กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 898.6 สิบสองตำแหน่งสูง
สวีเซี่ยที่ถูกขนานนามว่า ‘สวีจวิน’ ผู้นี้เพิ่งจะอายุสองร้อยปีก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งแล้ว
อยู่ที่เกราะทองทวีปอันเป็นบ้านเกิด สวีเซี่ยเคยออกกระบี่ขัดขวางการโจมตีที่แว้งกลับมาทำร้ายพวกเดียวกันเองของหวานเหยียนเหล่าจิ่งมาก่อน ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของสวีเซี่ยไม่เคยเด่นดัง กระทั่งกลียุคมาถึง เขาถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลก
หวังจี้ที่ ‘เดิมพันเล็กน้อยพอสนุก’ กับสวีเซี่ยบนยอดเขาคือผู้ถวายงานในศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยก มีฉายาว่าขุนนางเจียนจ่าน (ขุนนางที่ดูแลและควบคุมเรื่องการประหารนักโทษ)
หวังจี้กับจ้งชิวต่างก็เป็นบัณฑิต พอพบเจอหน้าก็ถูกชะตากันทันที ทั้งยังหาเวลามาเล่นหมากล้อมด้วยกันหลายตา ส่วนหมี่อวี้กับสวีเซี่ยที่ชมศึกอยู่ด้านข้าง สองฝ่ายไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกัน แค่มองสบตากันทีเดียวก็ไม่มีเรื่องให้พูดกันแล้ว
ตอนอยู่ท่าเรือปี้เฉิงของสำนักกุยหยก ทางฝั่งของเรือเฟิงยวนได้รู้เรื่องหนึ่งว่า ยอดเขาเสินจ้วนที่ปล่อยว่างมานานหลายปีเพิ่งจะมีเจ้าของคนใหม่ อีกทั้งศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกยังไม่มีความเห็นต่างใดๆ ยอมแหกกฎเพื่อผู้ฝึกกระบี่คนนี้เป็นพิเศษ ไม่ต้องให้เขาเลื่อนเป็นโอสถทองก็ได้เข้าไปอยู่ยอดเขาเสินจ้วนก่อนแล้ว
เพราะเด็กคนนั้นเพิ่งจะอายุเก้าขวบ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง
ได้ยินว่าได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม
ดูเหมือนว่านอกจากเหตุผลที่ว่า ‘ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ถือกำเนิดขึ้นตามชะตาแล้ว’ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้อธิบายได้อีกแล้ว
ส่วนสำนักกุยหยกในทุกวันนี้ลำพังเพียงแค่ท่าเรือส่วนตัวที่สามารถรองรับเรือข้ามทวีปได้หลายลำในเวลาเดียวกัน ไม่รวมสำนักเจินจิ้งที่เป็นสำนักเบื้องล่างอยู่ในแจกันสมบัติทวีปเป็นหนึ่งในนั้น ก็มีมากถึงสามแห่ง นอกจากท่าเรือปี้เฉิงแล้วยังมีท่าเรือนี่ลวี่และท่าเรือหย่วนซานด้วย ท่าเรือสองแห่งหลังนี้สร้างขึ้นบนภูเขาใต้อาณัติ
หลังจากนั้นเรือข้ามฟากก็เดินทางกลับเหนือ ระหว่างนั้นไปจอดอยู่กลางอากาศใกล้กับแม่น้ำหลินเหอ
จ้งชิวกับหมี่อวี้จับมือกันไปเยือนแผงที่ตั้งอยู่ริมน้ำแห่งนั้น
เถาหรานนับว่ายังเกรงใจอาจารย์จ้งอยู่บ้าง เคยเจอหน้ากันหลายครั้ง ค่อนข้างมีความประทับใจที่ดี
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผู้นี้บอกว่าก่อนหน้านั้นมีคนกลุ่มหนึ่งมา บอกว่ามาจากภูเขาเซียนตูเช่นเดียวกัน มือดาบชุดเขียวยังบอกด้วยว่าเป็นอาจารย์ของชุยเซียนซือ ชื่อว่าเฉินผิงอัน
คนผู้นี้ดื่มเหล้าที่นี่ไปชามหนึ่ง ไม่ได้ก่อเรื่องก่อราวอะไร เพียงแต่ว่าคนผู้นี้พูดจาไม่น่าเชื่อถือ บอกว่าตัวเองคือเซียนกระบี่เฉินแห่งแจกันสมบัติทวีปคนนั้น
ในเมื่อพูดจาชวนขบขันขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ไปเป็นนักเล่านิทานหาเงินอยู่ใต้สะพานเลยเล่า
สายตาของหมี่อวี้ฉายแววเวทนา ยื่นมือออกไปหมายจะตบไหล่เซียนกระบี่โอสถทองผู้นี้เพื่อแสดงการปลอบใจ
คำพูดพวกนี้ของเถาหราน หากเผยเฉียนได้ยินเข้า เหอะ
เถาหรานสะบัดไหล่หลีกขาหน้าข้างนั้น เขาไม่สนิทกับเจ้าคนที่บอกว่าตัวเองชื่ออวี๋หมี่ผู้นี้แม้แต่น้อย พบเจอกันสองครั้งล้วนสวมชุดสีขาว เจ้าคิดว่าตัวเองคือฉีถิงจี้แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือว่าเคยดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีมาก่อนเล่า?
อีกอย่างเถาหรานมองบุคลิกท่าทางของคนผู้นี้แล้วก็รู้ว่าเป็นพวกเจ้าชู้เสเพลพอๆ กับเจียงซ่างเจิน เห็นแล้วขวางหูขวางตานัก
หมี่อวี้ดึงมือกลับมา หยิบเหล้าชามหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาจิบเหล้าหนึ่งอึก ดื่มเข้าไปแล้วเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ถึงกับขมวดคิ้วฉับ ผสมน้ำหรือ?
เถาหรานในทุกวันนี้ยังไม่รู้เรื่องหนึ่ง กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต แทบจะทุกครั้งที่ถึงคราวที่ฉีถิงจี้ต้องออกตรวจตราหัวกำแพงเมือง จะต้องเป็นฝ่ายไปหาหมี่อวี้กลางเมฆเรืองรองเพื่อดื่มเหล้าด้วยกันเสมอ
แม้ว่าอายุของทั้งสองฝ่ายจะต่างกันมาก ขอบเขตเวทกระบี่ก็ต่างกัน แต่กลับเป็นชายงามที่ผู้คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้การยอมรับ อีกทั้งคนหนึ่งที่เป็น ‘ฉีออกเดินทาง’ กับอีกคนที่เป็น ‘หมี่ผ่าเอว’ นี้ต่างก็พูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินยิ่ง
จ้งชิวเพียงคลี่ยิ้มไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่กำชับเรื่องบางอย่างที่ต้องระวังกับเถาหราน
เถาหรานไม่มีท่าทีหงุดหงิดใจ ตั้งใจจดจำไปทีละข้อ
หลังจากที่เรือเฟิงยวนมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาเซียนตูของบ้านตัวเอง หมี่อวี้ไม่ได้พบกับใต้เท้าอิ่นกวาน เฉาฉิงหล่างบอกว่าอาจารย์กำลังฝึกตน แต่หมี่อวี้ได้รับข้อความที่เฉินผิงอันฝากมาบอกต่อ ใต้เท้าอิ่นกวานบอกกับตนว่ากลับท่าเรือหนิวเจี่ยวของแจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ต้องพาป๋ายเสวียนมาด้วย
หมี่อวี้รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง
จากนั้นเมื่อเดินทางผ่านตำหนักพยัคฆ์เขียวบนภูเขาชิงจิ้ง เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ยงได้มอบขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้จ้งชิวกับมือตัวเอง ขอให้อาจารย์จ้งช่วยนำไปมอบต่อให้กับเจ้าขุนเขาเฉิน
บอกว่าเป็นยานั่งลืมตนเตาใหม่ล่าสุดที่เพิ่งหลอมสำเร็จ น่าเสียดายที่จำนวนไม่มาก มีแค่สามเม็ดเท่านั้น
จ้งชิวกุมหมัดขอบคุณ
หมี่อวี้เอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า เทพเซียนผู้เฒ่าลู่มีศัตรูที่ไหนหรือไม่
ลู่ยงหัวเราะดังลั่น โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
เรือข้ามฟากลอยพ้นจากพื้นดินของใบถงทวีปเข้าไปในน่านน้ำมหาสมุทรแล้ว หมี่อวี้ที่อยู่ว่างก็ให้รู้สึกอุดอู้ยิ่งนัก จึงกระโดดลงจากเรือเฟิงยวน ทะยานลมขึ้นเหนือ รุ้งยาวพุ่งพาดผ่านกลางอากาศ
ยอดเขาชิงผิง ในถ้ำสวรรค์เล็กฉางชุน
เฉินผิงอันเลือกจุดที่สูงที่สุดในหอเรือนประตูสีชาดกลางภูเขา ประตูหน้าต่างทุกบานปิดสนิท
ในห้องมีเบาะรองนั่งหนึ่งใบ โต๊ะน้ำชาหนึ่งตัว กระถางธูปหนึ่งใบ
บนโต๊ะวางตำราไว้สองสามเล่มได้แก่ ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ‘คัมภีร์เวทกระบี่’ และ ‘ฉากสายฟ้า’ ที่ตัวเองเขียนและเรียบเรียงเข้าเล่ม รวมไปถึง ‘หนังสือผุๆ’ เล่มหนึ่งที่ได้มาจากซากปรักจวนเซียนของอุตรกุรุทวีป
และยังมีแผ่นไม้ไผ่ที่แกะสลักตัวอักษรอีกกองใหญ่
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเบาะ ฝ่ามือสองข้างหงายขึ้นด้านบนวางซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง หลับตาเพ่งสมาธิ หายใจเข้าออกเนิบช้า
ประหนึ่งภิกษุเฒ่าเข้าฌาน ประหนึ่งเจินจวินนั่งลืมตน ประหนึ่งเทพนั่งนิ่งดุจศพ
ภาคกลางค่อนข้างไปทางทิศเหนือของใบถงทวีป ในอาณาเขตของแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่ง
ใกล้ถึงยามสายัณห์ คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งพาเจ้าอ้วนเดินทางมาด้วยกัน พอดีมีฟ้าร้องฟ้าแลบ ลมฝนพัดกระโชกแรง คนทั้งสองจึงมาหยุดพักอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในตลาด บัณฑิตยากจนสั่งน้ำผงรากบัวใส่น้ำตาลมาสองชาม
เจ้าอ้วนเงยหน้าขึ้น ชูชามขึ้นสูง เขย่าแรงๆ เห็นว่าไม่มีผงรากบัวเหลืออยู่แล้วถึงได้วางชามลง บ่นว่า “พี่น้องจง ในเมื่อพวกเราเร่งเดินทาง โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนสักลำจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ”
“พิธีเฉลิมฉลองคือวันแรกของฤดูใบไม้ผลิปีหน้า จะไปทันได้อย่างไร”
จงขุยเอ่ย “หากวันนี้เจ้ายินดีจ่ายเงิน ข้าก็จะควักเงินจ่ายค่าเรือข้ามฟากให้เจ้า”
เจ้าอ้วนเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ทัศนียภาพบนเรือข้ามฟากก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ยังคงเป็นการใช้สองขาเดินทางที่ได้เห็นเรื่องน่าสนใจได้เยอะกว่า อย่างตอนนี้ก็มีเรื่องแปลกใหม่ไม่เล็กไม่ใหญ่เพิ่มมาอีกเรื่องไม่ใช่หรือ”
เจ้าอ้วนชี้ไปที่ริมน้ำนอกร้าน ที่แท้มีพ่อค้าเกลือจ้างเรือลำใหญ่ให้มาจอดอยู่ที่เบื้องล่างศาลเก่าแก่ ชมทัศนียภาพยามฝนตก ฝนกระหน่ำครั้งนี้ตกลงมาอย่างกะทันหัน แล้วก็จากไปเร็ว รอกระทั่งฝนหยุดตกก็ถึงกับมีสตรีคนหนึ่งถือคัดเบ็ดตกปลาอยู่ตรงหน้าต่างของเรือหอเรือนลำนั้น กำไลข้อมือที่สวมใส่ยิ่งขับให้ข้อมือที่โผล่พ้นชายเสื้อของนางขาวราวรากบัว เจ้าอ้วนเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน รู้หลักการเหตุผลของคำว่าผอมไม่สู้อวบอิ่มมานานแล้ว มองสตรีคนนั้นแค่ไม่กี่ทีก็จิตวิญญาณหลุดลอย มิอาจเลื่อนสายตาได้อีก ทุกครั้งที่นางรวบเบ็ดและเหวี่ยงเบ็ดลงไปใหม่ เจ้าอ้วนก็จะใจสั่นตามไปด้วย
น่าเสียดายที่สตรีคนนั้นมวยผมทรงสตรีออกเรือนแล้ว หากว่ายังเป็นแม่นางในห้องหอที่รอแต่งงาน เจ้าอ้วนก็จะขึ้นเรือไปหาพ่อตาทันที
อีกฝ่ายจะเป็นผีงามโครงกระดูกที่มีศาสตร์การแปลงโฉมแล้วอย่างไร เจ้าอ้วนไม่สนใจเลยจริงๆ ถือสาเรื่องนี้ ไม่ธรรมดาสามัญไปหน่อยหรือ?
จงขุยเพียงแค่ใช้หางตาเหลือบมองเรือหอเรือนลำนั้น เอ่ยว่า “เจ้าอย่าไปยุ่งกับนางเชียว ก็แค่สตรีผู้ลุ่มหลงในรักที่ชะตากรรมรันทดคนหนึ่ง ตอบแทนพระคุณเสร็จก็จะจากไปแล้ว”
เจ้าอ้วนพึมพำเสียงเบา “มีเจ้าอยู่ ข้าจะกล้าไปมีเรื่องกับใคร? ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองของอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง เพิ่งจะเดินเข้าไป เจ้าตัวดี เจ้ามีตำแหน่งขุนนางติดตัว ข้าผู้อาวุโสกลับเป็นผีเร่ร่อนตัวหนึ่ง เกือบจะถูกจับล่ามโซ่ตรวน เจ้าจะมองข้าทำไม? พี่น้องจง บอกตรงๆ นะ ตอนมีชีวิตอยู่และหลังตายไป ข้ายังไม่เคยเจอกับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อนเลย…เอาผงรากบัวต้มน้ำตาลมาอีกชามสิ”
จงขุยกวักมือเรียกลูกจ้างร้าน สั่งน้ำรากบัวมาอีกสองชาม ยิ้มเอ่ย “ตอนหลังท่านเทพอภิบาลเมืองไม่ได้ขอโทษเจ้าแล้วหรอกหรือ?”
อย่าคิดว่าฟ้าสูงแล้วไม่มีหูตา ทำผิดมโนธรรมในห้องเทพก็ยังรู้เห็น
เจ้าอ้วนที่ตั้งชื่อให้ตัวเองว่ากูซูดื่มน้ำรากบัวลงท้องไปอีกชาม มองชามของจงขุยที่ยังไม่ได้ขยับช้อน
จงขุยจึงผลักชามขาวไปให้เจ้าอ้วน
ส่วนสตรีตกปลาที่อยู่บนเรือหอเรือน เห็นได้ชัดว่าสังเกตเห็นบัณฑิตและเจ้าอ้วนที่อยู่ในร้านริมฝั่ง เพียงแต่ว่าตบะของนางตื้นเขิน มองสถานะ ขอบเขตของพวกเขาไม่ออก นางแค่แน่ใจเรื่องเดียว คงไม่ใช่ว่าเห็นผีเข้าแล้วหรอกนะ?
เจ้าอ้วนใช้เสียงในใจถาม “แม่น้ำสายนี้ไม่ถือว่าสั้นกระมัง ไม่มีเทพวารีหรือแม่ย่าลำคลองสักคนเลยหรือ? สองฝั่งข้างทางก็ไม่มีศาลเทพอภิบาล? ผีสาวตัวนี้ใจกล้าไม่น้อยเลยนะ”
จงขุยเอ่ย “ดูจากกำไลของแทนตัวจวนวารีชิ้นนั้น ตอนบนของแม่น้ำห่างไปสามร้อยลี้มีทะเลสาบใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ฝู่จวินเทพวารีชอบปลอมกายเป็นคนถ่อเรือ ขายรากบัวแลกเหล้าดื่ม ถือว่าเป็นคนรู้จักเก่ากับพ่อค้าเกลือวัยกลางคนที่เคยร่างบทกวีนมัสการลงน้ำ”
เจ้าอ้วนขมวดคิ้ว “มองออกได้อย่างไร?”
จงขุยกล่าว “ใช้ตามอง”
ตอนที่จงขุยควักเงินจ่ายค่าอาหาร เจ้าอ้วนก็ถามว่า “ไปถึงภูเขาเซียนตูแห่งนั้นแล้ว เจ้าว่าด้วยตบะของข้า นอกจากเฉินผิงอัน ข้าก็จะไร้ศัตรูเทียมทานแล้วหรือไม่?”
ต่อให้ตนขอบเขตถดถอยก็ยังเป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง
จงขุยยิ้มกล่าว “ไปถึงก็รู้เองแหละ”
เจ้าอ้วนถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นหากข้าขอตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหรือเค่อชิงอะไรนั่นมาจากพี่น้องเฉิน อีกทั้งที่นั่นก็ไม่ใช่ภูเขาลั่วพั่ว เป็นแค่สำนักเบื้องล่าง คงไม่เกินกว่าเหตุกระมัง?”
จงขุยเหลือบตามองเจ้าอ้วน “ไปถามเอาเอง ข้าไม่ห้าม”
เจ้าอ้วนยิ้มพลางยกชามที่ว่างเปล่าในมือขึ้น บิดหมุนข้อมือ “ต้องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือแน่นอน”
ภายหลังเจ้าอ้วนก็ติดตามนายท่านใหญ่จงที่ไม่รู้จักเสวยสุขแม้แต่น้อยผู้นี้เดินขึ้นเขาลงห้วย นอนกลางดินกินกลางทรายไปตลอดทาง น่าสงสารเอวที่กว่าจะขุนให้อ้วนขึ้นมาได้ที่ต้องผอมลงไปอีกแล้ว
ช่วงสิ้นปีพวกเขาก็เดินทางเข้าสู่อาณาเขตของภูเขาเซียนตูพอดี จวนบนภูเขา ท่าเรือล่างภูเขา ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่การก่อสร้าง ฝุ่นตลบคละคลุ้ง เจ้าอ้วนโบกมือ ขมวดคิ้วน้อยๆ “พื้นที่เล็กแค่นี้เองหรือ แร้นแค้นเกินไปหน่อยแล้ว เดี๋ยวรอให้ข้าเจอกับพี่น้องเฉินจะต้องพูดคุยกับเขาสักหน่อย”
ตรงท่าเรือมีคนกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ข้างโต๊ะ กำลังทำท่าวัดเทียบกระดาษร่าง
ข้างโต๊ะมีเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีไฝกลางหว่างคิ้วคนหนึ่ง หญิงสาวมัดมวยกลมกลางศีรษะคนหนึ่ง และยังมีผู้ฝึกตนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวอีกคนหนึ่งยืนอยู่
เจ้าอ้วนจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ โอ้โห แม่นางน้อย เหตุใดมองปราดๆ ก็ไม่เท่าไร แต่พอมองอีกที รูปโฉมกลับงดงามไม่น้อย
เผยเฉียนเห็นจงขุยที่เดินเรื่อยเฉื่อยตรงมา นางก็ก้าวเร็วๆ เข้าไปหา ยิ้มกว้างสดใส กุมหมัดคารวะมาแต่ไกล “นักบัญชีจง!”
สองฝ่ายหยุดเท้า จงขุยยื่นมือไปวัดความสูง ยิ้มถาม “ถ่านดำน้อย?”
เผยเฉียนพยักหน้า ยิ้มจนตาหยี
จงขุยเอ่ยหยอกล้อ “แต่งงานแล้วหรือยัง?”
เผยเฉียนยิ้มตอบ “แต่งกะผีอะไรเล่า ข้าไม่แต่งงาน!”
จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “ก็จริงนะ นอกจากเฉินผิงอันแล้วใครก็คุมเจ้าไม่อยู่ทั้งนั้น”
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล อายุน้อยๆ ก็สามารถหลอกมือปราบสองคนของเมืองหูเอ๋อร์ได้เสียจนหัวหมุน
ถ่านดำน้อยในเวลานั้นช่าง…ยากจะอธิบายได้หมดในคำเดียวจริงๆ
ชุยตงซานกับเสี่ยวโม่ก็เดินตามมาด้วย
จงขุยยกมือกุมหมัด “ข้าชื่อจงขุย ทำให้ทุกท่านได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”
ชุยตงซานประสานมือคารวะ “ชุยตงซานแห่งสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่วคารวะอาจารย์จง”
เสี่ยวโม่เองก็ประสานมือคารวะเช่นกัน “ผู้ถวายงานเสี่ยวโม่คารวะอาจารย์จง”
เสี่ยวโม่เหล่ตามองเจ้าอ้วนที่เป็นผีขอบเขตเซียนเหริน อีกฝ่ายมีความคิดชั่วร้ายใช่หรือไม่ ความคิดจิตใจทั้งหมดของเจ้าหมอนี่ล้วนอยู่ที่เผยเฉียนทั้งหมด เหตุใดข้างกายของอาจารย์จงถึงได้มีผู้ติดตามที่ไม่น่าเชื่อถือแบบนี้อยู่ได้นะ
เจ้าอ้วนใช้เสียงในใจถาม “ผู้ถวายงานเสี่ยวโม่มองข้าทำไมหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มตอบ “ผู้มาล้วนเป็นแขก ไม่ทำไม”
เจ้าอ้วนฟังออกถึงความนัยในคำพูดนี้ก็จุ๊ปากรัวๆ “โอ้โห เกือบจะตกใจตายอยู่แล้วเชียว ไม่ถูกสิ เกือบจะตกใจจนฟื้นคืนชีพแล้วสิข้า โชคดีที่เป็นแขก ไม่อย่างนั้นพวกเราสองคนคงต้องออกมา…ประลองฝีมือกันหน่อยแล้วกระมัง?”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “มิกล้า ภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเซียนตูล้วนไม่มีวิถีรับรองแขกเช่นนี้”
เจ้าอ้วนทำหน้าตื่นตระหนก “พี่น้องเสี่ยวโม่ แค่นี้ก็อาฆาตแค้นเสียแล้วหรือ?”
เสี่ยวโม่ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน “ไหนเลยจะกล้าเรียกขานตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเซียนเหรินคนหนึ่ง”
ชุยตงซานมองจงขุย จงขุยส่ายหน้ายิ้มๆ พวกเราอย่าไปสนใจเจ้าอ้วนที่ชอบตายผู้นี้เลย
ทางฝั่งของยอดเขาชิงผิง คนชุดเขียวเผยกาย พริบตานั้นก็พลิ้วกายมาที่ท่าเรือแห่งนี้
ไร้ซึ่งคลื่นลมปราณใดๆ แล้วก็ไม่มีปราณกระบี่แม้แต่น้อย
ทว่าความเข้มข้นของปณิธานกระบี่หรือควรจะพูดว่าปราณแห่งมรรคาของคนผู้นี้ ถึงกับทำให้เจ้าอ้วนขยับไปอยู่ข้างกายจงขุยตามจิตใต้สำนึก
เฉินผิงอันกับจงขุยต่างก็ยกฝ่ามือขึ้นตีมือกันหนักๆ
จากนั้นเฉินผิงอันก็มองไปด้านข้าง ยิ้มถามว่า “จงขุย ผู้อาวุโสท่านนี้คือ?”
จงขุยยังคงเป็นเหมือนเก่า ชั่วร้ายเหมือนเดิม เปิดโปงรากฐานของเจ้าอ้วนข้างกายทันที “ก็คือผู้อาวุโสใต้น้ำที่เคยถูกน้องสะใภ้ฟันไปนั่นแหละ”
เจ้าอ้วนรู้ทันใดว่าท่าไม่ดีแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สวัสดี ข้าชื่อเฉินผิงอัน เป็นบุรุษของหนิงเหยา”