงเจินเหรินผู้เฒ่า ทุกวันนี้คือเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ให้เขามาเป็นคนแกะยันต์ออกย่อมไม่มีปัญหาใดๆ
หลังจากที่หญิงชราได้รับอิสระกลับคืนมา นางกับเด็กสาวที่ชอบจับคู่ยวนยางส่งเดชผู้นั้น นับแต่นี้อาจารย์และศิษย์สองคนจะไปอยู่ไหน ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ถาม
เฉินผิงอันเอ่ย “หากเจ้ายินดีรับตัวพวกนางมาจริงๆ ก็สามารถส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังผูซาน ให้เย่อวิ๋นอวิ๋นหรือไม่ก็เซวียไหวช่วยไปถามให้”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “รอประโยคนี้ของอาจารย์นี่แหละ!”
เฉินผิงอันหัวเราะเฮอๆ
ชุยตงซานได้แต่หัวเราะแห้งๆ
ตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนที่เฉินผิงอันพากลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลูชิงจางกับเฮ้อเซียงถิงได้ติดตามอวี๋เยว่ไปอยู่ที่อื่นแล้ว เด็กอีกเจ็ดคนที่เหลือ เฉิงเฉาลู่ติดตามสุยโย่วเปียนฝึกกระบี่อยู่ที่หอซ่าวฮวา อวี๋เสียหุยถือว่าแข็งใจยอมรับผู้คุมกฎชุยเหวยเป็นอาจารย์ อาจารย์ของเหอกูคือเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่อีกเดี๋ยวจะมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง หากบวกกับน่าหลันอวี้เตี๋ยที่อยู่บนเรือข้ามฟากเฟิงยวนเข้าไปอีกคน ผลคือถูกสำนักเบื้องล่างหลอกเอาตัวไปถึงสี่คนแล้ว
หากรวมซุนชุนหวังด้วยก็เป็นห้าคนแล้ว
เหลือแค่ป๋ายเสวียนกับเหยาเสี่ยวเหยียนที่อยู่ภูเขาลั่วพั่วและหอบูชากระบี่
ป๋ายเสวียนกลัวห่านขาวใหญ่ เป็นเพียงแค่เหตุผลส่วนน้อย
ส่วนเหยาเสี่ยวเหยียนนั้นถูกชะตากับอาจารย์คนใหม่ที่ทั้งสองฝ่ายมีความสูงเท่ากัน
เพียงแต่ว่าในเมื่อสำนักกระบี่ชิงผิงคือสำนักแห่งวิถีกระบี่ ถ้าอย่างนั้นถูกลูกศิษย์อย่างชุยตงซานขุดมุมกำแพงบ้านเช่นนี้ เฉินผิงอันก็ได้แต่ยอมรับ
แต่พอถึงท้ายที่สุด เจ้าสำนักเบื้องล่างอย่างชุยตงซานกลับค่อนข้างจะเก็บทุกเม็ดทุกหน่วยแล้ว ขนาดตนก็ยังจะถูกขุดมุมกำแพงพามาอยู่สำนักเบื้องล่าง เพราะถึงอย่างไรหากเลือกที่จะปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตในถ้ำสวรรค์ฉางชุน ไม่ว่าในอนาคตจะเลื่อนจากคอขวดหยกดิบเป็นเซียนเหรินหรือเป็นขอบเขตที่สูงยิ่งกว่านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน อาจใช้เวลาหลายปีหรือนานยิ่งกว่านั้น
เฉินผิงอันกล่าว “ข้ากำลังลังเลว่าควรจะเชิญหลี่ฝูฉวีแห่งสำนักเจินจิ้งหรือไม่
เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดผู้นี้ก็เป็นเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่ว
ส่วนหลิวเหล่าเฉิงเจ้าสำนักเจินจิ้งและหลิวจื้อเม่าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งนั้นก็ช่างเถิด
นอกจากกำไลมรกตสามสีที่อวยพรให้มีความสุขปลอดภัยอายุขัยยืนยาวซึ่งถูกใจตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เฉินผิงอันจะทำหน้าหนาขอชุดคลุมอาคมอีกตัวหนึ่งมาจากเสี่ยวโม่ คิดว่าจะส่งของสองชิ้นนี้ไปให้กับโจวไฉ่เจินแห่งสำนักเจินจิ้งในแจกันสมบัติทวีปพร้อมกัน
ชุยตงซานส่ายหน้า “มีความหมายไม่มาก สำนักเบื้องล่างก็ถือเสียว่าได้ประหยัดชุดคลุมอาคมไปตัวหนึ่งแล้วกัน”
เฉินผิงอันถาม “หมายความว่าไง?”
ชุยตงซานกลั้นขำ “อาจารย์ เสี่ยวโม่มาปรึกษากับข้าเรียบร้อยแล้วว่าก่อนที่สำนักเบื้องล่างจะจัดงานเฉลิมฉลอง เขาจะมอบชุดคลุมอาคมส่วนหนึ่งให้ข้า เพื่อให้สมาชิกของศาลบรรพจารย์ ลูกศิษย์ผู้สืบทอด ผู้ถวายงานและเค่อชิงของสำนักเบื้องล่างที่ต่อให้รวมๆ กันแล้วมีจำนวนไม่มากได้รับกันไปคนละชิ้น ส่วนแขกที่เข้ามาร่วมงานพิธีที่ยอดเขาชิงผิงก็หมดหวังแล้ว สำนักเบื้องล่างไม่สะดวกจะปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมเช่นนี้ จะเป็นการทำร้ายความรู้สึกเกินไป ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมอบให้ใครทั้งนั้น”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เสี่ยวโม่ผู้นี้!”
พูดถึงแค่เรื่องที่ไปเป็นแขกที่ภูเขาพีอวิ๋นเป็นเพื่อนตน เสี่ยวโม่ก็มอบสมบัติหนักที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนไปให้แล้วถึงสองชิ้น อีกทั้งยังมอบให้อย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี เพราะอาวุธเล็กจิ๋วที่มองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูคู่นั้นมีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตกไปอยู่ในมือของซานจวินแห่งห้ามหาบรรพตก็จะยิ่งก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขวานหยกเขียวหนึ่งเล่ม สามารถเอามาใช้ ‘เปิดภูเขา’ เยว่ (ลักษณะเหมือนขวานแต่ใหญ่กว่า) หยกเหลืองหนึ่งเล่มเอามาใช้ ‘สยบโชคชะตาน้ำ’
ทุกวันนี้คาดว่าแม้แต่ตอนฝันเว่ยซานจวินก็น่าจะยังหลุดหัวเราะด้วยกระมัง
เว่ยป้อจะไม่นับนิ้วรอคอยว่าเมื่อไหร่เสี่ยวโม่จะไปเป็นแขกที่ขุนเขาเหนืออีกครั้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยหรือ?